สวัสดีทุกท่านค่ะ นวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของศิษย์พี่ทักขิเณจากพักตร์อสูร ผู้เขียนนำตัวอย่างมาให้ทดลองอ่านกันค่ะ
ขอบพระคุณทุกท่านที่แวะเข้ามานะคะ
ตอนก่อนหน้า
ปฐภูมิภักดิ์ (ทักขิเณ-อะเวรา) ... บทนำ
https://ppantip.com/topic/37975317
ปฐภูมิภักดิ์ (ทักขิเณ-อะเวรา) ... บทที่ 1
https://ppantip.com/topic/37975324
-------------------
บทที่ 2
อะเวรายืนหนาวสั่นอยู่หน้ากระท่อมบนยอดเขาของป่าใต้ มีหลังเดียวท่ามกลางเขานับร้อยยอดของเขตป่าหินสูงชัน สถานที่แห่งนี้อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ แต่เมื่อมองจากเมืองหลวงกลับค่อนมาทิศใต้เสียมาก อีกทั้งผู้คนนิยมเรียกสั้นๆ ถึงกลุ่มภูเขาหินที่เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่มบนยอดว่า ‘ป่าใต้’ บริเวณนี้จึงเป็นป่าใต้ของชาวสักกะนคร เรียกขานเช่นนี้นานมา
ที่นี่ห่างจากเมืองหลวงราวหนึ่งชั่วยามครึ่ง[1] สำหรับเดินเท้า ไม่ใกล้แต่ก็ไม่ไกลเกินไปนัก ขี่ม้ายิ่งไม่นาน อะเวรามาถึงตีนเขาราวปลายยามเช้าหรือเข้าต้นยามสาย แต่กว่าจะปีนป่ายมาถึงจุดนี้กลับล่วงเข้ายามเย็น ไม่ง่ายสักนิด
เธอยืนมองกระท่อมอย่างโง่งม หายใจหอบแรง
ก่อนนี้ไม่รู้จะไปที่ใด จึงลอยตัวตามน้ำ ดวงตามองท้องฟ้าทำตามคำสอนของท่านครู คือเมื่อใดตกน้ำให้เหยียดแขนทั้งสองขึ้น ชูเหนือศีรษะ กางขากางแขนออก หายใจเข้าให้เร็ว หายใจออกให้ช้ามากถึงมากที่สุด จากนั้นหายใจเข้าให้เร็ว แล้วผ่อนลมหายใจออกช้าๆ อีกครั้ง เป็นเช่นนี้ไม่ให้ขาด ปล่อยให้ล่องลอยไป ในหัวไร้สิ่งอื่นใด ว่างเปล่าไปหมด รู้แค่อย่าจม อย่าว่าย จะว่ายน้ำได้ก็ต่อเมื่อมั่นใจว่าใกล้ถึงฝั่ง หรือได้ที่ยึดเกาะแน่แล้วจึงมุ่งไป มิฉะนั้นจะกินแรง อาจตายกลางทาง แต่ท่านครูไม่บอกสักคำ การเอาหน้าสู้ฟ้าร่วมชั่วยามโดยไม่หลบแดดนั้นทำให้ใบหน้าแสบร้อนยิ่งนัก
ตลอดเวลาที่ลอยตัวอยู่ มีเพียงคำสอนของท่านครูที่ดังขึ้นในหัวไม่หยุด ภาพท่านยามอยู่ใกล้ฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งท้องหิวจึงพลิกดูรอบกาย มือเท้าตะกุยน้ำไปพลาง เห็นแมกไม้และหมู่ผาหินคุ้นตาจึงตัดสินใจไปยังจุดนัดพบเดิม มองรอบกายว่าปลอดภัยแน่แล้วจึงขึ้นฝั่ง ปีนเขาอย่างยากลำบาก และได้มายืนอยู่ตรงหน้ากระท่อมนี้
อะเวรามองหาเจ้าของ เขาเป็นสหายของท่านครู อาศัยอยู่ที่นี่ แต่วันนี้กลับไร้ความเคลื่อนไหว
เธอยืนอยู่ตรงนี้กว่าครู่หนึ่งแล้ว จนเมื่อเดินรอบกระท่อมอีกหน ก็ยิ่งแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แน่นอน แต่ถึงแม้ทั้งหิว ทั้งเหนื่อย ต้องการอาหารใส่ท้องมากเพียงใด ลึกๆ ในใจกลับไม่กล้าเข้าไป นึกถึงบุรุษผู้เป็นเจ้าของกระท่อมที่ได้สบตาเมื่อใดก็คล้ายจะถูกตัดหัวเมื่อนั้น เท้าที่จะก้าวก็หยุดฉับพลัน ขยับตัวไม่ออกทุกที
เด็กหญิงตัดสินใจนั่งรอตรงหน้าประตู หลังพิงไว้ เจ้าของกระท่อมอาจออกไปหาของป่า ก่อนค่ำคงกลับมา และน่าจะอีกไม่นาน
เธอเลื่อนห่อผ้าทั้งสองมาไว้ด้านหน้า กอดเอาไว้ระหว่างรอ ครั้นนึกขึ้นได้ว่าหนึ่งในห่อผ้าคือสิ่งใด น้ำตาก็ไหลออกมาอีกระลอก
จากร้องไห้เงียบๆ ก็เริ่มสะอื้นตัวโยน
แวบหนึ่งเธอรู้สึกกลัวสิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนฉับพลัน ขนลุกชันทั้งกาย กลัวผีหัวขาดขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล ยิ่งตามติดกันมาถึงที่นี่ แล้วจะตามมาคอยหลอกหลอนกันหรือไม่ จะตามถึงที่ไหน เมื่อไร แต่พอภาพท่านครูยามมีชีวิต ยามสอนสั่งดูแล หาข้าวหาปลาให้กิน อบรมให้ความเมตตาประหนึ่งบิดา ในใจก็ถามตนเองว่าจะกลัวท่านครูไปไย ความดีของท่านสมควรได้รับความหวาดกลัวจากเธอเป็นการตอบแทนอย่างนั้นหรือ
คิดได้เท่านี้ก็ร้องไห้โฮ ซุกหน้ากับห่อผ้าที่บรรจุศีรษะของท่านครู ใช้แขนหนึ่งปิดปากตนเองเพื่อกั้นเสียง หวาดกลัวซึ่งไม่รู้ว่าหวาดกลัวสิ่งใดกันแน่ ภาพทหารไล่ฆ่าคนในสักกะนครเมื่อยามดึกยังผุดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นยิ่งยากจะหยุดน้ำตาได้ บอกตัวเองว่าผีสางวิญญาณใดคงไม่น่ากลัวเท่าใจมนุษย์อีกแล้ว คนที่มีชีวิตต่างหากที่น่ากลัว วิญญาณหรือผีป่านางไพรจะทำร้ายคนได้เท่ากับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรกัน!
ภาพทุกอย่างติดตา
ว้าเหว่ สับสน ไม่รู้ทางไป
ในอกเจ็บหนึบ จุกไปหมด กลัวไปหมดทุกอย่างเมื่อไม่มีท่านครูอยู่ด้วย
ร้องไห้สะอึกสะอื้นเช่นนั้น
กระทั่งพระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ แสงรอบด้านจางลง ยังไร้วี่แววความเคลื่อนไหวจากเจ้าของกระท่อม อะเวราจึงลุกขึ้นยืน ไม่ลืมตรวจสอบห่อผ้าทั้งสอง เลื่อนปมไว้ตรงอก ให้สัมภาระอยู่ด้านหลัง แน่นหนาดีแล้วจึงเดินรอบกระท่อมอีกครั้ง ใช้แขนปาดน้ำตาไปพลาง สุดท้ายกลับมายืนอยู่หน้าประตู ตัดสินใจดึงมันออก เพื่อพบกับ...
ความว่างเปล่า?
โล่ง?
ไม่เหลือสิ่งใด?
ข้าวของเครื่องใช้ที่มีน้อยนิดหายไปหมด?
อะเวรายืนนิ่ง ตกตะลึงและตกใจ ถอยออกมาทันที หัวใจคล้ายหดเกร็งและเต้นแรงเร็ว ถอยหลังออกมามองป่ารอบตัวว่ามาผิดที่หรือไม่ ยอดเขาคนละลูกหรือเปล่า...แต่ก็ไม่ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปข้างในอีกครั้ง
ยืนขาสั่นอยู่กลางกระท่อมนี้ คิดทบทวนไปพลาง...
สิบวันก่อนยังมีหม้อดินเผาสำหรับทำแกง มีหินใหญ่สามก้อนสำหรับตั้งหม้อดิน ยังก่อไฟ มีเนื้อสัตว์ตากแห้งแขวนไว้ตรงฝากระท่อม มีโถหม้อดินปากกว้างสำหรับใส่ข้าวสาร มีตุ่มน้ำกินขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก มีบุรุษผู้เป็นสหายของท่านครูนั่งบนขอนไม้ คอยเขี่ยไฟตรงช่องว่างของหินสามก้อนนั้น สายตาจดจ่อเพียงน้ำในหม้อต้มที่ก้นหม้อเป็นสีดำเพราะคราบเขม่า กว่าจะหันมาสนทนากับท่านครูได้ก็ต้องรอให้น้ำเดือดและยกลงก่อน จึงค่อยลุกมาพูดคุย เป็นแบบเดียวกันทุกครั้งที่ได้มา จนเหมือนว่าเขากินนอนอยู่ที่นี่
ทว่ายามนี้กลับเหลือแค่กระท่อมเปล่าๆ หลังหนึ่ง ไม่มีสิ่งที่ว่าเหล่านั้นเลย
เด็กหญิงหมดแรง เข่าอ่อน ทรุดกายลงกับพื้น ในใจผุดคำถามว่าเขาหนีไปแล้วหรือ หรือมีเหตุร้ายใด ลงไปข้างล่างแล้วถูกจับตัว หรือถูกใครฆ่าตายช่วงกองทัพพวกนั้นประชิดพระนครหรือไม่ แต่อีกใจก็ค้านว่าหากเป็นเช่นนั้นจริง เครื่องใช้ควรอยู่ที่เดิม ทว่าที่นี่...ในยามนี้ กลับเหมือนไม่เคยมีคนอาศัยกินนอนมาก่อน เป็นเพียงกระท่อมบังแดดบังฝนชั่วคราวของนายพรานที่ขึ้นมาเท่านั้น
แต่มันผิดกับสภาพทุกครั้งที่เธอเคยมานี่นา
แล้วนั่น...ของสำคัญที่ท่านครูเคยฝังไว้จะเป็นอย่างไร
อะเวราลุกขึ้น วิ่งออกไปหากิ่งไม้นอกกระท่อมทันที วิ่งกลับเข้ามาใหม่ ลงมือขุดตรงตำแหน่งที่จำได้ว่าเคยฝังไว้มุมหนึ่งในกระท่อม ขุดอย่างเอาเป็นเอาตาย ขุดจนกิ่งไม้หักไปห้าท่อน ลึกประมาณหนึ่งศอก แต่กลับไม่พบสิ่งใด ทั้งที่ก่อนนี้กลบไว้ลึกราวหนึ่งฝ่ามือ
‘ถูกหักหลัง!’ คำนี้ผุดขึ้นทันที
เสียงสวบสาบทางด้านหลังเรียกให้หันมอง
อะเวราจะขว้างไม้ออกไป แต่บางอย่างกระแทกข้อมือจนไม้ร่วงลงข้างตัว ข้างแก้มเหมือนมีบางอย่างเฉียดผ่าน เธอมองตาม มันคือลูกธนูที่เหลือเพียงหางขาวๆ ให้เห็น เพราะส่วนหัวกับก้านเกือบทั้งหมดปักทะลุไปอีกฝั่งของผนังกระท่อมแล้ว
“อะเวรา เป็นเจ้าฤๅ” เสียงนั้นคล้ายโล่งอก “ท่านครูของเจ้าเล่า”
เด็กหญิงนั่งแหมะอย่างหมดแรง ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ขาสั่นพั่บๆ มองอีกฝ่ายเต็มตา
เขาคือเจ้าของกระท่อม กำลังลดมือลงข้างตัว ไม่อยู่ในท่าเตรียมยิงเช่นเดิม แขวนธนูไว้ที่บ่า
อะเวราพูดไม่ออกเมื่อได้ยินคำพูดของเขา คล้ายมีบางอย่างจุกตื้อในลำคอ หายใจไม่คล่องสักนิดเดียว จึงเลื่อนห่อผ้ามาไว้ด้านหน้าอย่างระมัดระวัง น้ำตาพลันรินไหลทั้งที่ไม่อยากให้ไหล
เงาใหญ่โตของเจ้าของกระท่อมเคลื่อนเข้ามาใกล้
เขาก้าวเข้ามาหา “เจ้ามาถึง...หมายความถึง รอนานรึไม่”
เด็กหญิงพยักหน้า
“ผู้เดียวฤๅ” เขาถาม
อะเวราไม่ตอบ ก้มหน้าแกะปมของห่อผ้า น้ำตากบตา มองสิ่งใดไม่ชัดเจน จนต้องกะพริบตาเร็วๆ น้ำตาอุ่นๆ ไหลรดแก้ม ไม่นานนักใบหน้าก็เปียกชุ่ม ทุกอย่างพร่ามัว กะพริบตาอย่างไรก็ไล่ออกไปไม่หมดเสียที ใช้หลังมือปาดน้ำตาไปเงียบๆ และพอมองอีกฝ่าย จึงเห็นว่าที่เขาขยับตัวเมื่อครู่คือย่อกายลง คุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้น จนใบหน้านั้นอยู่ระดับเดียวกัน
เจ้าของกระท่อมมองทุกความเคลื่อนไหว
เธอมองอีกฝ่าย ขยับห่อผ้าในอ้อมแขนตนเมื่อแกะเสร็จ เมื่อเปิดห่อผ้าออก ก็เห็นใบหน้าคุ้นเคยแต่ดวงตากลับหลับพริ้ม สีผิวซีดเซียวยิ่งนัก คล้ายหลับอยู่ในอ้อมแขนของเธอนี้ นั่นทำให้ต้องกัดริมฝีปาก มันสั่นระริกจนทำให้ตัวสั่นไปด้วย เธอประคองอย่างระมัดระวัง ครั้นใช้มือหนึ่งลูบแก้มท่านครูก็เย็นชืดเย็นจัด ผิวกระด้างอย่างยิ่ง
อะเวรามองเจ้าของกระท่อมทั้งเนื้อตัวสั่นเทา พยายามจะบอกแต่ก็พูดไม่ได้ จึงได้แค่มองอีกฝ่ายเงียบๆ
เจ้าของกระท่อมก้มหน้า คุกเข่าทั้งสองกับพื้น ไม่นานนักก็เงยหน้ามองเธอ สีหน้านั้นเรียบเฉย อะเวราพยายามอดทน พยายามไม่อ่อนแอให้ผู้ใดเห็น
เขาพูด “ขออภัย ขออภัย...ที่กลับมาช่วยมิทันกาล” เป็นน้ำเสียงบอกชัดว่าเสียใจ
อะเวราปล่อยโฮ กอดศีรษะท่านครูไว้แน่น ก้มหน้าลงแนบหน้าผากของท่าน น้ำตาหยดร่วง เปรอะเปื้อนท่านครูไปด้วยแล้ว แต่มันไม่นุ่ม ไม่อุ่นเช่นที่เคยได้สัมผัสมา
(มีต่อ)
ปฐภูมิภักดิ์ (ทักขิเณ-อะเวรา) ... บทที่ 2 ... [นวนิยาย]
ขอบพระคุณทุกท่านที่แวะเข้ามานะคะ
ตอนก่อนหน้า
ปฐภูมิภักดิ์ (ทักขิเณ-อะเวรา) ... บทนำ https://ppantip.com/topic/37975317
ปฐภูมิภักดิ์ (ทักขิเณ-อะเวรา) ... บทที่ 1 https://ppantip.com/topic/37975324
-------------------
บทที่ 2
อะเวรายืนหนาวสั่นอยู่หน้ากระท่อมบนยอดเขาของป่าใต้ มีหลังเดียวท่ามกลางเขานับร้อยยอดของเขตป่าหินสูงชัน สถานที่แห่งนี้อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ แต่เมื่อมองจากเมืองหลวงกลับค่อนมาทิศใต้เสียมาก อีกทั้งผู้คนนิยมเรียกสั้นๆ ถึงกลุ่มภูเขาหินที่เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่มบนยอดว่า ‘ป่าใต้’ บริเวณนี้จึงเป็นป่าใต้ของชาวสักกะนคร เรียกขานเช่นนี้นานมา
ที่นี่ห่างจากเมืองหลวงราวหนึ่งชั่วยามครึ่ง[1] สำหรับเดินเท้า ไม่ใกล้แต่ก็ไม่ไกลเกินไปนัก ขี่ม้ายิ่งไม่นาน อะเวรามาถึงตีนเขาราวปลายยามเช้าหรือเข้าต้นยามสาย แต่กว่าจะปีนป่ายมาถึงจุดนี้กลับล่วงเข้ายามเย็น ไม่ง่ายสักนิด
เธอยืนมองกระท่อมอย่างโง่งม หายใจหอบแรง
ก่อนนี้ไม่รู้จะไปที่ใด จึงลอยตัวตามน้ำ ดวงตามองท้องฟ้าทำตามคำสอนของท่านครู คือเมื่อใดตกน้ำให้เหยียดแขนทั้งสองขึ้น ชูเหนือศีรษะ กางขากางแขนออก หายใจเข้าให้เร็ว หายใจออกให้ช้ามากถึงมากที่สุด จากนั้นหายใจเข้าให้เร็ว แล้วผ่อนลมหายใจออกช้าๆ อีกครั้ง เป็นเช่นนี้ไม่ให้ขาด ปล่อยให้ล่องลอยไป ในหัวไร้สิ่งอื่นใด ว่างเปล่าไปหมด รู้แค่อย่าจม อย่าว่าย จะว่ายน้ำได้ก็ต่อเมื่อมั่นใจว่าใกล้ถึงฝั่ง หรือได้ที่ยึดเกาะแน่แล้วจึงมุ่งไป มิฉะนั้นจะกินแรง อาจตายกลางทาง แต่ท่านครูไม่บอกสักคำ การเอาหน้าสู้ฟ้าร่วมชั่วยามโดยไม่หลบแดดนั้นทำให้ใบหน้าแสบร้อนยิ่งนัก
ตลอดเวลาที่ลอยตัวอยู่ มีเพียงคำสอนของท่านครูที่ดังขึ้นในหัวไม่หยุด ภาพท่านยามอยู่ใกล้ฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งท้องหิวจึงพลิกดูรอบกาย มือเท้าตะกุยน้ำไปพลาง เห็นแมกไม้และหมู่ผาหินคุ้นตาจึงตัดสินใจไปยังจุดนัดพบเดิม มองรอบกายว่าปลอดภัยแน่แล้วจึงขึ้นฝั่ง ปีนเขาอย่างยากลำบาก และได้มายืนอยู่ตรงหน้ากระท่อมนี้
อะเวรามองหาเจ้าของ เขาเป็นสหายของท่านครู อาศัยอยู่ที่นี่ แต่วันนี้กลับไร้ความเคลื่อนไหว
เธอยืนอยู่ตรงนี้กว่าครู่หนึ่งแล้ว จนเมื่อเดินรอบกระท่อมอีกหน ก็ยิ่งแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แน่นอน แต่ถึงแม้ทั้งหิว ทั้งเหนื่อย ต้องการอาหารใส่ท้องมากเพียงใด ลึกๆ ในใจกลับไม่กล้าเข้าไป นึกถึงบุรุษผู้เป็นเจ้าของกระท่อมที่ได้สบตาเมื่อใดก็คล้ายจะถูกตัดหัวเมื่อนั้น เท้าที่จะก้าวก็หยุดฉับพลัน ขยับตัวไม่ออกทุกที
เด็กหญิงตัดสินใจนั่งรอตรงหน้าประตู หลังพิงไว้ เจ้าของกระท่อมอาจออกไปหาของป่า ก่อนค่ำคงกลับมา และน่าจะอีกไม่นาน
เธอเลื่อนห่อผ้าทั้งสองมาไว้ด้านหน้า กอดเอาไว้ระหว่างรอ ครั้นนึกขึ้นได้ว่าหนึ่งในห่อผ้าคือสิ่งใด น้ำตาก็ไหลออกมาอีกระลอก
จากร้องไห้เงียบๆ ก็เริ่มสะอื้นตัวโยน
แวบหนึ่งเธอรู้สึกกลัวสิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนฉับพลัน ขนลุกชันทั้งกาย กลัวผีหัวขาดขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล ยิ่งตามติดกันมาถึงที่นี่ แล้วจะตามมาคอยหลอกหลอนกันหรือไม่ จะตามถึงที่ไหน เมื่อไร แต่พอภาพท่านครูยามมีชีวิต ยามสอนสั่งดูแล หาข้าวหาปลาให้กิน อบรมให้ความเมตตาประหนึ่งบิดา ในใจก็ถามตนเองว่าจะกลัวท่านครูไปไย ความดีของท่านสมควรได้รับความหวาดกลัวจากเธอเป็นการตอบแทนอย่างนั้นหรือ
คิดได้เท่านี้ก็ร้องไห้โฮ ซุกหน้ากับห่อผ้าที่บรรจุศีรษะของท่านครู ใช้แขนหนึ่งปิดปากตนเองเพื่อกั้นเสียง หวาดกลัวซึ่งไม่รู้ว่าหวาดกลัวสิ่งใดกันแน่ ภาพทหารไล่ฆ่าคนในสักกะนครเมื่อยามดึกยังผุดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นยิ่งยากจะหยุดน้ำตาได้ บอกตัวเองว่าผีสางวิญญาณใดคงไม่น่ากลัวเท่าใจมนุษย์อีกแล้ว คนที่มีชีวิตต่างหากที่น่ากลัว วิญญาณหรือผีป่านางไพรจะทำร้ายคนได้เท่ากับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรกัน!
ภาพทุกอย่างติดตา
ว้าเหว่ สับสน ไม่รู้ทางไป
ในอกเจ็บหนึบ จุกไปหมด กลัวไปหมดทุกอย่างเมื่อไม่มีท่านครูอยู่ด้วย
ร้องไห้สะอึกสะอื้นเช่นนั้น
กระทั่งพระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ แสงรอบด้านจางลง ยังไร้วี่แววความเคลื่อนไหวจากเจ้าของกระท่อม อะเวราจึงลุกขึ้นยืน ไม่ลืมตรวจสอบห่อผ้าทั้งสอง เลื่อนปมไว้ตรงอก ให้สัมภาระอยู่ด้านหลัง แน่นหนาดีแล้วจึงเดินรอบกระท่อมอีกครั้ง ใช้แขนปาดน้ำตาไปพลาง สุดท้ายกลับมายืนอยู่หน้าประตู ตัดสินใจดึงมันออก เพื่อพบกับ...
ความว่างเปล่า?
โล่ง?
ไม่เหลือสิ่งใด?
ข้าวของเครื่องใช้ที่มีน้อยนิดหายไปหมด?
อะเวรายืนนิ่ง ตกตะลึงและตกใจ ถอยออกมาทันที หัวใจคล้ายหดเกร็งและเต้นแรงเร็ว ถอยหลังออกมามองป่ารอบตัวว่ามาผิดที่หรือไม่ ยอดเขาคนละลูกหรือเปล่า...แต่ก็ไม่ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปข้างในอีกครั้ง
ยืนขาสั่นอยู่กลางกระท่อมนี้ คิดทบทวนไปพลาง...
สิบวันก่อนยังมีหม้อดินเผาสำหรับทำแกง มีหินใหญ่สามก้อนสำหรับตั้งหม้อดิน ยังก่อไฟ มีเนื้อสัตว์ตากแห้งแขวนไว้ตรงฝากระท่อม มีโถหม้อดินปากกว้างสำหรับใส่ข้าวสาร มีตุ่มน้ำกินขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก มีบุรุษผู้เป็นสหายของท่านครูนั่งบนขอนไม้ คอยเขี่ยไฟตรงช่องว่างของหินสามก้อนนั้น สายตาจดจ่อเพียงน้ำในหม้อต้มที่ก้นหม้อเป็นสีดำเพราะคราบเขม่า กว่าจะหันมาสนทนากับท่านครูได้ก็ต้องรอให้น้ำเดือดและยกลงก่อน จึงค่อยลุกมาพูดคุย เป็นแบบเดียวกันทุกครั้งที่ได้มา จนเหมือนว่าเขากินนอนอยู่ที่นี่
ทว่ายามนี้กลับเหลือแค่กระท่อมเปล่าๆ หลังหนึ่ง ไม่มีสิ่งที่ว่าเหล่านั้นเลย
เด็กหญิงหมดแรง เข่าอ่อน ทรุดกายลงกับพื้น ในใจผุดคำถามว่าเขาหนีไปแล้วหรือ หรือมีเหตุร้ายใด ลงไปข้างล่างแล้วถูกจับตัว หรือถูกใครฆ่าตายช่วงกองทัพพวกนั้นประชิดพระนครหรือไม่ แต่อีกใจก็ค้านว่าหากเป็นเช่นนั้นจริง เครื่องใช้ควรอยู่ที่เดิม ทว่าที่นี่...ในยามนี้ กลับเหมือนไม่เคยมีคนอาศัยกินนอนมาก่อน เป็นเพียงกระท่อมบังแดดบังฝนชั่วคราวของนายพรานที่ขึ้นมาเท่านั้น
แต่มันผิดกับสภาพทุกครั้งที่เธอเคยมานี่นา
แล้วนั่น...ของสำคัญที่ท่านครูเคยฝังไว้จะเป็นอย่างไร
อะเวราลุกขึ้น วิ่งออกไปหากิ่งไม้นอกกระท่อมทันที วิ่งกลับเข้ามาใหม่ ลงมือขุดตรงตำแหน่งที่จำได้ว่าเคยฝังไว้มุมหนึ่งในกระท่อม ขุดอย่างเอาเป็นเอาตาย ขุดจนกิ่งไม้หักไปห้าท่อน ลึกประมาณหนึ่งศอก แต่กลับไม่พบสิ่งใด ทั้งที่ก่อนนี้กลบไว้ลึกราวหนึ่งฝ่ามือ
‘ถูกหักหลัง!’ คำนี้ผุดขึ้นทันที
เสียงสวบสาบทางด้านหลังเรียกให้หันมอง
อะเวราจะขว้างไม้ออกไป แต่บางอย่างกระแทกข้อมือจนไม้ร่วงลงข้างตัว ข้างแก้มเหมือนมีบางอย่างเฉียดผ่าน เธอมองตาม มันคือลูกธนูที่เหลือเพียงหางขาวๆ ให้เห็น เพราะส่วนหัวกับก้านเกือบทั้งหมดปักทะลุไปอีกฝั่งของผนังกระท่อมแล้ว
“อะเวรา เป็นเจ้าฤๅ” เสียงนั้นคล้ายโล่งอก “ท่านครูของเจ้าเล่า”
เด็กหญิงนั่งแหมะอย่างหมดแรง ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ขาสั่นพั่บๆ มองอีกฝ่ายเต็มตา
เขาคือเจ้าของกระท่อม กำลังลดมือลงข้างตัว ไม่อยู่ในท่าเตรียมยิงเช่นเดิม แขวนธนูไว้ที่บ่า
อะเวราพูดไม่ออกเมื่อได้ยินคำพูดของเขา คล้ายมีบางอย่างจุกตื้อในลำคอ หายใจไม่คล่องสักนิดเดียว จึงเลื่อนห่อผ้ามาไว้ด้านหน้าอย่างระมัดระวัง น้ำตาพลันรินไหลทั้งที่ไม่อยากให้ไหล
เงาใหญ่โตของเจ้าของกระท่อมเคลื่อนเข้ามาใกล้
เขาก้าวเข้ามาหา “เจ้ามาถึง...หมายความถึง รอนานรึไม่”
เด็กหญิงพยักหน้า
“ผู้เดียวฤๅ” เขาถาม
อะเวราไม่ตอบ ก้มหน้าแกะปมของห่อผ้า น้ำตากบตา มองสิ่งใดไม่ชัดเจน จนต้องกะพริบตาเร็วๆ น้ำตาอุ่นๆ ไหลรดแก้ม ไม่นานนักใบหน้าก็เปียกชุ่ม ทุกอย่างพร่ามัว กะพริบตาอย่างไรก็ไล่ออกไปไม่หมดเสียที ใช้หลังมือปาดน้ำตาไปเงียบๆ และพอมองอีกฝ่าย จึงเห็นว่าที่เขาขยับตัวเมื่อครู่คือย่อกายลง คุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้น จนใบหน้านั้นอยู่ระดับเดียวกัน
เจ้าของกระท่อมมองทุกความเคลื่อนไหว
เธอมองอีกฝ่าย ขยับห่อผ้าในอ้อมแขนตนเมื่อแกะเสร็จ เมื่อเปิดห่อผ้าออก ก็เห็นใบหน้าคุ้นเคยแต่ดวงตากลับหลับพริ้ม สีผิวซีดเซียวยิ่งนัก คล้ายหลับอยู่ในอ้อมแขนของเธอนี้ นั่นทำให้ต้องกัดริมฝีปาก มันสั่นระริกจนทำให้ตัวสั่นไปด้วย เธอประคองอย่างระมัดระวัง ครั้นใช้มือหนึ่งลูบแก้มท่านครูก็เย็นชืดเย็นจัด ผิวกระด้างอย่างยิ่ง
อะเวรามองเจ้าของกระท่อมทั้งเนื้อตัวสั่นเทา พยายามจะบอกแต่ก็พูดไม่ได้ จึงได้แค่มองอีกฝ่ายเงียบๆ
เจ้าของกระท่อมก้มหน้า คุกเข่าทั้งสองกับพื้น ไม่นานนักก็เงยหน้ามองเธอ สีหน้านั้นเรียบเฉย อะเวราพยายามอดทน พยายามไม่อ่อนแอให้ผู้ใดเห็น
เขาพูด “ขออภัย ขออภัย...ที่กลับมาช่วยมิทันกาล” เป็นน้ำเสียงบอกชัดว่าเสียใจ
อะเวราปล่อยโฮ กอดศีรษะท่านครูไว้แน่น ก้มหน้าลงแนบหน้าผากของท่าน น้ำตาหยดร่วง เปรอะเปื้อนท่านครูไปด้วยแล้ว แต่มันไม่นุ่ม ไม่อุ่นเช่นที่เคยได้สัมผัสมา
(มีต่อ)