เรื่องโดย ฉัตรชณา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ตอนก่อนหน้า
บทนำ : https://ppantip.com/topic/36780425
บทที่ 1 : https://ppantip.com/topic/36784782
บทที่ 2 : https://ppantip.com/topic/36808468
ตอนต่อไป
บทที่ 4 : https://ppantip.com/topic/37545296
บทที่ 3
หอผู้ป่วยวิกฤติช่วงใกล้ค่ำมีผู้คนบางตากว่าช่วงเวลากลางวัน ลัลนาใช้เวลาอยู่กับบิดาและน้องชายที่มาพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลมาตลอดช่วงบ่าย โดยวันนี้หญิงสาวมีวัฒนะติดสอยห้อยตามเธอมาด้วย แต่ชายหนุ่มขอตัวกลับไปก่อนเมื่อช่วงบ่ายแก่ เนื่องจากมีกิจธุระที่ต้องไปทำต่อกับมารดาของเขา
มือบางเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้กับบิดาของเธอจนเสร็จ แล้วพูดคุยกับท่านเหมือนกับทุกครั้ง แม้จะรู้ว่าท่านคงไม่ลุกขึ้นมาคุยโต้ตอบอันใดกับเธอก็ตามที ลมหายใจแผ่วๆ สะท้อนขึ้นลงบนหน้าอกของร่างผ่ายผอมที่นอนนิ่งมาตลอดสามปีเป็นเพียงสัญญานที่บอกว่าร่างนั้นยังคงมีชีวิต และเป็นความหวังของลัลนาที่เฝ้ารอให้บิดาของเธอฟื้นขึ้นมาอย่างไม่เคยยอมแพ้
เข็มนาฬิกาบอกเวลาว่าอีกหนึ่งชั่วโมงจะหมดเวลาเยี่ยม หญิงสาวเดินออกจากห้องไอซียูแล้วกลับไปหาน้องชายที่นอนพักรักษาตัวอยู่ที่อีกฟากหนึ่งของตัวตึก ทันทีที่ร่างบางเดินมาถึงเตียงของน้องชาย คนป่วยก็หันมาจ้องหน้ามองพี่สาวตาเขม็ง เหมือนเขาจะมีคำพูดแต่ก็ไม่พูด คนเป็นพี่แแม้จะรู้ว่าถูกจ้อง แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ มิหนำซ้ำยังชวนเขาคุยไปเรื่อยอีกต่างหาก และนั่นก็ทำให้สารินยิ่งหงุดหงิดจนต้องเอ่ยปากถามออกมาในที่สุด
“ทำไมวันนี้ถึงมากับพี่นะได้ละฮะ” คนเป็นน้องถาม ใบหน้าซีดๆ ติดจะบึ้งตึงอยู่เล็กน้อย ยามนึกถึงเพื่อนหนุ่มคนสนิทของลัลนา
“หือ! ถามทำไมเหรอ” เสียงใสถามกลับ ขณะหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กใส่กะละมัง จากนั้นเดินเข้าห้องน้ำไป แล้วออกมาอีกครั้งพร้อมกับภาชนะบรรจุน้ำ เตรียมพร้อมสำหรับการเช็ดตัวให้กับน้องชาย
“ก็แค่อยากรู้ ว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงมาได้” เด็กหนุ่มบอกพร้อมกับถอดเสื้อเพื่อให้พี่สาวเช็ดตัวเขาได้อย่างสะดวกๆ
“คงอยากมาเยี่ยมพ่อกับรินละมั้ง เห็นบอกว่าช่วงก่อนยุ่งๆ เลยไม่ค่อยมีเวลามาเยี่ยม” ลัลนาตอบแทนเพื่อนหนุ่ม โดยส่วนหนึ่งก็มาจากคำที่เขาบอกเธอนั่นแหละ
“แปลว่าตอนนี้หายยุ่งแล้ว?” คนป่วยประชดหน้ามุ่ย เนื่องจากไม่พอใจในคำตอบ
“คงงั้นมั้ง รินสงสัยอะไรเหรอ” คนเป็นพี่เงยหน้าขึ้นสบตากับน้องชายเพื่อจับสังเกต แล้วก็พบกับร่องรอยกับความกังวลในดวงตาคู่นั้น
“เปล่า ไม่ได้สงสัย แต่ว่าไม่ชอบ” แม้วัฒนะจะไม่แสดงความรู้สึกออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด แต่ในสายตาของคนมอง สารินเชื่อว่าเพื่อนหนุ่มของลัลนาคนนี้จะต้องคิดอะไรบางอย่างกับพี่สาวของเขาอยู่บ้างไม่มากก็น้อย และนั่นคือสิ่งที่เขาเป็นห่วง
ลัลนามองหน้าน้องชายแล้วถอนหายใจ
“อย่าคิดมากสิริน บอกแล้วไงว่าพี่กับนะเราเป็นแค่เพื่อนกัน”
“ถึงพี่ลัลจะบอกแบบนั้น แต่ยังไงๆ รินก็อดห่วงไม่ได้” สารินตอบพี่สาวแบบรั้นๆ เด็กหนุ่มยึดหลักว่าเขาควรจะเชื่อในสิ่งที่ตาเห็นเท่านั้น
“เหลวใหลน่ะ เราคุยเรื่องนี้กันมากี่ครั้งแล้ว หรือรินคิดว่าพี่โกหก” ลัลนาย้อนถามเหมือนน้อยใจ หลายครั้งที่เธอพยายามอธิบายแต่สุดท้ายดูเหมือนสารินจะยังไม่ยอมเชื่อเธออยู่ดี
“รินเชื่อพี่ลัล แต่กับพี่นะ รินไม่แน่ใจ ยังไงๆ ผู้ชายด้วยกันย่อมดูกันออก”
ไม่ผิดที่สารินจะคิดแบบนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมาเด็กหนุ่มเฝ้ามองความสัมพันธ์ระหว่างพี่สาวกับเพื่อนหนุ่มด้วยความเป็นห่วง ทั่วทั้งระแวกบ้านมีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่มารดาของวัฒนะรังเกียจที่สุดก็คือความจน และนั่นก็รวมถึงครอบครัวของเขา รวมถึงพี่สาวของเขาด้วย กี่ครั้งกี่หนที่ต้องทนฟังคำเสียดสีจากมารดาของวัฒนะไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม เป็นใคร ใครบ้างจะไม่ห่วง ผิดหรือที่คนเราจะเกิดมาจน ผิดหรือที่ครอบครัวของเขาไม่พรั่งพร้อมเหมือนกับคนอื่นๆ โชคยังดีที่พี่สาวของเขาไม่ได้มีใจให้กับวัฒนะ หาไม่แล้วปัญหาสารพันคงไม่แคล้วรุมเร้าทั้งพี่สาวและครัวของเขาแบบไม่หยุดไม่หย่อนเป็นแน่
“เยอะนะเราน่ะ ขนาดเขาเพิ่งจะมาเยี่ยม ยังไปสังเกตเขาได้”
“ของแบบนี้ ไม่ต้องอยู่นานหรอกฮะ แค่แป๊บๆ ก็ดูออกแล้ว”
ลัลนาหยุดมือแล้วมองสบตากับน้องชาย ก่อนจะพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“พี่จะบอกรินอีกครั้งว่า พี่กับนะเราเป็นแค่เพื่อนกันจริงๆ ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น และไม่มีวันจะมี” คนเป็นพี่ยืนยันหนักแน่น สารินจึงพยายามยิ้มกลบเกลื่อนความกังวล
“รินจะพยายามไม่คิด แต่จะให้เลิกห่วงไปเลยคงยาก พี่ลัลก็รู้ว่าน้าวรรณรังเกียจครอบครัวเราขนาดไหน ตราบใดที่พี่นะยังวนเวียนอยู่รอบๆ รินกลัวว่าสักวันมันจะมีปัญหา”
“จะกลัวทำไม เราบริสุทธิ์ใจเสียอย่าง ในเมื่อพี่ไม่ได้คิดอะไร ต่อไปเขาก็จะรู้กันเองนั่นแหละ รินอย่าห่วงไปเลย” มือบางกดลงบนไหล่ของน้องชายเพื่อให้เขามั่นใจในตัวเธอ
“ฮะ รินเชื่อพี่ลัล” สารินพยักหน้าบอกกับพี่สาว แล้วหันออกไปมองที่นอกหน้าต่าง ทั้งสีฟ้าและสีเหลืองลาจากท้องฟ้าไปนานแล้ว เด็กหนุ่มจึงหันมาบอกกับเธอด้วยความเป็นห่วง “ค่ำมากแล้ว รินว่าพี่ลัลรีบกลับบ้านดีกว่า”
“เดี๋ยวเช็ดตัวให้รินเสร็จก่อน แล้วพี่ค่อยกลับ” ลัลนาบอกน้องแล้วลงมือเช็ดตัวให้เขาต่อ
“ไม่ต้องหรอกฮะ เดี๋ยวรินจัดการเอง แค่นี้สบายมาก พี่ลัลกลับบ้านเถอะ ค่ำมากแล้ว ซอยบ้านมันมืดแล้วก็เปลี่ยว กลับบ้านดึกๆ รินเป็นห่วง”
ลัลนายิ้มมองหน้าน้องชายอย่างเข้าใจ พวกเขามีกันอยู่แค่สามคนในครอบครัว จะห้ามไม่ให้ใครคนใดคนหนึ่งเป็นห่วงกันคงจะยาก หญิงสาวจึงพยักหน้ารับ แล้วบอก
“โอเค กลับก็กลับ”
“อย่าลืมกินข้าวด้วยล่ะ พี่ลัลผอมไปมากเลยรู้ไหม” คนเป็นน้องยังบ่นต่อ พร้อมกับกวาดตาสำรวจร่างพี่สาวอีกครั้ง เป็นเชิงตำหนิที่เธอเอาแต่ดูแลคนรอบๆ กาย แต่กลับไม่ยอมดูแลตัวเอง
“จ้าๆ รู้แล้วจ้า ขี้บ่นจริง ยังไม่ทันจะแก่เลยนะเรา” หญิงสาวเปรยพลางตวัดตาค้อนน้องชาย ก่อนจะวางผ้าขนหนูลงในภาชนะ “งั้นพี่กลับล่ะ เช็ดตัวเสร็จแล้วก็พักผ่อนเสีย แล้วก็อย่าลืมเชื่อฟังหมอด้วยล่ะ ห้ามดื้อกับหมอเด็ดขาด รู้ไหม” มือบางจับศีรษะทุยของน้องชายโยกไปมาอย่างเอ็นดู
“รินโตแล้วนะฮะ พี่ลัลสั่งอย่างกับรินเป็นเด็กๆ” เด็กหนุ่มบ่นพร้อมกับทำหน้ามุ่ย
“โอเคจ้ะ ไม่สั่งก็ไม่สั่ง พี่กลับก่อนดีกว่า รินก็นอนพักเสียล่ะ พี่ไปล่ะ” หญิงสาวลูบศรีษะน้องชายเบาๆ แล้วหยิบกระเป๋ามาสะพาย เตรียมพร้อมที่จะกลับบ้าน
“ถึงบ้านแล้วโทรบอกด้วยนะฮะ” สารินกำชับพี่สาวอีกครั้ง
“จ้า พ่อแก่” หญิงสาวทำเสียงใสล้อเลียนแล้วส่งยิ้มร่าเริง ก่อนออกจากห้องไปยังไม่วายหันมาโบกมือลา
สารินมองพี่สาวลับออกนอกประตูไปแล้วแอบคิดอยู่ในใจ จะมีสักวันไหม ที่พี่สาวของเขาหลุดพ้นจากภาระที่เธอต้องแบกอยู่ ถ้าไม่กลัวว่าลัลนาจะเสียใจและโทษตัวเอง เขาก็อยากจะตายไปเสียให้พ้นๆ เหมือนกัน สารินได้แต่ภาวนา ว่าสักวันจะมีใครสักคนเข้ามาคอยดูแลพี่สาวของเขาบ้าง ขอแค่เป็นคนอื่นที่ไม่ใช่วัฒนะ แค่นั้นเขาก็พอใจมากแล้ว
-----------------------------------------
ช่วงเวลาบ่ายของวันกลางสัปดาห์คีตาแวะมาที่ร้านดอกไม้ของลัลนาพร้อมกับภาพวาดในมือที่เจ้าตัวบอกว่า เขาถือวิสาสะวาดมันขึ้นมาให้เธอหลังจากที่ได้มีโอกาสเจอกับเธอในงานเปิดตัวแกเลอรี่ของเขาครั้งนั้น เพื่อตอบแทนที่เธอช่วยให้งานเปิดตัวแกเลอรี่ของเขาออกมาสมบูรณ์แบบอย่างชนิดไม่มีที่ติ รวมทั้งเป็นของขวัญสำหรับการเชื่อมมิตรภาพระหว่างเขาและเธออีกถ่ายหนึ่ง
ลัลนารู้สึกประหลาดใจจนเผลอมองหน้าชายหนุ่มสลับกับภาพวาดตัวเธอเองแบบงงๆ จำได้ว่าวันนั้นเธอเจอกับเขาเพียงแค่แวบเดียว ไม่นึกว่าคีตาจะจดจำใบหน้าเธอจนเก็บมาวาดเป็นภาพได้ขนาดนี้ นี่คงเป็นพรสวรรค์ของคนที่ถูกเรียกว่าศิลปินสินะเธอแอบคิดอยู่ในใจ
หญิงสาวมองภาพที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้งอย่างชื่นชมในฝีมือของคนวาด ฉับพลันก็นึกไปถึงบรรดาภาพเขียนฝีมือชายหนุ่มที่แขวนโชว์อยู่ในงานเปิดตัว แต่ละภาพราคาไม่ห้าหลักก็หกหลักเป็นอย่างต่ำ เช่นนั้นภาพที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้ สนนราคาของมันก็คงไม่ต่างจากที่เธอเคยเห็น ลัลนาได้ข้อสรุปอยู่ในใจว่าของขวัญมูลค่าสูงลิ่วขนาดนี้คงไม่เหมาะที่เธอจะรับไว้ ต่อให้คนที่เป็นแบบในภาพนั้นจะเป็นตัวเธอเองก็เถอะ
“ผมตั้งใจวาดรูปนี้เพื่อคุณโดยเฉพาะเลยนะครับ” จิตรกรหนุ่มบอกอย่างภูมิใจพร้อมกับรอยยิ้มทรงเสน่ห์ที่ตามปกติเจ้าตัวมักใช้มัดใจสาวๆ ไว้ได้อย่างอยู่หมัด ทว่าก็ต้องผิดคาดเมื่อเสน่ห์อันล้นเหลือที่เขาเคยภูมิใจนักหนากลับไม่อาจใช้กับลัลนาได้ดังที่เขาหวัง
“สวยจังค่ะ” ดวงหน้าใสส่งยิ้มละมุนขณะเอ่ยชม คีตายิ้มกว้างอย่างปีติ ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร คำปฏิเสธอย่างชัดเจนของลัลนาก็ดังขึ้นในวินาทีถัดมา “แต่ลัลคงจะรับมันไว้ไม่ได้ เพราะรูปนี้มันแพงเกินไป”
หญิงสาวไม่ได้แสร้งทำเป็นบ่ายเบี่ยง แต่ที่ผ่านมาลัลนามักจะระวังตัวอยู่เสมอ เพราะเธอเชื่อว่าของกำนัลราคาแพงมักแฝงไว้ด้วยความนัยบางอย่าง ลัลนาเกรงว่าถ้ารับไว้ วันหนึ่งข้างหน้ามันอาจกลายเป็นต้นเหตุของความอีกหลักอีเหลื่อใจของเธอก็เป็นได้ เพราะเหตุนี้ เธอจึงปฏิเสธในทุกครั้งที่มีคนนำของขวัญมีค่ามามอบให้กับเธอ
“แต่นี่มันรูปของคุณนะครับ ผมตั้งใจวาดมันให้คุณจริงๆ” คีตาพยายามอธิบาย ไม่นึกว่าการให้ของขวัญหญิงสาวสักคนมันจะยากเย็นถึงเพียงนี้ ทีแรกเขาคิดว่าเธอจะดีใจในทันทีที่เห็นรูป และยอมรับมันไว้แต่โดยดี เขาก็แค่ใช้รูปเป็นสื่อหวังว่าเธอรับรู้ถึงความจริงใจและยอมรับน้ำใจจากเขาก็เท่านั้น ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าลัลนาจะเป็นคนที่คิดมากและระมัดระวังตัวเองขนาดนี้
ลัลนามองรูปภาพที่คีตายื่นส่งมาให้สลับกับหน้าของคนให้อย่างหนักใจ เขาบอกว่าเขาตั้งใจวาดมันให้กับเธอ รู้แบบนี้แล้วเธอยิ่งไม่ควรรับ เพราะนั่นอาจทำให้เขาตีความว่าเธอยอมรับและยอมเปิดใจให้เขาก็เป็นได้ หญิงสาวรู้ดีว่าคีตามีความรู้สึกดีๆ ให้กับเธอ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ยอมเสียเวลามานั่งวาดรูปนี้ให้เธอหรอก ใช่ว่าเธอจะไม่เห็นถึงน้ำใจของเขา แต่คนมีภาระอย่างเธอ แค่ทำงานหาเงินก็หมดเวลาไปเป็นวันๆ แล้ว จะเอาเวลาที่ไหนมาใส่ใจกับเรื่องหัวใจของตัวเองได้อีก ที่ผ่านมาเธอจึงขีดเส้นระยะห่างจากชายหนุ่มทุกคนที่เข้าเกี่ยวพัน ไม่เว้นแม้แต่วัฒนะ
“ขอบคุณนะคะ แต่ถึงยังไงลัลก็ปฏิเสธอยู่ดี เราเพิ่งจะรู้จักกันไม่นาน ลัลไม่สะดวกใจจะรับของมีค่าแบบนี้ไว้จริงๆ” ลัลนาปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม ใบหน้าคมพลันสลด อดน้อยใจขึ้นมาเสียมิได้
“ไม่ว่าคุณลัลจะคิดยังไง สำหรับผมแล้วคุณลัลไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นเพื่อน เป็นคนที่ผมอยากรู้จักให้มากขึ้น” เสียงของคีตาอ่อนลงไปอย่างถนัดใจจนลัลนารู้สึกได้ หญิงสาวจึงโทษตัวเองว่าเธอคงจะพูดตรงกับเขาเกินไป
“ถ้าลัลเผลอพูดอะไรที่ทำให้คุณรู้สึกไม่ดีออกไป ก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ ลัลแค่พยายามพูดให้คุณเข้าใจว่ามูลค่าของของชิ้นนี้มันอาจจะแพงเกินกว่าที่คนเพิ่งรู้จักกันจะรับไว้เท่านั้นเอง” หญิงสาวพยายามจะอธิบาย เผื่อว่ามันจะช่วยให้เขาเข้าใจเธอมากขึ้น
“คุณลัลไม่ได้ทำอะไรผิดหรอกครับ เป็นผมเองที่คิดน้อยไป ของชิ้นนี้มันอาจจะดูเหมือนแพงไปจริงๆ แต่สำหรับผมแล้ว คุณค่าที่แท้จริงของมันกลับไม่ได้อยู่ที่ราคา แต่มาจากการที่ผมตั้งใจวาดมันให้คุณซึ่งเป็นเพื่อน ผมไม่เคยตั้งราคากับภาพนี้เพราะคิดว่ามันคือตัวแทนของมิตรภาพที่ผมอยากจะแสดงให้คุณเห็นเท่านั้นเอง”
จิตรกรหนุ่มอธิบายเสียงเศร้า เป็นเหตุผลที่ลัลนาฟังแล้วถึงกับพูดอะไรไม่ออก แม้ว่าในใจจะยังคงคิดค้าน ว่าตั้งแต่เกิดมาก็ยังไม่เคยมีเพื่อนคนไหนให้ของขวัญแบบนี้กับเธอเหมือนกัน ในเมื่อรับไว้ก็ไม่สบายใจ แถมจะคืนไปก็ยากเย็นเช่นนั้นเธอควรคิดหาวิธี ที่ทำให้ตัวเองติดค้างเขาให้น้อยที่สุด น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้
“ไหนๆ คุณก็วาดมาให้ลัลแล้ว ถ้างั้นเอาแบบนี้ดีไหมคะ คุณตั้งราคาภาพมา ลัลจะจ่ายเงินซื้อภาพนี้ไว้เอง” ลัลนาตัดใจยื่นข้อเสนอ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ร่ำรวยมีเงินเหลือเฟือพอจะซื้อภาพเขียนราคาของเขา แต่ก็ต้องยอมตัดใจเพราะคิดหาหนทางอื่นไม่ออก
คีตามองเธอนิ่ง เธอคงไม่อยากรับมันไว้จริงๆ นั่นแหละ ไม่เช่นนั้นคงไม่ดิ้นรนปฏิเสธเขาถึงเพียงนี้ทั้งที่เขาก็บอกแต่แ
ม่านหัวใจ อุ่นไอรัก บทที่ 3
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หอผู้ป่วยวิกฤติช่วงใกล้ค่ำมีผู้คนบางตากว่าช่วงเวลากลางวัน ลัลนาใช้เวลาอยู่กับบิดาและน้องชายที่มาพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลมาตลอดช่วงบ่าย โดยวันนี้หญิงสาวมีวัฒนะติดสอยห้อยตามเธอมาด้วย แต่ชายหนุ่มขอตัวกลับไปก่อนเมื่อช่วงบ่ายแก่ เนื่องจากมีกิจธุระที่ต้องไปทำต่อกับมารดาของเขา
มือบางเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้กับบิดาของเธอจนเสร็จ แล้วพูดคุยกับท่านเหมือนกับทุกครั้ง แม้จะรู้ว่าท่านคงไม่ลุกขึ้นมาคุยโต้ตอบอันใดกับเธอก็ตามที ลมหายใจแผ่วๆ สะท้อนขึ้นลงบนหน้าอกของร่างผ่ายผอมที่นอนนิ่งมาตลอดสามปีเป็นเพียงสัญญานที่บอกว่าร่างนั้นยังคงมีชีวิต และเป็นความหวังของลัลนาที่เฝ้ารอให้บิดาของเธอฟื้นขึ้นมาอย่างไม่เคยยอมแพ้
เข็มนาฬิกาบอกเวลาว่าอีกหนึ่งชั่วโมงจะหมดเวลาเยี่ยม หญิงสาวเดินออกจากห้องไอซียูแล้วกลับไปหาน้องชายที่นอนพักรักษาตัวอยู่ที่อีกฟากหนึ่งของตัวตึก ทันทีที่ร่างบางเดินมาถึงเตียงของน้องชาย คนป่วยก็หันมาจ้องหน้ามองพี่สาวตาเขม็ง เหมือนเขาจะมีคำพูดแต่ก็ไม่พูด คนเป็นพี่แแม้จะรู้ว่าถูกจ้อง แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ มิหนำซ้ำยังชวนเขาคุยไปเรื่อยอีกต่างหาก และนั่นก็ทำให้สารินยิ่งหงุดหงิดจนต้องเอ่ยปากถามออกมาในที่สุด
“ทำไมวันนี้ถึงมากับพี่นะได้ละฮะ” คนเป็นน้องถาม ใบหน้าซีดๆ ติดจะบึ้งตึงอยู่เล็กน้อย ยามนึกถึงเพื่อนหนุ่มคนสนิทของลัลนา
“หือ! ถามทำไมเหรอ” เสียงใสถามกลับ ขณะหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กใส่กะละมัง จากนั้นเดินเข้าห้องน้ำไป แล้วออกมาอีกครั้งพร้อมกับภาชนะบรรจุน้ำ เตรียมพร้อมสำหรับการเช็ดตัวให้กับน้องชาย
“ก็แค่อยากรู้ ว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงมาได้” เด็กหนุ่มบอกพร้อมกับถอดเสื้อเพื่อให้พี่สาวเช็ดตัวเขาได้อย่างสะดวกๆ
“คงอยากมาเยี่ยมพ่อกับรินละมั้ง เห็นบอกว่าช่วงก่อนยุ่งๆ เลยไม่ค่อยมีเวลามาเยี่ยม” ลัลนาตอบแทนเพื่อนหนุ่ม โดยส่วนหนึ่งก็มาจากคำที่เขาบอกเธอนั่นแหละ
“แปลว่าตอนนี้หายยุ่งแล้ว?” คนป่วยประชดหน้ามุ่ย เนื่องจากไม่พอใจในคำตอบ
“คงงั้นมั้ง รินสงสัยอะไรเหรอ” คนเป็นพี่เงยหน้าขึ้นสบตากับน้องชายเพื่อจับสังเกต แล้วก็พบกับร่องรอยกับความกังวลในดวงตาคู่นั้น
“เปล่า ไม่ได้สงสัย แต่ว่าไม่ชอบ” แม้วัฒนะจะไม่แสดงความรู้สึกออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด แต่ในสายตาของคนมอง สารินเชื่อว่าเพื่อนหนุ่มของลัลนาคนนี้จะต้องคิดอะไรบางอย่างกับพี่สาวของเขาอยู่บ้างไม่มากก็น้อย และนั่นคือสิ่งที่เขาเป็นห่วง
ลัลนามองหน้าน้องชายแล้วถอนหายใจ
“อย่าคิดมากสิริน บอกแล้วไงว่าพี่กับนะเราเป็นแค่เพื่อนกัน”
“ถึงพี่ลัลจะบอกแบบนั้น แต่ยังไงๆ รินก็อดห่วงไม่ได้” สารินตอบพี่สาวแบบรั้นๆ เด็กหนุ่มยึดหลักว่าเขาควรจะเชื่อในสิ่งที่ตาเห็นเท่านั้น
“เหลวใหลน่ะ เราคุยเรื่องนี้กันมากี่ครั้งแล้ว หรือรินคิดว่าพี่โกหก” ลัลนาย้อนถามเหมือนน้อยใจ หลายครั้งที่เธอพยายามอธิบายแต่สุดท้ายดูเหมือนสารินจะยังไม่ยอมเชื่อเธออยู่ดี
“รินเชื่อพี่ลัล แต่กับพี่นะ รินไม่แน่ใจ ยังไงๆ ผู้ชายด้วยกันย่อมดูกันออก”
ไม่ผิดที่สารินจะคิดแบบนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมาเด็กหนุ่มเฝ้ามองความสัมพันธ์ระหว่างพี่สาวกับเพื่อนหนุ่มด้วยความเป็นห่วง ทั่วทั้งระแวกบ้านมีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่มารดาของวัฒนะรังเกียจที่สุดก็คือความจน และนั่นก็รวมถึงครอบครัวของเขา รวมถึงพี่สาวของเขาด้วย กี่ครั้งกี่หนที่ต้องทนฟังคำเสียดสีจากมารดาของวัฒนะไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม เป็นใคร ใครบ้างจะไม่ห่วง ผิดหรือที่คนเราจะเกิดมาจน ผิดหรือที่ครอบครัวของเขาไม่พรั่งพร้อมเหมือนกับคนอื่นๆ โชคยังดีที่พี่สาวของเขาไม่ได้มีใจให้กับวัฒนะ หาไม่แล้วปัญหาสารพันคงไม่แคล้วรุมเร้าทั้งพี่สาวและครัวของเขาแบบไม่หยุดไม่หย่อนเป็นแน่
“เยอะนะเราน่ะ ขนาดเขาเพิ่งจะมาเยี่ยม ยังไปสังเกตเขาได้”
“ของแบบนี้ ไม่ต้องอยู่นานหรอกฮะ แค่แป๊บๆ ก็ดูออกแล้ว”
ลัลนาหยุดมือแล้วมองสบตากับน้องชาย ก่อนจะพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“พี่จะบอกรินอีกครั้งว่า พี่กับนะเราเป็นแค่เพื่อนกันจริงๆ ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น และไม่มีวันจะมี” คนเป็นพี่ยืนยันหนักแน่น สารินจึงพยายามยิ้มกลบเกลื่อนความกังวล
“รินจะพยายามไม่คิด แต่จะให้เลิกห่วงไปเลยคงยาก พี่ลัลก็รู้ว่าน้าวรรณรังเกียจครอบครัวเราขนาดไหน ตราบใดที่พี่นะยังวนเวียนอยู่รอบๆ รินกลัวว่าสักวันมันจะมีปัญหา”
“จะกลัวทำไม เราบริสุทธิ์ใจเสียอย่าง ในเมื่อพี่ไม่ได้คิดอะไร ต่อไปเขาก็จะรู้กันเองนั่นแหละ รินอย่าห่วงไปเลย” มือบางกดลงบนไหล่ของน้องชายเพื่อให้เขามั่นใจในตัวเธอ
“ฮะ รินเชื่อพี่ลัล” สารินพยักหน้าบอกกับพี่สาว แล้วหันออกไปมองที่นอกหน้าต่าง ทั้งสีฟ้าและสีเหลืองลาจากท้องฟ้าไปนานแล้ว เด็กหนุ่มจึงหันมาบอกกับเธอด้วยความเป็นห่วง “ค่ำมากแล้ว รินว่าพี่ลัลรีบกลับบ้านดีกว่า”
“เดี๋ยวเช็ดตัวให้รินเสร็จก่อน แล้วพี่ค่อยกลับ” ลัลนาบอกน้องแล้วลงมือเช็ดตัวให้เขาต่อ
“ไม่ต้องหรอกฮะ เดี๋ยวรินจัดการเอง แค่นี้สบายมาก พี่ลัลกลับบ้านเถอะ ค่ำมากแล้ว ซอยบ้านมันมืดแล้วก็เปลี่ยว กลับบ้านดึกๆ รินเป็นห่วง”
ลัลนายิ้มมองหน้าน้องชายอย่างเข้าใจ พวกเขามีกันอยู่แค่สามคนในครอบครัว จะห้ามไม่ให้ใครคนใดคนหนึ่งเป็นห่วงกันคงจะยาก หญิงสาวจึงพยักหน้ารับ แล้วบอก
“โอเค กลับก็กลับ”
“อย่าลืมกินข้าวด้วยล่ะ พี่ลัลผอมไปมากเลยรู้ไหม” คนเป็นน้องยังบ่นต่อ พร้อมกับกวาดตาสำรวจร่างพี่สาวอีกครั้ง เป็นเชิงตำหนิที่เธอเอาแต่ดูแลคนรอบๆ กาย แต่กลับไม่ยอมดูแลตัวเอง
“จ้าๆ รู้แล้วจ้า ขี้บ่นจริง ยังไม่ทันจะแก่เลยนะเรา” หญิงสาวเปรยพลางตวัดตาค้อนน้องชาย ก่อนจะวางผ้าขนหนูลงในภาชนะ “งั้นพี่กลับล่ะ เช็ดตัวเสร็จแล้วก็พักผ่อนเสีย แล้วก็อย่าลืมเชื่อฟังหมอด้วยล่ะ ห้ามดื้อกับหมอเด็ดขาด รู้ไหม” มือบางจับศีรษะทุยของน้องชายโยกไปมาอย่างเอ็นดู
“รินโตแล้วนะฮะ พี่ลัลสั่งอย่างกับรินเป็นเด็กๆ” เด็กหนุ่มบ่นพร้อมกับทำหน้ามุ่ย
“โอเคจ้ะ ไม่สั่งก็ไม่สั่ง พี่กลับก่อนดีกว่า รินก็นอนพักเสียล่ะ พี่ไปล่ะ” หญิงสาวลูบศรีษะน้องชายเบาๆ แล้วหยิบกระเป๋ามาสะพาย เตรียมพร้อมที่จะกลับบ้าน
“ถึงบ้านแล้วโทรบอกด้วยนะฮะ” สารินกำชับพี่สาวอีกครั้ง
“จ้า พ่อแก่” หญิงสาวทำเสียงใสล้อเลียนแล้วส่งยิ้มร่าเริง ก่อนออกจากห้องไปยังไม่วายหันมาโบกมือลา
สารินมองพี่สาวลับออกนอกประตูไปแล้วแอบคิดอยู่ในใจ จะมีสักวันไหม ที่พี่สาวของเขาหลุดพ้นจากภาระที่เธอต้องแบกอยู่ ถ้าไม่กลัวว่าลัลนาจะเสียใจและโทษตัวเอง เขาก็อยากจะตายไปเสียให้พ้นๆ เหมือนกัน สารินได้แต่ภาวนา ว่าสักวันจะมีใครสักคนเข้ามาคอยดูแลพี่สาวของเขาบ้าง ขอแค่เป็นคนอื่นที่ไม่ใช่วัฒนะ แค่นั้นเขาก็พอใจมากแล้ว
-----------------------------------------
ช่วงเวลาบ่ายของวันกลางสัปดาห์คีตาแวะมาที่ร้านดอกไม้ของลัลนาพร้อมกับภาพวาดในมือที่เจ้าตัวบอกว่า เขาถือวิสาสะวาดมันขึ้นมาให้เธอหลังจากที่ได้มีโอกาสเจอกับเธอในงานเปิดตัวแกเลอรี่ของเขาครั้งนั้น เพื่อตอบแทนที่เธอช่วยให้งานเปิดตัวแกเลอรี่ของเขาออกมาสมบูรณ์แบบอย่างชนิดไม่มีที่ติ รวมทั้งเป็นของขวัญสำหรับการเชื่อมมิตรภาพระหว่างเขาและเธออีกถ่ายหนึ่ง
ลัลนารู้สึกประหลาดใจจนเผลอมองหน้าชายหนุ่มสลับกับภาพวาดตัวเธอเองแบบงงๆ จำได้ว่าวันนั้นเธอเจอกับเขาเพียงแค่แวบเดียว ไม่นึกว่าคีตาจะจดจำใบหน้าเธอจนเก็บมาวาดเป็นภาพได้ขนาดนี้ นี่คงเป็นพรสวรรค์ของคนที่ถูกเรียกว่าศิลปินสินะเธอแอบคิดอยู่ในใจ
หญิงสาวมองภาพที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้งอย่างชื่นชมในฝีมือของคนวาด ฉับพลันก็นึกไปถึงบรรดาภาพเขียนฝีมือชายหนุ่มที่แขวนโชว์อยู่ในงานเปิดตัว แต่ละภาพราคาไม่ห้าหลักก็หกหลักเป็นอย่างต่ำ เช่นนั้นภาพที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้ สนนราคาของมันก็คงไม่ต่างจากที่เธอเคยเห็น ลัลนาได้ข้อสรุปอยู่ในใจว่าของขวัญมูลค่าสูงลิ่วขนาดนี้คงไม่เหมาะที่เธอจะรับไว้ ต่อให้คนที่เป็นแบบในภาพนั้นจะเป็นตัวเธอเองก็เถอะ
“ผมตั้งใจวาดรูปนี้เพื่อคุณโดยเฉพาะเลยนะครับ” จิตรกรหนุ่มบอกอย่างภูมิใจพร้อมกับรอยยิ้มทรงเสน่ห์ที่ตามปกติเจ้าตัวมักใช้มัดใจสาวๆ ไว้ได้อย่างอยู่หมัด ทว่าก็ต้องผิดคาดเมื่อเสน่ห์อันล้นเหลือที่เขาเคยภูมิใจนักหนากลับไม่อาจใช้กับลัลนาได้ดังที่เขาหวัง
“สวยจังค่ะ” ดวงหน้าใสส่งยิ้มละมุนขณะเอ่ยชม คีตายิ้มกว้างอย่างปีติ ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร คำปฏิเสธอย่างชัดเจนของลัลนาก็ดังขึ้นในวินาทีถัดมา “แต่ลัลคงจะรับมันไว้ไม่ได้ เพราะรูปนี้มันแพงเกินไป”
หญิงสาวไม่ได้แสร้งทำเป็นบ่ายเบี่ยง แต่ที่ผ่านมาลัลนามักจะระวังตัวอยู่เสมอ เพราะเธอเชื่อว่าของกำนัลราคาแพงมักแฝงไว้ด้วยความนัยบางอย่าง ลัลนาเกรงว่าถ้ารับไว้ วันหนึ่งข้างหน้ามันอาจกลายเป็นต้นเหตุของความอีกหลักอีเหลื่อใจของเธอก็เป็นได้ เพราะเหตุนี้ เธอจึงปฏิเสธในทุกครั้งที่มีคนนำของขวัญมีค่ามามอบให้กับเธอ
“แต่นี่มันรูปของคุณนะครับ ผมตั้งใจวาดมันให้คุณจริงๆ” คีตาพยายามอธิบาย ไม่นึกว่าการให้ของขวัญหญิงสาวสักคนมันจะยากเย็นถึงเพียงนี้ ทีแรกเขาคิดว่าเธอจะดีใจในทันทีที่เห็นรูป และยอมรับมันไว้แต่โดยดี เขาก็แค่ใช้รูปเป็นสื่อหวังว่าเธอรับรู้ถึงความจริงใจและยอมรับน้ำใจจากเขาก็เท่านั้น ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าลัลนาจะเป็นคนที่คิดมากและระมัดระวังตัวเองขนาดนี้
ลัลนามองรูปภาพที่คีตายื่นส่งมาให้สลับกับหน้าของคนให้อย่างหนักใจ เขาบอกว่าเขาตั้งใจวาดมันให้กับเธอ รู้แบบนี้แล้วเธอยิ่งไม่ควรรับ เพราะนั่นอาจทำให้เขาตีความว่าเธอยอมรับและยอมเปิดใจให้เขาก็เป็นได้ หญิงสาวรู้ดีว่าคีตามีความรู้สึกดีๆ ให้กับเธอ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ยอมเสียเวลามานั่งวาดรูปนี้ให้เธอหรอก ใช่ว่าเธอจะไม่เห็นถึงน้ำใจของเขา แต่คนมีภาระอย่างเธอ แค่ทำงานหาเงินก็หมดเวลาไปเป็นวันๆ แล้ว จะเอาเวลาที่ไหนมาใส่ใจกับเรื่องหัวใจของตัวเองได้อีก ที่ผ่านมาเธอจึงขีดเส้นระยะห่างจากชายหนุ่มทุกคนที่เข้าเกี่ยวพัน ไม่เว้นแม้แต่วัฒนะ
“ขอบคุณนะคะ แต่ถึงยังไงลัลก็ปฏิเสธอยู่ดี เราเพิ่งจะรู้จักกันไม่นาน ลัลไม่สะดวกใจจะรับของมีค่าแบบนี้ไว้จริงๆ” ลัลนาปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม ใบหน้าคมพลันสลด อดน้อยใจขึ้นมาเสียมิได้
“ไม่ว่าคุณลัลจะคิดยังไง สำหรับผมแล้วคุณลัลไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นเพื่อน เป็นคนที่ผมอยากรู้จักให้มากขึ้น” เสียงของคีตาอ่อนลงไปอย่างถนัดใจจนลัลนารู้สึกได้ หญิงสาวจึงโทษตัวเองว่าเธอคงจะพูดตรงกับเขาเกินไป
“ถ้าลัลเผลอพูดอะไรที่ทำให้คุณรู้สึกไม่ดีออกไป ก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ ลัลแค่พยายามพูดให้คุณเข้าใจว่ามูลค่าของของชิ้นนี้มันอาจจะแพงเกินกว่าที่คนเพิ่งรู้จักกันจะรับไว้เท่านั้นเอง” หญิงสาวพยายามจะอธิบาย เผื่อว่ามันจะช่วยให้เขาเข้าใจเธอมากขึ้น
“คุณลัลไม่ได้ทำอะไรผิดหรอกครับ เป็นผมเองที่คิดน้อยไป ของชิ้นนี้มันอาจจะดูเหมือนแพงไปจริงๆ แต่สำหรับผมแล้ว คุณค่าที่แท้จริงของมันกลับไม่ได้อยู่ที่ราคา แต่มาจากการที่ผมตั้งใจวาดมันให้คุณซึ่งเป็นเพื่อน ผมไม่เคยตั้งราคากับภาพนี้เพราะคิดว่ามันคือตัวแทนของมิตรภาพที่ผมอยากจะแสดงให้คุณเห็นเท่านั้นเอง”
จิตรกรหนุ่มอธิบายเสียงเศร้า เป็นเหตุผลที่ลัลนาฟังแล้วถึงกับพูดอะไรไม่ออก แม้ว่าในใจจะยังคงคิดค้าน ว่าตั้งแต่เกิดมาก็ยังไม่เคยมีเพื่อนคนไหนให้ของขวัญแบบนี้กับเธอเหมือนกัน ในเมื่อรับไว้ก็ไม่สบายใจ แถมจะคืนไปก็ยากเย็นเช่นนั้นเธอควรคิดหาวิธี ที่ทำให้ตัวเองติดค้างเขาให้น้อยที่สุด น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้
“ไหนๆ คุณก็วาดมาให้ลัลแล้ว ถ้างั้นเอาแบบนี้ดีไหมคะ คุณตั้งราคาภาพมา ลัลจะจ่ายเงินซื้อภาพนี้ไว้เอง” ลัลนาตัดใจยื่นข้อเสนอ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ร่ำรวยมีเงินเหลือเฟือพอจะซื้อภาพเขียนราคาของเขา แต่ก็ต้องยอมตัดใจเพราะคิดหาหนทางอื่นไม่ออก
คีตามองเธอนิ่ง เธอคงไม่อยากรับมันไว้จริงๆ นั่นแหละ ไม่เช่นนั้นคงไม่ดิ้นรนปฏิเสธเขาถึงเพียงนี้ทั้งที่เขาก็บอกแต่แ