.
บทที่ ๕๑ แสงพรายหล่อพระ
ขึ้น ๔ ค่ำเดือน ๑๑ อาทิตย์ใกล้อัสดง...
แสงพรายกลับมายังสำนักตั้งแต่ช่วงบ่าย พอมาถึงก็ขึ้นเรือนใหญ่มาเฝ้าปู่หลวงที่ป่วยนอนซมอยู่ในห้องนอน ตอนย่างกรายเข้ามาก็พบกับท่าทีมึนตึงของทุกคน แต่แสงพรายคล้ายไม่สนใจผู้ใดอีกแล้ว
ชายหนุ่มและผู้เฒ่าต่างเศร้าสะเทือนใจในสภาพของกันและกัน
ปู่หลวงช้ำใจที่เห็นผ้าพันแผลตามร่างของชายหนุ่มพร้อมคราบเปรอะเปื้อนรอยเลือดและสมุนไพร แม้เจ้าตัวจะบอกว่าอาการส่วนใหญ่หายดีแล้ว ส่วนแสงพรายก็ห่วงกังวลอาการที่ทรุดหนักลงของปู่หลวง
“นี่ก็เย็นมากแล้ว พระองค์หญิงรับสั่งว่าจะทรงนำทองคำกลับมา...เห็นทีจะเป็นเรื่องเหลวไหลแน่แล้ว” ครูพิธานที่เข้ามานั่งในห้องนอนของปู่หลวงได้สักพักหนึ่ง กล่าวขึ้นด้วยอารมณ์หงุดหงิด
“อะไรจะเกิด ก็ปล่อยให้มันเกิดเถอะพ่อพิธาน...อย่าไปกังวลมันนักเลย”
“ถ้าวันนี้ไม่ได้ทองมา.. พรุ่งนี้ข้าจะพาคนออกไปหาทองเอง ต่อให้ไม่ได้ทองมาทันเวลาที่จะหล่อพระพุทธรูป ก็ขอนำทองกลับมาคืนวังหลวงให้ได้ จะได้ไม่ต้องพลอยรับโทษทัณฑ์กันไปหมด”
“เจ้าจะไปหาที่ไหน” เสียงอ่อนล้าของคนป่วย
ครูพิธานมองหน้าแสงพราย กล่าวขึ้น
“ข้าจะไปลองค้นหาแถววัดศรีชุม”
“คงไม่ต้องไปที่วัดศรีชุมหรอก ท่านครู” พระสุรเสียงกังวานดังขึ้น พร้อมพระวรองค์ที่ทรงข้ามธรณีประตูเข้ามา เบื้องหลังติดตามด้วยพิไล
ทั้งครูพิธานและแสงพรายต่างขยับตัวขึ้นนั่งคุกเข่าแล้วจึงถวายบังคมแสดงความเคารพ ส่วนปู่หลวงมิอาจลุกนั่งจึงได้แต่พนมมือกระทำความเคารพ
“ตามสบายกันเถิดพวกท่าน เรามาเยี่ยงสามัญชน ไม่ต้องมากพิธีหรอก” แล้วทรงย่อพระวรองค์ ประทับลงกับพื้นเรือนข้างปู่หลวงแต่คนละฝั่งกับแสงพรายและครูพิธาน
จากนั้นทรงสอบถามถึงอาการป่วยของปู่ครู เมื่อทรงทราบความแล้วจึงรับสั่งว่าจะหาหมอหลวงมาดูแลรักษา แต่ทรงกำชับกับทุกคน...อย่าให้เรื่องทองที่สูญหายนั้นเล็ดลอดออกไปเด็ดขาด
“แสดงว่าทองคำที่สูญหาย ยังไม่สามารถนำกลับมาได้หรือ พระเจ้าค่ะ” ครูพิธานกราบทูลขึ้น
“เรารับปากพวกท่านว่าจะนำทองมาให้ในวันนี้... เราได้กระทำตามสัญญาแล้ว”
ทรงยกห่อผ้าที่นำมาด้วยมอบให้กับปู่หลวง
ทุกคนถึงกับผงะ... ห่อผ้าถูกวางลงบนฟูกนอนข้างกายปู่หลวง
หลังจากนิ่งกันไปสักครู่ ปู่หลวงก็สั่งขึ้นว่า
“แสงพราย เจ้าแกะห่อผ้าออกดู”
“อภัยให้ข้าด้วยปู่หลวง” แสงพรายยกมือไหว้ขมา แล้วเอื้อมมือข้ามปู่หลวงไปหยิบห่อผ้ามาจากอีกฝั่ง
ชายหนุ่มค่อยๆ แกะห่อผ้าออก ในขณะที่สายตาของทุกคนต่างเพ่งมองรอคอยภาพที่จะปรากฏขึ้น...
เมื่อห่อผ้าถูกคลี่เปิดออก... ทุกคนยิ่งตกตะลึงมากกว่าเดิม
“นี่หมายความว่ากระไรหรือ พระเจ้าค่ะ” แสงพรายกราบทูลถามขึ้นทันที
“พวกท่านจำเป็นต้องใช้ทองเพื่อหล่อเป็นองค์พระพุทธรูปขึ้นถวาย เราจึงได้รวบรวมทองเหล่านี้มาให้ ท่านนำมันไปใช้ก่อน... ส่วนทองคำพระราชทานนั้น คงต้องใช้เวลาในการตามหาอีกสักพักหนึ่ง ไม่นานนักหรอก”
ที่แท้สิ่งที่อยู่ในห่อผ้า คือเครื่องประดับที่ทำด้วยทองคำมากมาย ทั้งสร้อยพระศอ ทองพระกร (กำไลมือ) รัดพระองค์ (เข็มขัด) และเครื่องทรงต่างๆ รวมทั้งพระธำมรงค์
แสงพรายหยิบพระธำมรงค์ขึ้นมา เห็นตราสัญลักษณ์แห่งองค์พระมเหสีประทับอยู่...
“เครื่องทองขององค์พระมเหสี”
“ถูกต้อง... ตัวเราไม่มีทองมากพอ จึงได้ไปเข้าเฝ้ากราบทูลขอพระราชทานเครื่องทองจากพระองค์มาบางส่วน”
แสงพรายจ้องมองพระพักตร์ขององค์หญิงกัณฐิมาศ คล้ายไม่อยากเชื่อในสิ่งที่องค์หญิงได้ทรงกระทำลงไป...
-----------------------------------
ค่ำแล้ว...
แสงพรายนั่งอยู่คนเดียวในโรงช่าง ครุ่นคิดวนเวียนถึงเรื่องต่างๆ... โดยเฉพาะเบื้องลึกในน้ำพระทัยขององค์หญิงกัณฐิมาศ
เครื่องทองถูกนำไปเก็บไว้ในห้องพระ...กุญแจห้องทั้งสองดอกอยู่กับแสงพรายตามพระประสงค์ของพระองค์หญิง เช่นเดียวกับที่มีรับสั่งให้นายหมานเป็นลูกมือคอยช่วยงานหล่อองค์พระเพียงผู้เดียว คนอื่นห้ามยุ่งเกี่ยว...และนั่นหมายถึงวันรุ่งขึ้นช่างทุกคนได้หยุดพักงานที่วัดตระพังทองหนึ่งวัน เพราะขาดนายหมานที่เป็นคนคอยกำกับมิให้ช่างพูดจากับคนภายนอก
แสงพรายรู้ว่าพระองค์หญิงได้เสด็จไปที่โรงครัว รับสั่งกับนางผินเมียของน้าหมานและเสด็จเข้าไปในห้องปรุงอาหารเพียงลำพังพระองค์ ทรงสำรวจตรวจสิ่งต่างๆ กระทั่งคุ้ยเขี่ยเถ้าจากเตาสามเส้า (
เตาโบราณใช้หินหรือก่อปูน ๓ ก้อนวางเป็นสามเส้าสำหรับตั้งวางภาชนะหุงต้ม และก่อไฟตรงกลาง) ที่วางอยู่บนกระบะดินขนาดใหญ่ และเปิดดูไหสำหรับใส่เถ้าเก่า ซึ่งเมื่อบรรจุเต็มขนาดหรือทุก ๗ วันจึงค่อยนำไปทิ้งสักครั้งหนึ่ง
พระองค์หญิงทรงพบ "เศษกระดาษทองเล็กๆ ขนาดเท่าใบมะยม" ซึ่งเผาไหม้ไม่หมดอยู่ภายใน...
ก่อนเสด็จกลับ ทรงเข้ามารับสั่งกับแสงพรายซึ่งอยู่เพียงลำพัง ทั้งทรงบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดในโรงครัว
แต่สิ่งที่อยู่ในความคิดคำนึงของชายหนุ่มตอนนี้ กลับเป็นพระดำรัสในช่วงท้ายก่อนจะทรงพระดำเนินจากไป...
“เมื่อวานเราไปเข้าเฝ้าพระนางสาขา ก่อนจะได้กราบทูลขอยืมทองคำจากพระองค์ ทรงเล่าเรื่องหนึ่งให้เราฟัง...” สายพระเนตรที่เพ่งมาฉายประกายลึกซึ้ง “ตอนนี้ขุนวังกำลังใกล้จะพบตัวราชาสิบสองนักษัตรที่ลอบเข้าเมืองสุโขทัยแล้ว เรื่องนี้จะช้าเร็วคงถูกเปิดเผยออกมา ว่าผู้ใดกันคือราชาสิบสองนักษัตร...”
ในความเงียบงันของแสงพราย องค์หญิงกัณฐิมาศได้แต่รับสั่งต่อ...
“ผู้คนกล่าวกันว่า ราชาสิบสองนักษัตรเป็นคนชั่วช้า ทั้งละโมบในทรัพย์สมบัติและหญิงงาม ท่านคิดว่าเมื่อเปรียบเทียบกัน... ระหว่างบุญคุญที่เขามีต่อพระยาผากองพระเชษฐาธิราชของเรา กับความเลวร้ายทั้งมวลของเขา เราสมควรจะยกโทษให้เขาหรือไม่”
“ความผิด เมื่อก่อขึ้นแล้วคงเป็นมลทินที่มิอาจลบล้างให้หมดไปได้... พระเจ้าค่ะ”
คำว่า
“มลทินที่มิอาจลบล้าง” คล้ายสะกิดพระทัยขององค์หญิงกัณฐิมาศจนสะดุ้งพระวรองค์ขึ้น รับสั่งอย่างขึ้งเคียดว่า
“แล้วความผิดใหม่ล่ะ... จะกระทำซ้ำรอยเดิม ในทุกเมืองที่เดินทางผ่านไปกระนั้นหรือ... หรือนี่คือตัวตนที่แท้จริงของราชาสิบสองนักษัตร ใช่หรือไม่...”
เป็นพระดำรัสที่ไม่ต้องการคำกราบทูลอธิบาย เพราะพระนางได้เสด็จจากไปในทันที...
คืนข้างขึ้น ๔ ค่ำ แสงดาวพราวพรายทั่วบริเวณด้านนอก ผิดกับแสงพรายที่จมอยู่ในเงามืดของโรงช่างและในห้วงความคิดคำนึงของตนเอง...
ภาพความผิดติดตัวในอดีตผุดขึ้น... จากนครศรีธรรมราช จนถึงสุพรรณภูมิ
ความรู้สึกเจ็บช้ำกัดกร่อนทำลายจิตใจอีกครั้ง... เสียงหรีดเรไรคล้ายเสียงก่นสาปแช่ง อากาศหนาวแห้งจนลมหายใจติดขัด...
ทั้งเดียวดาย ไร้ค่า และสับสน...
ครั้งนี้องค์หญิงกัณฐิมาศทรงสละเครื่องทองของประดับ ทั้งที่เป็นของส่วนพระองค์และที่กราบทูลขอพระราชทานเพิ่มเติมจากพระมเหสี... แม้จะเป็นการ “ให้ยืม” แต่เครื่องประดับทองทั้งหลายหลังจากหลอมเป็นน้ำทองหล่อองค์พระพุทธรูปแล้วก็ไม่สามารถกลับคืนสู่รูปเดิมได้ คงถวายคืนกลับไปด้วยทองแท่งพระราชทานที่พระองค์หญิงจะทรงสืบหากลับมา
...เรากำลังจะทำให้ทุกคนเดือดร้อนอีกครั้งแล้วกระนั้นหรือ
หากวันหนึ่ง องค์พ่อขุนทรงรับทราบความจริงว่าเครื่องทองขององค์พระอัครมเหสีถูกนำมาหลอมสลายไป อาจกริ้วองค์หญิงกัณฐิมาศและปู่หลวงของตนจนกลายเป็นโทษภัย
“พวกท่านอย่าได้คิดมากเลย ในช่วงนี้ต้องมีทองมาหล่อเป็นองค์พระพุทธรูปก่อน มิเช่นนั้นในวันแรม ๘ ค่ำความจริงที่ทองคำสูญหายก็จะถูกเปิดเผย และราชภัยจะมาถึงพวกท่าน...” นั่นคือพระดำรัสขององค์หญิงกัณฐิมาศ ที่ทรงยืนยันให้รับเครื่องทองไปหลอมหล่อเป็นองค์พระพุทธรูปขึ้นทูลถวาย
ในเงามืดของโรงช่าง ชายหนุ่มสูดลมหายใจแรง รำพึงขึ้น “เราคงต้องเสี่ยงเอาด้วยวิธีนี้แล้ว...”
จากนั้นตามคบไฟจนทั่วโรงช่าง นำแบบปั้นองค์พระมาขูดลอกดินที่พอกไว้และเจาะเป็นโพรงเล็กๆ บริเวณปรายพระดรรชนีด้านขวา พระชานุ (เข่า) เบื้องขวา พระหัตถ์ซ้ายและปลายพระบาททั้งสอง และจุดอื่นๆ แล้วอุดด้วยสีผึ้งเข้าไปในโพรงเพื่อทำเป็นสายชนวน ด้านนอกนำดินผสมกาวหนังมาพอกกั้นเป็นขอบปากโพรงสำหรับเททอง
ชายหนุ่มนำเชือกฟั่นขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือหลายเส้นมาถักร้อยเป็นตาข่าย ขนาดพอให้สวมครอบรองรับแบบปั้นองค์พระได้พอดี มีมุมตรงปากตาข่าย ๘ มุมแต่ละมุมมีปลายเชือกยาวโยงออกไป
เมื่อเสร็จแล้วจึงออกจากโรงช่าง นำเชือกที่ถักเป็นตาข่ายพร้อมตะขอเหล็กจำนวน ๘ ตัว ไปยังโรงหล่อ จัดเตรียมเตาเผาหลอมโลหะให้พร้อมใช้งานเพิ่มอีกหนึ่งเตา นำเสาไม้ ๙ ต้นมาจัดแบ่งเป็น ๓ กลุ่ม แต่ละกลุ่มผูกมัดเป็นค้ำยันสามเส้าอยู่ข้างๆ เตาเผาหลอมโลหะ แล้วนำไม้มาอีก ๓ ท่อนวางเป็นคานทอดระหว่างปลายยอดของสามเส้ารัดเชือกแน่น สุดท้ายจึงนำตะขอเหล็กทั้ง ๘ ตัวขึ้นผูกกับคาน...
-----------------------------------
“เกิดเรื่องแล้ว พ่อครู” เสียงตะโกนของคำแปงดังขึ้นมา พร้อมกับร่างของเจ้าตัวที่ปรากฏขึ้นบนชานพักบันได
“เรื่องอะไร ถึงมาตะโกนโหวกเหวกแต่เช้า” ครูพิธานเอ็ดขึ้น
คำแปงหันหน้าเลิ่กลั่ก มองครูพิธานที มองพิไลที
“คือ แสงพราย... แสงพรายหนีออกจากสำนักไปแล้ว พ่อครู”
“หา...” เสียงอุทานของสองพ่อลูกดังพร้อมกัน
“เจ้าไม่ได้พูดเล่นนะ” ครูพิธานว่าขึ้น
“พวกข้า เพิ่งรู้ตอนจะล้อมวงกินข้าว ไม่เห็นแสงพราย...แต่น้าหมานบอกว่ามันเอาม้าออกไปแต่เช้าตรู่ สั่งไว้ว่าจะไปตลาดปสาน พวกข้าเอะใจ ให้บุญจันย้อนเข้าไปดูที่ห้อง ไม่พบพวกเงินเบี้ยอัฐที่มันได้รับพระราชทานเหลืออยู่เลย... มันขนเงินขนทองหนีไปหมดแล้ว”
“ข้าว่าแล้ว ไอ้สันดานโจร...” ครูพิธานขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน “แล้วนี่มันเอาทองในห้องพระไปอีกหรือเปล่านี่”
พูดแล้วหันไปดูประตูห้องพระที่ยังคงคล้องกุญแจปิดอยู่
“เฮ้ย.. กุญแจก็อยู่ที่มันจนหมด มันแอบย่องขึ้นมาไขเอาทองไปเมื่อคืนหรือเปล่า เราก็ไม่รู้” พูดพลางกำหมัดทุบลงที่ต้นขา หันรีหันขวางอยู่...
สุดท้ายเดินเข้าไปในห้องนอนของปู่หลวง เข้าไปหาท่านที่นอนลืมตาเบิกโพลงอยู่
“พ่อปู่... พ่อปู่ได้ยินแล้วใช่ไหม แสงพรายมันหนีไปแล้ว”
ปู่หลวงยังคงนอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนฟูก ถอนหายใจแรง
“ข้าได้ยินหมดแล้ว ได้ยินคำแปงมันบอกด้วย ว่าแสงพรายขอออกไปตลาดปสาน”
“ไม่ใช่หรอก... มันหนีเราไปแล้ว ไม่รู้คราวนี้เอาทองที่เหลือกับเครื่องทองขององค์หญิงไปด้วยหรือไม่...กุญแจทั้งหมดก็อยู่ที่มัน...”
ปู่หลวงหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน... “พ่อธานอย่ากังวลไปเลย แสงพรายไม่ใช่คนอย่างที่เจ้าคิด เขาไม่หนีไปไหนหรอก เขาไม่ทิ้งข้าไปแบบนี้หรอก”
“แต่พ่อปู่... ทำไมท่านมองมันแต่ด้านดี มันเป็นใครอย่างไรมา เราก็ยังไม่รู้ชัดเลย...” ครูพิธานกล้ำกลืนคำพูดมิกล่าวต่อ ทั้งเคืองแค้นทั้งเจ็บแน่นในใจ
พิไลที่เกาะขอบประตูอยู่หน้าห้องได้แต่ยืนรันทด น้ำตาไหลพรากอาบสองแก้ม คร่ำครวญในใจ...
“ท่านหลอกลวงพวกเรา ท่านทำร้ายปู่หลวง ท่านทำร้ายทุกคนได้ลง..จริงหรือ”
เวลาช่วงเช้าทอดผ่านไปด้วยความอึดอัดและโกลาหล ถ้าแสงพรายหนีไปจริง จะไปตามที่ตลาดปสานหรือที่วัดศรีชุมก็คงมิเจอตัว แม้แสงพรายมิตั้งใจหลบหนีจะทดลองไปตามที่ตลาดปสานก็กว้างใหญ่นัก มิรู้จะไปติดตามตรงมุมไหน... เมื่อมิรู้จะทำประการใดครูพิธานจึงให้พวกช่างกินข้าว แล้วตนก็กลับขึ้นเรือนไป
จนอีกนาน จึงได้ยินเสียงม้าควบผ่านประตูรั้วสำนักเข้ามา พร้อมเสียงเอะอะขึ้นอยู่ด้านล่าง ก่อนจะเงียบลง
พอครูพิธานถลันมายังชานพักบันได ก็เห็นน้าหมานวิ่งเข้ามาจนถึงเชิงบันได...
“แสงพรายกลับมาแล้ว เขาไปซื้อของที่ตลาดปสานจริงๆ เอามาใช้หล่อองค์พระ...” น้าหมานร้องบอก
สีหน้าที่เคร่งเครียดของครูพิธานผ่อนคลายขึ้นทันที แต่ไม่พูดกระไร
“ข้าก็บอกคำแปงแต่แรกแล้ว แต่มันไม่เชื่อข้า เอาเรื่องมาบอกครูท่านจนได้... ข้ารีบมาบอก จะได้หายกังวลใจกัน”
“...ขอบใจ” เป็นคำกล่าวสั้นๆ ของคนบนชานพักบันได ก่อนจะลับหายกลับเข้าไปในเรือน
เสียงที่น้าหมานร้องบอกเรื่องราวดังเข้าไปถึงข้างในห้องนอนของพิไล หญิงสาวยิ้มขึ้นทั้งสะอื้น แล้วเอาสองมือปาดคราบน้ำตา...
(มีต่อ)
ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๕๑ แสงพรายหล่อพระ
บทที่ ๕๑ แสงพรายหล่อพระ
ขึ้น ๔ ค่ำเดือน ๑๑ อาทิตย์ใกล้อัสดง...
แสงพรายกลับมายังสำนักตั้งแต่ช่วงบ่าย พอมาถึงก็ขึ้นเรือนใหญ่มาเฝ้าปู่หลวงที่ป่วยนอนซมอยู่ในห้องนอน ตอนย่างกรายเข้ามาก็พบกับท่าทีมึนตึงของทุกคน แต่แสงพรายคล้ายไม่สนใจผู้ใดอีกแล้ว
ชายหนุ่มและผู้เฒ่าต่างเศร้าสะเทือนใจในสภาพของกันและกัน
ปู่หลวงช้ำใจที่เห็นผ้าพันแผลตามร่างของชายหนุ่มพร้อมคราบเปรอะเปื้อนรอยเลือดและสมุนไพร แม้เจ้าตัวจะบอกว่าอาการส่วนใหญ่หายดีแล้ว ส่วนแสงพรายก็ห่วงกังวลอาการที่ทรุดหนักลงของปู่หลวง
“นี่ก็เย็นมากแล้ว พระองค์หญิงรับสั่งว่าจะทรงนำทองคำกลับมา...เห็นทีจะเป็นเรื่องเหลวไหลแน่แล้ว” ครูพิธานที่เข้ามานั่งในห้องนอนของปู่หลวงได้สักพักหนึ่ง กล่าวขึ้นด้วยอารมณ์หงุดหงิด
“อะไรจะเกิด ก็ปล่อยให้มันเกิดเถอะพ่อพิธาน...อย่าไปกังวลมันนักเลย”
“ถ้าวันนี้ไม่ได้ทองมา.. พรุ่งนี้ข้าจะพาคนออกไปหาทองเอง ต่อให้ไม่ได้ทองมาทันเวลาที่จะหล่อพระพุทธรูป ก็ขอนำทองกลับมาคืนวังหลวงให้ได้ จะได้ไม่ต้องพลอยรับโทษทัณฑ์กันไปหมด”
“เจ้าจะไปหาที่ไหน” เสียงอ่อนล้าของคนป่วย
ครูพิธานมองหน้าแสงพราย กล่าวขึ้น
“ข้าจะไปลองค้นหาแถววัดศรีชุม”
“คงไม่ต้องไปที่วัดศรีชุมหรอก ท่านครู” พระสุรเสียงกังวานดังขึ้น พร้อมพระวรองค์ที่ทรงข้ามธรณีประตูเข้ามา เบื้องหลังติดตามด้วยพิไล
ทั้งครูพิธานและแสงพรายต่างขยับตัวขึ้นนั่งคุกเข่าแล้วจึงถวายบังคมแสดงความเคารพ ส่วนปู่หลวงมิอาจลุกนั่งจึงได้แต่พนมมือกระทำความเคารพ
“ตามสบายกันเถิดพวกท่าน เรามาเยี่ยงสามัญชน ไม่ต้องมากพิธีหรอก” แล้วทรงย่อพระวรองค์ ประทับลงกับพื้นเรือนข้างปู่หลวงแต่คนละฝั่งกับแสงพรายและครูพิธาน
จากนั้นทรงสอบถามถึงอาการป่วยของปู่ครู เมื่อทรงทราบความแล้วจึงรับสั่งว่าจะหาหมอหลวงมาดูแลรักษา แต่ทรงกำชับกับทุกคน...อย่าให้เรื่องทองที่สูญหายนั้นเล็ดลอดออกไปเด็ดขาด
“แสดงว่าทองคำที่สูญหาย ยังไม่สามารถนำกลับมาได้หรือ พระเจ้าค่ะ” ครูพิธานกราบทูลขึ้น
“เรารับปากพวกท่านว่าจะนำทองมาให้ในวันนี้... เราได้กระทำตามสัญญาแล้ว”
ทรงยกห่อผ้าที่นำมาด้วยมอบให้กับปู่หลวง
ทุกคนถึงกับผงะ... ห่อผ้าถูกวางลงบนฟูกนอนข้างกายปู่หลวง
หลังจากนิ่งกันไปสักครู่ ปู่หลวงก็สั่งขึ้นว่า
“แสงพราย เจ้าแกะห่อผ้าออกดู”
“อภัยให้ข้าด้วยปู่หลวง” แสงพรายยกมือไหว้ขมา แล้วเอื้อมมือข้ามปู่หลวงไปหยิบห่อผ้ามาจากอีกฝั่ง
ชายหนุ่มค่อยๆ แกะห่อผ้าออก ในขณะที่สายตาของทุกคนต่างเพ่งมองรอคอยภาพที่จะปรากฏขึ้น...
เมื่อห่อผ้าถูกคลี่เปิดออก... ทุกคนยิ่งตกตะลึงมากกว่าเดิม
“นี่หมายความว่ากระไรหรือ พระเจ้าค่ะ” แสงพรายกราบทูลถามขึ้นทันที
“พวกท่านจำเป็นต้องใช้ทองเพื่อหล่อเป็นองค์พระพุทธรูปขึ้นถวาย เราจึงได้รวบรวมทองเหล่านี้มาให้ ท่านนำมันไปใช้ก่อน... ส่วนทองคำพระราชทานนั้น คงต้องใช้เวลาในการตามหาอีกสักพักหนึ่ง ไม่นานนักหรอก”
ที่แท้สิ่งที่อยู่ในห่อผ้า คือเครื่องประดับที่ทำด้วยทองคำมากมาย ทั้งสร้อยพระศอ ทองพระกร (กำไลมือ) รัดพระองค์ (เข็มขัด) และเครื่องทรงต่างๆ รวมทั้งพระธำมรงค์
แสงพรายหยิบพระธำมรงค์ขึ้นมา เห็นตราสัญลักษณ์แห่งองค์พระมเหสีประทับอยู่...
“เครื่องทองขององค์พระมเหสี”
“ถูกต้อง... ตัวเราไม่มีทองมากพอ จึงได้ไปเข้าเฝ้ากราบทูลขอพระราชทานเครื่องทองจากพระองค์มาบางส่วน”
แสงพรายจ้องมองพระพักตร์ขององค์หญิงกัณฐิมาศ คล้ายไม่อยากเชื่อในสิ่งที่องค์หญิงได้ทรงกระทำลงไป...
-----------------------------------
ค่ำแล้ว...
แสงพรายนั่งอยู่คนเดียวในโรงช่าง ครุ่นคิดวนเวียนถึงเรื่องต่างๆ... โดยเฉพาะเบื้องลึกในน้ำพระทัยขององค์หญิงกัณฐิมาศ
เครื่องทองถูกนำไปเก็บไว้ในห้องพระ...กุญแจห้องทั้งสองดอกอยู่กับแสงพรายตามพระประสงค์ของพระองค์หญิง เช่นเดียวกับที่มีรับสั่งให้นายหมานเป็นลูกมือคอยช่วยงานหล่อองค์พระเพียงผู้เดียว คนอื่นห้ามยุ่งเกี่ยว...และนั่นหมายถึงวันรุ่งขึ้นช่างทุกคนได้หยุดพักงานที่วัดตระพังทองหนึ่งวัน เพราะขาดนายหมานที่เป็นคนคอยกำกับมิให้ช่างพูดจากับคนภายนอก
แสงพรายรู้ว่าพระองค์หญิงได้เสด็จไปที่โรงครัว รับสั่งกับนางผินเมียของน้าหมานและเสด็จเข้าไปในห้องปรุงอาหารเพียงลำพังพระองค์ ทรงสำรวจตรวจสิ่งต่างๆ กระทั่งคุ้ยเขี่ยเถ้าจากเตาสามเส้า (เตาโบราณใช้หินหรือก่อปูน ๓ ก้อนวางเป็นสามเส้าสำหรับตั้งวางภาชนะหุงต้ม และก่อไฟตรงกลาง) ที่วางอยู่บนกระบะดินขนาดใหญ่ และเปิดดูไหสำหรับใส่เถ้าเก่า ซึ่งเมื่อบรรจุเต็มขนาดหรือทุก ๗ วันจึงค่อยนำไปทิ้งสักครั้งหนึ่ง
พระองค์หญิงทรงพบ "เศษกระดาษทองเล็กๆ ขนาดเท่าใบมะยม" ซึ่งเผาไหม้ไม่หมดอยู่ภายใน...
ก่อนเสด็จกลับ ทรงเข้ามารับสั่งกับแสงพรายซึ่งอยู่เพียงลำพัง ทั้งทรงบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดในโรงครัว
แต่สิ่งที่อยู่ในความคิดคำนึงของชายหนุ่มตอนนี้ กลับเป็นพระดำรัสในช่วงท้ายก่อนจะทรงพระดำเนินจากไป...
“เมื่อวานเราไปเข้าเฝ้าพระนางสาขา ก่อนจะได้กราบทูลขอยืมทองคำจากพระองค์ ทรงเล่าเรื่องหนึ่งให้เราฟัง...” สายพระเนตรที่เพ่งมาฉายประกายลึกซึ้ง “ตอนนี้ขุนวังกำลังใกล้จะพบตัวราชาสิบสองนักษัตรที่ลอบเข้าเมืองสุโขทัยแล้ว เรื่องนี้จะช้าเร็วคงถูกเปิดเผยออกมา ว่าผู้ใดกันคือราชาสิบสองนักษัตร...”
ในความเงียบงันของแสงพราย องค์หญิงกัณฐิมาศได้แต่รับสั่งต่อ...
“ผู้คนกล่าวกันว่า ราชาสิบสองนักษัตรเป็นคนชั่วช้า ทั้งละโมบในทรัพย์สมบัติและหญิงงาม ท่านคิดว่าเมื่อเปรียบเทียบกัน... ระหว่างบุญคุญที่เขามีต่อพระยาผากองพระเชษฐาธิราชของเรา กับความเลวร้ายทั้งมวลของเขา เราสมควรจะยกโทษให้เขาหรือไม่”
“ความผิด เมื่อก่อขึ้นแล้วคงเป็นมลทินที่มิอาจลบล้างให้หมดไปได้... พระเจ้าค่ะ”
คำว่า “มลทินที่มิอาจลบล้าง” คล้ายสะกิดพระทัยขององค์หญิงกัณฐิมาศจนสะดุ้งพระวรองค์ขึ้น รับสั่งอย่างขึ้งเคียดว่า
“แล้วความผิดใหม่ล่ะ... จะกระทำซ้ำรอยเดิม ในทุกเมืองที่เดินทางผ่านไปกระนั้นหรือ... หรือนี่คือตัวตนที่แท้จริงของราชาสิบสองนักษัตร ใช่หรือไม่...”
เป็นพระดำรัสที่ไม่ต้องการคำกราบทูลอธิบาย เพราะพระนางได้เสด็จจากไปในทันที...
คืนข้างขึ้น ๔ ค่ำ แสงดาวพราวพรายทั่วบริเวณด้านนอก ผิดกับแสงพรายที่จมอยู่ในเงามืดของโรงช่างและในห้วงความคิดคำนึงของตนเอง...
ภาพความผิดติดตัวในอดีตผุดขึ้น... จากนครศรีธรรมราช จนถึงสุพรรณภูมิ
ความรู้สึกเจ็บช้ำกัดกร่อนทำลายจิตใจอีกครั้ง... เสียงหรีดเรไรคล้ายเสียงก่นสาปแช่ง อากาศหนาวแห้งจนลมหายใจติดขัด...
ทั้งเดียวดาย ไร้ค่า และสับสน...
ครั้งนี้องค์หญิงกัณฐิมาศทรงสละเครื่องทองของประดับ ทั้งที่เป็นของส่วนพระองค์และที่กราบทูลขอพระราชทานเพิ่มเติมจากพระมเหสี... แม้จะเป็นการ “ให้ยืม” แต่เครื่องประดับทองทั้งหลายหลังจากหลอมเป็นน้ำทองหล่อองค์พระพุทธรูปแล้วก็ไม่สามารถกลับคืนสู่รูปเดิมได้ คงถวายคืนกลับไปด้วยทองแท่งพระราชทานที่พระองค์หญิงจะทรงสืบหากลับมา
...เรากำลังจะทำให้ทุกคนเดือดร้อนอีกครั้งแล้วกระนั้นหรือ
หากวันหนึ่ง องค์พ่อขุนทรงรับทราบความจริงว่าเครื่องทองขององค์พระอัครมเหสีถูกนำมาหลอมสลายไป อาจกริ้วองค์หญิงกัณฐิมาศและปู่หลวงของตนจนกลายเป็นโทษภัย
“พวกท่านอย่าได้คิดมากเลย ในช่วงนี้ต้องมีทองมาหล่อเป็นองค์พระพุทธรูปก่อน มิเช่นนั้นในวันแรม ๘ ค่ำความจริงที่ทองคำสูญหายก็จะถูกเปิดเผย และราชภัยจะมาถึงพวกท่าน...” นั่นคือพระดำรัสขององค์หญิงกัณฐิมาศ ที่ทรงยืนยันให้รับเครื่องทองไปหลอมหล่อเป็นองค์พระพุทธรูปขึ้นทูลถวาย
ในเงามืดของโรงช่าง ชายหนุ่มสูดลมหายใจแรง รำพึงขึ้น “เราคงต้องเสี่ยงเอาด้วยวิธีนี้แล้ว...”
จากนั้นตามคบไฟจนทั่วโรงช่าง นำแบบปั้นองค์พระมาขูดลอกดินที่พอกไว้และเจาะเป็นโพรงเล็กๆ บริเวณปรายพระดรรชนีด้านขวา พระชานุ (เข่า) เบื้องขวา พระหัตถ์ซ้ายและปลายพระบาททั้งสอง และจุดอื่นๆ แล้วอุดด้วยสีผึ้งเข้าไปในโพรงเพื่อทำเป็นสายชนวน ด้านนอกนำดินผสมกาวหนังมาพอกกั้นเป็นขอบปากโพรงสำหรับเททอง
ชายหนุ่มนำเชือกฟั่นขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือหลายเส้นมาถักร้อยเป็นตาข่าย ขนาดพอให้สวมครอบรองรับแบบปั้นองค์พระได้พอดี มีมุมตรงปากตาข่าย ๘ มุมแต่ละมุมมีปลายเชือกยาวโยงออกไป
เมื่อเสร็จแล้วจึงออกจากโรงช่าง นำเชือกที่ถักเป็นตาข่ายพร้อมตะขอเหล็กจำนวน ๘ ตัว ไปยังโรงหล่อ จัดเตรียมเตาเผาหลอมโลหะให้พร้อมใช้งานเพิ่มอีกหนึ่งเตา นำเสาไม้ ๙ ต้นมาจัดแบ่งเป็น ๓ กลุ่ม แต่ละกลุ่มผูกมัดเป็นค้ำยันสามเส้าอยู่ข้างๆ เตาเผาหลอมโลหะ แล้วนำไม้มาอีก ๓ ท่อนวางเป็นคานทอดระหว่างปลายยอดของสามเส้ารัดเชือกแน่น สุดท้ายจึงนำตะขอเหล็กทั้ง ๘ ตัวขึ้นผูกกับคาน...
-----------------------------------
“เกิดเรื่องแล้ว พ่อครู” เสียงตะโกนของคำแปงดังขึ้นมา พร้อมกับร่างของเจ้าตัวที่ปรากฏขึ้นบนชานพักบันได
“เรื่องอะไร ถึงมาตะโกนโหวกเหวกแต่เช้า” ครูพิธานเอ็ดขึ้น
คำแปงหันหน้าเลิ่กลั่ก มองครูพิธานที มองพิไลที
“คือ แสงพราย... แสงพรายหนีออกจากสำนักไปแล้ว พ่อครู”
“หา...” เสียงอุทานของสองพ่อลูกดังพร้อมกัน
“เจ้าไม่ได้พูดเล่นนะ” ครูพิธานว่าขึ้น
“พวกข้า เพิ่งรู้ตอนจะล้อมวงกินข้าว ไม่เห็นแสงพราย...แต่น้าหมานบอกว่ามันเอาม้าออกไปแต่เช้าตรู่ สั่งไว้ว่าจะไปตลาดปสาน พวกข้าเอะใจ ให้บุญจันย้อนเข้าไปดูที่ห้อง ไม่พบพวกเงินเบี้ยอัฐที่มันได้รับพระราชทานเหลืออยู่เลย... มันขนเงินขนทองหนีไปหมดแล้ว”
“ข้าว่าแล้ว ไอ้สันดานโจร...” ครูพิธานขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน “แล้วนี่มันเอาทองในห้องพระไปอีกหรือเปล่านี่”
พูดแล้วหันไปดูประตูห้องพระที่ยังคงคล้องกุญแจปิดอยู่
“เฮ้ย.. กุญแจก็อยู่ที่มันจนหมด มันแอบย่องขึ้นมาไขเอาทองไปเมื่อคืนหรือเปล่า เราก็ไม่รู้” พูดพลางกำหมัดทุบลงที่ต้นขา หันรีหันขวางอยู่...
สุดท้ายเดินเข้าไปในห้องนอนของปู่หลวง เข้าไปหาท่านที่นอนลืมตาเบิกโพลงอยู่
“พ่อปู่... พ่อปู่ได้ยินแล้วใช่ไหม แสงพรายมันหนีไปแล้ว”
ปู่หลวงยังคงนอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนฟูก ถอนหายใจแรง
“ข้าได้ยินหมดแล้ว ได้ยินคำแปงมันบอกด้วย ว่าแสงพรายขอออกไปตลาดปสาน”
“ไม่ใช่หรอก... มันหนีเราไปแล้ว ไม่รู้คราวนี้เอาทองที่เหลือกับเครื่องทองขององค์หญิงไปด้วยหรือไม่...กุญแจทั้งหมดก็อยู่ที่มัน...”
ปู่หลวงหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน... “พ่อธานอย่ากังวลไปเลย แสงพรายไม่ใช่คนอย่างที่เจ้าคิด เขาไม่หนีไปไหนหรอก เขาไม่ทิ้งข้าไปแบบนี้หรอก”
“แต่พ่อปู่... ทำไมท่านมองมันแต่ด้านดี มันเป็นใครอย่างไรมา เราก็ยังไม่รู้ชัดเลย...” ครูพิธานกล้ำกลืนคำพูดมิกล่าวต่อ ทั้งเคืองแค้นทั้งเจ็บแน่นในใจ
พิไลที่เกาะขอบประตูอยู่หน้าห้องได้แต่ยืนรันทด น้ำตาไหลพรากอาบสองแก้ม คร่ำครวญในใจ...
“ท่านหลอกลวงพวกเรา ท่านทำร้ายปู่หลวง ท่านทำร้ายทุกคนได้ลง..จริงหรือ”
เวลาช่วงเช้าทอดผ่านไปด้วยความอึดอัดและโกลาหล ถ้าแสงพรายหนีไปจริง จะไปตามที่ตลาดปสานหรือที่วัดศรีชุมก็คงมิเจอตัว แม้แสงพรายมิตั้งใจหลบหนีจะทดลองไปตามที่ตลาดปสานก็กว้างใหญ่นัก มิรู้จะไปติดตามตรงมุมไหน... เมื่อมิรู้จะทำประการใดครูพิธานจึงให้พวกช่างกินข้าว แล้วตนก็กลับขึ้นเรือนไป
จนอีกนาน จึงได้ยินเสียงม้าควบผ่านประตูรั้วสำนักเข้ามา พร้อมเสียงเอะอะขึ้นอยู่ด้านล่าง ก่อนจะเงียบลง
พอครูพิธานถลันมายังชานพักบันได ก็เห็นน้าหมานวิ่งเข้ามาจนถึงเชิงบันได...
“แสงพรายกลับมาแล้ว เขาไปซื้อของที่ตลาดปสานจริงๆ เอามาใช้หล่อองค์พระ...” น้าหมานร้องบอก
สีหน้าที่เคร่งเครียดของครูพิธานผ่อนคลายขึ้นทันที แต่ไม่พูดกระไร
“ข้าก็บอกคำแปงแต่แรกแล้ว แต่มันไม่เชื่อข้า เอาเรื่องมาบอกครูท่านจนได้... ข้ารีบมาบอก จะได้หายกังวลใจกัน”
“...ขอบใจ” เป็นคำกล่าวสั้นๆ ของคนบนชานพักบันได ก่อนจะลับหายกลับเข้าไปในเรือน
เสียงที่น้าหมานร้องบอกเรื่องราวดังเข้าไปถึงข้างในห้องนอนของพิไล หญิงสาวยิ้มขึ้นทั้งสะอื้น แล้วเอาสองมือปาดคราบน้ำตา...
(มีต่อ)