ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๒๐ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สูญหาย

.
                                                  

บทที่ ๒๐ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สูญหาย

หอช่างเป็นห้องใหญ่หลบอยู่ด้านหลัง มีนอกชานต่อเชื่อมจากโถงชานกว้าง เครื่องมือที่เก็บอยู่ในห้องล้วนเป็นเครื่องมือช่างที่ปราณีต ใช้กับงานละเอียด บางชิ้นก็ทำด้วยเงิน ทองเหลืองและเหล็กกล้า นับว่าเป็นเครื่องมือที่มีค่ามากของช่างชั้นครู ส่วนพวกเครื่องมือหยาบจะถูกเก็บไว้นอกเรือนในเพิงเก็บของข้างโรงช่าง

แสงพรายกำลังง่วนอยู่กับการขัดเช็ดถู ทำความสะอาดเครื่องมือ เสียงของพิไลก็ดังขึ้นหน้าห้อง

“นี่ท่าน พ่อปู่เรียกให้ไปพบ”
เสียงเง้างอดที่พูด กับหน้าซึ่งเชิดขึ้น ขณะที่เจ้าตัวก็ยืนขวางประตูห้องอยู่

ผู้ถูกตามตัวบรรจงเก็บเครื่องมือวางลง แล้วเดินเบียดผ่านประตูออกไปราวกับไม่มีหญิงสาวยืนอยู่ ยิ่งทำให้นางถึงกับถลึงตามองด้วยความตกใจ
“เอ๊ะนี่กระไร ฉันยืนอยู่ จะรอให้ขยับถอยออกไปก่อนก็ไม่ได้เลยเชียวหรือ”
เจ้าหนุ่มไม่ตอบคำ เพียงหันหน้ามายิ้มให้ แต่เป็นรอยยิ้มแห้งๆ ที่ดูเศร้าและเย็นชา จนหญิงสาวต้องสะบัดหน้าหนี

เมื่อเดินออกมาตามนอกชานซึ่งเปิดโล่งแล้วเลี้ยวขวาเข้าสู่โถงชานกว้างที่มีหลังคาคลุม ด้านซ้ายเป็นหอหน้า มี ๒ ห้องพัก เป็นห้องของครูพิธานและห้องของพิไลบุตรสาว ส่วนด้านขวามือเป็นหอกลาง มี ๒ ห้องเช่นกัน คือห้องพระและห้องพักของปู่หลวง
ผู้เฒ่าเจ้าของสำนักช่างนั่งรออยู่บนพื้นชานหอกลาง หน้าห้องของท่าน

“เป็นยังไง ทำความสะอาดเสร็จหมดหรือยัง”
“ยังไม่เสร็จขอรับ คงอีกสักสองวันจึงจะแล้วเสร็จดี” ชายหนุ่มกล่าวตอบผู้ชราด้วยความนอบน้อม
“ไม่เป็นไร ค่อยๆ ทำไปเถอะ ที่ข้าให้เจ้าทำความสะอาดเพราะเจ้าจะได้รู้ว่าทั้งบ้านทั้งสำนัก มีเครื่องมืออะไร อยู่ตรงไหนบ้าง โดยเฉพาะเครื่องมือสำคัญ”
“ขอรับ แล้วที่ปู่หลวงเรียกข้าพเจ้ามา มีสิ่งใดจะสั่งให้ทำเพิ่มเติมบ้างหรือขอรับ”

“ไม่มีสิ่งใดหรอก จะบอกว่าพรุ่งนี้ให้พักงานทำความสะอาดเครื่องมือไว้ก่อน ข้าจะให้ไปช่วยเตรียมดินเหนียวที่จะเอามาใช้ปั้นรูปหล่อพระพุทธรูป หน้าตัก ๑๒ นิ้ว จะขึ้นไปขุดเอาดินบนเขาหลวงทิศหัวนอน (ทิศใต้) เจ้าก็เตรียมตัวไปพักนอนค้างข้างนอกด้วยหนึ่งคืน พรุ่งนี้กินข้าวแต่เช้าแล้วเรารีบออกเดินทางกัน”

แสงพรายรับคำ แล้วปู่หลวงก็สั่งหญิงสาวต่อทันที
“เจ้าก็ไปเตรียมเครื่องบูชาที่จะนำไปไหว้พระเจ้าสี่พระองค์วัดเชตุพน และพระขพุงด้วยนะ”

เขาหลวงอยู่ทางทิศใต้ของตัวเมืองสุโขทัย ห่างจากกำแพงเมืองด้านใต้ออกไปราว ๓๐๐ เส้น (๑๒ กิโลเมตร) มีลักษณะคล้ายองค์พระพุทธรูปนอนหงายขนาดใหญ่ยาว ๑๕๐ เส้น (๖ กม.) นอนทอดพระเศียรไปทางทิศใต้ ทอดพระบาทมาทางทิศเหนือ ทำให้ชาวเมืองยึดทิศใต้เป็นทิศเบื้องหัวนอน บนยอดเขามีพระขพุงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเมืองกราบไหว้บูชา แม้องค์พ่อขุนก็จัดขบวนแห่ช้างม้าขึ้นไปบวงสรวงสักการะเป็นประจำทุกปี

“ถ้าอย่างนั้น ข้าพเจ้าขอตัวไปทำความสะอาดเครื่องมือช่างต่อขอรับ” แสงพรายกล่าว เมื่อได้รับฟังคำสั่งชัดเจนแล้ว
“ไปเถอะ ค่อยๆ ทำงานของเจ้าไปแล้วกัน”

เมื่อลับร่างของเจ้าหนุ่มตรงมุมเรือนนอกชาน หญิงสาวก็เอ่ยขึ้นทันที
“ดูพ่อปู่จะเอ็นดูเขาเสียเหลือเกินนะ ถ้าเป็นคนอื่นเข้าไปขัดถูอยู่สองวันแล้วงานยังไม่เสร็จ คงโดนตำหนิไปแล้ว”
“จะมีใครเข้าไปได้ล่ะ ห้องนั้นข้าอนุญาตให้พ่อพิธานเข้าไปได้เพียงคนเดียว นี่ถ้าไม่ใช่พ่อพราย ข้าก็ต้องใช้พ่อของเอ็งนั่นแหละเป็นคนทำความสะอาด... ยังไงก็ต้องเตรียมเครื่องมือเครื่องไม้กันแล้ว”

“นี่ถ้าพ่อปู่อนุญาตให้พี่คำแปงเข้าไปทำความสะอาดในหอช่างได้ ก็จบเรื่องแล้ว”
นางกล่าวถึง “คำแปง” ศิษย์คนโปรดของบิดาตน ก่อนแบะปาก กล่าวต่อว่า
“อีกสองวันก็ไม่รู้จะเสร็จหรือเปล่า เห็นทำงานเหมือนคนเกียจคร้านไม่มีแรง วันๆ จะทำได้สักกี่ชิ้น... พ่อปู่ไม่เห็นหรือว่าบางทีก็เอาแต่เหม่อลอย”

“เหอะ เรื่องเหม่อลอยข้าก็เห็น...” ชายชรารับคำให้รู้ว่าตนไม่ได้เห็นดีเห็นงามไปเสียทั้งหมด แล้วแจงต่อว่า “นั่งเหม่อเหมือนคนอมทุกข์ แต่ฝีมืองานนั้นเขารับผิดชอบดี เครื่องมือชิ้นไหนเสียก็จัดการซ่อมแซมจนคืนกลับมาดี ชิ้นไหนทื่อ ปลายทู่ ก็จัดการลับฝนให้คมให้แหลม การขัดการลงน้ำมันก็สะอาดหมดจด ประณีต เห็นชัดว่าเป็นคนตั้งใจทำงาน... นอกจากพ่อของเจ้า ข้าไม่เคยเห็นช่างคนไหนจะละเอียดรอบคอบและตั้งใจทำงานเหมือนพ่อหนุ่มคนนี้”

“ฉันขอไปสั่งคนให้เตรียมข้าวของสำหรับงานพรุ่งนี้ก่อนละ”
นางตัดบทและลุกออกจากเรือนทันที ด้วยไม่อยากฟังพ่อปู่ของนางสาธยายถึงความดีความวิเศษของชายหนุ่มผู้มาใหม่ ผู้ที่นางไม่ถูกชะตา

---------------------------------------

“ฉันเตรียมเครื่องมือและสิ่งของสำหรับพรุ่งนี้เสร็จหมดแล้ว แม่พิไลลองดูก่อนว่าขาดเหลืออะไรอีก” น้าหมานกล่าวขึ้นหลังจากใช้เวลาทั้งช่วงบ่ายจัดการสิ่งของตามที่แม่เรือนสำนักบ้านเงินบ้านทองสั่ง

หญิงสาวตรวจดูสิ่งของต่างๆ ที่วางกองอยู่บนแคร่ มีถุงผ้าดิบเตรียมไว้สำหรับบรรจุสิ่งของ นางจับโน่นจับนี่ แล้วกล่าวขึ้นกับอีกคนว่า
“จุก อย่าลืมเก็บดอกไม้ตามที่สั่งแต่เช้าตรู่ด้วยนะ”
“ไม่ลืมหรอกจ้ะ” จุกที่ยืนอยู่ข้างๆ น้าหมานรับคำ “ได้ยินว่าพี่แสงพรายจะไปด้วยใช่ไหม หมู่นี้ดูปู่หลวงจะเรียกใช้ใกล้ชิดตลอด”

หญิงสาวถลึงตา กล่าวทันที
“ก็คนใหม่ ไม่ประสีประสาอะไร ก็ต้องเรียกมาอยู่ใกล้ตัว จะได้คอยสั่งคอยสอนไม่ให้ทำอะไรผิดพลาดเสียหาย ก็แค่นั้น”

น้าหมานพาซื่อกล่าวแย้งขึ้น
“เอ ข้าว่าปู่หลวงคงจะเอ็นดูเป็นพิเศษกระมัง คนอื่นสมัยที่มาอยู่ใหม่ๆ ก็ไม่เห็นปู่หลวงจะให้อยู่รับใช้ใกล้ชิดอย่างนี้ นี่ก็ให้เข้าไปในห้องเก็บเครื่องมือชั้นครูด้วย ขนาดคำแปงยังไม่ได้เข้าไปเลย”

พิไลกระแทกปลายด้ามจอบที่จับอยู่ทิ้งลงบนแคร่ เสียงที่กล่าวออกมาก็กระแทกกระทั้นเช่นกัน
“นี่จะมาอะไรกันนักกันหนา งานเสร็จแล้วก็ไปช่วยแม่ผินเตรียมกับข้าวกับปลากันเถอะ จะมามัวยืนสนใจคนที่ไม่รู้หัวนอนปลายตีนอยู่ได้”

ยังดีที่นางลากเสียงทอดยาวในตอนท้าย ทำให้ไม่ดูขึ้งเคียดก้าวร้าวกับคู่สนทนาที่อายุแก่กว่า กล่าวแล้วนางก็ผลุนผลันจากไป ปล่อยให้น้าหมานยืนพึมพำด้วยอาการงุนงง
“นี่เค้าเป็นอะไรของเขา ดูเหมือนจะไม่ชอบพ่อพรายเอาซะเลย”

“อ้าว น้าหมานไม่รู้หรือ พี่พิไลเค้าไม่ชอบพี่พราย เขาว่าพี่พรายหยิ่งยะโส ฉันได้ยินพูดบ่นให้คนในครัวฟัง” เด็กหนุ่มกล่าวเบาๆ ราวไม่อยากให้ใครมาได้ยิน ทั้งที่ยืนกันอยู่เพียงสองคนในบริเวณ
“จริงเหรอ ไอ้จุก”

“ก็จริงนะสิน้า เขาบอกว่าพี่พรายคอตั้งหน้าเชิด ตั้งแต่วันแรกที่เหยียบสำนักเข้ามาแล้ว เขาอุตส่าห์ออกไปรับที่ปากประตูด้วยตนเอง แต่กลับไม่มองหน้า ไม่พูดจาทักทาย เหมือนกับว่ามาพบปู่หลวงเพียงคนเดียว คนที่เหลือไม่อยู่ในสายตา”
“เฮ้ย มันจะอะไรกันขนาดนั้น... ข้าว่าแม่พิไลจะคิดไปเองหรือเปล่า ข้าก็เห็นพ่อพรายเขาพูดจากับข้าดี มีสัมมาคารวะให้ตลอด”

“ก็นั่นสิ แต่ฉันก็สังเกตนะ พี่พรายนี่ถ้าใครไม่ไปยุ่งกับเขา เขาก็ไม่ยุ่งด้วยนะ คอยแต่จะเก็บตัวอยู่เงียบๆ”
“ก็มีแต่พวกสาวๆ ละ ที่ชอบเข้าไปสุงสิงกับพ่อพรายเขา... พวกผู้ชายก็เกรงๆ กันจนเกร็งไปหมด เห็นเป็นหลานศิษย์ของพี่ชายปู่หลวง...” แล้วน้าหมานก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “เออ แล้วเอ็งเอามุ้งอีกหลังไปให้พ่อพรายหรือยัง เดี๋ยวพอบุญจันมันกลับมาพ่อพรายจะไม่มีมุ้งนอน”

น้าหมานพูดถึงบุญจันเพื่อนร่วมเรือนพักอีกคนของแสงพรายซึ่งตอนนี้ไม่อยู่ในสำนัก

“โถ.. พี่พรายเขานอนในมุ้งเสียที่ไหนกัน ฉันเข้าไปดูในห้องแกปูที่นอนแยกต่างหากไม่ได้เข้าไปนอนทับที่ของพี่บุญจัน มุ้งก็ไม่ได้ปลดย้ายมากาง”
“อ้าว... ยังงี้ไม่โดนยุงกัดจนลายแย่เหรอ ยิ่งฤดูนี้ด้วย”

“ก็ดูตามแขนตามตัวพี่เขาสิ มีรอยยุงกัดเสียที่ไหนล่ะ มีแต่รอยแผลเป็น...”

---------------------------------------

วันรุ่งขึ้นหลังจากรีบรับอาหารเช้าแข่งกับแสงทองที่ทอทาบฟ้า ปู่หลวงก็พาพิธาน แสงพราย น้าหมานและช่างของสำนักอีกสองคนขึ้นม้าซึ่งพาดถุงผ้าบรรจุสัมภาระอยู่ข้างลำตัว ทั้งยังนำม้าที่ไม่มีคนขี่อีกหนึ่งตัวออกจากสำนัก มุ่งสู่วัดเชตุพนเป็นลำดับแรก

จากสำนักบ้านเงินบ้านทองเดินม้าย้อนแสงเข้าหาพระอาทิตย์เลียบตามคูแม่โจนมาจนถึงประตูศาลหลวง ซึ่งเป็นประตูเข้าเมืองทางทิศเหนือ ขณะผ่านเข้าไปแสงพรายสังเกตเห็นกำแพงเมืองที่ก่อขึ้นสามชั้น มีคูน้ำขุดกั้นกลางระหว่างกำแพงแต่ละชั้น

จากประตูศาลหลวงเดินตรงเข้าสู่กลางเมือง ด้านขวามือเป็นดงตาลใหญ่ซึ่งองค์พ่อขุนใช้สำหรับประชุมชาวเมือง ถัดไปสักระยะหนึ่งจึงเป็นวัดมหาธาตุวัดใหญ่ประจำกรุงสุโขทัย ใจกลางเมืองเป็นเขตวัง ปู่หลวงจึงพาคณะลงจากหลังม้าแล้วจูงอ้อมไปทางทิศตะวันออก ซึ่งปู่หลวงบอกแสงพรายว่ามีวัดตระพังทองที่สำนักบ้านเงินบ้านทองกำลังดำเนินงานบูรณะซ่อมแซมอยู่ แต่เดินไปไม่ถึงวัดดังกล่าวก็วกเลี้ยวกลับลงสู่ทิศใต้ไปออกประตูนะโมอันเป็นประตูเมืองทิศนั้น หลังออกจากเมืองแล้วก็ควบม้าตรงไปอีกราว ๒๕ เส้น (๑ กิโลเมตร) จึงถึงวัดเชตุพนอยู่ทางฝั่งขวามือ

ปู่หลวงให้ทุกคนผูกม้าไว้ที่ลานนอกวัด ไหว้วานฝากม้าและสัมภาระไว้กับผู้คนที่อยู่อาศัยในละแวกนั้น เมื่อเดินผ่านกำแพงชั้นนอกที่ก่อด้วยอิฐถือปูนเข้าไปสักระยะ จึงเป็นซุ้มประตูหินชนวนขนาดใหญ่ เมื่อลอดช่องประตูไปจึงเห็นคูที่ล้อมรอบทั้งสี่ทิศ พร้อมหินชนวนแผ่นใหญ่ที่ทอดเป็นสะพานข้ามคูเข้าสู่บริเวณภายใน เบื้องหน้าปรากฏพระวิหารก่อด้วยหินชนวน ยกเสาศิลาแลง

แสงพรายยังจำติดตาเมื่อครั้งไปไหว้พระวัดพระพายหลวง ฉากหลังของพระวิหารคือพระปรางค์ใหญ่ ๓ องค์ แต่สิ่งที่ปรากฏแก่สายตายามนี้คือพระมณฑปองค์ใหญ่โผล่พ้นยอดพระวิหารขึ้นมา เห็นพระเศียรขนาดใหญ่ของพระพุทธรูปลอยเด่นอยู่

เมื่อเดินอ้อมไปยังมณฑปที่อยู่ด้านหลังพระวิหาร จึงเห็นพระพุทธรูปปางลีลาองค์ใหญ่ประทับยืนอยู่ทางมณฑปด้านทิศตะวันออก ที่แท้เป็นพระเศียรที่เมื่อครู่เห็นลอยเด่นอยู่พ้นยอดพระวิหาร... ทุกทิศรอบพระมณฑปรายล้อมด้วยพระพุทธรูปลักษณะสวยงามขนาดใหญ่ มีพระพุทธรูปประทับนั่งอยู่ทางทิศเหนือ พระพุทธรูปประทับยืนอยู่ทางทิศตะวันตก และพระพุทธรูปนอนอยู่ทางทิศใต้ แสงพรายจึงเข้าใจคำกล่าวของปู่หลวงที่บอกว่าจะมาไหว้พระเจ้าสี่พระองค์ คงหมายถึงพระพุทธรูปสี่อิริยาบถรอบพระมณฑปของวัดเชตุพน

“ปู่หลวงขอรับ ข้าพเจ้าสังเกตลักษณะการสร้างพระวิหารของวัดที่สุโขทัย มักจะสร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือรูปเคารพขนาดใหญ่ไว้เป็นฉากหลังขององค์พระวิหาร เป็นเช่นนั้นโดยทั่วไปหรือขอรับ”
แสงพรายเอ่ยถามผู้อาวุโสหลังจากกราบไหว้สักการะพระพุทธรูปทั้งสี่องค์เสร็จแล้ว

“เจ้าคงเทียบเคียงกับวัดพระพายหลวงที่ไปมาเมื่อสามสี่วันก่อนละสิ ก็ไม่ใช่ทุกวัดที่เป็นเช่นนั้นเสมอไปหรอก” ชายชรากล่าวตอบด้วยใจเอ็นดู
“ทำไมที่วัดพระพายหลวงจึงปลูกสร้างเป็นพระปรางค์อยู่หลังองค์พระวิหาร หรือว่าวัดนั้นจะเคยเป็นวัดในนิกายมหายานแบบพราหมณ์มาก่อน”

“อืม เจ้าเข้าใจถูกแล้ว บริเวณวัดพระพายหลวงคือเขตชุมชนเมืองสุโขทัยในสมัยโบราณ มีคูแม่โจนเป็นคูเมืองล้อมรอบทั้งสี่ทิศ สมัยก่อนนั้นชาวเมืองยังนับถือพระพุทธศาสนาในนิกายมหายานปนด้วยวัฒนธรรมพราหมณ์ เจ้าจึงเห็นปรางค์องค์ใหญ่สร้างปรากฏอยู่ ณ ที่นั้น”

“ถ้าอย่างนั้นพวกพราหมณ์แต่ก่อนก็พำนักกันอยู่แถวนั้น”
“ถูกต้อง พวกพราหมณ์ร่ายพระเวทย์ต่างๆ ก็มีอาศรมพำนักกันอยู่ภายในคูแม่โจนนั่นแหละ”

แสงพรายได้ฟังแล้วนิ่งไปชั่วครู่ คล้ายชั่งใจในสิ่งที่จะกล่าวต่อ จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า
“ข้าพเจ้าเคยได้ยินมาว่า มีพราหมณ์คนหนึ่งนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดจากแดนใต้มาประทับซ่อนอยู่บนขื่อคาในวิหารพระพายหลวง ไม่รู้ว่าเรื่องนี้เป็นมาอย่างไร....”

ร่างของปู่หลวงสะท้านขึ้น พลันเพ่งสายตาจับจ้องใบหน้าของชายหนุ่มก่อนถามกลับไปว่า
“ที่เจ้ากล่าวมา เขาโจษจันกันในแดนใต้หรืออย่างไร”

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่