ครั้งแรก..ที่เข้าร่วมการประชุมผู้ปกครอง คุณครูชั้นอนุบาลพูดว่า...
" ลูกชายของคุณเป็นโรคอยู่ไม่สุข ไม่สามารถนั่งสงบนิ่งบนเก้าอี้ แม้เพียงสามนาที ให้ดีแล้ว ผมว่าคุณพาเขาไปตรวจเช็กที่โรงพยาบาลดีกว่าไหม "
ตอนเดินทางกลับบ้าน ลูกชายถามเธอว่า คุณครูพูดอะไรบ้าง เธอเจ็บปวดหัวใจ น้ำตาแทบจะไหลรินออกมา เพราะว่า..เด็กน้อยทั้งห้องสามสิบคน มีเพียงการกระทำ การปฏิบัติตัวของเขาแย่ที่สุด
คุณครูแสดงออกถึงความดูแคลน ทว่า.. เธอยังคงบอกกับลูกชายว่า
" คุณครูชื่นชมเธอ บอกว่า เดิมทีเธอไม่สามารถนั่งสงบนิ่งบนเก้าอี้แม้แต่นาทีเดียว ตอนนี้สามารถนั่งได้สามนาทีแล้ว ส่วนคุณแม่คนอื่นๆ ต่างก็อิจฉาแม่ เพราะว่า ทั้งห้องมีลูกเพียงคนเดียว ที่มีการพัฒนาที่ดีขึ้น "
ค่ำวันนั้น ลูกชายของเธอกินข้าวหมดสองถ้วย ซึ่งเป็นประวัติการณ์ อีกทั้งไม่ต้องให้เธอป้อน
ลูกชาย..ขึ้นชั้นประถมแล้ว การประชุมผู้ปกครอง คุณครูพูดว่า......
" นักเรียนทั้งชั้นห้าสิบคน ผลการสอบคณิตศาสตร์ครั้งนั้น ลูกชายของคุณได้อันดับที่สี่สิบ พวกเราสงสัยว่า สติปัญญาของเขาอาจจะมีปัญหา ให้ดีแล้วคุณพาเขาไปตรวจเช็กที่โรงพยาบาลนะ"
ระหว่างเดินทางกลับบ้าน น้ำตาเธอไหลรินออกมา ทว่า เมื่อกลับมาถึงบ้าน แล้ว กลับพูดกับลูกชายว่า....
" คุณครูเชื่อมั่นในตัวเธอมาก เขาบอกว่า เธอไม่ใช่เด็กที่โง่เขลา ขอเพียงแต่เพิ่มความละเอียดรอบคอบมากขึ้น ก็จะเหนือกว่า คนที่นั่งโต๊ะเดียวกันกับเธอ
ครั้งนี้..คนที่นั่งโต๊ะตัวเดียวกันกับเธอ เขาสอบได้อันดับที่ยี่สิบเอ็ด "
ตอนที่เธอพูดคำพูดเหล่านี้ เธอพบเห็นว่า......ดวงตาของลูกชาย ค่อยๆเปล่งประกายแสงยิ่งๆขึ้น ใบหน้าที่เศร้าสร้อยเมื่อครู่ก็ร่าเริงขึ้นมาทันที อีกทั้ง..เธอพบเห็นว่า ลูกชายอ่อนโยนจนทำให้เธอตกใจ คล้ายดั่งเขาได้เติบใหญ่ขึ้นมากในทันที วันรุ่งขึ้นไปโรงเรียน ก็ไปเช้ากว่าปกติ
ลูกชาย..ขึ้นชั้นมัธยมต้น เป็นอีกครั้งของการประชุมผู้ปกครอง เธอนั่งอยู่ในที่นั่งเรียนของลูกชาย รอคอยคุณครูขานชื่อของลูกชายเธอ เพราะว่าการประ ชุมผู้ปกครองทุกครั้งที่ผ่านมา รายชื่อของนักเรียนที่มีผลการเรียนย่ำแย่ จะมี รายชื่อของลูกชายเธอทุกครั้ง ทว่าครั้งนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของ
เธอ จวบจนสิ้นสุดก็ไม่ได้ยินชื่อของลูกชายเธอ เธอเกิดความไม่เคยชิน ก่อนกลับจึงไปถามคุณครู คุณครูบอกกับเธอว่า......
" ดูจากผลการเรียนของลูกคุณในปัจจุบันแล้ว หากไปสอบเข้าเรียนโรงเรียนมัธยมปลายที่มีชื่อเสียง ยังมีความเสี่ยงที่สูงอยู่ แต่เขาพัฒนาขึ้นมาก"
เธอเดินออกจากโรงเรียนด้วยความดีใจ ยามนี้เธอเห็นลูกชายยืนรอคอยเธออยู่ ระหว่างทางเธอจับไหล่ของลูกชาย ภายในจิตใจรู้สึกหวานชื่นยิ่ง เธอบอกกับลูกชายว่า.....
" คุณครูประจำชั้น พอใจในตัวเธอมาก เขาบอกแล้วว่า ขอเพียงลูกมีความพยายามก็จะมีหวังยิ่งขึ้น ที่จะสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายที่มีชื่อเสียง "
จบมัธยมปลายแล้ว รายชื่อนักเรียนชุดแรก ที่ทางมหาวิทยาลัยได้แจ้งผลการสอบผู้คัดเลือกได้ ยามนั้น..ทางโรงเรียนได้โทรศัพท์มา ให้ลูกชายเธอไปที่โรงเรียน เธอมีลางสังหรณ์ว่า ลูกชายของเธอจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแน่ เพราะว่า..ตอนที่ไปสมัครสอบเธอได้พูดกับลูกชายว่า เธอเชื่อ
และมั่นใจว่า เขาต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยนี้แน่นอน
ลูกชายกลับมาจากโรงเรียน นำจดหมายที่มีตราประทับ จากสำนักงานของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงโด่งดังยื่นให้เธอ จากนั้นเขาเดินมากอดแม่และก็ร่ำร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง ร้องไปก็พูดไปว่า
" แม่..ผมรู้ว่าผมไม่ใช่เด็กที่เฉลียวฉลาด แต่ว่า..บนโลกนี้ มีเพียงแม่เท่านั้นที่ดีกับผมเสมอและชื่น
ชมผมตลอดมา ขอบคุณครับแม่........ที่ทำให้ผมเกิดมา ขอบคุณที่ทำให้ผมเป็นคนได้อย่างภาคภูมิ และอนาคต แม่จะต้องภูมิใจในตัวผม."เขารู้แล้ว รู้เรื่องทั้งหมดจากที่ครูประจำชั้นเล่าให้ฟังว่าจริงๆแล้ว ท่านเคยพูดอะไรในตอนที่แม่ของเขาไปประชุมผู้ปกครองทุกครั้ง ครูรู้เพราะถามเขาว่าทำไมเขาถึงสอบได้ ถามว่าทำไมเขาเก่งขึ้น พอเขาเล่าให้ครูฟัง ครูเงียบไปพักใหญ่จากนั้น เรียกให้เขามานั่งใกล้ๆ แล้วจึงเล่าความจริงให้เขาฟัง นั่นยิ่งทำให้เขารับรู้ความรักอันยิ่งใหญ่ของผู้ที่เรียกว่าแม่...
ผู้เป็นแม่ ยามนี้..เธอสุดแสนจะดีใจ ไม่สามารถกลั้นน้ำตาที่อัดอั้นมาสิบกว่าปีอีกต่อไปแล้ว จึงปล่อยให้ไหลรินร่วงลงบนซองจดหมายที่อยู่ในมือ
คำพูด..ที่ให้กำลังใจ ให้การสนับสนุน สามารถแปรเปลี่ยนแนวคิด และพฤติกรรมของคนคนหนึ่ง แม้กระทั่งแปรเปลี่ยนโชคชะตาของคนคนหนึ่ง
คำพูด..เชิงลบ บั่นทอนกำลังใจ จะทิ่มแทงหัวใจและร่างกายของคนคนหนึ่ง จนบาดเจ็บชอกช้ำ จวบจนกระทั่งทำลายอนาคตของคนคนหนึ่ง
กำลังใจของแม่
" ลูกชายของคุณเป็นโรคอยู่ไม่สุข ไม่สามารถนั่งสงบนิ่งบนเก้าอี้ แม้เพียงสามนาที ให้ดีแล้ว ผมว่าคุณพาเขาไปตรวจเช็กที่โรงพยาบาลดีกว่าไหม "
ตอนเดินทางกลับบ้าน ลูกชายถามเธอว่า คุณครูพูดอะไรบ้าง เธอเจ็บปวดหัวใจ น้ำตาแทบจะไหลรินออกมา เพราะว่า..เด็กน้อยทั้งห้องสามสิบคน มีเพียงการกระทำ การปฏิบัติตัวของเขาแย่ที่สุด
คุณครูแสดงออกถึงความดูแคลน ทว่า.. เธอยังคงบอกกับลูกชายว่า
" คุณครูชื่นชมเธอ บอกว่า เดิมทีเธอไม่สามารถนั่งสงบนิ่งบนเก้าอี้แม้แต่นาทีเดียว ตอนนี้สามารถนั่งได้สามนาทีแล้ว ส่วนคุณแม่คนอื่นๆ ต่างก็อิจฉาแม่ เพราะว่า ทั้งห้องมีลูกเพียงคนเดียว ที่มีการพัฒนาที่ดีขึ้น "
ค่ำวันนั้น ลูกชายของเธอกินข้าวหมดสองถ้วย ซึ่งเป็นประวัติการณ์ อีกทั้งไม่ต้องให้เธอป้อน
ลูกชาย..ขึ้นชั้นประถมแล้ว การประชุมผู้ปกครอง คุณครูพูดว่า......
" นักเรียนทั้งชั้นห้าสิบคน ผลการสอบคณิตศาสตร์ครั้งนั้น ลูกชายของคุณได้อันดับที่สี่สิบ พวกเราสงสัยว่า สติปัญญาของเขาอาจจะมีปัญหา ให้ดีแล้วคุณพาเขาไปตรวจเช็กที่โรงพยาบาลนะ"
ระหว่างเดินทางกลับบ้าน น้ำตาเธอไหลรินออกมา ทว่า เมื่อกลับมาถึงบ้าน แล้ว กลับพูดกับลูกชายว่า....
" คุณครูเชื่อมั่นในตัวเธอมาก เขาบอกว่า เธอไม่ใช่เด็กที่โง่เขลา ขอเพียงแต่เพิ่มความละเอียดรอบคอบมากขึ้น ก็จะเหนือกว่า คนที่นั่งโต๊ะเดียวกันกับเธอ
ครั้งนี้..คนที่นั่งโต๊ะตัวเดียวกันกับเธอ เขาสอบได้อันดับที่ยี่สิบเอ็ด "
ตอนที่เธอพูดคำพูดเหล่านี้ เธอพบเห็นว่า......ดวงตาของลูกชาย ค่อยๆเปล่งประกายแสงยิ่งๆขึ้น ใบหน้าที่เศร้าสร้อยเมื่อครู่ก็ร่าเริงขึ้นมาทันที อีกทั้ง..เธอพบเห็นว่า ลูกชายอ่อนโยนจนทำให้เธอตกใจ คล้ายดั่งเขาได้เติบใหญ่ขึ้นมากในทันที วันรุ่งขึ้นไปโรงเรียน ก็ไปเช้ากว่าปกติ
ลูกชาย..ขึ้นชั้นมัธยมต้น เป็นอีกครั้งของการประชุมผู้ปกครอง เธอนั่งอยู่ในที่นั่งเรียนของลูกชาย รอคอยคุณครูขานชื่อของลูกชายเธอ เพราะว่าการประ ชุมผู้ปกครองทุกครั้งที่ผ่านมา รายชื่อของนักเรียนที่มีผลการเรียนย่ำแย่ จะมี รายชื่อของลูกชายเธอทุกครั้ง ทว่าครั้งนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของ
เธอ จวบจนสิ้นสุดก็ไม่ได้ยินชื่อของลูกชายเธอ เธอเกิดความไม่เคยชิน ก่อนกลับจึงไปถามคุณครู คุณครูบอกกับเธอว่า......
" ดูจากผลการเรียนของลูกคุณในปัจจุบันแล้ว หากไปสอบเข้าเรียนโรงเรียนมัธยมปลายที่มีชื่อเสียง ยังมีความเสี่ยงที่สูงอยู่ แต่เขาพัฒนาขึ้นมาก"
เธอเดินออกจากโรงเรียนด้วยความดีใจ ยามนี้เธอเห็นลูกชายยืนรอคอยเธออยู่ ระหว่างทางเธอจับไหล่ของลูกชาย ภายในจิตใจรู้สึกหวานชื่นยิ่ง เธอบอกกับลูกชายว่า.....
" คุณครูประจำชั้น พอใจในตัวเธอมาก เขาบอกแล้วว่า ขอเพียงลูกมีความพยายามก็จะมีหวังยิ่งขึ้น ที่จะสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายที่มีชื่อเสียง "
จบมัธยมปลายแล้ว รายชื่อนักเรียนชุดแรก ที่ทางมหาวิทยาลัยได้แจ้งผลการสอบผู้คัดเลือกได้ ยามนั้น..ทางโรงเรียนได้โทรศัพท์มา ให้ลูกชายเธอไปที่โรงเรียน เธอมีลางสังหรณ์ว่า ลูกชายของเธอจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแน่ เพราะว่า..ตอนที่ไปสมัครสอบเธอได้พูดกับลูกชายว่า เธอเชื่อ
และมั่นใจว่า เขาต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยนี้แน่นอน
ลูกชายกลับมาจากโรงเรียน นำจดหมายที่มีตราประทับ จากสำนักงานของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงโด่งดังยื่นให้เธอ จากนั้นเขาเดินมากอดแม่และก็ร่ำร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง ร้องไปก็พูดไปว่า
" แม่..ผมรู้ว่าผมไม่ใช่เด็กที่เฉลียวฉลาด แต่ว่า..บนโลกนี้ มีเพียงแม่เท่านั้นที่ดีกับผมเสมอและชื่น
ชมผมตลอดมา ขอบคุณครับแม่........ที่ทำให้ผมเกิดมา ขอบคุณที่ทำให้ผมเป็นคนได้อย่างภาคภูมิ และอนาคต แม่จะต้องภูมิใจในตัวผม."เขารู้แล้ว รู้เรื่องทั้งหมดจากที่ครูประจำชั้นเล่าให้ฟังว่าจริงๆแล้ว ท่านเคยพูดอะไรในตอนที่แม่ของเขาไปประชุมผู้ปกครองทุกครั้ง ครูรู้เพราะถามเขาว่าทำไมเขาถึงสอบได้ ถามว่าทำไมเขาเก่งขึ้น พอเขาเล่าให้ครูฟัง ครูเงียบไปพักใหญ่จากนั้น เรียกให้เขามานั่งใกล้ๆ แล้วจึงเล่าความจริงให้เขาฟัง นั่นยิ่งทำให้เขารับรู้ความรักอันยิ่งใหญ่ของผู้ที่เรียกว่าแม่...
ผู้เป็นแม่ ยามนี้..เธอสุดแสนจะดีใจ ไม่สามารถกลั้นน้ำตาที่อัดอั้นมาสิบกว่าปีอีกต่อไปแล้ว จึงปล่อยให้ไหลรินร่วงลงบนซองจดหมายที่อยู่ในมือ
คำพูด..ที่ให้กำลังใจ ให้การสนับสนุน สามารถแปรเปลี่ยนแนวคิด และพฤติกรรมของคนคนหนึ่ง แม้กระทั่งแปรเปลี่ยนโชคชะตาของคนคนหนึ่ง
คำพูด..เชิงลบ บั่นทอนกำลังใจ จะทิ่มแทงหัวใจและร่างกายของคนคนหนึ่ง จนบาดเจ็บชอกช้ำ จวบจนกระทั่งทำลายอนาคตของคนคนหนึ่ง