ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๔๐ แสงพรายกับทองที่สูญหาย

.
                                                  

บทที่ ๔๐ แสงพรายกับทองที่สูญหาย

จากวัดศรีชุมไปเบื้องทิศตะวันตก ลับเข้าไปตามแนวป่า...
มีลำธารน้ำใสไหลเชี่ยวด้วยเป็นปลายฤดูฝน น้ำหลาก ผืนดินชุ่มน้ำ ทั่วบริเวณมีแต่ความเย็นชื้น


แสงพรายคว่ำร่างอยู่ในลำธาร มีเพียงส่วนศีรษะที่ผงกขึ้นมาหายใจเหนือผิวน้ำ ร่างพระเถระชรายืนค้ำอยู่ด้านข้าง น้ำลึกเพียงช่วงเอวจึงเห็นร่างท่อนบนของท่านอยู่พ้นน้ำ หากแต่มือทั้งสองกลับจมอยู่ใต้น้ำกดไล่ไปตามร่องกระดูกของชายหนุ่ม สีหน้าของแสงพรายมีแววเจ็บปวดแต่สะกดกลั้นไว้ ปากสั่นระริกด้วยความเย็นเยือกของสายน้ำในยามรุ่งสาง...

การรักษาของพระเถรตานไฟแบ่งเป็นประคบสมุนไพรร้อนซึ่งกระทำที่กุฏิของท่านภายในวัด และการดื่มกินสมุนไพรไฟเย็น เมื่อดื่มกินเข้าไปธาตุร้อนธาตุเย็นจะแยกขั้วกันอย่างรุนแรง... ส่วนที่เป็นกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นจะกำเริบด้วยอาการปวดแสบปวดร้อน ในขณะที่ส่วนกระดูกจะชำแรกด้วยไอเย็นยะเยือก ต้องแช่กายในสายธารน้ำเย็นเพื่อให้ประสาทสัมผัสชาด้าน... ผสานการจัดเส้นเอ็นเเละโครงกระดูกให้กลับสู่ตำแหน่งสมดุล

เป็นหนึ่งคืนที่เเสนทุกข์ทรมานในสายน้ำ...
แม้พระเถระจะชราภาพมาก แต่นิ้วของท่านยามกดชำแรกเข้าไปในกล้ามเนื้อตรงช่องระหว่างซี่กระดูก คล้ายแท่งเหล็ก ๕ แท่งที่สลับเข้าไปกดคีบ ไล่ดึงกระดูกแต่ละท่อน เอ็นแต่ละเส้น... สร้างความเจ็บปวดยิ่งนัก

“เอาละ เช้านี้พอเท่านี้ก่อน พอกลับถึงวัดช่วงบ่ายเราจะเริ่มประคบร้อนให้เจ้าต่อ... ความร้อนเย็นที่เกิดจากฤทธิ์สมุนไพรไฟเย็นอีกไม่นานคงจะระงับลง เจ้ารอให้ร่างกายผ่อนคลายก่อนแล้วค่อยขึ้นจากน้ำ”

เพราะต้องกำกับสั่งชายหนุ่มอย่างละเอียดใกล้ชิดมาหลายเพลา สรรพนามเรียกหาจึงลดช่องว่างระหว่างพระภิกษุและฆราวาสลงไป ใช้คำประหนึ่งพระภิกษุสงฆ์กล่าวต่อลูกศิษย์ที่ปรนนิบัติรับใช้

พระเถระทรงกายฝ่ากระแสน้ำขึ้นฝั่ง ส่วนแสงพรายคล้ายคนสิ้นเรี่ยวแรงอยู่ในสายน้ำ ไม่นานอาการร้อนเย็นภายในร่างกายก็ทุเลา ทิ้งไว้แต่อาการปวดระบมของกล้ามเนื้อและกระดูก จึงค่อยประคองตัวจับยึดโขดหินใต้น้ำลากจูงสังขารขึ้นมาบนฝั่ง แล้วเอนตัวทอดกายลงบนเนินหินใหญ่ก้อนหนึ่งริมลำธาร
สักครู่จึงได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งกึ่งเดินกึ่งวิ่งแหวกแนวพุ่มเถาวัลย์ริมลำธารเข้ามา

“ข้านำอาหารมาแล้วขอรับ หลวงลุง”

เป็นเสียงชายกลางคน... น้ำเสียงคุ้นหูจนชายหนุ่มที่นอนแผ่ร่างบนเนินหินต้องหันคอมองไปยังต้นเสียง
...นายอุ่นเมือง

เป็นชายที่แสงพรายช่วยงมขึ้นมาจากจมน้ำในลำคลองเมื่อหลายวันก่อน

“เป็นไงบ้างล่ะพ่อพราย แช่อยู่ในน้ำเย็นทั้งคืน ขนาดวันก่อนข้าแช่น้ำคลองไม่นานยังเกือบจะเป็นตะคริวจริงๆ เลย...”

ชายที่ชื่ออุ่นเมืองยิ้มกว้างให้แสงพราย แล้วก็จัดแจงปูผ้าลงบนลานหินใกล้ๆ เอาอาหารที่ใส่ในภาชนะมาจัดวางลงเป็นวง จากนั้นจึงนิมนต์พระมหาเถรตานไฟให้ฉันอาหาร แล้วเจ้าตัวก็คอยปรนนิบัติรับใช้พระคุณเจ้าโดยแทบจะไม่สนใจชายหนุ่มอีกเลย

แสงพรายมองดูกิริยาอาการที่บ่งบอกถึงความใกล้ชิดและความศรัทธาที่อุ่นเมืองมีต่อพระเถระชรา ภาพเลือนๆ บางอย่างกลับปรากฏชัดขึ้นในสำนึก...
อุ่นเมืองคือผู้ที่รับคำสั่งของพระมหาเถรตานไฟให้มาทดสอบตน แสร้งทำเป็นจมน้ำเพื่อดูว่าตนจะช่วยเหลือและละเมิดคำสัตย์หรือไม่...ทั้งหมดนี้คงเป็นการทดสอบถึงคุณธรรมและสัจจะของตน

แสงพรายพริ้มตาหลับลงไปด้วยความอ่อนเพลีย...พร้อมกับสำนึกแห่งความอิ่มเอมในคุณค่าแห่งตนเอง คุณค่าที่โดดเดี่ยวและอ้างว้างตลอดการเดินทางเสาะหาองค์ตุมพะทะนานทอง... ไม่มีใครรับรู้... “แม้แต่นางก็ไม่รับรู้...”

ในความฝันอันเลือนราง แว่วเสียงน้ำ เสียงคลื่นซัด... ภาพวงหน้าของหญิงสาวที่งดงามไร้ตำหนิ รอยแย้มยิ้มอันละมุน...พลันมีหยดน้ำอาบแก้ม ใบหน้าเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด ดวงตาฉายแววอาฆาตมาดร้ายสะกดแสงพรายจนแน่นิ่ง ลมหายใจติดขัด... เมื่อละออกจากดวงตาแรงกล้าคู่นั้น ภาพดวงหน้าหนึ่งปรากฏขึ้น.. เป็นใบหน้าที่งดงามเจิดจรัสชวนลุ่มหลงของหญิงสาวอีกคน รอยยิ้มและดวงตาช่างสดใสบริสุทธ์... สุดท้ายกลับกลายเป็นแววตาที่เจ็บปวดและอาฆาตดุจเดียวกัน...

ชายหนุ่มสะท้านร่างขึ้น

“ตื่นมารับอาหารเถอะ เจ้ามีเรื่องต้องกลับสำนักไปสะสาง”
เสียงแหบแห้งของพระเถระชราปลุกแสงพรายตื่นจากภวังค์หลับใหล

เมื่อลืมตาขึ้น จากมุมเฉียงชันของลำแสงที่ลอดช่องแมกไม้เข้ามาก็รู้ว่าเป็นเวลาสายแล้ว ที่แท้แสงพรายหลับไปยาวนานทีเดียว หลับจนเมื่อพลิกกายลุกขึ้นมาก็รู้สึกตัวเบา อาการปวดระบมหายไปเกือบหมด เพียงรู้สึกอ่อนเพลียและหิวโหยเป็นอย่างยิ่ง

“เอ้า พ่อพราย นี่เป็นอาหารส่วนของพ่อพราย” นายอุ่นเมืองพูดเชิญชวน
“มีเรื่องใดที่สำนักหรือขอรับ” ชายหนุ่มกล่าวถามพระเถระชรา

“เจ้ากลับไปยังสำนักคงจะรู้ความจริงเอง จงจำไว้เจ้าอยู่ในช่วงปรับธาตุเชื่อมเส้นเอ็น ภายใน ๓ วันนี้จะไร้สิ้นเรี่ยวแรง และห้ามฝืนใช้พลังธาตุในร่างเป็นอันขาด มิเช่นนั้นเอ็นที่ประสานเชื่อมไว้จะเสื่อมสลาย ยากจะแก้ไขได้อีก”

พระมหาเถรตานไฟกล่าวเพียงเท่านั้นแล้วหันไปปรายตากับนายอุ่นเมือง เจ้าตัวจึงรีบบอกเล่าเรื่องที่ตนรู้มาทันที

“เมื่อวานช่วงบ่ายใกล้เย็น หลังจากที่ท่านกับหลวงลุงออกมายังป่าแห่งนี้แล้ว มีคนจากสำนักบ้านเงินบ้านทองมาตามหาท่านที่วัดศรีชุม บอกว่าชื่อพิธานเป็นพ่อครูของสำนัก มากับลูกศิษย์อีก ๒ คน เห็นว่ามีเรื่องสำคัญสาหัสนัก... ท่านเจ้าอาวาสบอกไปว่าท่านอยู่ท้ายวัดที่เป็นเขตต้องห้าม พอให้ศิษย์วัดไปตามไม่พบว่ามีใครอยู่ คนพวกนั้นจึงพากันรุกล้ำเข้าไป รอจนมืดค่ำไม่พบท่านก็ยิ่งร้อนใจ ก่อนลากลับได้สั่งไว้ หากพบท่านเมื่อใดให้ช่วยส่งคนไปแจ้งที่สำนักด้วย”

เมื่อเห็นแสงพรายขมวดคิ้ว เพ่งมองคล้ายคาดคั้น จึงขยายความต่อ

“เพราะหลวงลุงพาท่านมาที่นี่โดยมิได้บอกผู้ใด อีกทั้งเรื่องหลวงลุงอยู่ที่วัดศรีชุมก็ปกปิดเป็นความลับ ดังนั้นเมื่อท่านหายไปจึงยากที่จะอธิบาย ทางสำนักของท่านกลับเข้าใจว่าท่านหนีหายไปเสียแล้ว ตัวข้ามารู้เรื่องเอาเมื่อเช้าตอนเข้าวัดไปขอปันข้าวมาถวายหลวงลุง... ตอนที่ท่านหลับใหลข้าได้เล่าเรื่องนี้ให้หลวงลุงฟัง หลวงลุงบอกว่าปล่อยท่านหลับไปก่อน พอให้ตัวยาได้ประสานกระดูกและเส้นเอ็นเสียบ้าง... ส่วนสาเหตุที่ทางสำนักมาตามท่านกลับไป ทางโน้นมิยอมปริปากบอก”

“ถ้าถึงกับครูพิธานมาด้วยตนเอง คงต้องเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นที่สำนักเป็นแน่” ชายหนุ่มพึมพำ ใจนั้นอยากโจนทะยานกลับสำนักโดยด่วน คนที่ตนเป็นห่วงที่สุดคือปู่หลวงแสงคำ

“เจ้ารีบกินข้าวจะได้มีแรง อย่าเพิ่งได้คิดสิ่งใดไกลเกินตัว.. สิ่งไหนเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องเป็นไป...” พระมหาเถรตานไฟกล่าวเตือนสติดั่งรู้ใจชายหนุ่ม
“เราไม่รีบปลุกเจ้า เพราะต้องการให้เจ้าฟื้นแรง จะเผชิญกับปัญหาก็ต้องอาศัยปัญญาและกำลัง”

แสงพรายมองพระเถระชรา พยุงกายไปเบื้องหน้าตรงชุดอาหาร แล้วก้มหน้าก้มตารับข้าวที่ตระเตรียมไว้ให้ รสชาตินั้นเฝื่อนติดคอ แต่ต้องกล้ำกลืนฝืนกินลงไปโดยเร็ว

“แสงพรายเอยแสงพราย... ชีวิตเราจะสั้นหรือจะยาว มิมีผู้ใดบอกได้ เรื่องราวที่รออยู่ข้างหน้า จะมาเป็นทุกข์ไยในลมหายใจของปัจจุบัน... ข้าวเหล่านี้จงรับให้ได้รสชาติเหมือนดั่งข้าวของมื้อวันวานเถิด...”

กล่าวแล้วพระเถระตานไฟก็เดินละจากไป ทิ้งให้แสงพรายอยู่กับนายอุ่นเมืองในป่าริมลำธารเพียงสองคน

“พระคุณเจ้ากล่าวเช่นนี้หมายความว่ากระไร” ชายหนุ่มอดถามกับนายอุ่นเมืองไม่ได้

“ข้าก็ไม่รู้หรอก... หลวงลุงคงอยากให้ท่านกินข้าวให้อร่อยเหมือนเมื่อวานก่อนที่ท่านจะรับรู้ว่ามีปัญหากระมัง... ว่าแต่ท่านรู้แล้วหรือว่าเป็นปัญหาอะไร ถึงทำท่าทางฝืนใจกินนัก... แล้วปัญหานี้มันจะแก้ได้ไหม...”

กลายเป็นอุ่นเมืองที่ถามกลับ...และยังถามต่ออีก

“แล้วถ้ามันแก้ไขไม่ได้ ท่านจะกินข้าวได้อร่อยอีกเมื่อไหร่ หรือต้องรอให้มันแก้ไขได้ลุล่วงเสียก่อน... แล้วถ้าสุดท้ายทุกปัญหามันสามารถถูกแก้ไขได้เล่า จะมัวมานั่งฝืนใจเค้นข้าวลงลำคอให้ชีวิตอับเฉาอยู่ทำไม...”

แสงพรายอดมองใบหน้าซื่อๆ ของอุ่นเมืองมิได้ พลางแอบนิยมชมเชย... ดูเหมือนชายผู้ใช้ชีวิตเรียบง่ายใกล้แนวป่าผู้นี้ จะเข้าใจและรู้จักใช้ชีวิตให้เป็นสุขกว่าตนมากนัก... พลันรู้สึกรสชาติอาหารในปากไม่ฝืดเฝื่อนเหมือนก่อนหน้าแล้ว

-----------------------------------

“เฮ้ย...ไอ้แสงพรายมาแล้ว...” เสียงตะโกนดังขึ้นทันทีที่เจ้าตัวโผล่ร่างผ่านประตูรั้วสำนักบ้านเงินบ้านทองเข้าไป

“รีบไปบอกพ่อครูเร็ว... เอ้า พวกเรารีบมา...”
“เตรียมมีดเตรียมไม้มาด้วย...”
เสียงร้องของพวกช่างในสำนักดังสับสน ไม่นานก็ปรี่เข้ามารุมล้อมแสงพรายไว้กลางลานหน้าเรือนใหญ่ ในมือแต่ละคนถือไม้ถือมีดดาบ มองมาด้วยแววตาโกรธแค้น แม้แต่คำเรียกหาก็เปลี่ยนไป...

“ไอ้แสงพราย บอกมาว่าเอาทองไปซ่อนไว้ที่ไหน” แม้แต่บุญจันเพื่อนร่วมเรือนนอนก็แปลกไป
แสงพรายกวาดมองพวกช่างที่รุมล้อม ต่างกระชับอาวุธมั่นอยู่ในมือ...

“พวกพี่ช่วยหลีกทางให้หน่อยเถอะ ข้าจะขึ้นไปพบปู่หลวง...”
“หึ...ยังโอหังเหมือนเดิม ไม่เคยเห็นหัวพวกข้าเลย ดีแต่ประจบประแจงปู่หลวง.. แต่คราวนี้คนทั้งสำนักเขารู้เช่นเห็นชาติหมดแล้ว รีบเอาทองมาคืนเสียดีๆ หรืออยากให้เลือดอาบหัวอีก.. เสียดาย คราวก่อนไม่โดนท่านขุนกาฬฟาดให้ตาย จะได้ไม่มาทำความพินาศวิบัติให้กับสำนักเรา...” ช่างคนหนึ่งร้องขึ้น ท่ามกลางคำสบถด่าแช่งแสงพรายของพวกพ้อง

แสงพรายพอจะคาดเดาเรื่องราวได้รางๆ ทองคงหายไปและตนกลายเป็นผู้ต้องสงสัย... ดูจากสภาพที่เกิดขึ้นแล้ว การที่จะพูดจากับเพื่อนร่วมสำนักให้รู้เรื่องคงเป็นไปได้ยาก มีแต่ขึ้นไปเจรจากับปู่หลวงหรือครูพิธานเท่านั้น... แต่แสงพรายคิดผิดถนัด

“รีบจับตัวมันไว้ อย่าให้มันหนี เอาไปผูกไว้ที่โรงช่าง แล้วค่อยสอบสวน” พลันที่ครูพิธานโผล่มาบนชานบันไดของเรือนใหญ่ เสียงสั่งการก็มาทันที
พวกช่างฮือเข้ามา โดยมีปลายดาบเสียดนำเข้าหาชายหนุ่มกลางวงล้อม

“ข้าขอพบปู่หลวง” แสงพรายตะโกนดัง ทิ้งเข่าทั้งสองลงกับพื้น
ชายหนุ่มยินยอมให้กุมตัวแต่กลับคาดไม่ถึงว่าความโกรธเกรี้ยวจะประดังสู่ร่างของตน...

“พลั่ก”
เสียงท่อนไม้แข็งฟาดลงที่สะบักหลัง แรงจนร่างแสงพรายทรุดเอียงไปข้างหน้า ก่อนจะถูกฟาดซ้ำอย่างหนักเข้าที่ก้านคอจนร่างคว่ำลงกับพื้น...



“จงหยุดเดี๋ยวนี้”
เสียงสตรีหนึ่งดังกังวานมาจากปากประตู เป็นน้ำเสียงของหญิงสาว...ที่แฝงด้วยอำนาจ

กลุ่มช่างที่กลุ้มรุมตีแสงพรายพลันหยุดยั้งมือ มองไปยังต้นเสียง
ที่เห็นคือดรุณีสาว อายุราว ๑๘-๑๙ ปี ในชุดชาวเมืองสีฟ้าอ่อน การแต่งกายบ่งบอกว่าเป็นลูกหลานพวกพ่อค้าที่มักแต่งกายสีเรียบสะอาดสดใส คาดสไบเฉียงซ้ายสีขาวปักริมสไบด้วยด้ายสีเขียวอ่อน เกล้าผมยกขึ้นรัดด้วยวงแหวนไม้เคลือบมุกสีเงินวาว

ดวงหน้าที่งดงามชวนมองของนางสะกดตรึงทุกผู้คนในลานหน้าเรือนหลังใหญ่ เมื่อนางเดินเยื้องย่างฝ่าเข้ามาเหล่าช่างต่างพากันหลีกห่างเปิดเป็นช่องให้ คล้ายหวาดในกิริยาและความสวยสง่าของนาง

ไม่มีผู้ใดทราบว่านางเป็นใคร เห็นแต่เบื้องหลังติดตามมาด้วยพิไล หลายคนเริ่มปรายตาเป็นเชิงถามกับพิไลถึงความเป็นมาของดรุณีนางนี้

ร่างของแสงพรายนอนคว่ำหมดสติอยู่กับพื้นกลางวงล้อม ดรุณีงามในชุดสีฟ้าอ่อนย่อร่างลงช้อนศีรษะพลิกตัวของแสงพรายขึ้นพาดกับตักของนาง เลือดที่หลั่งไหลพลันเปื้อนไปทั้งมือทั้งแขนและผ้านุ่งของนาง ใบหน้าที่ถูกพลิกหงายขึ้นมาชโลมอาบไปด้วยเลือด
นางนั้นฉวยปลายสไบเข้ามาเช็ดทั่วใบหน้าของชายหนุ่ม

“พวกท่านช่างใจร้ายนัก” เสียงกังวานสั่นเครือดังขึ้น
“มันเป็นโจร ขโมยของไป ไม่ฟาดให้ตายก็เป็นบุญนักแล้ว” เสียงช่างคนหนึ่งตะโกนขึ้น พร้อมกับเสียงรับลูก “ใช่ ใช่...” ดังต่อกันไป

“พวกท่านยังไม่ได้ไต่สวนจนรู้ความจริง แล้วเอาอำนาจใดมาทำร้ายเขา”

“ของหายไป ก็มีแต่มันคนเดียวที่ออกจากสำนัก แล้วก็หนีหายไป.. ถ้าไม่ใช่มันขโมยแล้วของที่หายมันไปอยู่ที่ไหนล่ะ” เสียงช่างตะโกนบอก กับอีกเสียงสนับสนุนขึ้นว่า

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่