เรือนจมื่นสรรเพชญ์ภักดี...
ในขณะที่บรรดาลูกศิษย์ของครูเที่ยงกำลังซุ่มซ้อมเพลงดาบกันอย่างหนักหน่วง สิงห์เองก็ฝึกซ้อมเพลงดาบสองมือจากครูฝึกสำนักพุทไธสวรรค์อย่างหนักเช่นกัน สิงห์ซ้อมดาบกับขุนพันธ์ผู้เป็นครูฝึกจนฝีมือทัดเทียมกัน ขุนพันธุ์มองสิงห์อย่างชื่นชมที่สามารถต่อสู้เสมอกับตนได้ ขุนพันธ์เอ่ยอย่างพอใจว่า
“บัดนี้ฉันหมดความรู้ที่จะสั่งสอนให้คุณสิงห์แล้ว ส่วนคุณสิงห์จะแตกฉานวิชาดาบได้ลึกซึ้งเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับปัญญาของคุณสิงห์เองขอรับ”
สิงห์ดีใจนักที่ตนเฝ้าฝึกฝนมาในที่สุดก็ได้สำเร็จวิชาดาบ ตนจะได้ไปทวงคำสัญญาจากพ่อที่รับปากไว้เรื่องสู่ขอทับทิม จึงรีบบึ่งขึ้นเรือนจะไปหาผู้เป็นพ่อ แต่พอเห็นว่าคุณหญิงชื่นอยู่ด้วยก็หน้าเจื่อนลงทันที คุณหญิงชื่นกำลังพูดคุยกับจมื่นสรรเพชญ์ภักดีเรื่องลูกชายถูกทาบทามเข้ารับราชการในสังกัดกรมกองของออกญาศรีวรวงศ์ ก็ตื่นเต้นดีใจใหญ่ เห็นลูกชายคลานเข่าเข้ามาหาก็รีบบอกลูกว่าได้เวลาต้องออกเรือนแล้ว และคุณหญิงได้หมายปองแม่หญิงมาเป็นศรีสะใภ้ไว้ จะรีบไปทาบทามสู่ขอให้สิงห์เตรียมตัวออกเรือน คุณหญิงพรรณนาไปถึงว่าที่ลูกสะใภ้ผู้เพียบพร้อม สิงห์สบตากับผู้เป็นพ่อบ่งบอกสีหน้าไม่สู้ดี โดยเฉพาะสิงห์ที่กลุ้มใจจนขอตัวลงจากเรือนไป คุณหญิงชื่นไม่ทันสังเกตอาการของลูกชายก็พรรณนาต่อไปจนถึงว่าอยากจะมีหลานสักสี่ห้าคนวิ่งเล่นให้เต็มเรือน
00000000
ครั้นถึงวันพฤหัสบดี ขึ้นหกค่ำ เดือนยี่ ปีนั้นเอง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวร เดือนหนึ่งกับสิบหกวัน ก็เสด็จสวรรคต...
ก่อนจะสวรรคตทรงหมายพระทัยจะให้สมเด็จพระเชษฐาธิราชซึ่งเป็นพระราชโอรสขึ้นครองราชย์ต่อ แต่เหล่าขุนนางผู้ใหญ่กลับสนับสนุนพระศรีศิลป์ พระอนุชาของพระองค์ที่ยามนั้นกำลังผนวชอยู่ที่วัดระฆัง พระเจ้าทรงธรรมจึงทรงฝากเรื่องทั้งปวงให้ออกญาศรีวรวงศ์ เป็นธุระช่วยให้พระเชษฐาธิราชได้ขึ้นครองราชย์
หลังจากที่สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมสววรคตลง ออกญาศรีวรวงศ์มีคำสั่งให้ขุนนางมุขมนตรีทั้งปวงมาประชุมกันที่พระราชวัง ขุนนางเหล่านั้นเชื่อว่าเป็นรับสั่งของพระเจ้าอยู่หัวจึงพากันมาเข้าเฝ้าอย่างพร้อมหน้า ออกญาศรีวรวงศ์บอกขุนนางทั้งปวงถึงข่าวการสวรรคตของพระเจ้าทรงธรรม
จากนั้นก็เชิญพระราชโอรสเสด็จขึ้นประทับเหนือราชบัลลังก์ในฐานะกษัตริย์ผู้รับราชสมบัติตามกฎหมายต่อหน้าขุนนาง ข้าราชการเหล่าเสวกามาตย์ทั้งปวงและออกญาศรีวรวงศ์ได้รับรองให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ หากขุนนางผู้ใดแสดงความเห็นที่จะคัดค้านหรือฝักฝ่อยู่กับพระอนุชาธิราชพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ก่อน ก็จะถูกจับกุมมาลงโทษ และถูกพันธนาการอย่างแน่นหนา บ้านเรือนตลอดจนทรัพย์สมบัติถูกปล้นสะดม ข้าทาสบริวารก็ถูกคร่าเอาไปสิ้น
ขุนนางที่ถูกประหารในครั้งนั้น คือ ออกญากลาโหมคนเก่าแม่ทัพช้างผู้เป็นหนึ่งในขุนนางคนสำคัญของประเทศ มีข้าทาสกว่า ๒๐๐๐ คน ช้าง ๒๐๐ เชือก และม้างามๆอีกเป็นจำนวนมาก คนที่สองคือออกพระยาท้ายน้ำ แม่ทัพม้าและเป็นออกญาพระคลังมาก่อนทั้งเป็นผู้ที่พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ก่อนโปรดปรานด้วยเป็นผู้ที่มีความสามารถและช่างเจรจากิจราชการ และคนที่สามคือออกหลวงธรรมไตรโลกเจ้าเมืองตะนาวศรีเป็นขุนนางสูงอายุและเป็นที่นับถือของขุนนางด้วยกัน
ขุนนางอีกสองคนคือออกญาศรีเสาวราชและออกพระจุฬา ถูกนำออกมาจากคุก ทั้งสองถูกนำมือไพล่หลัง ครั้งนั้นออกญาเสนาภิมุข แม่กองทหารอาสาชาวญี่ปุ่นที่ประจำการอยู่ในพระราชวังได้ช่วยชีวิตเอาไว้ ด้วยการเอาตัวคร่อมบังขุนนางทั้งสอง และทำการยื่นอุทธรณ์ไปยังออกญาศรีวรวงศ์เพื่อขออภัยโทษ ขุนนางทั้งสองคนนั้นรอดชีวิตแต่ก็ถูกออกจากพระยศตำแหน่ง ทรัพย์สมบัติถูกริบ
ออกญาศรีวรวงศ์นั้นได้รับการแต่งตั้งให้เป็นออกญากลาโหม ส่วนตำแหน่งออกญาศรีวรวงศ์นั้น ได้พระราชทานให้แก่น้องชายของออกญากลาโหมคนใหม่ ด้วยเหตุนี้ออกญาศรีวรวงศ์จึงกลายเป็นแม่ทัพใหญ่ อันเป็นตำแหน่งสำคัญที่สุดในราชสำนัก ออกญาศรีวรวงศ์ได้ร่วมมือกับออกญาเสนาภิมุข เจ้ากรมทหารอาสาญี่ปุ่นจับเหล่าขุนนางที่ไม่เห็นด้วย ประหารเสีย ออกญาศรีวรวงศ์ให้คนไปลวงพระศรีศิลป์ให้ลาผนวชจากวัดระฆัง พระศรีศิลป์ถูกสั่งให้ประหารชีวิต แต่พระเชษฐาธิราชมิทรงประสงค์ที่จะไม่ให้โลหิตของพระศรีศิลป์นั้นเปื้อนพระหัตถ์ จึงให้ขุนนางเจ้าหน้าที่นำไปคุมขังไว้ในบ่อที่ลึกและแห้ง ถวายอาหารให้น้อยลงและให้สิ้นพระชนม์ลงด้วยความหิวโหยทุกข์ทรมาน
00000000
เมื่อออกหลวงมงคลทราบเรื่องว่าได้เป็นไปตามที่ตนคาดการณ์ไว้แล้ว จึงรีบส่งม้าเร็วไปบอกครูเที่ยง ฝ่ายครูเที่ยงที่ตระเตรียมคน ม้าและอาวุธไว้พร้อมแล้วก็รีบไปตามคำออกหลวงมงคล บุกชิงตัวพระศรีศิลป์ออกมาจากที่คุมขัง โดยครูเที่ยงวางอุบายให้ร่วมกันขุดอุโมงค์ใต้ดินอีกบ่อหนึ่งละหาทางขุดไปยังบ่อลึกที่พระศรีศิลป์ถูกกักขังนั้น กระทั่งแผนการดำเนินไปจนสำเร็จและสามารถช่วยเหลือพระศรีศิลป์ให้ออกมาได้ โดยเพลิงกับเข้มเอาศพทาสผู้หนึ่งสวมฉลองพระองค์ของพระศรีศิลป์แทนไว้ ลวงให้ทหารยามที่เฝ้าอยู่ไม่ระแวงสงสัย
เมื่อกองทหารที่เฝ้าเวรยามที่คุมขังนั้นเดินเวรยามครั้นเห็นศพทาสที่สวมฉลองพระองค์ของพระศรีศิลป์นอนตายอยู่ก้นหลุมนั้น ก็คิดว่าพระศรีศิลป์สิ้นพระชนม์จึงกลับคืนยังพระนคร แล้วนำความไปกราบทูลแก่พระเชษฐาธิราช ข่าวการสิ้นพระชนม์ของพระศรีศิลป์นั้น สร้างความยินดีให้แก่ออกญากลาโหมด้วยหมดสิ้นเสี้ยนหนามลง
00000000
ระหว่างทางไปเพชรบุรี ทุกคนแวะพักแรมกลางป่าเขา ครูเที่ยงโล่งใจยิ่งนักที่ลูกศิษย์ทุกคนไม่ได้รับอันตรายใดๆโดยเฉพาะทับทิมลูกสาวหัวรั้นที่ติดตามมาด้วย เพราะเป็นคนที่ครูเที่ยงห่วงที่สุดกลัวจะได้รับอันตราย แต่เมื่อช่วยพระศรีศิลป์ออกมาได้โดยที่ทุกคนปลอดภัย เพียงเท่านี้ครูเที่ยงก็ดีใจมากแล้ว แต่พอนึกถึงภัยที่จะตามมาก็อดไม่ได้ที่จะกังวล
“เราบุกชิงตัวพระศรีศิลป์มาแลออกอุบายว่าท่านสิ้นพระชนม์เยี่ยงนี้ ไม่นานออกญาศรีวรวงศ์ต้องส่งคนมาตามจับกุมเป็นแน่”
“ไม่ว่าผู้ใด จะมียศศักดิ์เพียงใด หากมันจะมาทำร้ายพ่อ มันต้องข้ามศพฉันไปก่อน” ทับทิมกล่าวแววตาดุดัน
“ไม่ต้องห่วงดอกทับทิม ใครจะมาทำร้ายครูกับเอ็ง พี่จะกระโดดเข้าขวางจนตัวตาย” เพลิงกล่าวถ้อยคำหนักแน่น ครูเที่ยงซาบซึ้งในหัวใจอันเด็ดเดี่ยวของทั้งคู่ ก่อนจะเปลี่ยนแววตาเป็นอ่อนโยน ลูบหัวทับทิมเบาๆ ทับทิมน้ำตาคลอที่ได้รับสัมผัสนั้น
“เรามาไกลจนจะเข้าเขตเมืองเพชรอยู่แล้ว อีกเพียงไม่กี่เพลาการนี้ก็จักสำเร็จ เหตุใดพ่อต้องพูดเป็นลาง” ทับทิมห้ามปรามไม่ให้พ่อคิดแง่ลบ ครูเที่ยงมองหน้าทับทิมด้วยท่าทีอ่อนใจ
00000000
เมื่อพาตัวพระศรีศิลป์หลบหลีกไปถึงเมืองเพชรบุรีอย่างปลอดภัย ออกหลวงมงคลกับพรรคพวกก็เร่งบำรุงดูแลพระศรีศิลป์ให้มีพระพลานามัยสมบูรณ์และแข็งแรงขึ้น จากนั้นหลวงมงคลได้ซ่องสุมผู้คนจากหัวเมืองข้างเคียงได้เป็นจำนวนมากจนสามารถจัดตั้งเป็นกองทัพสรรพกำลังพลราว ๒๐,๐๐๐ ตั้งมั่นอยู่ที่เพชรบุรี เพื่อให้พระศรีศิลป์เตรียมยกมาตีกรุงศรีอโยธยา
ทว่า ออกญาศรีวรวงศ์ได้ให้ออกญากำแหงสงคราม ออกญาเสนาภิมุข จมื่นสรรเพชรภักดี นำทัพไปปราบปรามพระศรีศิลป์ ณ เมืองเพชรบุรี ซึ่งการนี้ สิงห์ก็ขันอาสาไปร่วมทัพด้วยเพราะเป็นห่วงบิดาที่เริ่มเจ็บป่วยไม่แข็งแรงดังเก่าก่อน ออกญาศรีวรวงศ์ก็เห็นดีด้วยกับหลานชายเพราะเห็นว่าพึ่งได้เข้ารับราชการมาหมาดๆอยากให้แสดงผลงานให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาขุนนางทั้งปวง
00000000
เมืองเพชรบุรี...
ทางด้านทับทิมเมื่อเข้าเขตเมืองเพชรบุรีแล้ว ถึงแม้ทุกคนจะโล่งใจที่นำพาตัวพระศรีศิลป์มาจนถึงเมืองเพชรได้อย่างปลอดภัย แต่ทับทิมมีลางสังหรณ์บางอย่างทำให้ไม่อาจอยู่กินอย่างสบายตามที่ชาวเพชรบุรีได้จัดของคาวหวานไว้ต้อนรับเหมือนดังคนอื่นๆ ทับทิมกระวนกระวายใจ อยากรีบพาพ่อและพรรคพวกของตนกลับวิเศษชัยชาญโดยเร็ว แต่ครูเที่ยงยังคงไม่อาจกลับได้เพราะต้องช่วยออกหลวงมงคลทำการใหญ่ซ่องสุมกำลังคนเมืองเพชรกลับไปตีกรุงศรีให้สมกับความคับแค้นใจ
ทับทิมหงุดหงิดที่ทุกอย่างเลยเถิด แต่แรกบอกแต่เพียงว่าการนี้จะบุกชิงตัวและนำพาพระศรีศิลป์มาส่งที่เมืองเพชรอย่างปลอดภัย แต่ออกหลวงมงคลกลับมาคิดการใหญ่ทำให้พ่อของตนต้องเสี่ยงอันตรายอีกครั้ง ทับทิมอัดอั้นตันใจจึงมาปรึกษาเพลิง และชวนเพลิงกับเข้มขี่ม้าลาดตระเวนทั่วเมืองเพชรเพื่อหาลู่ทางหลบหนีเผื่อยามมีภัย แล้วทั้งสามคนก็ได้เห็นคบเพลิงอยู่ไกลสุดเส้นสายตา คาดการณ์กันว่าคงจะเป็นทัพจากกรุงศรีตามมาชิงตัวพระศรีศิลป์เป็นแน่ ทั้งสามจึงตัดสินใจเข้าไปสังเกตการณ์ดูความเคลื่อนไหวและกะเกณฑ์จำนวนไพร่พลที่ยกทัพมา
oooooooo
ในค่ายกองทัพกรุงศรี...
ในยามค่ำคืนเหล่าขุนนางมีชื่อก็เข้ากระโจมพักผ่อนเอาแรง แต่เหล่าทหารก็จัดแจงเวรยามเฝ้ากันอย่างแน่นหนา สามเกลอศิษย์ครูเที่ยงเข้ามาประชิดขอบค่าย เพลิงกำลังคาดการณ์จำนวนกองทัพว่ามีมูลนายประมาณเท่าใด แลคาดการณ์เวลาที่กองทัพนี้จะยกไปถึงประตูค่ายเมืองเพชร ทันใดนั้นเข้มก็เหลือบไปเห็นนายกองผู้มีใบหน้าคล้ายสิงห์จึงทักท้วงขึ้นมา...
“คงมิใช่ดอก ไอ้สิงห์ลูกพ่อค้าจะมาโผล่ที่นี่ได้เยี่ยงไร แลหากมันจะมาก็คงเป็นแค่ทหารทะลวงฟันรึไม่ก็ทหารเฝ้ายาม มิใช่ใส่ชุดเหมือนนายกองเช่นนั้น ฉันคงตาฝาดไป เพราะไอ้สิงห์มันมิใช่ทหารสักหน่อย”
เข้มมองไปบ่นไปเพราะสับสนในสายตาตัวเอง เพลิงมองตามแลเห็นด้วยว่าเหมือนสิงห์จริงๆแต่ก็คิดเห็นเช่นกันกับเข้มว่าคงมิใช่ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่สิงห์จะมาโผล่ที่นี่ ณ เวลานี้ ทั้งสองออกความคิดเห็นกันอย่างออกรสออกชาติ แล้วเพลิงก็หันไปจะถามความเห็นทับทิม แต่ทับทิมก็ล่องหนหายไปเสียแล้ว เพลิงกับเข้มตกใจและคิดว่าคงคาดการณ์มิผิด ทับทิมต้องลอบเข้าไปค่ายทหารเป็นแน่ ใจเพลิงหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อน้องสาวคนสนิท เอาตัวเข้าเสี่ยงโดยพละการ
00000000
โปรดติดตามตอนต่อไป
ลูกไม้มวยไทย ตอนที่ ๑๔ เมืองเพชรบุรี
ในขณะที่บรรดาลูกศิษย์ของครูเที่ยงกำลังซุ่มซ้อมเพลงดาบกันอย่างหนักหน่วง สิงห์เองก็ฝึกซ้อมเพลงดาบสองมือจากครูฝึกสำนักพุทไธสวรรค์อย่างหนักเช่นกัน สิงห์ซ้อมดาบกับขุนพันธ์ผู้เป็นครูฝึกจนฝีมือทัดเทียมกัน ขุนพันธุ์มองสิงห์อย่างชื่นชมที่สามารถต่อสู้เสมอกับตนได้ ขุนพันธ์เอ่ยอย่างพอใจว่า
“บัดนี้ฉันหมดความรู้ที่จะสั่งสอนให้คุณสิงห์แล้ว ส่วนคุณสิงห์จะแตกฉานวิชาดาบได้ลึกซึ้งเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับปัญญาของคุณสิงห์เองขอรับ”
สิงห์ดีใจนักที่ตนเฝ้าฝึกฝนมาในที่สุดก็ได้สำเร็จวิชาดาบ ตนจะได้ไปทวงคำสัญญาจากพ่อที่รับปากไว้เรื่องสู่ขอทับทิม จึงรีบบึ่งขึ้นเรือนจะไปหาผู้เป็นพ่อ แต่พอเห็นว่าคุณหญิงชื่นอยู่ด้วยก็หน้าเจื่อนลงทันที คุณหญิงชื่นกำลังพูดคุยกับจมื่นสรรเพชญ์ภักดีเรื่องลูกชายถูกทาบทามเข้ารับราชการในสังกัดกรมกองของออกญาศรีวรวงศ์ ก็ตื่นเต้นดีใจใหญ่ เห็นลูกชายคลานเข่าเข้ามาหาก็รีบบอกลูกว่าได้เวลาต้องออกเรือนแล้ว และคุณหญิงได้หมายปองแม่หญิงมาเป็นศรีสะใภ้ไว้ จะรีบไปทาบทามสู่ขอให้สิงห์เตรียมตัวออกเรือน คุณหญิงพรรณนาไปถึงว่าที่ลูกสะใภ้ผู้เพียบพร้อม สิงห์สบตากับผู้เป็นพ่อบ่งบอกสีหน้าไม่สู้ดี โดยเฉพาะสิงห์ที่กลุ้มใจจนขอตัวลงจากเรือนไป คุณหญิงชื่นไม่ทันสังเกตอาการของลูกชายก็พรรณนาต่อไปจนถึงว่าอยากจะมีหลานสักสี่ห้าคนวิ่งเล่นให้เต็มเรือน
ครั้นถึงวันพฤหัสบดี ขึ้นหกค่ำ เดือนยี่ ปีนั้นเอง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวร เดือนหนึ่งกับสิบหกวัน ก็เสด็จสวรรคต...
ก่อนจะสวรรคตทรงหมายพระทัยจะให้สมเด็จพระเชษฐาธิราชซึ่งเป็นพระราชโอรสขึ้นครองราชย์ต่อ แต่เหล่าขุนนางผู้ใหญ่กลับสนับสนุนพระศรีศิลป์ พระอนุชาของพระองค์ที่ยามนั้นกำลังผนวชอยู่ที่วัดระฆัง พระเจ้าทรงธรรมจึงทรงฝากเรื่องทั้งปวงให้ออกญาศรีวรวงศ์ เป็นธุระช่วยให้พระเชษฐาธิราชได้ขึ้นครองราชย์
หลังจากที่สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมสววรคตลง ออกญาศรีวรวงศ์มีคำสั่งให้ขุนนางมุขมนตรีทั้งปวงมาประชุมกันที่พระราชวัง ขุนนางเหล่านั้นเชื่อว่าเป็นรับสั่งของพระเจ้าอยู่หัวจึงพากันมาเข้าเฝ้าอย่างพร้อมหน้า ออกญาศรีวรวงศ์บอกขุนนางทั้งปวงถึงข่าวการสวรรคตของพระเจ้าทรงธรรม
จากนั้นก็เชิญพระราชโอรสเสด็จขึ้นประทับเหนือราชบัลลังก์ในฐานะกษัตริย์ผู้รับราชสมบัติตามกฎหมายต่อหน้าขุนนาง ข้าราชการเหล่าเสวกามาตย์ทั้งปวงและออกญาศรีวรวงศ์ได้รับรองให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ หากขุนนางผู้ใดแสดงความเห็นที่จะคัดค้านหรือฝักฝ่อยู่กับพระอนุชาธิราชพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ก่อน ก็จะถูกจับกุมมาลงโทษ และถูกพันธนาการอย่างแน่นหนา บ้านเรือนตลอดจนทรัพย์สมบัติถูกปล้นสะดม ข้าทาสบริวารก็ถูกคร่าเอาไปสิ้น
ขุนนางที่ถูกประหารในครั้งนั้น คือ ออกญากลาโหมคนเก่าแม่ทัพช้างผู้เป็นหนึ่งในขุนนางคนสำคัญของประเทศ มีข้าทาสกว่า ๒๐๐๐ คน ช้าง ๒๐๐ เชือก และม้างามๆอีกเป็นจำนวนมาก คนที่สองคือออกพระยาท้ายน้ำ แม่ทัพม้าและเป็นออกญาพระคลังมาก่อนทั้งเป็นผู้ที่พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ก่อนโปรดปรานด้วยเป็นผู้ที่มีความสามารถและช่างเจรจากิจราชการ และคนที่สามคือออกหลวงธรรมไตรโลกเจ้าเมืองตะนาวศรีเป็นขุนนางสูงอายุและเป็นที่นับถือของขุนนางด้วยกัน
ขุนนางอีกสองคนคือออกญาศรีเสาวราชและออกพระจุฬา ถูกนำออกมาจากคุก ทั้งสองถูกนำมือไพล่หลัง ครั้งนั้นออกญาเสนาภิมุข แม่กองทหารอาสาชาวญี่ปุ่นที่ประจำการอยู่ในพระราชวังได้ช่วยชีวิตเอาไว้ ด้วยการเอาตัวคร่อมบังขุนนางทั้งสอง และทำการยื่นอุทธรณ์ไปยังออกญาศรีวรวงศ์เพื่อขออภัยโทษ ขุนนางทั้งสองคนนั้นรอดชีวิตแต่ก็ถูกออกจากพระยศตำแหน่ง ทรัพย์สมบัติถูกริบ
ออกญาศรีวรวงศ์นั้นได้รับการแต่งตั้งให้เป็นออกญากลาโหม ส่วนตำแหน่งออกญาศรีวรวงศ์นั้น ได้พระราชทานให้แก่น้องชายของออกญากลาโหมคนใหม่ ด้วยเหตุนี้ออกญาศรีวรวงศ์จึงกลายเป็นแม่ทัพใหญ่ อันเป็นตำแหน่งสำคัญที่สุดในราชสำนัก ออกญาศรีวรวงศ์ได้ร่วมมือกับออกญาเสนาภิมุข เจ้ากรมทหารอาสาญี่ปุ่นจับเหล่าขุนนางที่ไม่เห็นด้วย ประหารเสีย ออกญาศรีวรวงศ์ให้คนไปลวงพระศรีศิลป์ให้ลาผนวชจากวัดระฆัง พระศรีศิลป์ถูกสั่งให้ประหารชีวิต แต่พระเชษฐาธิราชมิทรงประสงค์ที่จะไม่ให้โลหิตของพระศรีศิลป์นั้นเปื้อนพระหัตถ์ จึงให้ขุนนางเจ้าหน้าที่นำไปคุมขังไว้ในบ่อที่ลึกและแห้ง ถวายอาหารให้น้อยลงและให้สิ้นพระชนม์ลงด้วยความหิวโหยทุกข์ทรมาน
เมื่อออกหลวงมงคลทราบเรื่องว่าได้เป็นไปตามที่ตนคาดการณ์ไว้แล้ว จึงรีบส่งม้าเร็วไปบอกครูเที่ยง ฝ่ายครูเที่ยงที่ตระเตรียมคน ม้าและอาวุธไว้พร้อมแล้วก็รีบไปตามคำออกหลวงมงคล บุกชิงตัวพระศรีศิลป์ออกมาจากที่คุมขัง โดยครูเที่ยงวางอุบายให้ร่วมกันขุดอุโมงค์ใต้ดินอีกบ่อหนึ่งละหาทางขุดไปยังบ่อลึกที่พระศรีศิลป์ถูกกักขังนั้น กระทั่งแผนการดำเนินไปจนสำเร็จและสามารถช่วยเหลือพระศรีศิลป์ให้ออกมาได้ โดยเพลิงกับเข้มเอาศพทาสผู้หนึ่งสวมฉลองพระองค์ของพระศรีศิลป์แทนไว้ ลวงให้ทหารยามที่เฝ้าอยู่ไม่ระแวงสงสัย
เมื่อกองทหารที่เฝ้าเวรยามที่คุมขังนั้นเดินเวรยามครั้นเห็นศพทาสที่สวมฉลองพระองค์ของพระศรีศิลป์นอนตายอยู่ก้นหลุมนั้น ก็คิดว่าพระศรีศิลป์สิ้นพระชนม์จึงกลับคืนยังพระนคร แล้วนำความไปกราบทูลแก่พระเชษฐาธิราช ข่าวการสิ้นพระชนม์ของพระศรีศิลป์นั้น สร้างความยินดีให้แก่ออกญากลาโหมด้วยหมดสิ้นเสี้ยนหนามลง
ระหว่างทางไปเพชรบุรี ทุกคนแวะพักแรมกลางป่าเขา ครูเที่ยงโล่งใจยิ่งนักที่ลูกศิษย์ทุกคนไม่ได้รับอันตรายใดๆโดยเฉพาะทับทิมลูกสาวหัวรั้นที่ติดตามมาด้วย เพราะเป็นคนที่ครูเที่ยงห่วงที่สุดกลัวจะได้รับอันตราย แต่เมื่อช่วยพระศรีศิลป์ออกมาได้โดยที่ทุกคนปลอดภัย เพียงเท่านี้ครูเที่ยงก็ดีใจมากแล้ว แต่พอนึกถึงภัยที่จะตามมาก็อดไม่ได้ที่จะกังวล
“เราบุกชิงตัวพระศรีศิลป์มาแลออกอุบายว่าท่านสิ้นพระชนม์เยี่ยงนี้ ไม่นานออกญาศรีวรวงศ์ต้องส่งคนมาตามจับกุมเป็นแน่”
“ไม่ว่าผู้ใด จะมียศศักดิ์เพียงใด หากมันจะมาทำร้ายพ่อ มันต้องข้ามศพฉันไปก่อน” ทับทิมกล่าวแววตาดุดัน
“ไม่ต้องห่วงดอกทับทิม ใครจะมาทำร้ายครูกับเอ็ง พี่จะกระโดดเข้าขวางจนตัวตาย” เพลิงกล่าวถ้อยคำหนักแน่น ครูเที่ยงซาบซึ้งในหัวใจอันเด็ดเดี่ยวของทั้งคู่ ก่อนจะเปลี่ยนแววตาเป็นอ่อนโยน ลูบหัวทับทิมเบาๆ ทับทิมน้ำตาคลอที่ได้รับสัมผัสนั้น
“เรามาไกลจนจะเข้าเขตเมืองเพชรอยู่แล้ว อีกเพียงไม่กี่เพลาการนี้ก็จักสำเร็จ เหตุใดพ่อต้องพูดเป็นลาง” ทับทิมห้ามปรามไม่ให้พ่อคิดแง่ลบ ครูเที่ยงมองหน้าทับทิมด้วยท่าทีอ่อนใจ
เมื่อพาตัวพระศรีศิลป์หลบหลีกไปถึงเมืองเพชรบุรีอย่างปลอดภัย ออกหลวงมงคลกับพรรคพวกก็เร่งบำรุงดูแลพระศรีศิลป์ให้มีพระพลานามัยสมบูรณ์และแข็งแรงขึ้น จากนั้นหลวงมงคลได้ซ่องสุมผู้คนจากหัวเมืองข้างเคียงได้เป็นจำนวนมากจนสามารถจัดตั้งเป็นกองทัพสรรพกำลังพลราว ๒๐,๐๐๐ ตั้งมั่นอยู่ที่เพชรบุรี เพื่อให้พระศรีศิลป์เตรียมยกมาตีกรุงศรีอโยธยา
ทว่า ออกญาศรีวรวงศ์ได้ให้ออกญากำแหงสงคราม ออกญาเสนาภิมุข จมื่นสรรเพชรภักดี นำทัพไปปราบปรามพระศรีศิลป์ ณ เมืองเพชรบุรี ซึ่งการนี้ สิงห์ก็ขันอาสาไปร่วมทัพด้วยเพราะเป็นห่วงบิดาที่เริ่มเจ็บป่วยไม่แข็งแรงดังเก่าก่อน ออกญาศรีวรวงศ์ก็เห็นดีด้วยกับหลานชายเพราะเห็นว่าพึ่งได้เข้ารับราชการมาหมาดๆอยากให้แสดงผลงานให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาขุนนางทั้งปวง
เมืองเพชรบุรี...
ทางด้านทับทิมเมื่อเข้าเขตเมืองเพชรบุรีแล้ว ถึงแม้ทุกคนจะโล่งใจที่นำพาตัวพระศรีศิลป์มาจนถึงเมืองเพชรได้อย่างปลอดภัย แต่ทับทิมมีลางสังหรณ์บางอย่างทำให้ไม่อาจอยู่กินอย่างสบายตามที่ชาวเพชรบุรีได้จัดของคาวหวานไว้ต้อนรับเหมือนดังคนอื่นๆ ทับทิมกระวนกระวายใจ อยากรีบพาพ่อและพรรคพวกของตนกลับวิเศษชัยชาญโดยเร็ว แต่ครูเที่ยงยังคงไม่อาจกลับได้เพราะต้องช่วยออกหลวงมงคลทำการใหญ่ซ่องสุมกำลังคนเมืองเพชรกลับไปตีกรุงศรีให้สมกับความคับแค้นใจ
ทับทิมหงุดหงิดที่ทุกอย่างเลยเถิด แต่แรกบอกแต่เพียงว่าการนี้จะบุกชิงตัวและนำพาพระศรีศิลป์มาส่งที่เมืองเพชรอย่างปลอดภัย แต่ออกหลวงมงคลกลับมาคิดการใหญ่ทำให้พ่อของตนต้องเสี่ยงอันตรายอีกครั้ง ทับทิมอัดอั้นตันใจจึงมาปรึกษาเพลิง และชวนเพลิงกับเข้มขี่ม้าลาดตระเวนทั่วเมืองเพชรเพื่อหาลู่ทางหลบหนีเผื่อยามมีภัย แล้วทั้งสามคนก็ได้เห็นคบเพลิงอยู่ไกลสุดเส้นสายตา คาดการณ์กันว่าคงจะเป็นทัพจากกรุงศรีตามมาชิงตัวพระศรีศิลป์เป็นแน่ ทั้งสามจึงตัดสินใจเข้าไปสังเกตการณ์ดูความเคลื่อนไหวและกะเกณฑ์จำนวนไพร่พลที่ยกทัพมา
ในค่ายกองทัพกรุงศรี...
ในยามค่ำคืนเหล่าขุนนางมีชื่อก็เข้ากระโจมพักผ่อนเอาแรง แต่เหล่าทหารก็จัดแจงเวรยามเฝ้ากันอย่างแน่นหนา สามเกลอศิษย์ครูเที่ยงเข้ามาประชิดขอบค่าย เพลิงกำลังคาดการณ์จำนวนกองทัพว่ามีมูลนายประมาณเท่าใด แลคาดการณ์เวลาที่กองทัพนี้จะยกไปถึงประตูค่ายเมืองเพชร ทันใดนั้นเข้มก็เหลือบไปเห็นนายกองผู้มีใบหน้าคล้ายสิงห์จึงทักท้วงขึ้นมา...
“คงมิใช่ดอก ไอ้สิงห์ลูกพ่อค้าจะมาโผล่ที่นี่ได้เยี่ยงไร แลหากมันจะมาก็คงเป็นแค่ทหารทะลวงฟันรึไม่ก็ทหารเฝ้ายาม มิใช่ใส่ชุดเหมือนนายกองเช่นนั้น ฉันคงตาฝาดไป เพราะไอ้สิงห์มันมิใช่ทหารสักหน่อย”
เข้มมองไปบ่นไปเพราะสับสนในสายตาตัวเอง เพลิงมองตามแลเห็นด้วยว่าเหมือนสิงห์จริงๆแต่ก็คิดเห็นเช่นกันกับเข้มว่าคงมิใช่ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่สิงห์จะมาโผล่ที่นี่ ณ เวลานี้ ทั้งสองออกความคิดเห็นกันอย่างออกรสออกชาติ แล้วเพลิงก็หันไปจะถามความเห็นทับทิม แต่ทับทิมก็ล่องหนหายไปเสียแล้ว เพลิงกับเข้มตกใจและคิดว่าคงคาดการณ์มิผิด ทับทิมต้องลอบเข้าไปค่ายทหารเป็นแน่ ใจเพลิงหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อน้องสาวคนสนิท เอาตัวเข้าเสี่ยงโดยพละการ
โปรดติดตามตอนต่อไป