.
บทที่ ๓๘ ความลับในวัดศรีชุม
ดึกสงัด บรรยากาศเงียบวังเวง...
กุญแจทองเหลืองขนาดใหญ่ที่คล้องประตูมณฑปวัดศรีชุมถูกสะเดาะไขออก
แสงเทียนสาดส่องนำทางเข้าไปภายในมณฑป ความมืดสลายไปพร้อมกับฐานองค์พระใหญ่เบื้องหน้าปรากฏขึ้น เปลวเทียนที่ถูกชูขึ้นเหนือศีรษะส่องกระทบผนังรอบด้านแต่สลัวยิ่งนัก แม้แท่งเทียนจะมีขนาดใหญ่เท่าข้อมือแต่แสงเทียนก็น้อยนิดมิอาจสาดแสงได้ทั่ว มองดูขึ้นไปเห็นแสงเงาจับพระพักตร์องค์พระพุทธอจนะที่เป็นพระประธานองค์ใหญ่ในมณฑปอยู่เลือนราง แสงจากเปลวเทียนที่สะบัดไหวกระทบพระเนตรที่หลุบต่ำคล้ายเพ่งมองลงมายังชายผู้ถือเทียน
แสงเทียนเหนือศีรษะแม้มิอาจส่องต้องพระพักตร์ที่อยู่สูงขององค์พระใหญ่ได้ถนัด แต่ส่องชัดเผยใบหน้าที่เงยขึ้นของผู้บุกรุก...
เป็นใบหน้าของแสงพราย...
ชายหนุ่มเดินไปเบื้องซ้าย แสงไฟสาดฉายลงบนพระหัตถ์เบื้องขวาขององค์พระพุทธอจนะที่ประทับพาดวางลงบนพระเพลา (ขาหรือตัก) องค์พระอจนะใหญ่โตแม้เพียงส่วนพระหัตถ์ยังมีขนาดใหญ่กว่าลำตัวของแสงพราย
ชายหนุ่มอดมองพระหัตถ์ด้วยความปิติมิได้ ทั้งงดงามอ่อนช้อยและดูมีพลังยิ่งใหญ่ พระดรรชนีเรียวยาวจนเกือบถึงฐานองค์พระคล้ายจะทอดลงมาให้เหล่ามนุษย์ได้อาศัยเกาะเกี่ยวฉุดตนขึ้นพ้นจากกองกิเลสเบื้องล่าง
แสงพรายวางเทียนลงแล้วโน้มตัวลงก้มกราบกับฐานองค์พระใต้พระดรรชนี
“ข้าแด่องค์พระพุทธอจนะอันศักดิ์สิทธิ์ ข้าพเจ้าดั้นด้นรอนแรมหลายปีจนมาถึงกรุงสุโขทัยเพื่อตามหาองค์ตุมพะทะนานทองสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของข้าพเจ้า ขอพุทธานุภาพจงช่วยดลบันดาลให้ข้าพเจ้าค้นพบองค์ตุมพะทะนานทองนี้ด้วยเถิด”
จากนั้นแสงพรายก็ลุกขึ้น ถือเทียนเดินไปรอบองค์พระอจนะในลักษณะสอดส่องค้นหาไปจนทั่วบริเวณ
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม (๓ ชั่วโมง) ชายหนุ่มจึงเดินออกมายังประตูทางเข้ามณฑปที่เป็นช่องทอดยาวสู่เบื้องนอก แสงพรายรับรู้จากขุนวังว่าพระมหาเถรศรีศรัทธาทรงให้ก่อผนังมณฑปด้านนอกขึ้นอีกชั้น เกิดช่องเป็นอุโมงค์อยู่ภายในระหว่างผนังเดิมและผนังใหม่ด้านนอก ตัวผนังก่อปูนทึบปิดไว้ไม่มีช่องลมหรือหน้าต่าง ดูเผินๆ คล้ายเป็นผนังเดี่ยวขนาดใหญ่หนาทึบ ๖ ศอก (๓ เมตร) ช่องประตูทางเข้ามณฑปจึงดูใหญ่โตประหนึ่งช่องทางเข้าประตูกำแพงเมืองก็ปาน
ตรงกลางผนังช่องประตูทางเข้ามณฑปทั้งสองฝั่งด้านซ้ายและขวามีแผ่นไม้สักขนาดกว้างกว่าช่วงลำตัวคน สูงราว ๑ วาปิดประกบอยู่ เมื่อพิจารณาดูที่แท้เป็นบานประตู ผูกโซ่คล้องกุญแจไว้
“นี่คงเป็นประตูเข้าสู่อุโมงค์ภายในผนังเป็นแน่...” ชายหนุ่มคำนึงขึ้น พร้อมล้วงแท่งเหล็กขนาดเล็กออกมาจากชายพกแล้วไขสลักแม่กุญแจที่คล้องออก
ผู้ที่สามารถสะเดาะไขสลักกุญแจให้เปิดออกได้นั้น หากมินับพวกมิจฉาชีพที่ฝึกหัดมาโดยเฉพาะ ก็ต้องเป็นช่างผู้เชี่ยวชาญกลไกและชำนาญงานหล่อชิ้นโลหะขนาดเล็ก ในสำนักบ้านเงินบ้านทองนับว่ามีน้อยคนนัก ซึ่งแสงพรายเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น
ชายหนุ่มเปิดประตูอุโมงค์ด้านขวาของมณฑปแล้วเดินเข้าไป ขนาดของอุโมงค์เป็นช่องพอให้คนผ่านได้เท่านั้น เมื่อเดินเข้าไปได้เพียง ๖ ศอก (๓ เมตร) ก็เป็นทางตัน หลังจากตรวจค้นจนทั่วจึงกลับออกมา แล้วมุ่งสู่อุโมงค์ทางเบื้องซ้ายของมณฑปต่อไป
ครั้นเปิดประตูย่างเท้าเข้าสู่ภายใน ชายหนุ่มต้องตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น...
แสงเทียนในมือส่องต้องผนังอุโมงค์ ปรากฏเป็นรูปวาดวิจิตรบรรจงของเหล่าทวยเทพและนางอัปสร รูปหน้าและลีลาผิดแผกไม่ซ้ำกัน บ้างวาดเป็นองค์สีขาว สีแดงหรือสีเหลือง บ้างยิ้ม บ้างเคร่งขรึม ปะปนอยู่บนฉากหลังสีดำ เพดานอุโมงค์เป็นแผ่นหินชนวนขนาดใหญ่วางเรียงต่อกัน ปลายทั้งสองข้างของแผ่นหินฝังเข้าไปในผนังอุโมงค์ทั้งซ้ายและขวา ชายหนุ่มรู้สึกทึ่งในรูปแบบการก่อสร้าง คาดว่าช่างคงก่อผนังหนาเพิ่มเติมขึ้นทั้งสองด้านแล้วยกแผ่นหินชนวนวางทับขอบด้านบนของผนัง ปล่อยให้แผ่นหินชนวนทำหน้าที่เป็นคานรับน้ำหนักด้านบนของอุโมงค์ทั้งหมด
แผ่นหินชนวนขัดหน้าเรียบ จารสลักเป็นภาพลายเส้นดอกบัวบานสวยงามวิจิตร ยามกระทบแสงเทียนที่วูบวาบจากการเคลื่อนกายของแสงพราย ปรากฏเส้นเงาดำในร่องสลักเลื่อนไหล ดูไปราวดอกบัวกำลังแย้มบาน
เมื่อเดินไปสักระยะ อุโมงค์ก็ทอดเลี้ยวไปทางขวามือ ตามแนวมุมผนังของมณฑป หากแต่อุโมงค์ด้านนี้กลับยกตัวสูงขึ้น พื้นทางเดินกลายเป็นพื้นบันไดให้ก้าวขึ้นทีละขั้น เพดานหินชนวนด้านบนก็เปลี่ยนจากรูปสลักลายบัวบานเป็นเรื่องราวชาดกการเสวยพระชาติต่างๆ ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมลายหนังสือจารึกกำกับ แสงพรายเดินขึ้นอุโมงค์พร้อมนับเรื่องราวในชาดกได้มากมายหลายสิบเรื่อง จากนั้นจึงสุดทางที่เป็นขั้นบันไดกลายเป็นพื้นเเนวราบ เพดานแผ่นหินด้านบนปรากฏเป็นลายสลักรอยพระพุทธบาท
เมื่อสุดทางพื้นราบก็เป็นหัวมุมและอุโมงค์ก็เวียนเลี้ยวขวาอีกครั้ง แสงพรายคะเนว่าตอนนี้คงกำลังเดินสู่ผนังเบื้องหลังองค์พระพุทธอจนะ เมื่อเดินไปครึ่งทางหรือประมาณว่าอยู่กึ่งกลางหลังองค์พระใหญ่ ทางก็ชันเป็นขั้นบันไดให้เดินขึ้นอีกครั้งไปจนสุดหัวมุมแล้วเวียนขวาเป็นครั้งสุดท้าย ไปสุดปลายอุโมงค์ในตำแหน่งที่แสงพรายคะเนว่าเป็นพระกรรณ (หู) ด้านซ้ายขององค์พระพุทธอจนะ
ทันใดนั้นแสงพรายเกิดปิติวูบวาบขึ้นภายในใจ...
หรือนี่คือปริศนาธรรมแห่งอุโมงค์วัดศรีชุม... เราเดินเข้าอุโมงค์ทางเบื้องขวาของมณฑปเจอแต่ความมืดมิดและหนทางตัน เฉกเช่นทางเดินของบุคคลผู้ไร้ซึ่งศรัทธาในคำสอนของพระพุทธองค์
หากเดินมาทางอุโมงค์เบื้องซ้ายในลักษณะประทักษิณาวัตร (การกระทำความเคารพด้วยการเดินเวียนขวา ให้เบื้องขวาของลำตัวเข้าหาบุคคลหรือสิ่งเคารพ) ต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีองค์พระพุทธอจนะเป็นรูปแทนพระองค์ จึงปรากฏแต่สิ่งดีงาม เหล่าทวยเทพพากันสรรเสริญ พบแต่ความเบิกบานราวดอกบัวบาน เมื่อพากเพียรประกอบกุศลกรรมยิ่งขึ้นไปดุจเดินขึ้นสู่ที่สูงตามรอยการบำเพ็ญพระบารมีในอดีตชาติของพระพุทธองค์ สุดท้ายจะบรรลุถึงปัญญาญาณเป็นจุดหมาย ดั่งปลายอุโมค์ที่ทอดมาจบเสมอตำแหน่งพระเศียรขององค์พระพุทธอจนะ...
-----------------------------------
แสงพรายสืบค้นอยู่ในอุโมงค์ราวหนึ่งชั่วยาม คะเนว่าสิ้นยามสามล่วงเข้ายามสี่ (ช่วงเวลา ๓ นาฬิกา) จึงเดินออกจากอุโมงค์ ไขกุญแจปิดไว้แนบเนียนดังเดิม ครั้นเดินออกมาจากปากประตูใหญ่ของพระมณฑปยังไม่ทันได้ปิดช่องประตู ก็ต้องสะดุ้งกาย.. คล้ายเห็นเงาตะคุ่มยืนอยู่หลังพระวิหาร ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าพระมณฑป
คืนนี้ แรม ๕ ค่ำเดือน ๑๐ แสงจันทร์สลัว สายลมยะเยือกเย็นพัดโชยชายผ้าที่ห่อหุ้มเงาร่างนั้นสะบัดไหว เงาตะคุ่มค่อยเคลื่อนใกล้มายังแสงพราย
ชายหนุ่มยืนนิ่งหวั่นไหว แต่มิได้หวาดกลัว...
คำนึงในใจ...หากเป็นผู้คนเราจะอธิบายอย่างไรที่มาลอบสืบค้นยามวิกาล
หากเป็นวิญญาณร้ายคงจะดีเสียกว่า...
ในความหวั่นวิตก เสียงแหบพร่าก็ดังขึ้น
“ในที่สุด โยมก็มา...”
แสงพรายพินิจเงาร่างเจ้าของเสียงเบื้องหน้า พบว่าเป็นพระชราร่างผอมเกร็งรูปหนึ่ง ใบหน้าตอบแทบจะไร้มวลเนื้อภายใต้ผิวหน้า เห็นเป็นเค้าโครงกะโหลกศีรษะชัดเจน แต่ดวงตาภายในเบ้าลึกกลับส่องประกายแวววาวคล้ายดวงตาของเสือตัวใหญ่ในยามราตรี แผ่รังสีแห่งพลังและอำนาจ
แสงพรายทรุดกายลงกราบพระชรากับพื้น “กราบนมัสการพระคุณเจ้า” แล้วนั่งนิ่งมิได้กล่าวกระไรต่อ
“โยมเรียกว่าแสงพรายใช่ไหม มาถือศีลภาวนาอยู่ที่วัด เหตุใดต้องเดินวุ่นวายเสาะค้นสิ่งของในพระวิหารตอนหัวค่ำ.. แล้วยังมาสำรวจตรวจค้นในพระมณฑปอีกตลอดคืน”
แสงพรายสำนึกรู้แล้ว...ว่านี่คือพระชราผู้ปลีกวิเวกอยู่ท้ายวัดตามที่ท่านเจ้าอาวาสกล่าวถึง พระรูปนี้มิใช่พระธรรมดาเป็นแน่ ทั้งน้ำเสียงและท่วงท่ามีอำนาจสยบผู้คนให้ระย่อ ทั้งเข้ามาดูเรากระทำการอันไม่สมควรในวัดตั้งแต่ยามต้นโดยที่เราไม่รู้สึกตัว...
พลันคิดขึ้นว่าควรแสดงนัยแห่งความจริงออกไปบ้างเพื่อหยั่งท่าทีดู
“ข้าพเจ้ามาด้วยวลีบทหนึ่งที่ปรากฏบนผ้าสีกรัก ตัวหนังสือเป็นคราบสีน้ำตาลเข้ม จึงลองสืบค้นดูขอรับ พระคุณเจ้า”
แววตาพระชราคล้ายเปล่งประกายสุกใสขึ้นวูบหนึ่งก่อนที่เปลือกตาจะหรุบลง แล้วค่อยเลิกชายจีวรตรงปลายแขนคลี่แสดงออกมา
“ผ้าที่ใช้เขียนวลี “
สามคำ” นั้น มีสีย้อมฝาดและขนาดเท่ารอยขาดของจีวรผืนนี้ได้ไหมละโยม... ส่วนตัวหนังสือนั้นเหมือนรอยคราบเลือด เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่”
แสงพรายตะลึงในคำกล่าวของพระชราผู้ครองจีวรเก่าคร่ำคร่า ตรงปลายที่คลี่แสดงออกมาเป็นรอยขาดรูปสี่เหลี่ยม
“คำแรกเขียนเพียง...
สุโขทัย คำที่สองคือ...
วัดสุดท้าย ...” ชายหนุ่มกล่าวแล้วจงใจหยุดเว้นไว้
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่แห้งกรัง
“
สุโขทัย วัดสุดท้าย แนวลายธรรม... อาตมาคือผู้กัดเลือดเขียนวลีนี้ไว้บนชายจีวรที่ฉีกออกมา”
แสงพรายขนลุกซู่ขึ้นทันที... น้ำเสียงพลุ่งพล่านด้วยความดีใจ
“ถ้ากระนั้นข้าพเจ้าขอถวายคืนแด่พระคุณเจ้า”
แล้วล้วงเศษผ้าสีกรักออกมาจากชายพก ยกขึ้นทาบเข้ากับรอยขาดของชายจีวร... ขนาดและสีของเศษผ้านั้นเทียบเข้ากับรอยขาดแหว่งได้อย่างแนบเนียน มีรอยคราบโลหิต ที่ถูกขีดเขียนเป็นตัวหนังสืออยู่สามแถว...
สุโขทัย
วัดสุดท้าย
แนวลายธรรม
“โยมกับอาตมานับว่ามีวาสนาต่อกัน.. แม้อยู่ไกลถึงแดนใต้ สุดท้ายก็ได้พบเจอ” เสียงพระชรากล่าวด้วยความเมตตา รับเศษผ้าจีวรนั้นไว้
“แล้วอาการบาดเจ็บของโยมหายดีหรือยัง”
แสงพรายฉุกใจ
“พระคุณเจ้าคือพระเถระที่รักษาอาการบาดเจ็บของข้าพเจ้าที่พระตำหนักองค์หญิงกัณฐิมาศหรือขอรับ”
“ถูกต้อง เป็นอาตมาเอง”
ชายหนุ่มก้มกราบแทบเท้าอีกครั้งหนึ่ง
“เป็นพระคุณของข้าพเจ้าที่พระคุณเจ้าเมตตา”
“โยมคือบุคคลผู้ถูกเลือกให้มาอัญเชิญองค์ตุมพะทะนานทองกลับคืนเมือง” กล่าวแล้วจ้องมองชายหนุ่มลึกซึ้ง “...แต่เรื่องนี้สำคัญนัก อาตมาจำต้องทดสอบว่าโยมมีคุณสมบัติเหมาะสมหรือไม่ หากไม่คู่ควรแม้จะไขปริศนาวลีดังกล่าวออกมาได้ อาตมาก็จำเป็นต้องขัดขวางโยม... โยมพร้อมจะรับการทดสอบหรือไม่”
คำว่า “
ขัดขวาง” ที่กระทบโสต ทำให้แสงพรายถึงกับสะดุ้งลังเล ตนใช้เวลาหลายปีเสาะหาองค์ตุมพะทะนานทองจนบัดนี้มั่นใจว่าคงซ่อนอยู่ในวัดศรีชุม แม้ยังค้นหาไม่พบแต่เชื่อมั่นว่าในไม่ช้าตนคงไขปริศนาคำว่า “
แนวลายธรรม” ออก
ครั้นจะมอบฉันทะให้พระเถระรูปนี้มากำหนดว่าตนคู่ควรหรือไม่ ออกจะเป็นเรื่องฝืนใจ.. แต่การที่ตนมายืนอยู่ในวัดศรีชุมได้ มิใช่เพราะพระเถระรูปนี้หรอกหรือ ที่ทิ้งเบาะแสจีวรขาดจารึกรอยโลหิตไว้ให้ อีกทั้งยังช่วยรักษาชีวิตของเราที่เรือนพระตำหนักขององค์หญิงกัณฐิมาศ...
ขณะลังเลใจอยู่นั้น พระเถระชราก็กล่าวขึ้น
“โยมคงคิดว่า ด้วยลำพังตัวของโยมแม้หมั่นค้นหาต่อไปคงได้พบเจอองค์ตุมพะทะนานทองในวัดศรีชุม... จึงไม่คิดจะเกี่ยวข้องสิ่งใดกับอาตมา” แววตาของพระเถระฉายประกายเจิดจ้า กล่าวต่อว่า
“แต่โยมควรทราบไว้ก่อน ในวัดนี้ไม่มีองค์ตุมพะทะนานทองเก็บซ่อนไว้... มีเพียงบันทึกระบุว่าเก็บซ่อนอยู่ที่ใด และอาจมีสิ่งของสำคัญซึ่งเป็นเครื่องหมายยืนยันขอรับองค์ตุมพะทะนานทองกลับคืนจากผู้ที่เก็บรักษาไว้เท่านั้น”
แสงพรายที่นั่งคุกเข่าอยู่แทบเท้าพระเถระ คล้ายหมดสิ้นแรงกายแรงใจลงทันที...
ไม่มีองค์ตุมพะทะนานทองในที่แห่งนี้... การเดินทางอันแสนยาวนาน ผ่านความเป็นความตายหลายครา เพียงเพื่อได้มาซึ่งเบาะแส...อีกครั้ง
พระเถระสะบัดรวบชายจีวร แล้วหันกายหมายจากไป
สองมือสั่นไหวของชายหนุ่มพลันเกาะกุมข้อเท้าพระเถระไว้
“รอสักครู่..เถิดพระคุณเจ้า..”
น้ำเสียงสั่นพร่า ใบหน้าซบลงกับพื้นด้วยความผิดหวังระทมใจ
“ข้าพเจ้ายินดี..รับการทดสอบของพระคุณเจ้า.. โปรดช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด” เป็นเสียงที่ฟังแล้วชวนหดหู่ยิ่งนัก
“หากโยมผ่านการทดสอบแล้ว ยังมีเงื่อนไขสำคัญที่ต้องกระทำให้อาตมาอีกหนึ่งข้อ... โยมจะยินดีหรือไม่”
แสงพรายเงยหน้า นัยน์ตาแวววาว... น้ำคลอหน่วยอาบทอด้วยแสงจันทร์
“แม้ต้องการชีวิตของข้าพเจ้า... ก็ยินดีจะสละให้”
สำหรับแสงพราย... บางทีการตกตายไปยังสงบสุขและน่าปรารถนาเสียยิ่งกว่า..การตกอยู่ในวังวนอันเเสนยาวนานมิจบสิ้น
การเดินทางที่มิเห็นจุดหมาย... บนเส้นทางแห่งความขมขื่น
....................
(มีต่อ)
ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๓๘ ความลับในวัดศรีชุม
บทที่ ๓๘ ความลับในวัดศรีชุม
ดึกสงัด บรรยากาศเงียบวังเวง...
กุญแจทองเหลืองขนาดใหญ่ที่คล้องประตูมณฑปวัดศรีชุมถูกสะเดาะไขออก
แสงเทียนสาดส่องนำทางเข้าไปภายในมณฑป ความมืดสลายไปพร้อมกับฐานองค์พระใหญ่เบื้องหน้าปรากฏขึ้น เปลวเทียนที่ถูกชูขึ้นเหนือศีรษะส่องกระทบผนังรอบด้านแต่สลัวยิ่งนัก แม้แท่งเทียนจะมีขนาดใหญ่เท่าข้อมือแต่แสงเทียนก็น้อยนิดมิอาจสาดแสงได้ทั่ว มองดูขึ้นไปเห็นแสงเงาจับพระพักตร์องค์พระพุทธอจนะที่เป็นพระประธานองค์ใหญ่ในมณฑปอยู่เลือนราง แสงจากเปลวเทียนที่สะบัดไหวกระทบพระเนตรที่หลุบต่ำคล้ายเพ่งมองลงมายังชายผู้ถือเทียน
แสงเทียนเหนือศีรษะแม้มิอาจส่องต้องพระพักตร์ที่อยู่สูงขององค์พระใหญ่ได้ถนัด แต่ส่องชัดเผยใบหน้าที่เงยขึ้นของผู้บุกรุก...
เป็นใบหน้าของแสงพราย...
ชายหนุ่มเดินไปเบื้องซ้าย แสงไฟสาดฉายลงบนพระหัตถ์เบื้องขวาขององค์พระพุทธอจนะที่ประทับพาดวางลงบนพระเพลา (ขาหรือตัก) องค์พระอจนะใหญ่โตแม้เพียงส่วนพระหัตถ์ยังมีขนาดใหญ่กว่าลำตัวของแสงพราย
ชายหนุ่มอดมองพระหัตถ์ด้วยความปิติมิได้ ทั้งงดงามอ่อนช้อยและดูมีพลังยิ่งใหญ่ พระดรรชนีเรียวยาวจนเกือบถึงฐานองค์พระคล้ายจะทอดลงมาให้เหล่ามนุษย์ได้อาศัยเกาะเกี่ยวฉุดตนขึ้นพ้นจากกองกิเลสเบื้องล่าง
แสงพรายวางเทียนลงแล้วโน้มตัวลงก้มกราบกับฐานองค์พระใต้พระดรรชนี
“ข้าแด่องค์พระพุทธอจนะอันศักดิ์สิทธิ์ ข้าพเจ้าดั้นด้นรอนแรมหลายปีจนมาถึงกรุงสุโขทัยเพื่อตามหาองค์ตุมพะทะนานทองสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของข้าพเจ้า ขอพุทธานุภาพจงช่วยดลบันดาลให้ข้าพเจ้าค้นพบองค์ตุมพะทะนานทองนี้ด้วยเถิด”
จากนั้นแสงพรายก็ลุกขึ้น ถือเทียนเดินไปรอบองค์พระอจนะในลักษณะสอดส่องค้นหาไปจนทั่วบริเวณ
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม (๓ ชั่วโมง) ชายหนุ่มจึงเดินออกมายังประตูทางเข้ามณฑปที่เป็นช่องทอดยาวสู่เบื้องนอก แสงพรายรับรู้จากขุนวังว่าพระมหาเถรศรีศรัทธาทรงให้ก่อผนังมณฑปด้านนอกขึ้นอีกชั้น เกิดช่องเป็นอุโมงค์อยู่ภายในระหว่างผนังเดิมและผนังใหม่ด้านนอก ตัวผนังก่อปูนทึบปิดไว้ไม่มีช่องลมหรือหน้าต่าง ดูเผินๆ คล้ายเป็นผนังเดี่ยวขนาดใหญ่หนาทึบ ๖ ศอก (๓ เมตร) ช่องประตูทางเข้ามณฑปจึงดูใหญ่โตประหนึ่งช่องทางเข้าประตูกำแพงเมืองก็ปาน
ตรงกลางผนังช่องประตูทางเข้ามณฑปทั้งสองฝั่งด้านซ้ายและขวามีแผ่นไม้สักขนาดกว้างกว่าช่วงลำตัวคน สูงราว ๑ วาปิดประกบอยู่ เมื่อพิจารณาดูที่แท้เป็นบานประตู ผูกโซ่คล้องกุญแจไว้
“นี่คงเป็นประตูเข้าสู่อุโมงค์ภายในผนังเป็นแน่...” ชายหนุ่มคำนึงขึ้น พร้อมล้วงแท่งเหล็กขนาดเล็กออกมาจากชายพกแล้วไขสลักแม่กุญแจที่คล้องออก
ผู้ที่สามารถสะเดาะไขสลักกุญแจให้เปิดออกได้นั้น หากมินับพวกมิจฉาชีพที่ฝึกหัดมาโดยเฉพาะ ก็ต้องเป็นช่างผู้เชี่ยวชาญกลไกและชำนาญงานหล่อชิ้นโลหะขนาดเล็ก ในสำนักบ้านเงินบ้านทองนับว่ามีน้อยคนนัก ซึ่งแสงพรายเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น
ชายหนุ่มเปิดประตูอุโมงค์ด้านขวาของมณฑปแล้วเดินเข้าไป ขนาดของอุโมงค์เป็นช่องพอให้คนผ่านได้เท่านั้น เมื่อเดินเข้าไปได้เพียง ๖ ศอก (๓ เมตร) ก็เป็นทางตัน หลังจากตรวจค้นจนทั่วจึงกลับออกมา แล้วมุ่งสู่อุโมงค์ทางเบื้องซ้ายของมณฑปต่อไป
ครั้นเปิดประตูย่างเท้าเข้าสู่ภายใน ชายหนุ่มต้องตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น...
แสงเทียนในมือส่องต้องผนังอุโมงค์ ปรากฏเป็นรูปวาดวิจิตรบรรจงของเหล่าทวยเทพและนางอัปสร รูปหน้าและลีลาผิดแผกไม่ซ้ำกัน บ้างวาดเป็นองค์สีขาว สีแดงหรือสีเหลือง บ้างยิ้ม บ้างเคร่งขรึม ปะปนอยู่บนฉากหลังสีดำ เพดานอุโมงค์เป็นแผ่นหินชนวนขนาดใหญ่วางเรียงต่อกัน ปลายทั้งสองข้างของแผ่นหินฝังเข้าไปในผนังอุโมงค์ทั้งซ้ายและขวา ชายหนุ่มรู้สึกทึ่งในรูปแบบการก่อสร้าง คาดว่าช่างคงก่อผนังหนาเพิ่มเติมขึ้นทั้งสองด้านแล้วยกแผ่นหินชนวนวางทับขอบด้านบนของผนัง ปล่อยให้แผ่นหินชนวนทำหน้าที่เป็นคานรับน้ำหนักด้านบนของอุโมงค์ทั้งหมด
แผ่นหินชนวนขัดหน้าเรียบ จารสลักเป็นภาพลายเส้นดอกบัวบานสวยงามวิจิตร ยามกระทบแสงเทียนที่วูบวาบจากการเคลื่อนกายของแสงพราย ปรากฏเส้นเงาดำในร่องสลักเลื่อนไหล ดูไปราวดอกบัวกำลังแย้มบาน
เมื่อเดินไปสักระยะ อุโมงค์ก็ทอดเลี้ยวไปทางขวามือ ตามแนวมุมผนังของมณฑป หากแต่อุโมงค์ด้านนี้กลับยกตัวสูงขึ้น พื้นทางเดินกลายเป็นพื้นบันไดให้ก้าวขึ้นทีละขั้น เพดานหินชนวนด้านบนก็เปลี่ยนจากรูปสลักลายบัวบานเป็นเรื่องราวชาดกการเสวยพระชาติต่างๆ ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมลายหนังสือจารึกกำกับ แสงพรายเดินขึ้นอุโมงค์พร้อมนับเรื่องราวในชาดกได้มากมายหลายสิบเรื่อง จากนั้นจึงสุดทางที่เป็นขั้นบันไดกลายเป็นพื้นเเนวราบ เพดานแผ่นหินด้านบนปรากฏเป็นลายสลักรอยพระพุทธบาท
เมื่อสุดทางพื้นราบก็เป็นหัวมุมและอุโมงค์ก็เวียนเลี้ยวขวาอีกครั้ง แสงพรายคะเนว่าตอนนี้คงกำลังเดินสู่ผนังเบื้องหลังองค์พระพุทธอจนะ เมื่อเดินไปครึ่งทางหรือประมาณว่าอยู่กึ่งกลางหลังองค์พระใหญ่ ทางก็ชันเป็นขั้นบันไดให้เดินขึ้นอีกครั้งไปจนสุดหัวมุมแล้วเวียนขวาเป็นครั้งสุดท้าย ไปสุดปลายอุโมงค์ในตำแหน่งที่แสงพรายคะเนว่าเป็นพระกรรณ (หู) ด้านซ้ายขององค์พระพุทธอจนะ
ทันใดนั้นแสงพรายเกิดปิติวูบวาบขึ้นภายในใจ...
หรือนี่คือปริศนาธรรมแห่งอุโมงค์วัดศรีชุม... เราเดินเข้าอุโมงค์ทางเบื้องขวาของมณฑปเจอแต่ความมืดมิดและหนทางตัน เฉกเช่นทางเดินของบุคคลผู้ไร้ซึ่งศรัทธาในคำสอนของพระพุทธองค์
หากเดินมาทางอุโมงค์เบื้องซ้ายในลักษณะประทักษิณาวัตร (การกระทำความเคารพด้วยการเดินเวียนขวา ให้เบื้องขวาของลำตัวเข้าหาบุคคลหรือสิ่งเคารพ) ต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีองค์พระพุทธอจนะเป็นรูปแทนพระองค์ จึงปรากฏแต่สิ่งดีงาม เหล่าทวยเทพพากันสรรเสริญ พบแต่ความเบิกบานราวดอกบัวบาน เมื่อพากเพียรประกอบกุศลกรรมยิ่งขึ้นไปดุจเดินขึ้นสู่ที่สูงตามรอยการบำเพ็ญพระบารมีในอดีตชาติของพระพุทธองค์ สุดท้ายจะบรรลุถึงปัญญาญาณเป็นจุดหมาย ดั่งปลายอุโมค์ที่ทอดมาจบเสมอตำแหน่งพระเศียรขององค์พระพุทธอจนะ...
-----------------------------------
แสงพรายสืบค้นอยู่ในอุโมงค์ราวหนึ่งชั่วยาม คะเนว่าสิ้นยามสามล่วงเข้ายามสี่ (ช่วงเวลา ๓ นาฬิกา) จึงเดินออกจากอุโมงค์ ไขกุญแจปิดไว้แนบเนียนดังเดิม ครั้นเดินออกมาจากปากประตูใหญ่ของพระมณฑปยังไม่ทันได้ปิดช่องประตู ก็ต้องสะดุ้งกาย.. คล้ายเห็นเงาตะคุ่มยืนอยู่หลังพระวิหาร ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าพระมณฑป
คืนนี้ แรม ๕ ค่ำเดือน ๑๐ แสงจันทร์สลัว สายลมยะเยือกเย็นพัดโชยชายผ้าที่ห่อหุ้มเงาร่างนั้นสะบัดไหว เงาตะคุ่มค่อยเคลื่อนใกล้มายังแสงพราย
ชายหนุ่มยืนนิ่งหวั่นไหว แต่มิได้หวาดกลัว...
คำนึงในใจ...หากเป็นผู้คนเราจะอธิบายอย่างไรที่มาลอบสืบค้นยามวิกาล
หากเป็นวิญญาณร้ายคงจะดีเสียกว่า...
ในความหวั่นวิตก เสียงแหบพร่าก็ดังขึ้น
“ในที่สุด โยมก็มา...”
แสงพรายพินิจเงาร่างเจ้าของเสียงเบื้องหน้า พบว่าเป็นพระชราร่างผอมเกร็งรูปหนึ่ง ใบหน้าตอบแทบจะไร้มวลเนื้อภายใต้ผิวหน้า เห็นเป็นเค้าโครงกะโหลกศีรษะชัดเจน แต่ดวงตาภายในเบ้าลึกกลับส่องประกายแวววาวคล้ายดวงตาของเสือตัวใหญ่ในยามราตรี แผ่รังสีแห่งพลังและอำนาจ
แสงพรายทรุดกายลงกราบพระชรากับพื้น “กราบนมัสการพระคุณเจ้า” แล้วนั่งนิ่งมิได้กล่าวกระไรต่อ
“โยมเรียกว่าแสงพรายใช่ไหม มาถือศีลภาวนาอยู่ที่วัด เหตุใดต้องเดินวุ่นวายเสาะค้นสิ่งของในพระวิหารตอนหัวค่ำ.. แล้วยังมาสำรวจตรวจค้นในพระมณฑปอีกตลอดคืน”
แสงพรายสำนึกรู้แล้ว...ว่านี่คือพระชราผู้ปลีกวิเวกอยู่ท้ายวัดตามที่ท่านเจ้าอาวาสกล่าวถึง พระรูปนี้มิใช่พระธรรมดาเป็นแน่ ทั้งน้ำเสียงและท่วงท่ามีอำนาจสยบผู้คนให้ระย่อ ทั้งเข้ามาดูเรากระทำการอันไม่สมควรในวัดตั้งแต่ยามต้นโดยที่เราไม่รู้สึกตัว...
พลันคิดขึ้นว่าควรแสดงนัยแห่งความจริงออกไปบ้างเพื่อหยั่งท่าทีดู
“ข้าพเจ้ามาด้วยวลีบทหนึ่งที่ปรากฏบนผ้าสีกรัก ตัวหนังสือเป็นคราบสีน้ำตาลเข้ม จึงลองสืบค้นดูขอรับ พระคุณเจ้า”
แววตาพระชราคล้ายเปล่งประกายสุกใสขึ้นวูบหนึ่งก่อนที่เปลือกตาจะหรุบลง แล้วค่อยเลิกชายจีวรตรงปลายแขนคลี่แสดงออกมา
“ผ้าที่ใช้เขียนวลี “สามคำ” นั้น มีสีย้อมฝาดและขนาดเท่ารอยขาดของจีวรผืนนี้ได้ไหมละโยม... ส่วนตัวหนังสือนั้นเหมือนรอยคราบเลือด เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่”
แสงพรายตะลึงในคำกล่าวของพระชราผู้ครองจีวรเก่าคร่ำคร่า ตรงปลายที่คลี่แสดงออกมาเป็นรอยขาดรูปสี่เหลี่ยม
“คำแรกเขียนเพียง...สุโขทัย คำที่สองคือ...วัดสุดท้าย ...” ชายหนุ่มกล่าวแล้วจงใจหยุดเว้นไว้
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่แห้งกรัง
“สุโขทัย วัดสุดท้าย แนวลายธรรม... อาตมาคือผู้กัดเลือดเขียนวลีนี้ไว้บนชายจีวรที่ฉีกออกมา”
แสงพรายขนลุกซู่ขึ้นทันที... น้ำเสียงพลุ่งพล่านด้วยความดีใจ
“ถ้ากระนั้นข้าพเจ้าขอถวายคืนแด่พระคุณเจ้า”
แล้วล้วงเศษผ้าสีกรักออกมาจากชายพก ยกขึ้นทาบเข้ากับรอยขาดของชายจีวร... ขนาดและสีของเศษผ้านั้นเทียบเข้ากับรอยขาดแหว่งได้อย่างแนบเนียน มีรอยคราบโลหิต ที่ถูกขีดเขียนเป็นตัวหนังสืออยู่สามแถว...
สุโขทัย
วัดสุดท้าย
แนวลายธรรม
“โยมกับอาตมานับว่ามีวาสนาต่อกัน.. แม้อยู่ไกลถึงแดนใต้ สุดท้ายก็ได้พบเจอ” เสียงพระชรากล่าวด้วยความเมตตา รับเศษผ้าจีวรนั้นไว้
“แล้วอาการบาดเจ็บของโยมหายดีหรือยัง”
แสงพรายฉุกใจ
“พระคุณเจ้าคือพระเถระที่รักษาอาการบาดเจ็บของข้าพเจ้าที่พระตำหนักองค์หญิงกัณฐิมาศหรือขอรับ”
“ถูกต้อง เป็นอาตมาเอง”
ชายหนุ่มก้มกราบแทบเท้าอีกครั้งหนึ่ง
“เป็นพระคุณของข้าพเจ้าที่พระคุณเจ้าเมตตา”
“โยมคือบุคคลผู้ถูกเลือกให้มาอัญเชิญองค์ตุมพะทะนานทองกลับคืนเมือง” กล่าวแล้วจ้องมองชายหนุ่มลึกซึ้ง “...แต่เรื่องนี้สำคัญนัก อาตมาจำต้องทดสอบว่าโยมมีคุณสมบัติเหมาะสมหรือไม่ หากไม่คู่ควรแม้จะไขปริศนาวลีดังกล่าวออกมาได้ อาตมาก็จำเป็นต้องขัดขวางโยม... โยมพร้อมจะรับการทดสอบหรือไม่”
คำว่า “ขัดขวาง” ที่กระทบโสต ทำให้แสงพรายถึงกับสะดุ้งลังเล ตนใช้เวลาหลายปีเสาะหาองค์ตุมพะทะนานทองจนบัดนี้มั่นใจว่าคงซ่อนอยู่ในวัดศรีชุม แม้ยังค้นหาไม่พบแต่เชื่อมั่นว่าในไม่ช้าตนคงไขปริศนาคำว่า “แนวลายธรรม” ออก
ครั้นจะมอบฉันทะให้พระเถระรูปนี้มากำหนดว่าตนคู่ควรหรือไม่ ออกจะเป็นเรื่องฝืนใจ.. แต่การที่ตนมายืนอยู่ในวัดศรีชุมได้ มิใช่เพราะพระเถระรูปนี้หรอกหรือ ที่ทิ้งเบาะแสจีวรขาดจารึกรอยโลหิตไว้ให้ อีกทั้งยังช่วยรักษาชีวิตของเราที่เรือนพระตำหนักขององค์หญิงกัณฐิมาศ...
ขณะลังเลใจอยู่นั้น พระเถระชราก็กล่าวขึ้น
“โยมคงคิดว่า ด้วยลำพังตัวของโยมแม้หมั่นค้นหาต่อไปคงได้พบเจอองค์ตุมพะทะนานทองในวัดศรีชุม... จึงไม่คิดจะเกี่ยวข้องสิ่งใดกับอาตมา” แววตาของพระเถระฉายประกายเจิดจ้า กล่าวต่อว่า
“แต่โยมควรทราบไว้ก่อน ในวัดนี้ไม่มีองค์ตุมพะทะนานทองเก็บซ่อนไว้... มีเพียงบันทึกระบุว่าเก็บซ่อนอยู่ที่ใด และอาจมีสิ่งของสำคัญซึ่งเป็นเครื่องหมายยืนยันขอรับองค์ตุมพะทะนานทองกลับคืนจากผู้ที่เก็บรักษาไว้เท่านั้น”
แสงพรายที่นั่งคุกเข่าอยู่แทบเท้าพระเถระ คล้ายหมดสิ้นแรงกายแรงใจลงทันที...
ไม่มีองค์ตุมพะทะนานทองในที่แห่งนี้... การเดินทางอันแสนยาวนาน ผ่านความเป็นความตายหลายครา เพียงเพื่อได้มาซึ่งเบาะแส...อีกครั้ง
พระเถระสะบัดรวบชายจีวร แล้วหันกายหมายจากไป
สองมือสั่นไหวของชายหนุ่มพลันเกาะกุมข้อเท้าพระเถระไว้
“รอสักครู่..เถิดพระคุณเจ้า..”
น้ำเสียงสั่นพร่า ใบหน้าซบลงกับพื้นด้วยความผิดหวังระทมใจ
“ข้าพเจ้ายินดี..รับการทดสอบของพระคุณเจ้า.. โปรดช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด” เป็นเสียงที่ฟังแล้วชวนหดหู่ยิ่งนัก
“หากโยมผ่านการทดสอบแล้ว ยังมีเงื่อนไขสำคัญที่ต้องกระทำให้อาตมาอีกหนึ่งข้อ... โยมจะยินดีหรือไม่”
แสงพรายเงยหน้า นัยน์ตาแวววาว... น้ำคลอหน่วยอาบทอด้วยแสงจันทร์
“แม้ต้องการชีวิตของข้าพเจ้า... ก็ยินดีจะสละให้”
สำหรับแสงพราย... บางทีการตกตายไปยังสงบสุขและน่าปรารถนาเสียยิ่งกว่า..การตกอยู่ในวังวนอันเเสนยาวนานมิจบสิ้น
การเดินทางที่มิเห็นจุดหมาย... บนเส้นทางแห่งความขมขื่น
....................
(มีต่อ)