ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๓๙ เงื่อนไขพระมหาเถระ

.
                                                  

บทที่ ๓๙ เงื่อนไขพระมหาเถระ

ลานหน้ากุฏิท้ายวัดศรีชุมเงียบวังเวง ลมเหมันต์ม้วนเศษใบไม้แห้งปลิววนลอยเรี่ยพื้น...

เงียบจนได้ยินเสียงใบไม้แห้งปลิววนกระทบกัน วังเวงด้วยภาพใบไม้ปลิดร่วงทุกครั้งยามลมกระโชกแรง.. อากาศแห้งและเย็น
แสงแดดอ่อนก่อนพลบทอดเงายาวของชายหนุ่มที่เดินใกล้เข้ามายังหน้ากุฏิ

“โยมมีคำตอบมาให้อาตมาแล้วใช่หรือไม่”

แสงพรายเดินเข้ามาทรุดกายกราบลงเบื้องหน้าพระเถรตานไฟ
“ข้าพเจ้ามีความคิดหนึ่ง... เป็นคำตอบต่อพระคุณเจ้า...” สีหน้าหม่นหมอง น้ำเสียงอ่อนแรง

“ข้าพเจ้าในวันวาน ข้าพเจ้าในวันนี้ และข้าพเจ้าในวันพรุ่งนี้ หากตอบว่าคือคนเดียวกัน คงเหมาะแก่คนผู้วนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร (การเวียนว่ายตายเกิด) ผู้ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน...

หากตอบว่าไม่ใช่ เกรงว่าจะเกินสติปัญญาข้าพเจ้าไปมากอยู่ แต่ข้าพเจ้าขอยึดมั่นในหลักไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ในเมื่อทุกอย่างเป็นอนัตตา หาได้มีตัวตน การจะเทียบตัวข้าพเจ้าในวันวานกับวันนี้เหมือนนำสิ่งว่างเปล่ามาเทียบกับสิ่งว่างเปล่า จะบอกว่าเป็นสิ่งเดียวกัน ย่อมเป็นเรื่องสุดวิสัย...

หากแต่การคงอยู่อย่างสมมติของข้าพเจ้าในวันวานและในวันนี้นั้น ผูกกันด้วยความจำมั่นหมายและการปรุงแต่งแห่งตัวตน ที่ต่อเนื่องสัมพันธ์กัน ทอดผ่านกาลเวลาที่เดินไปข้างหน้าไม่สิ้นสุด... คำตอบนี้จะถูกหรือผิดประการใด ก็สุดแท้แต่พระคุณเจ้าเถิด”

พระเถระชราคล้ายมีรอยยิ้มบนใบหน้า
“คำตอบของโยมแม้ไม่ถูกต้องทั้งสิ้นเสียทีเดียว แต่ก็ถือว่าเข้าถึงประเด็นหลักธรรมสำคัญ.. แสดงถึงพื้นฐานแห่งสติและปัญญา”

“แต่ทั้งหมดที่ตอบ.. มิใช่วาจาแรกของข้าพเจ้าในวันนี้”

พระเถระชราหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที

“...ต่อแต่นี้ไป แม้พระคุณเจ้าจะไม่ช่วยเหลือ หรือจะกระทำการขัดขวางใดๆ ข้าพเจ้าก็จะไม่ตำหนิเลย”
เสียงแม้ฟังดูท้อแท้ แต่คำกล่าวยังคงแสดงความมุ่งมั่น

“อาตมาบอกแล้ว ถ้าโยมไม่ผ่านการทดสอบว่าคู่ควรเป็นผู้ไปรับองค์ตุมพะทะนานทอง อาตมาก็จำเป็นต้องขัดขวาง... แล้วโยมจะกระทำอย่างไรต่อไป”
“ถ้าพระคุณเจ้าเปิดเผยจุดประสงค์การมาสุโขทัยของข้าพเจ้า ตัวข้าพเจ้าคงหลบซ่อนไปอยู่ที่อื่นสักระยะ และหาทางย้อนกลับมายังวัดศรีชุมอีกครา”
“เจ้าเป็นคนที่มีจิตใจมั่นคงและมุ่งมั่นมาก.. แล้วเหตุใดจึงได้ละเมิดคำสั่งของอาตมา กลาววาจาออกไปกับผู้คน”

สายตาแสงพรายดูหม่นลง
“ขณะข้าพเจ้าออกจากแนวป่ามาถึงลำคลอง พบเด็กคนหนึ่งร้องอยู่ริมฝั่งขอให้ช่วยบิดาที่จมน้ำอยู่ ข้าพเจ้าจึงลงไปงมขึ้นมา และเพราะต้องการปลุกเรียกสติของคนผู้นั้น จึงได้ร้องเรียกให้ฟื้นตื่นขึ้น”
“สุดท้าย บิดาของเด็กปลอดภัยดีหรือไม่”
“ปลอดภัยขอรับ... พอฟื้นสติ เขาเล่าว่าลงไปวางลอบดักปลาแต่เพราะน้ำเย็นจัดจนเขาเป็นตะคริวจมน้ำ”

“เรื่องทั้งหมดนี้.. เหตุใดโยมจึงไม่ปิดบังอาตมาเล่า”
ชายหนุ่มหลุบตาก้มหน้าลง
“ข้าพเจ้าอาจมิใช่คนดีมีสัตย์ แม้คำสาบานที่เคยให้ไว้ก็ละเมิดมาแล้ว... แต่จะให้โกหกหลอกลวงพระคุณเจ้าผู้มีพระคุณช่วยรักษาชีวิต ข้าพเจ้ามิอาจกระทำได้”

ทุกอย่างคล้ายเงียบสงัดอีกครั้ง... เสียงลมกระโชกหอบพัดใบไม้แห้งได้ยินชัดเจนอีกครา
ก่อนที่เสียงแหบพร่าจะดังขึ้น
“โยมผ่านการทดสอบ”

แสงพรายเงยหน้า เพ่งตามองพระเถระชรา
“พระคุณเจ้าว่ากระไร”

“โยมผ่านการทดสอบของอาตมา... ข้อแรกโยมมีสติปัญญาแห่งธรรม ข้อที่สองโยมมีความเพียร มิเช่นนั้นคงไม่สามารถดั้นด้นมาถึงวัดศรีชุมได้ ข้อที่สาม โยมมีความแน่วแน่และมั่นคง มิว่าอย่างไรก็มิอาจหยุดยั้งโยมได้ ข้อที่สี่โยมมีคุณธรรม เห็นชีวิตผู้อื่นสำคัญกว่าภาระของตน แม้จะต้องเสียสละอย่างใหญ่หลวงก็ยังกระทำ และสุดท้ายโยมมีสัจจะ หาได้มีจิตคิดทรยศหลอกลวง เรื่องที่โยมเคยฝืนคำสาบานไว้ค่อยกล่าวกันภายหลัง... สำหรับอาตมา โยมเป็นผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะไปรับองค์ตุมพะทะนานทองกลับสู่เมืองเกิดของโยม”

แสงพรายยกมือขึ้นพนมสั่นระริก แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน...

“ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นเป็นตัวโยมในปัจจุบัน และจะกำหนดชะตาของโยมในอนาคต... ถ้ารากฐานเหมาะสมดีแล้ว ต่อไปก็ย่อมเหมาะสม” พระเถรตานไฟแจกแจงคล้ายสั่งสอน แล้วกล่าวอีกว่า
“อาตมายังมีเงื่อนไขข้อใหญ่อีกหนึ่งข้อ อยากให้โยมรับปากและกระทำ”

“ข้าพเจ้ายินดีกระทำทุกเรื่องทุกประการ หากไม่ผิดศีลธรรม”
สำหรับแสงพรายยามนี้คล้ายคนที่ถูกฉุดขึ้นมาจากเหวลึก แม้เรียกร้องให้กระทำสิ่งใดก็ยินดีกระทำทั้งสิ้น แต่ครั้นได้ฟังเงื่อนไขที่กำหนดขึ้น ชายหนุ่มถึงกับสะดุ้ง...

“โยมต้องเอาชนะขุนปราบ และหยุดทัพอโยธยาอีกครั้ง

“พระคุณเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าเป็นใคร...” เป็นเสียงกึ่งรำพึงรำพัน และคล้ายกึ่งคำถาม...

สายตาเพ่งลึกไปยังดวงตาของพระมหาเถรตานไฟ สิ่งที่พบคือแววตาแข็งกร้าวเป็นประกาย เชื่อมั่นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง... และนั่นคือคำตอบ...พระมหาเถรตานไฟรู้ว่าตนคือใคร

“...แต่ข้าพเจ้ามิใช่คนเดิมดังแต่ก่อนที่เคยเป็น” แสงพรายกล่าวขึ้น “อาการบาดเจ็บกัดกร่อนจนข้าพเจ้ามิต่างกระไรกับคนพิการ แม้เพียงออกแรงมาก ยังมิอาจกระทำได้”

รอยยิ้มของพระมหาเถระเปี่ยมด้วยเมตตา กล่าวว่า
“เรื่องนั้นโยมอย่าได้วิตกเลย อาตมาเคยจับเส้นไล่กระดูกของโยมทุกส่วนมาแล้ว เอ็นหลายเส้นของโยมเคยถูกฟันขาดและไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธี เส้นเอ็นแม้ต่อกลับแต่ไม่เข้าตำแหน่งเดิมโดยเฉพาะตรงสะบักหลังข้างขวาถึงกับยึดโยงเป็นแผ่น อีกทั้งเส้นใยที่เชื่อมโยงกล้ามเนื้อสู่สำนึกภายในก็อักเสบเรื้อรังอยู่...”
“อาการบาดเจ็บของข้าพเจ้ามีโอกาสรักษาหายหรือพระคุณเจ้า”

ผู้ครองผ้าจีวรย้อมฝาดสีกรักเก่าคร่ำคร่าพยักหน้า
“ถูกต้อง อาตมาได้รวบรวมสมุนไพรที่จะใช้รักษาโยมได้เกือบครบหมดแล้ว ยังขาดเพียงบางส่วน.. แต่กระนั้นก็สามารถเริ่มต้นทำการรักษาได้แล้ว ต้องใช้เวลาทั้งหมด ๔๙ วันจึงจะหายเป็นปกติ” หยุดนิ่งแล้วกล่าวต่อช้าๆ

“ไม่ว่าโยมจะรับปากเงื่อนไขช่วยเมืองสุโขทัยหรือไม่ อาตมาก็ต้องรักษาโยมให้เป็นปกติ ตามที่ได้รับปากไว้กับบุคคลผู้หนึ่ง”
“ผู้ใดหรือขอรับ พระคุณเจ้า” ชายหนุ่มถามขึ้นด้วยความฉงน

“องค์หญิงกัณฐิมาศ”

เป็นคำตอบที่ทำให้แสงพรายนิ่งงัน สักครู่จึงค่อยกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าขอรับปากเงื่อนไขของพระคุณเจ้า.. จะต่อสู้กับขุนปราบและยั้งทัพอโยธยาให้ถอยกลับไป”
“ดีแล้ว ส่วนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บของโยม อาตมาจะเริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป”

-----------------------------------

“มันควรจะเป็นพ่อครูที่ได้ดูแลงานหล่อองค์พระทองคำ”
“เขาเป็นคนปั้นแบบองค์พระจนชนะ.. ก็สมควรรับหน้าที่หล่อพระต่อไป..”
เสียงทอดถอนหายใจยาวหลังตอบคำถาม สายตาทอดมองแบบปั้นองค์พระที่พอกหุ้มด้วยดินแกลบดำ อยู่ภายในโรงช่าง

“ถ้ามันเกิดชนะได้เป็นช่างเอก พ่อครูจะทำอย่างไร.. หรือจะให้ฉันต้องไปฝากตัวเป็นศิษย์กับมัน...”
น้ำเสียงประชดประชัน แต่อีกฝ่ายยังคงนิ่งสงบ จนคนเป็นศิษย์ต้องกล่าวอีกว่า
“เพื่อพ่อครู ฉันทำได้ทุกอย่าง.. ขอเพียงพ่อครูบอกมา”

คนทั้งสองในโรงช่าง..คือครูพิธานและศิษย์รักคำแปง...

“เรื่องทั้งหมด มันเกี่ยวพันกับชื่อเสียงของสำนักเรา..และของปู่หลวง หากสำนักเราชนะ ชื่อเสียงของปู่หลวงก็ยังคงอยู่”

“ถึงแพ้ ทุกคนก็รู้ว่าไม่ใช่ฝีมือปู่หลวง ไม่เห็นจะเสียหายอะไร... ไม่เหมือนรอบแรก หากเราแพ้ตอนปั้นแบบองค์พระ ทุกคนจะพูดว่าปู่หลวงและสำนักเราพ่ายแพ้.. พ่อครูคิดดู ท่าน...”
พูดได้เพียงเท่านั้น ก็พลันชงักหยุดลง สายตาเบี่ยงไปด้านข้างจนครูพิธานต้องเหลียวหลัง... เห็นแสงพรายเดินตรงเข้ามา

ชายหนุ่มยกมือไหว้ กล่าวทักทายด้วยอาการสงบ
“พ่อครูมาดูงานพอกดินแบบปั้นองค์พระหรือขอรับ”
ครูพิธานพยักหน้ารับ แล้วถามกลับไป
“ไหนเจ้าบอกว่าจะนอนค้างที่วัดให้ครบ ๓ คืน นี่ไม่ใช่คืนที่สามหรอกหรือ แล้วไฉนจึงกลับมาก่อน”

“ข้าพเจ้ารีบกลับมาเตรียมสิ่งของให้พร้อม พรุ่งนี้เช้าจะได้นวดดินผสมแกลบขาว พอพอกแบบปั้นองค์พระเสร็จแล้วข้าพเจ้าจะขออนุญาตไปอยู่ที่วัดศรีชุมต่ออีกระยะหนึ่ง”

“เจ้าจะไปอยู่วัดอีกหรือ..” เสียงอุทานระคนแปลกใจ “เรื่องนี้คงต้องไปขอกับปู่หลวง แต่ข้าคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร พ่อปู่คงตามใจเจ้าเหมือนทุกครั้ง... พอกดินแกลบขาวครั้งนี้ ต้องทิ้งไว้ ๗ วันให้แห้งดี แล้วค่อยเผาไล่สีผึ้งและเททอง... แต่อย่างไรเสีย เจ้าก็ควรหมั่นแวะกลับมาดูเป็นระยะ มิใช่หายไปเลย ถ้าเกิดดินที่พอกไว้แตกปริจะแก้ไขไม่ทันการณ์”
“ขอรับพ่อครู” แสงพรายรับคำ

“ว่าแต่เจ้าไปทำอะไรมา ทำไมข้าเหมือนได้กลิ่นสมุนไพรจากตัวเจ้า”
“ตัวข้าพเจ้ามีอาการบาดเจ็บเรื้อรังติดตัว พระชราที่วัดรู้จักวิธีการรักษาจึงได้เมตตาลงสมุนไพรรักษาให้... นี่เป็นอีกเหตุผลที่ข้าพเจ้าจะไปพักอยู่ที่วัดขอรับ”

“อืม...ถ้าอย่างนั้นพ่อปู่ยิ่งอนุญาตตามที่เจ้าขอ ท่านรักเมตตาเจ้าอยู่มาก.. อย่าทำให้ท่านผิดหวังก็เเล้วกัน”
“ขอรับพ่อครู”

-----------------------------------

รุ่งเช้า แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๐...
เป็นดังที่ครูพิธานกล่าวไว้ ปู่หลวงไม่ขัดข้องกับคำขอไปอยู่วัดศรีชุมต่ออีกระยะ

แสงพรายพร้อมลูกมือช่วยกันนวดดินผสมแกลบตั้งแต่เช้า เป็นแกลบที่มิได้เผาเหมือนครั้งก่อนจึงมักเรียกกันว่าดินแกลบขาว เมื่อเข้าที่แล้วจึงพอกทับลงอีกชั้นบนแบบปั้นองค์พระซึ่งได้พอกดินแกลบดำไว้เมื่อ ๔ วันก่อน
งานทุกอย่างเสร็จก่อนเที่ยง ชายหนุ่มจึงล้างเนื้อล้างตัวเตรียมออกจากสำนักไปยังวัดศรีชุมโดยมิรอรับอาหารเที่ยงแต่อย่างใด

“พี่พรายจะไม่อยู่กินข้าวเที่ยงก่อนหรอกหรือ”
พิไลรีบเข้ามาถามเมื่อได้ยินจากพวกช่างลูกมือว่าชายหนุ่มจะรีบออกไป

“ไม่ละ ว่าจะรีบกลับวัด... อีกอย่างช่วงนี้ข้ากินอยู่มื้อเดียวเหมือนพระที่วัด ยิ่งวันนี้เป็นวันพระ ยิ่งต้องปฏิบัติ”
“แหม...ไม่อยู่กินหน่อยหรือพ่อพราย มื้อเที่ยงนี้แม่พิไลเข้าครัวไปทำอาหารพิเศษไว้ให้พวกเราเชียวนะ” น้าหมานแทรกเข้ามา
“เอาไว้มื้อหลังเถอะน้า”

หญิงสาวไม่พูดกระไร แต่มองค้อนชายหนุ่มก่อนเดินสะบัดจากไป
อาการที่น้าหมานเข้ามาพูดจาเป็นเชิงหยอกเย้าทำให้แสงพรายอดนึกถึงเด็กชายไม่ได้
“แล้วนี่จุกไปไหนหรือ”

“เจ้าจุกหรือ เห็นไปนั่งร้องไห้อยู่ที่เรือนพัก บุญจันเข้าไปปลอบอยู่... เฮ้อ เห็นเจ้าคู่นี้แล้วก็อดสงสารไม่ได้ ตอนนี้แม่ของบุญจันป่วยหนัก เดี๋ยวสักพักบุญจันคงกลับบ้านไปเยี่ยม เอาเทียนกลับไปเผาบูชา เจ้าจุกมันคงอยากไปบ้าง เลยร้องไห้จะตามไป”

“เผาเทียนทำไมหรือ...”
“เป็นพิธีกรรมสะเดาะเคราะห์ให้คนเจ็บป่วยที่นี่... เรียกกันว่า พิธีบูชาเทียน เอาด้ายฝั่นมาพันทบรอบเทียนเท่าอายุ แล้วจุดบูชาพระรัตนตรัย ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยปัดเป่าเคราะห์ร้ายให้หายไป”

“แล้วจุกกับบุญจันเป็นญาติกันหรือ”
“ไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติ จุกมันเป็นเด็กกำพร้า แม่เจิดแม่ของบุญจันเก็บมันมาเลี้ยงตอนส่งบุญจันมาอยู่ที่สำนักเราแล้ว... พอมันโตขึ้น แม่เจิดก็คะยั้นคะยอให้บุญจันพาจุกมาฝากอยู่ที่สำนักอีกคน แต่สองคนนี้ไม่ค่อยจะลงกันเท่าไหร่ อย่างที่เห็นละ”

แสงพรายนิ่งงันไปสักครู่ ก่อนกล่าวว่า...
“ข้าไม่รู้ว่าแม่ของบุญจันป่วยหนัก แล้วยังมาช่วยข้านวดดินพอกแบบปั้นองค์พระอีก.. ถ้าข้ารู้ คงไล่ให้รีบกลับไปบ้านดูแม่แต่เช้าแล้ว”
“เฮ้อ ว่าไปแล้วบุญจันมันก็มีน้ำใจ.. วันนี้วันพระ แรม ๘ ค่ำ ทุกคนได้หยุดงาน ถ้าไม่ออกไปเที่ยวเตร่กันก็กลับบ้าน แต่มันยังอุตส่าห์อยู่ช่วยเจ้าทำงานสำคัญทั้งที่ใจอยากรีบกลับไปเยี่ยมแม่... วันหนึ่งถ้าเจ้าได้ดี อย่าลืมมันก็แล้วกัน”

ตอนนี้ทุกคนต่างทำดีกับแสงพราย... ทุกคนเริ่มคาดหวังว่าแสงพรายคงจะได้ขึ้นเป็นคนสำคัญของสำนักบ้านเงินบ้านทองคู่กับครูพิธานในไม่ช้านี้...

แสงพรายอดเดินไปที่เรือนพักของจุกไม่ได้ เป็นเรือนพักรวมของหมู่ช่าง อยู่กัน ๖-๘ คนในหนึ่งหลัง ปลูกอยู่หลายหลัง แต่มีหลังหนึ่งเป็นเรือนขนาดเล็กอยู่ด้านริมถัดไป มีผู้อยู่อาศัยเพียงคนเดียวคือคำแปง

บริเวณที่พักเงียบสนิท ด้วยคนส่วนใหญ่ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกในวันพระ มีแต่เสียงจุกร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่หน้าชานที่พัก ในมือถือเทียนใหญ่ ๒ เล่มตามที่น้าหมานเพิ่งเล่าให้ฟังว่าจะนำไปทำพิธีบูชาเทียนให้คนป่วย

(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่