สวัสดีทุกท่านค่ะ นวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของศิษย์พี่ทักขิเณจากพักตร์อสูร ผู้เขียนนำตัวอย่างมาให้ทดลองอ่านกันค่ะ
ขอบพระคุณทุกท่านที่แวะเข้ามานะคะ
ตอนก่อนหน้า
ปฐภูมิภักดิ์ (ทักขิเณ-อะเวรา) ... บทนำ
https://ppantip.com/topic/37975317
-------------------
บทที่ 1
เสียงกรีดร้องร่ำไห้โหยหวนดังให้ได้ยิน เรือนหลังน้อยหลังใหญ่รอบกำแพงพระราชวังหลวงของสักกะนครถูกเผาผลาญด้วยเพลิงร้อนแรง เสียงไม้แตกเพราะถูกเผาลั่นเปรี๊ยะตลอดเวลา โดยรอบสว่างไสวไปด้วยเปลวเพลิง หากไม่มีคูน้ำกั้นไว้ บางทีไฟอาจลุกลามเข้าไปในเขตพระราชฐานก็เป็นได้ ทว่าความวุ่นวายโกลาหลภายนอกกลับไม่ปรากฏในรั้วพระราชวังหลวงสักนิดเดียว ในนั้นมืดสนิท เงียบราวกับไร้ผู้คน ไม่เห็นความเคลื่อนไหวใด กองทัพศัตรูบุกเข้าพระนครได้ตั้งแต่กลางดึก บัดนี้ใกล้รุ่งสาง เหตุการณ์วุ่นวายไม่มีทีท่าจะยุติ
เสียงอาวุธปะทะกันดังมาจากหลากหลายทิศทาง บางครั้งเหมือนใกล้ บางครั้งเหมือนไกล
อะเวรา...เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบแช่อยู่ในน้ำ เกาะโครงเรือที่คว่ำอยู่ไว้แน่น รอบด้านมืดมิด น้ำเย็นเยียบ หนาวสั่นอยู่เพียงลำพัง โชคดีที่ใต้ท้องเรือมีอากาศอยู่มาก ไม้กระดานวางพาดสำหรับนั่งถูกตอกไว้แน่นหนา จึงเอาแขนเกี่ยวคล้อง พอใช้เป็นที่ยึดเกาะโดยไม่กินแรงเกินไป อีกทั้งเรือขนาดใหญ่กว่าร่างกายพอสมควร จึงหลบซ่อนในนี้ได้โดยไม่ลำบาก
และหากไม่เคยเล่นซุกซนหลบหนี เกรงจะถูกท่านครูโบย ก็คงไม่รู้ว่าเรือพลิกคว่ำแต่ยังลอยอยู่สามารถใช้ซ่อนตัวได้ ครั้งนี้จึงหลบภัยใหญ่หลวงได้อย่างแนบเนียนทันกาล
อะเวราเฝ้าฟังเสียง กัดริมฝีปากไม่ให้ฟันกระทบกันกึกๆ มากเกินไป ด้านนอกคงใกล้รุ่งเต็มที จึงพานให้หนาวเย็นมากกว่าเดิม
เด็กหญิงไม่กล้าใช้ทางม้าทางเกวียน ถนนหนทางเต็มไปด้วยคนตาย เลือดนองพื้นราวกับมีฝนห่าใหญ่เทลงมาไม่นาน คูคลองเกลื่อนไปด้วยร่างไร้วิญญาณ เดิมหาที่หลบซ่อนยาก แต่ปัจจุบันกลับยากยิ่งกว่า
ไม่คิดเลยว่านครหลวงอันรุ่งเรืองของแดนเหนือจะแตกเร็วเพียงนี้
ก่อนหน้านั้น อะเวรายังนอนอยู่ในเรือนพำนักของท่านครู ครั้นได้ยินเสียงคนตะโกนว่า ‘ข้าศึกบุก หนี!’ ก็ดีดตัวขึ้นฉับพลัน หรืออาจเป็นเพราะท่านครูไม่อยู่ด้วยจึงหลับๆ ตื่นๆ นั่นทำให้หาทางหนีได้ทันเวลา หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะคนในพระนครรู้ดีว่าทัพของศัตรูตั้งค่ายล้อมไม่ห่างกำแพงเมืองมากนัก แม้เหล่าทหารจะปกป้องแข็งขัน แต่ศัตรูประชิดเหลือเกิน จึงมิอาจหลับตาได้สนิท
และในตอนนั้นที่ได้ยินเสียง เธอรีบคว้าห่อผ้าซึ่งเตรียมไว้ก่อนหน้า มัดสะพายแล่งติดตัว กอดไว้แน่น ของสำคัญอื่นถูกฝังไว้ก่อนนี้แล้ว เหลือเพียงของจำเป็นตามที่ท่านครูกำชับและจัดไว้ สั่งว่าอย่าทำหาย ให้นำห่อสัมภาระนี้ติดตัวไปทุกแห่ง อย่าได้ห่างกาย ให้หนีทันทีหากเกิดเหตุร้ายขณะท่านไม่อยู่ แล้วไปพบกันยังจุดนัดหมาย
ตอนนั้นอาศัยร่องไม้ตรงจุดหนึ่งของพื้นเรือนนอนมุดลงมา มีขนาดพอดีตัวผู้ใหญ่คนหนึ่ง ท่านครูเป็นคนทำช่องนี้ไว้ ไม่ลืมดึงแผ่นไม้มาปิดเช่นเดิมเพื่อความแนบเนียน จากนั้นดูลาดเลาบริเวณใต้พื้นเรือนอย่างระมัดระวัง
และอาจเป็นเพราะเรือนยกพื้นไม่สูงนัก ประกอบกับความมืดที่มีอยู่มาก ร่างกายก็เล็กกระจ้อยร่อย นุ่งผ้าสีเข้มตามคำกำชับของท่านครู ซึ่งท่านย้ำเสมอในช่วงหลัง เผื่อหลบหนียามราตรีจะได้ไม่สะดุดตา พรางกายในความมืดได้ ครั้งนี้จึงไม่สะดุดตาผู้คน
อะเวราคลานเข่า พ้นจากใต้ถุนเรือน พ้นตาทหารที่บุกเข้ามา ก็วิ่งลัดเลาะไปยังทิศทางหนึ่ง หนีพ้นขณะที่คนอื่นหนีไม่พ้น
เธอเห็นบางคนถูกจับตัว บางคนถูกฆ่าทันที บางคนก็ถูกย่างสดเพราะลงจากเรือนไม่ทัน
เสียงคนต่อสู้ดังขึ้นเรื่อยๆ เริ่มใกล้เข้ามา ทั้งที่เธอวิ่งไม่ได้หยุด
ใกล้แล้วก็เหมือนใกล้เข้ามาอีก
ที่ดังไกลๆ ก็เริ่มใกล้เข้ามาเช่นกัน
เกิดการปะทะไล่หลัง
เสียงฝีเท้าม้าไล่ล่าผู้คนดังมาอีกระลอก
ผู้คนกรีดร้องชัดหู
เสียงอาวุธดัง ‘เคร้งๆ’ เริ่มถี่มากขึ้นทุกขณะ
เด็กหญิงวิ่งหนี...และหนี เหนื่อยหอบแต่ไม่กล้าหยุด ได้ยินเสียงสับสนอลหม่าน ผู้คนแตกตื่นยิ่งนัก เสียงม้าหวีดแหลมไล่หลัง ดังกุบกับใกล้ตัวมาก
อะเวราเห็นพงหญ้าข้างทางจึงพุ่งตัวเข้าไปทันที หลบตรงนั้น หมอบต่ำ มองหาต้นเสียง คอแห้งเป็นผง หายใจแทบไม่ทันจนต้องหายใจทางปากช่วย เหนื่อยใจแทบขาด
ความมืดที่เคยมีก่อนนั้นเริ่มหายไป ถูกแทนที่ด้วยแสงไฟจากเพลิงเผาเรือน
ครั้นเห็นว่าพวกทหารศัตรูบังคับม้าไปอีกทาง ห่างตัวพอสมควร จึงลุกขึ้นวิ่งหนีอีกครั้ง หวาดกลัวจับใจ ลึกๆ รู้เพียงต้องมุ่งไปยังพระราชวังหลวงเท่านั้น ท่านครูอยู่ที่นั่น ถูกเรียกตัวเข้าพบตั้งแต่ยามค่ำ หากพบท่านครู...เธอจะรอด
แต่วิ่งหนีได้ไม่กี่อึดใจ เสียงกรีดร้องของสตรีคนหนึ่งก็ดังทางด้านหลังค่อนไปซ้ายมือ
เด็กน้อยเหลียวมอง
ต้นเสียงอยู่ไม่ใกล้แต่ก็ไม่ไกล ทหารกลุ่มหนึ่งขี่ม้าตวัดทวน บ้างแกว่งดาบ พวกมันฟันอาวุธเข้าที่แผ่นหลังของชาวบ้านที่กำลังหนี บ้างบั่นคอ จนคล้ายเห็นผีหัวขาดกำลังมองมา
ขนลุกไปหมด
‘ฆ่า! อย่าให้มันแย่งชิงอาหารของพวกเจ้า อย่าให้มันกินใช้สิ่งของที่จักเป็นของพวกเจ้า อดอยากขาดสตรีก็สมสู่ให้หมดอยากแต่ไว จากนั้นฆ่า!’
อะเวรายิ่งขนลุกชัน พวกมันไม่เก็บเชลยไว้ให้เปลืองอาหาร!
หนี!
แต่เหมือนจะมีทหารนายหนึ่งหันมาทางนี้
(มีต่อ)
นวนิยาย : ปฐภูมิภักดิ์ (ทักขิเณ-อะเวรา) ... บทที่ 1
ขอบพระคุณทุกท่านที่แวะเข้ามานะคะ
ตอนก่อนหน้า
ปฐภูมิภักดิ์ (ทักขิเณ-อะเวรา) ... บทนำ https://ppantip.com/topic/37975317
-------------------
บทที่ 1
เสียงกรีดร้องร่ำไห้โหยหวนดังให้ได้ยิน เรือนหลังน้อยหลังใหญ่รอบกำแพงพระราชวังหลวงของสักกะนครถูกเผาผลาญด้วยเพลิงร้อนแรง เสียงไม้แตกเพราะถูกเผาลั่นเปรี๊ยะตลอดเวลา โดยรอบสว่างไสวไปด้วยเปลวเพลิง หากไม่มีคูน้ำกั้นไว้ บางทีไฟอาจลุกลามเข้าไปในเขตพระราชฐานก็เป็นได้ ทว่าความวุ่นวายโกลาหลภายนอกกลับไม่ปรากฏในรั้วพระราชวังหลวงสักนิดเดียว ในนั้นมืดสนิท เงียบราวกับไร้ผู้คน ไม่เห็นความเคลื่อนไหวใด กองทัพศัตรูบุกเข้าพระนครได้ตั้งแต่กลางดึก บัดนี้ใกล้รุ่งสาง เหตุการณ์วุ่นวายไม่มีทีท่าจะยุติ
เสียงอาวุธปะทะกันดังมาจากหลากหลายทิศทาง บางครั้งเหมือนใกล้ บางครั้งเหมือนไกล
อะเวรา...เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบแช่อยู่ในน้ำ เกาะโครงเรือที่คว่ำอยู่ไว้แน่น รอบด้านมืดมิด น้ำเย็นเยียบ หนาวสั่นอยู่เพียงลำพัง โชคดีที่ใต้ท้องเรือมีอากาศอยู่มาก ไม้กระดานวางพาดสำหรับนั่งถูกตอกไว้แน่นหนา จึงเอาแขนเกี่ยวคล้อง พอใช้เป็นที่ยึดเกาะโดยไม่กินแรงเกินไป อีกทั้งเรือขนาดใหญ่กว่าร่างกายพอสมควร จึงหลบซ่อนในนี้ได้โดยไม่ลำบาก
และหากไม่เคยเล่นซุกซนหลบหนี เกรงจะถูกท่านครูโบย ก็คงไม่รู้ว่าเรือพลิกคว่ำแต่ยังลอยอยู่สามารถใช้ซ่อนตัวได้ ครั้งนี้จึงหลบภัยใหญ่หลวงได้อย่างแนบเนียนทันกาล
อะเวราเฝ้าฟังเสียง กัดริมฝีปากไม่ให้ฟันกระทบกันกึกๆ มากเกินไป ด้านนอกคงใกล้รุ่งเต็มที จึงพานให้หนาวเย็นมากกว่าเดิม
เด็กหญิงไม่กล้าใช้ทางม้าทางเกวียน ถนนหนทางเต็มไปด้วยคนตาย เลือดนองพื้นราวกับมีฝนห่าใหญ่เทลงมาไม่นาน คูคลองเกลื่อนไปด้วยร่างไร้วิญญาณ เดิมหาที่หลบซ่อนยาก แต่ปัจจุบันกลับยากยิ่งกว่า
ไม่คิดเลยว่านครหลวงอันรุ่งเรืองของแดนเหนือจะแตกเร็วเพียงนี้
ก่อนหน้านั้น อะเวรายังนอนอยู่ในเรือนพำนักของท่านครู ครั้นได้ยินเสียงคนตะโกนว่า ‘ข้าศึกบุก หนี!’ ก็ดีดตัวขึ้นฉับพลัน หรืออาจเป็นเพราะท่านครูไม่อยู่ด้วยจึงหลับๆ ตื่นๆ นั่นทำให้หาทางหนีได้ทันเวลา หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะคนในพระนครรู้ดีว่าทัพของศัตรูตั้งค่ายล้อมไม่ห่างกำแพงเมืองมากนัก แม้เหล่าทหารจะปกป้องแข็งขัน แต่ศัตรูประชิดเหลือเกิน จึงมิอาจหลับตาได้สนิท
และในตอนนั้นที่ได้ยินเสียง เธอรีบคว้าห่อผ้าซึ่งเตรียมไว้ก่อนหน้า มัดสะพายแล่งติดตัว กอดไว้แน่น ของสำคัญอื่นถูกฝังไว้ก่อนนี้แล้ว เหลือเพียงของจำเป็นตามที่ท่านครูกำชับและจัดไว้ สั่งว่าอย่าทำหาย ให้นำห่อสัมภาระนี้ติดตัวไปทุกแห่ง อย่าได้ห่างกาย ให้หนีทันทีหากเกิดเหตุร้ายขณะท่านไม่อยู่ แล้วไปพบกันยังจุดนัดหมาย
ตอนนั้นอาศัยร่องไม้ตรงจุดหนึ่งของพื้นเรือนนอนมุดลงมา มีขนาดพอดีตัวผู้ใหญ่คนหนึ่ง ท่านครูเป็นคนทำช่องนี้ไว้ ไม่ลืมดึงแผ่นไม้มาปิดเช่นเดิมเพื่อความแนบเนียน จากนั้นดูลาดเลาบริเวณใต้พื้นเรือนอย่างระมัดระวัง
และอาจเป็นเพราะเรือนยกพื้นไม่สูงนัก ประกอบกับความมืดที่มีอยู่มาก ร่างกายก็เล็กกระจ้อยร่อย นุ่งผ้าสีเข้มตามคำกำชับของท่านครู ซึ่งท่านย้ำเสมอในช่วงหลัง เผื่อหลบหนียามราตรีจะได้ไม่สะดุดตา พรางกายในความมืดได้ ครั้งนี้จึงไม่สะดุดตาผู้คน
อะเวราคลานเข่า พ้นจากใต้ถุนเรือน พ้นตาทหารที่บุกเข้ามา ก็วิ่งลัดเลาะไปยังทิศทางหนึ่ง หนีพ้นขณะที่คนอื่นหนีไม่พ้น
เธอเห็นบางคนถูกจับตัว บางคนถูกฆ่าทันที บางคนก็ถูกย่างสดเพราะลงจากเรือนไม่ทัน
เสียงคนต่อสู้ดังขึ้นเรื่อยๆ เริ่มใกล้เข้ามา ทั้งที่เธอวิ่งไม่ได้หยุด
ใกล้แล้วก็เหมือนใกล้เข้ามาอีก
ที่ดังไกลๆ ก็เริ่มใกล้เข้ามาเช่นกัน
เกิดการปะทะไล่หลัง
เสียงฝีเท้าม้าไล่ล่าผู้คนดังมาอีกระลอก
ผู้คนกรีดร้องชัดหู
เสียงอาวุธดัง ‘เคร้งๆ’ เริ่มถี่มากขึ้นทุกขณะ
เด็กหญิงวิ่งหนี...และหนี เหนื่อยหอบแต่ไม่กล้าหยุด ได้ยินเสียงสับสนอลหม่าน ผู้คนแตกตื่นยิ่งนัก เสียงม้าหวีดแหลมไล่หลัง ดังกุบกับใกล้ตัวมาก
อะเวราเห็นพงหญ้าข้างทางจึงพุ่งตัวเข้าไปทันที หลบตรงนั้น หมอบต่ำ มองหาต้นเสียง คอแห้งเป็นผง หายใจแทบไม่ทันจนต้องหายใจทางปากช่วย เหนื่อยใจแทบขาด
ความมืดที่เคยมีก่อนนั้นเริ่มหายไป ถูกแทนที่ด้วยแสงไฟจากเพลิงเผาเรือน
ครั้นเห็นว่าพวกทหารศัตรูบังคับม้าไปอีกทาง ห่างตัวพอสมควร จึงลุกขึ้นวิ่งหนีอีกครั้ง หวาดกลัวจับใจ ลึกๆ รู้เพียงต้องมุ่งไปยังพระราชวังหลวงเท่านั้น ท่านครูอยู่ที่นั่น ถูกเรียกตัวเข้าพบตั้งแต่ยามค่ำ หากพบท่านครู...เธอจะรอด
แต่วิ่งหนีได้ไม่กี่อึดใจ เสียงกรีดร้องของสตรีคนหนึ่งก็ดังทางด้านหลังค่อนไปซ้ายมือ
เด็กน้อยเหลียวมอง
ต้นเสียงอยู่ไม่ใกล้แต่ก็ไม่ไกล ทหารกลุ่มหนึ่งขี่ม้าตวัดทวน บ้างแกว่งดาบ พวกมันฟันอาวุธเข้าที่แผ่นหลังของชาวบ้านที่กำลังหนี บ้างบั่นคอ จนคล้ายเห็นผีหัวขาดกำลังมองมา
ขนลุกไปหมด
‘ฆ่า! อย่าให้มันแย่งชิงอาหารของพวกเจ้า อย่าให้มันกินใช้สิ่งของที่จักเป็นของพวกเจ้า อดอยากขาดสตรีก็สมสู่ให้หมดอยากแต่ไว จากนั้นฆ่า!’
อะเวรายิ่งขนลุกชัน พวกมันไม่เก็บเชลยไว้ให้เปลืองอาหาร!
หนี!
แต่เหมือนจะมีทหารนายหนึ่งหันมาทางนี้
(มีต่อ)