กรุงสาวัตถี ที่บ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ยามบ่าย...
ท่านเศรษฐี พร้อมกับบริวาร ออกมาพบกับอาคันตุกะ 6 คนนอกชานเรือน หลังจากทราบข่าวจากคนรับใช้ใกล้ชิดคนหนึ่งว่าพวกเขาต้องการพบ และท่านเศรษฐีสั่งให้ชนผู้เป็นบริวารจัดเก้าอี้ที่นั่งและน้ำดื่ม อาคันตุกะเหล่านั้น แต่ละคนแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ประหลาด ไม่เหมือนใครๆที่เขาเคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิต และหนึ่งในจำนวนนั้น พูดภาษามคธสำเนียงแปลกๆอีกด้วย
"ภาษามคธของท่าน ฟังดูแปลกยิ่ง ท่านมาแต่ที่ใดหรือ ?"
"พวกกระผม มาจากที่ไกล นอกชมพูทวีปขอรับ"
"ท่านชื่อว่ากระไร ?"
"กระผมชื่อ เอกะ ขอรับ"
"เป็นชื่อที่สั้นยิ่ง เหตุใดท่านจึงได้ชื่อเช่นนั้น ?"
"เพราะกระผมเป็นลูกชายคนเดียว ไม่มีพี่น้องชายหรือพี่น้องหญิง ขอรับ"
ท่านเศรษฐีพยักหน้า แล้วถามต่อไป
"แล้ว สหายเหล่านี้ของท่านเล่า พวกเขาพูดภาษามคธได้หรือไม่ ?"
"ไม่ได้ขอรับ กระผมผู้เดียวเท่านั้น สามารถพูดได้บ้างเล็กน้อยขอรับ"
"โอ...ท่านพูดได้มากเห็นปานนี้ ยังบอกว่าเล็กน้อยอยู่หรือ ไม่เล็กน้อยเลย..."
"ท่านเศรษฐี ชมกระผมมากไปแล้วขอรับ"
"เป็นเรื่องจริงแท้ทีเดียว เอาละ พวกท่านมาเพื่อพบข้าพเจ้า เพื่อประสงค์สิ่งใดฤๅ ?"
"พวกกระผม อยากจะขอเป็นคนทำงานรับใช้ท่านขอรับ พวกกระผมมีความสามารถพิเศษที่อาจช่วยงานในบ้านของท่านให้สำเร็จได้โดยง่ายขึ้น อาจทำให้ท่านเศรษฐี และคนในบ้านสุขสบายมากขึ้นขอรับ"
ท่านเศรษฐีเลิกคิ้วขึ้น ทำหน้าฉงน
"พวกท่าน มีความสามารถพิเศษ อย่างนั้นหรือ ? (วิเสสสมัตถา ตุมเห)"
"ใช่แล้วขอรับ (อาม สามิ)"
"ท่านลองยกตัวอย่างให้ข้าพเจ้าฟังสักเล็กน้อยเถิด"
"ถ้าอย่างนั้น กระผมขอถามท่านก่อน ทุกๆวัน เมื่อจะหุงต้มอาหาร พ่อครัวของท่าน ใช้เวลาประมาณเท่าไร ในการยังไฟให้ลุกโพลงขึ้น ? (ก่อไฟ)"
ท่านเศรษฐีหยุดคิดชั่วครู่ แล้วจึงตอบ "คงจะประมาณครึ่ง ถึงหนึ่งชั่วยาม หากอากาศหนาวเย็น ก็จะสิ้นเวลานาน"
"บุรุษผู้เจริญที่สุด (หัวหน้า) ของกระผม อาจยังเวลาให้ลดลงได้เป็นอันมากขอรับ"
"มากเพียงใด ?"
"เอกะ" หรือ เอก นั่นเอง หันมาถาม "บุรุษผู้เจริญที่สุด"
"กัปตันครับ ท่านเศรษฐีถามว่า กัปตันสามารถลดเวลาการก่อไฟ ซึ่งพวกเขาต้องใช่เวลาถึงครึ่งหรือหนึ่งชั่วยาม ให้น้อยลงได้แค่ไหน ?"
"บุรุษผู้เจริญที่สุด" ยิ้มก่อนตอบ
"บอกท่านเศรษฐีไปว่า ให้เขานับหนึ่งถึงสิบ ผมจะก่อไฟให้ติดก่อนที่เขาจะนับถึงสิบ"
เอกยิ้ม แล้วหันมาบอกท่านเศรษฐี
"ได้ยินว่า บุรุษผู้เจริญที่สุดนี้..." เอกผายมือมายังกัปตัน "อาจเพื่อยังไฟให้โพลงขึ้น เมื่อท่านทำการนับ จำเดิมแต่ หนึ่ง ยังไม่ถึงจำนวนสิบ ขอรับ"
"ผิว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น จักเป็นความมหัศจรรย์แท้! ข้าพเจ้า อยากเห็นด้วยตา ในบัดนี้นั่นเทียว!" กล่าวจบ ท่านเศรษฐีก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วกล่าวต่อ "เชิญพวกท่านตามข้าพเจ้ามา เราจะเข้าไปสู่โรงครัว ข้าพเจ้า จักยังบุรุษผู้เจริญที่สุดของท่าน ให้ยังไฟให้โพลงขึ้นในระหว่างแห่งฟืนทั้งหลาย!"
แล้วท่านเศรษฐีก็เดินนำหน้าไปยังโรงครัวใหญ่หลังบ้าน อาคันตุกะทั้ง 6 เดินตามเข้าไป
ครั้นเข้าไปแล้ว ท่านเศรษฐี จึงเรียกพ่อครัวใหญ่ซึ่งกำลังจัดเตรียมอาหารและเครื่องปรุงต่างๆสำหรับอาหารมื้อเย็น
"นันทเก" (ท่านนันทกะ)
"กิง สามิ ?" (อะไรหรือครับ นายท่าน)
"ทารูนิ อุททเน ปักขาหิ" (ท่านจงใส่ฟืนทั้งหลายในเตา)
"อิทาเนวะ มัง โภชนัง ปาจะยะสิ๊ ? สามิ" (จะให้กระผมหุงต้มอาหารตอนนี้เลยหรือขอรับ นายท่าน)
"เนวะ ตัง กาเรมิ" (มิใช่จะให้ท่านทำอย่างนั้น) "อหัง ปะนะ อาคันตุกะสหายัง อัคคิง ชาเสสสามิ" (ฉันจักยังสหายผู้อาคันตุกะ ยังไฟให้โพลงขึ้น) "โส กิระ เอวัง กาตุง สักโกติ (ได้ยินว่า เขาอาจทำอย่างนั้น) "มะมะ เอโกติ คณนะโต ปัฏฐายะ ยาวะ ทสาติ อัปปัตตักขเณเยวะ อัคคิง ชาเลสสติ" (เขาจักยังไฟให้ลุกโพลงขึ้น ในขณะที่ฉันนับตั้งแต่หนึ่งยังไม่ถึงสิบนั่นเทียว)
"เอวัง กิระ สามิ ?" (ได้ยินว่าอย่างนั้นหรือขอรับ นายท่าน"
"อามะ นันทเก" (เออ ท่านนันทกะ)
"เตนหิ โถกัง อาคเมถะ สามิ" (ถ้าอย่างนั้น รอก่อนนะขอรับ นายท่าน)
ท่านเศรษฐีพยักหน้า
พ่อครัวใหญ่ชื่อนันทกะ หอบฟืนมากอบหนึ่ง แล้วใส่เข้าไปในเตาไฟขนาดปานกลางหลังหนึ่ง
ท่านเศรษฐีหันมาพูดกับเอก "ขอท่านจงบอกให้บุรุษผู้เจริญที่สุดของท่าน ให้ยังไฟให้โพลงขึ้น ณ บัดนี้เถิด"
เอกพยักหน้า แล้วหันมาพยักหน้ากับกัปตันอีกที
กัปตันวันชนะยิ้ม แล้วเดินเข้าไปหาเตาไฟ หยิบวัตถุชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง มีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีเงินขนาดเล็กเท่ากลักไม้ขีดไฟ
"กิงนาเมตัง ?" (อะไรกันนั่น) ท่านเศรษฐีเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
"อัคคิปัชชะละนัง สามิ" (เครื่องยังไฟให้โพลงทั่วขอรับ นายท่าน)
แล้วท่านเศรษฐี และพ่อครัว ก็อ้าปากค้าง เมื่อเห็นกัปตัน ใช้นิ้วชี้กดลงบนวัตถุ 4 เหลี่ยมผืนผ้านั้น และเห็นแสงไฟพุ่งออกไปจากด้านหน้าวัตถุนั้นเข้าไปจับที่ฟืนท่อนหนึ่ง ไฟลุกพรึ่บขึ้นทันที และลามไปยังฟืนท่อนที่เหลืออย่างรวดเร็ว
"อะโห....อติวิยัจฉะริยัง โภ!!" (โอ น่าอัศจรรย์เกินเปรียบ พ่อมหาจำเริญ!)
ท่านเศรษฐีอุทานเสียงดัง ในขณะที่พ่อครัวใหญ่นันทกะยืนตะลึงเบิกตากว้าง ส่วนพลพรรคกัปตันพากันยิ้ม
"อหัง โว อิโต ปัฏฐายะ อิธะ วะสะนัง กัมมัญจะ" (ข้าพเจ้า ให้พวกท่านอยู่และทำงานที่นี่ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อนาถบิณฑิกเศรษฐี นำอาคันตุกะทั้ง 6 กลับไปที่ห้องรับรอง สั่งบริวารให้นำของว่าง มีของขบเคี้ยวและน้ำผลไม้มาเลี้ยงแขกซึ่งกลายเป็นคนรับใช้พิเศษในบ้านแล้ว จากนั้นจึงให้แต่คนแนะนำตัว โดยเอก ซึ่งมีความรู้ภาษาบาลี เป็นคนกลางช่วยแปล
"บัดนี้ พึงเป็นเวลาแห่งการรู้จักพวกท่านแต่ละคน ที่เหลือ นอกจากท่านเอก" ท่านเศรษฐีเริ่มการสนทนา "ขอให้ บุรุษผู้เจริญที่สุด เป็นคนแรก"
เอกหันมาบอกกัปตัน "กัปตันพูดแนะนำตัวเป็นภาษาไทยครับ แล้วผมจะช่วยแปลให้ท่านเศรษฐี"
"โอเค" กัปตันพยักหน้า หันมายิ้มให้ท่านเศรษฐีแล้วเริ่มแนะนำตนเอง และเอกทำหน้าที่เป็นล่ามแปลทีละประโยค
"กระผมชื่อ วะนะชะโน เป็นนายช่าง และชนที่เหลือ เป็นบริวารใกล้ชิดของกระผมขอรับ"
"วัฏฏกี ?" (นายช่าง) ท่านเศรษฐีทวนคำ "ถ้าอย่างนั้น ท่านคงจักทำสิ่งต่างๆได้มาก เครื่องยังไฟให้โพลงของท่าน มหัศจรรย์แท้เทียว นันทกะ พ่อครัวใหญ่ บอกข้าพเจ้าว่า มันจักเป็นอุปการะมาก แก่การหุงต้มอาหาร มีแกงและกับเป็นต้น"
"กระผมยังมีอีกหลายสิ่ง ซึ่งจะเป็นอุปการะแก่ท่านขอรับ"
"หากเป็นเช่นนั้น ย่อมประเสริฐแท้! ข้าพเจ้า จักพาท่านไปเข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร พระราชาแห่งแแคว้นมคธ ท่านจักได้โอกาสถวายการรับใช้ และของอันเป็นของมีอยู่ของท่าน พระองค์จักพอพระทัยเป็นแน่"
"โอ...โปรดอย่าได้ทำเช่นนั้นขอรับ"
"เพราะเหตุใดเล่า ? ท่านไม่ปรารถนาจะรับใช้เบื้องพระยุคลบาทหรอกหรือ ?"
"กระผมเพียงต้องการอยู่อย่างสงบ และรับใช้ท่านในบ้านนี้เท่านั้น ไม่ต้องการให้เป็นที่ปรากฏแก่ชนอื่น ไม่ต้องการชื่อเสียง กระผมและสหายทุกคนจะอยู่ทำงานที่นี่ สิ้นกาลประมาณสมควร จากนั้น เราทั้งหลาย ก็จักอำลาท่าน เพื่อไปทำกิจจำเป็นอย่างอื่นต่อไปขอรับ"
"อะโห.." ท่านเศรษฐีอุทานและพยักหน้าช้าๆ "ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว...หวังให้ท่านทั้งหลาย อยู่กับข้าพเจ้านานสักหน่อยหนึ่งเถิด ในกาลใด ท่านทั้งหลายจักอำลาไป ในกาลนั้น ความอาลัยเป็นอันมาก จักมีแก่ข้าพเจ้าแน่แท้เทียว"
"กระผมคิดว่า พวกกระผม อาจอยู่กับท่านที่นี่ สิ้นกาลประมาณสองหรือสามเดือนขอรับ"
"เป็นกาลมีประมาณน้อยยิ่ง ขอจงเป็นกาลสักว่าปีหนึ่งเถิด"
"คำที่กระผมกล่าวแล้วนั้น ไม่แน่นอน กาลอาจเนิ่นช้ากว่านั้นได้ขอรับ"
"ดีแล้ว...เอาละ ท่านต่อไป ขอเป็นท่านเถิด เอก"
"ดังกระผมเรียนแล้วว่า กระผมชื่อเอก เพราะเป็นลูกชายคนเดียวในตระกูล กระผมเป็นทหารขอรับ"
"ภารกิจในกองทัพของท่านในขณะนี้ ไม่มีหรือ ?"
"ไม่มีขอรับ กระผมได้เวลาเพื่อพักผ่อนอยู่ขอรับ"
"ประเทศของพวกท่าน มีชื่อเรียกว่ากระไร ?"
"สยาม ขอรับ"
"สฺยาโม ?" ท่านเศรษฐีทวนคำ "เป็นชื่อที่แปลกแท้ ในสยามประเทศ มีชนที่พูดภาษามคธด้วยหรือ ?"
"มีการศึกษาภาษามคธอย่างกว้างขวาง ในหมู่สมณะทั้งหลายขอรับ"
"มีสมณะทั้งหลาย ในพระพุทธศาสนา ที่นั่นด้วยหรือ ?" ท่านเศรษฐีถามอย่างตื่นเต้น
"มีมากพอสมควรอยู่ขอรับ"
"ประหลาดแท้! พระพุทธเจ้า กำลังทรงเผยแผ่พระศาสนาอยู่ในชมพูทวีป พระองค์เสด็จไปยังสยามประเทศเมื่อใดกัน ?"
"หาใช่พระองค์เสด็จไปเองไม่ แต่เป็นพระสาวกบางรูปขอรับ"
"น่าอัศจรรย์! น่าอัศจรรย์หนอ...สาธุ" ท่านเศรษฐียกมือพนมขึ้นเหนือศีรษะ แล้วหันมาถามเอกต่อ
"ท่านเรียนภาษามคธมามากทีเดียว ท่านเคยเป็นบรรพชิตหรือ ?"
"ถูกแล้วขอรับ กระผมเรียนภาษามคธ ตั้งแต่กาลที่กระผมเป็นสามเณร"
"ท่านเรียน สิ้นกาลประมาณเพียงไร ?"
"ประมาณสิบปีขอรับ"
"สิบปี!!" ท่านเศรษฐีอุทานเสียงดัง "แม้เพราะเหตุนี้ละหนอ (อิติปิ โข) ท่านจึงพูดได้มากเห็นปานนี้ (เอวรูปัง พหุง ภาสะสิ)" แล้วท่านเศรษฐีก็หันมาทางแซม "ท่านโปรดยังข้าพเจ้าให้รู้จักท่านบ้าง ณ บัดนี้เถิด"
"กระผมชื่อ สาม (สาโม) เป็นทหาร เช่นเดียวกันกับเอกขอรับ"
"สรีระของท่านดูกำยำล่ำสัน แข็งแรงมากทีเดียวนะ สมควรเป็นทหารโดยแท้"
"กระผม เป็นนักมวยด้วยขอรับ"
"โอ้! ประเสริฐแท้! เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าไม่ต้องหวั่นเกรงโจรภัยใดๆแล้ว"
จากนั้น ท่านเศรษฐีหันมายังแอนดี้ "แล้วท่านเล่า พ่อคุณ ท่านมีทั้งสรีระ และหน้าตาควรซึ่งการพบเห็นมากทีเดียว (ทัสสนีโย)"
แอนดี้ยิ้ม เขากำลังเรียนรู้ภาษา โดยประมวลผลภาษามคธกับภาษาไทยเท่าที่ได้ยินในสมองกลอัจฉริยะ เพื่อปะติดปะต่อโครงสร้างไวยากรณ์และบันทึกลงในฐานข้อมูลใหม่
"กระผม ชื่อ อันดี ขอรับ เป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดของท่านวนชโน ขอรับ และเป็นทหารเช่นกันขอรับ"
"เป็นชื่อที่แปลกอีกชื่อหนึ่ง" ท่านเศรษฐีวิจารณ์
เอกยิ้ม แล้วแนะนำเพิ่มเติมให้แอนดรอยด์ซึ่งเหมือนคนทุกกระเบียดนิ้ว
"ท่านเศรษฐีขอรับ อันดี มีความสามารถพิเศษ ที่ใครๆก็มิอาจเปรียบปานได้อย่างหนึ่ง"
"อะไรหรือ ?"
"กำลังของเขาขอรับ เขาแข็งแรงมากกว่าใครๆ"
"อย่างนั้นหรือ ?" ท่านเศรษฐีมองหน้าแอนดี้แล้วยิ้ม "ดีละ ข้าพเจ้าอยากขอทดสอบสักเล็กน้อย"
"ได้ขอรับ" แอนดี้ตอบยิ้มๆเช่นกัน
"สุมะนะ" ท่านเศรษฐีหันไปเรียกคนใช้ชายคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ที่ประตู
"ขอรับ นายท่าน"
"ไปเรียก กาฬกะ มาที่นี่ซิ บอกเขาว่า ข้าฯ จะให้เขาทดลองกำลังกับชายคนหนึ่ง"
"ขอรับนายท่าน" สุมนะรับคำด้วยยิ้มพราย โค้งคำนับแล้วเดินออกไปร้องตะโกนหน้าบ้านพักซึ่งเรียงเป็นห้องแถวของเหล่าบริวารท่านเศรษฐีอันตั้งอยู่ไม่ไกลนัก
"กาฬกะ! อยู่หรือไม่ กาฬกะ ? ท่านเศรษฐี ยังข้าให้มาร้องเรียกเจ้า"
ประตูบานหนึ่งของห้องแถวเปิดออก ชายร่างใหญ่ กำยำบึกบึน กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ อย่างกับนักกีฬาเพาะกาย สูงราว 180 เซ็นติเมตร เดินอาดๆ ออกมา
"ท่านเศรษฐี จะยังข้าฯให้ทำสิ่งใด ? สุมนะ"
"ได้ยินว่า ท่านเศรษฐี เป็นผู้ใคร่เพื่อการทดลองกำลังของเจ้า กับบุรุษผู้หนึ่ง"
"อเร! (เฮ้ย) กิง ตัสสะ พลัง ?? (เจ้าคนนั้นจะมีกำลังสักเท่าไรวะ) ชิตัง เม นูนะ ภวิสสะติ! (ข้าฯจักเป็นผู้ชนะแน่)"
ว่าแล้วกาฬกะ ก็เดินตรงไปยังห้องรับแขกในบ้านท่านเศรษฐี
"กระผมมาแล้วขอรับ นายท่าน"
"กาฬกะ นี่คือ อันดี" ท่านเศรษฐีผายมือแนะนำแอนดี้ "ได้ยินว่า เขาเป็นผู้มีกำลังมากกว่าใครๆ เจ้าจงทดลองซึ่งกำลังกับเขาสักหน่อยเถิด"
"กระผม จะทดลองโดยวิธีใดขอรับ ? ต่อสู้กับเขาหรือ ?"
"หามิได้ ข้าฯ เพียงต้องการการทดลองเล็กน้อยเท่านั้น เจ้าจงงัดข้อมือกับเขาก็แล้วกัน บนโต๊ะนี่"
พูดจบ ท่านเศรษฐีก็ลุกขึ้น ผายมือไปที่โต๊ะตัวหนึ่ง มีเก้าอี้สองตัวอยู่ตรงข้ามกัน
กาฬกะมองหน้าแอนดี้แล้วยิ้มร่า
"สรีรันเต มะมะ ขุททะกะตะรัง (สรีระของท่านเล็กกว่าข้า) ตวัง นาฏะโก วิยะ! (ท่านดูราวกะนักฟ้อน!) เอหิ โภ! (มาเถิดพ่อคุณ!) มะยัง พาหายะ พะลัง วีมังสามะ! (พวกเราจะทดลองซึ่งกำลังแห่งแขน!)"
ว่าแล้วเขาก็นั่งลงที่เก้าอี้ด้านหนึ่ง วางศอกลงบนโต๊ะ กำหมัดอันล่ำบึ้กรออยู่
(มีต่อครับ)
⚡️💦⚡️ หลงกาล Episode-15 "ท่องพุทธกาล-1" ⚡️💦⚡️
ท่านเศรษฐี พร้อมกับบริวาร ออกมาพบกับอาคันตุกะ 6 คนนอกชานเรือน หลังจากทราบข่าวจากคนรับใช้ใกล้ชิดคนหนึ่งว่าพวกเขาต้องการพบ และท่านเศรษฐีสั่งให้ชนผู้เป็นบริวารจัดเก้าอี้ที่นั่งและน้ำดื่ม อาคันตุกะเหล่านั้น แต่ละคนแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ประหลาด ไม่เหมือนใครๆที่เขาเคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิต และหนึ่งในจำนวนนั้น พูดภาษามคธสำเนียงแปลกๆอีกด้วย
"ภาษามคธของท่าน ฟังดูแปลกยิ่ง ท่านมาแต่ที่ใดหรือ ?"
"พวกกระผม มาจากที่ไกล นอกชมพูทวีปขอรับ"
"ท่านชื่อว่ากระไร ?"
"กระผมชื่อ เอกะ ขอรับ"
"เป็นชื่อที่สั้นยิ่ง เหตุใดท่านจึงได้ชื่อเช่นนั้น ?"
"เพราะกระผมเป็นลูกชายคนเดียว ไม่มีพี่น้องชายหรือพี่น้องหญิง ขอรับ"
ท่านเศรษฐีพยักหน้า แล้วถามต่อไป
"แล้ว สหายเหล่านี้ของท่านเล่า พวกเขาพูดภาษามคธได้หรือไม่ ?"
"ไม่ได้ขอรับ กระผมผู้เดียวเท่านั้น สามารถพูดได้บ้างเล็กน้อยขอรับ"
"โอ...ท่านพูดได้มากเห็นปานนี้ ยังบอกว่าเล็กน้อยอยู่หรือ ไม่เล็กน้อยเลย..."
"ท่านเศรษฐี ชมกระผมมากไปแล้วขอรับ"
"เป็นเรื่องจริงแท้ทีเดียว เอาละ พวกท่านมาเพื่อพบข้าพเจ้า เพื่อประสงค์สิ่งใดฤๅ ?"
"พวกกระผม อยากจะขอเป็นคนทำงานรับใช้ท่านขอรับ พวกกระผมมีความสามารถพิเศษที่อาจช่วยงานในบ้านของท่านให้สำเร็จได้โดยง่ายขึ้น อาจทำให้ท่านเศรษฐี และคนในบ้านสุขสบายมากขึ้นขอรับ"
ท่านเศรษฐีเลิกคิ้วขึ้น ทำหน้าฉงน
"พวกท่าน มีความสามารถพิเศษ อย่างนั้นหรือ ? (วิเสสสมัตถา ตุมเห)"
"ใช่แล้วขอรับ (อาม สามิ)"
"ท่านลองยกตัวอย่างให้ข้าพเจ้าฟังสักเล็กน้อยเถิด"
"ถ้าอย่างนั้น กระผมขอถามท่านก่อน ทุกๆวัน เมื่อจะหุงต้มอาหาร พ่อครัวของท่าน ใช้เวลาประมาณเท่าไร ในการยังไฟให้ลุกโพลงขึ้น ? (ก่อไฟ)"
ท่านเศรษฐีหยุดคิดชั่วครู่ แล้วจึงตอบ "คงจะประมาณครึ่ง ถึงหนึ่งชั่วยาม หากอากาศหนาวเย็น ก็จะสิ้นเวลานาน"
"บุรุษผู้เจริญที่สุด (หัวหน้า) ของกระผม อาจยังเวลาให้ลดลงได้เป็นอันมากขอรับ"
"มากเพียงใด ?"
"เอกะ" หรือ เอก นั่นเอง หันมาถาม "บุรุษผู้เจริญที่สุด"
"กัปตันครับ ท่านเศรษฐีถามว่า กัปตันสามารถลดเวลาการก่อไฟ ซึ่งพวกเขาต้องใช่เวลาถึงครึ่งหรือหนึ่งชั่วยาม ให้น้อยลงได้แค่ไหน ?"
"บุรุษผู้เจริญที่สุด" ยิ้มก่อนตอบ
"บอกท่านเศรษฐีไปว่า ให้เขานับหนึ่งถึงสิบ ผมจะก่อไฟให้ติดก่อนที่เขาจะนับถึงสิบ"
เอกยิ้ม แล้วหันมาบอกท่านเศรษฐี
"ได้ยินว่า บุรุษผู้เจริญที่สุดนี้..." เอกผายมือมายังกัปตัน "อาจเพื่อยังไฟให้โพลงขึ้น เมื่อท่านทำการนับ จำเดิมแต่ หนึ่ง ยังไม่ถึงจำนวนสิบ ขอรับ"
"ผิว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น จักเป็นความมหัศจรรย์แท้! ข้าพเจ้า อยากเห็นด้วยตา ในบัดนี้นั่นเทียว!" กล่าวจบ ท่านเศรษฐีก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วกล่าวต่อ "เชิญพวกท่านตามข้าพเจ้ามา เราจะเข้าไปสู่โรงครัว ข้าพเจ้า จักยังบุรุษผู้เจริญที่สุดของท่าน ให้ยังไฟให้โพลงขึ้นในระหว่างแห่งฟืนทั้งหลาย!"
แล้วท่านเศรษฐีก็เดินนำหน้าไปยังโรงครัวใหญ่หลังบ้าน อาคันตุกะทั้ง 6 เดินตามเข้าไป
ครั้นเข้าไปแล้ว ท่านเศรษฐี จึงเรียกพ่อครัวใหญ่ซึ่งกำลังจัดเตรียมอาหารและเครื่องปรุงต่างๆสำหรับอาหารมื้อเย็น
"นันทเก" (ท่านนันทกะ)
"กิง สามิ ?" (อะไรหรือครับ นายท่าน)
"ทารูนิ อุททเน ปักขาหิ" (ท่านจงใส่ฟืนทั้งหลายในเตา)
"อิทาเนวะ มัง โภชนัง ปาจะยะสิ๊ ? สามิ" (จะให้กระผมหุงต้มอาหารตอนนี้เลยหรือขอรับ นายท่าน)
"เนวะ ตัง กาเรมิ" (มิใช่จะให้ท่านทำอย่างนั้น) "อหัง ปะนะ อาคันตุกะสหายัง อัคคิง ชาเสสสามิ" (ฉันจักยังสหายผู้อาคันตุกะ ยังไฟให้โพลงขึ้น) "โส กิระ เอวัง กาตุง สักโกติ (ได้ยินว่า เขาอาจทำอย่างนั้น) "มะมะ เอโกติ คณนะโต ปัฏฐายะ ยาวะ ทสาติ อัปปัตตักขเณเยวะ อัคคิง ชาเลสสติ" (เขาจักยังไฟให้ลุกโพลงขึ้น ในขณะที่ฉันนับตั้งแต่หนึ่งยังไม่ถึงสิบนั่นเทียว)
"เอวัง กิระ สามิ ?" (ได้ยินว่าอย่างนั้นหรือขอรับ นายท่าน"
"อามะ นันทเก" (เออ ท่านนันทกะ)
"เตนหิ โถกัง อาคเมถะ สามิ" (ถ้าอย่างนั้น รอก่อนนะขอรับ นายท่าน)
ท่านเศรษฐีพยักหน้า
พ่อครัวใหญ่ชื่อนันทกะ หอบฟืนมากอบหนึ่ง แล้วใส่เข้าไปในเตาไฟขนาดปานกลางหลังหนึ่ง
ท่านเศรษฐีหันมาพูดกับเอก "ขอท่านจงบอกให้บุรุษผู้เจริญที่สุดของท่าน ให้ยังไฟให้โพลงขึ้น ณ บัดนี้เถิด"
เอกพยักหน้า แล้วหันมาพยักหน้ากับกัปตันอีกที
กัปตันวันชนะยิ้ม แล้วเดินเข้าไปหาเตาไฟ หยิบวัตถุชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง มีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีเงินขนาดเล็กเท่ากลักไม้ขีดไฟ
"กิงนาเมตัง ?" (อะไรกันนั่น) ท่านเศรษฐีเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
"อัคคิปัชชะละนัง สามิ" (เครื่องยังไฟให้โพลงทั่วขอรับ นายท่าน)
แล้วท่านเศรษฐี และพ่อครัว ก็อ้าปากค้าง เมื่อเห็นกัปตัน ใช้นิ้วชี้กดลงบนวัตถุ 4 เหลี่ยมผืนผ้านั้น และเห็นแสงไฟพุ่งออกไปจากด้านหน้าวัตถุนั้นเข้าไปจับที่ฟืนท่อนหนึ่ง ไฟลุกพรึ่บขึ้นทันที และลามไปยังฟืนท่อนที่เหลืออย่างรวดเร็ว
"อะโห....อติวิยัจฉะริยัง โภ!!" (โอ น่าอัศจรรย์เกินเปรียบ พ่อมหาจำเริญ!)
ท่านเศรษฐีอุทานเสียงดัง ในขณะที่พ่อครัวใหญ่นันทกะยืนตะลึงเบิกตากว้าง ส่วนพลพรรคกัปตันพากันยิ้ม
"อหัง โว อิโต ปัฏฐายะ อิธะ วะสะนัง กัมมัญจะ" (ข้าพเจ้า ให้พวกท่านอยู่และทำงานที่นี่ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป)
อนาถบิณฑิกเศรษฐี นำอาคันตุกะทั้ง 6 กลับไปที่ห้องรับรอง สั่งบริวารให้นำของว่าง มีของขบเคี้ยวและน้ำผลไม้มาเลี้ยงแขกซึ่งกลายเป็นคนรับใช้พิเศษในบ้านแล้ว จากนั้นจึงให้แต่คนแนะนำตัว โดยเอก ซึ่งมีความรู้ภาษาบาลี เป็นคนกลางช่วยแปล
"บัดนี้ พึงเป็นเวลาแห่งการรู้จักพวกท่านแต่ละคน ที่เหลือ นอกจากท่านเอก" ท่านเศรษฐีเริ่มการสนทนา "ขอให้ บุรุษผู้เจริญที่สุด เป็นคนแรก"
เอกหันมาบอกกัปตัน "กัปตันพูดแนะนำตัวเป็นภาษาไทยครับ แล้วผมจะช่วยแปลให้ท่านเศรษฐี"
"โอเค" กัปตันพยักหน้า หันมายิ้มให้ท่านเศรษฐีแล้วเริ่มแนะนำตนเอง และเอกทำหน้าที่เป็นล่ามแปลทีละประโยค
"กระผมชื่อ วะนะชะโน เป็นนายช่าง และชนที่เหลือ เป็นบริวารใกล้ชิดของกระผมขอรับ"
"วัฏฏกี ?" (นายช่าง) ท่านเศรษฐีทวนคำ "ถ้าอย่างนั้น ท่านคงจักทำสิ่งต่างๆได้มาก เครื่องยังไฟให้โพลงของท่าน มหัศจรรย์แท้เทียว นันทกะ พ่อครัวใหญ่ บอกข้าพเจ้าว่า มันจักเป็นอุปการะมาก แก่การหุงต้มอาหาร มีแกงและกับเป็นต้น"
"กระผมยังมีอีกหลายสิ่ง ซึ่งจะเป็นอุปการะแก่ท่านขอรับ"
"หากเป็นเช่นนั้น ย่อมประเสริฐแท้! ข้าพเจ้า จักพาท่านไปเข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร พระราชาแห่งแแคว้นมคธ ท่านจักได้โอกาสถวายการรับใช้ และของอันเป็นของมีอยู่ของท่าน พระองค์จักพอพระทัยเป็นแน่"
"โอ...โปรดอย่าได้ทำเช่นนั้นขอรับ"
"เพราะเหตุใดเล่า ? ท่านไม่ปรารถนาจะรับใช้เบื้องพระยุคลบาทหรอกหรือ ?"
"กระผมเพียงต้องการอยู่อย่างสงบ และรับใช้ท่านในบ้านนี้เท่านั้น ไม่ต้องการให้เป็นที่ปรากฏแก่ชนอื่น ไม่ต้องการชื่อเสียง กระผมและสหายทุกคนจะอยู่ทำงานที่นี่ สิ้นกาลประมาณสมควร จากนั้น เราทั้งหลาย ก็จักอำลาท่าน เพื่อไปทำกิจจำเป็นอย่างอื่นต่อไปขอรับ"
"อะโห.." ท่านเศรษฐีอุทานและพยักหน้าช้าๆ "ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว...หวังให้ท่านทั้งหลาย อยู่กับข้าพเจ้านานสักหน่อยหนึ่งเถิด ในกาลใด ท่านทั้งหลายจักอำลาไป ในกาลนั้น ความอาลัยเป็นอันมาก จักมีแก่ข้าพเจ้าแน่แท้เทียว"
"กระผมคิดว่า พวกกระผม อาจอยู่กับท่านที่นี่ สิ้นกาลประมาณสองหรือสามเดือนขอรับ"
"เป็นกาลมีประมาณน้อยยิ่ง ขอจงเป็นกาลสักว่าปีหนึ่งเถิด"
"คำที่กระผมกล่าวแล้วนั้น ไม่แน่นอน กาลอาจเนิ่นช้ากว่านั้นได้ขอรับ"
"ดีแล้ว...เอาละ ท่านต่อไป ขอเป็นท่านเถิด เอก"
"ดังกระผมเรียนแล้วว่า กระผมชื่อเอก เพราะเป็นลูกชายคนเดียวในตระกูล กระผมเป็นทหารขอรับ"
"ภารกิจในกองทัพของท่านในขณะนี้ ไม่มีหรือ ?"
"ไม่มีขอรับ กระผมได้เวลาเพื่อพักผ่อนอยู่ขอรับ"
"ประเทศของพวกท่าน มีชื่อเรียกว่ากระไร ?"
"สยาม ขอรับ"
"สฺยาโม ?" ท่านเศรษฐีทวนคำ "เป็นชื่อที่แปลกแท้ ในสยามประเทศ มีชนที่พูดภาษามคธด้วยหรือ ?"
"มีการศึกษาภาษามคธอย่างกว้างขวาง ในหมู่สมณะทั้งหลายขอรับ"
"มีสมณะทั้งหลาย ในพระพุทธศาสนา ที่นั่นด้วยหรือ ?" ท่านเศรษฐีถามอย่างตื่นเต้น
"มีมากพอสมควรอยู่ขอรับ"
"ประหลาดแท้! พระพุทธเจ้า กำลังทรงเผยแผ่พระศาสนาอยู่ในชมพูทวีป พระองค์เสด็จไปยังสยามประเทศเมื่อใดกัน ?"
"หาใช่พระองค์เสด็จไปเองไม่ แต่เป็นพระสาวกบางรูปขอรับ"
"น่าอัศจรรย์! น่าอัศจรรย์หนอ...สาธุ" ท่านเศรษฐียกมือพนมขึ้นเหนือศีรษะ แล้วหันมาถามเอกต่อ
"ท่านเรียนภาษามคธมามากทีเดียว ท่านเคยเป็นบรรพชิตหรือ ?"
"ถูกแล้วขอรับ กระผมเรียนภาษามคธ ตั้งแต่กาลที่กระผมเป็นสามเณร"
"ท่านเรียน สิ้นกาลประมาณเพียงไร ?"
"ประมาณสิบปีขอรับ"
"สิบปี!!" ท่านเศรษฐีอุทานเสียงดัง "แม้เพราะเหตุนี้ละหนอ (อิติปิ โข) ท่านจึงพูดได้มากเห็นปานนี้ (เอวรูปัง พหุง ภาสะสิ)" แล้วท่านเศรษฐีก็หันมาทางแซม "ท่านโปรดยังข้าพเจ้าให้รู้จักท่านบ้าง ณ บัดนี้เถิด"
"กระผมชื่อ สาม (สาโม) เป็นทหาร เช่นเดียวกันกับเอกขอรับ"
"สรีระของท่านดูกำยำล่ำสัน แข็งแรงมากทีเดียวนะ สมควรเป็นทหารโดยแท้"
"กระผม เป็นนักมวยด้วยขอรับ"
"โอ้! ประเสริฐแท้! เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าไม่ต้องหวั่นเกรงโจรภัยใดๆแล้ว"
จากนั้น ท่านเศรษฐีหันมายังแอนดี้ "แล้วท่านเล่า พ่อคุณ ท่านมีทั้งสรีระ และหน้าตาควรซึ่งการพบเห็นมากทีเดียว (ทัสสนีโย)"
แอนดี้ยิ้ม เขากำลังเรียนรู้ภาษา โดยประมวลผลภาษามคธกับภาษาไทยเท่าที่ได้ยินในสมองกลอัจฉริยะ เพื่อปะติดปะต่อโครงสร้างไวยากรณ์และบันทึกลงในฐานข้อมูลใหม่
"กระผม ชื่อ อันดี ขอรับ เป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดของท่านวนชโน ขอรับ และเป็นทหารเช่นกันขอรับ"
"เป็นชื่อที่แปลกอีกชื่อหนึ่ง" ท่านเศรษฐีวิจารณ์
เอกยิ้ม แล้วแนะนำเพิ่มเติมให้แอนดรอยด์ซึ่งเหมือนคนทุกกระเบียดนิ้ว
"ท่านเศรษฐีขอรับ อันดี มีความสามารถพิเศษ ที่ใครๆก็มิอาจเปรียบปานได้อย่างหนึ่ง"
"อะไรหรือ ?"
"กำลังของเขาขอรับ เขาแข็งแรงมากกว่าใครๆ"
"อย่างนั้นหรือ ?" ท่านเศรษฐีมองหน้าแอนดี้แล้วยิ้ม "ดีละ ข้าพเจ้าอยากขอทดสอบสักเล็กน้อย"
"ได้ขอรับ" แอนดี้ตอบยิ้มๆเช่นกัน
"สุมะนะ" ท่านเศรษฐีหันไปเรียกคนใช้ชายคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ที่ประตู
"ขอรับ นายท่าน"
"ไปเรียก กาฬกะ มาที่นี่ซิ บอกเขาว่า ข้าฯ จะให้เขาทดลองกำลังกับชายคนหนึ่ง"
"ขอรับนายท่าน" สุมนะรับคำด้วยยิ้มพราย โค้งคำนับแล้วเดินออกไปร้องตะโกนหน้าบ้านพักซึ่งเรียงเป็นห้องแถวของเหล่าบริวารท่านเศรษฐีอันตั้งอยู่ไม่ไกลนัก
"กาฬกะ! อยู่หรือไม่ กาฬกะ ? ท่านเศรษฐี ยังข้าให้มาร้องเรียกเจ้า"
ประตูบานหนึ่งของห้องแถวเปิดออก ชายร่างใหญ่ กำยำบึกบึน กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ อย่างกับนักกีฬาเพาะกาย สูงราว 180 เซ็นติเมตร เดินอาดๆ ออกมา
"ท่านเศรษฐี จะยังข้าฯให้ทำสิ่งใด ? สุมนะ"
"ได้ยินว่า ท่านเศรษฐี เป็นผู้ใคร่เพื่อการทดลองกำลังของเจ้า กับบุรุษผู้หนึ่ง"
"อเร! (เฮ้ย) กิง ตัสสะ พลัง ?? (เจ้าคนนั้นจะมีกำลังสักเท่าไรวะ) ชิตัง เม นูนะ ภวิสสะติ! (ข้าฯจักเป็นผู้ชนะแน่)"
ว่าแล้วกาฬกะ ก็เดินตรงไปยังห้องรับแขกในบ้านท่านเศรษฐี
"กระผมมาแล้วขอรับ นายท่าน"
"กาฬกะ นี่คือ อันดี" ท่านเศรษฐีผายมือแนะนำแอนดี้ "ได้ยินว่า เขาเป็นผู้มีกำลังมากกว่าใครๆ เจ้าจงทดลองซึ่งกำลังกับเขาสักหน่อยเถิด"
"กระผม จะทดลองโดยวิธีใดขอรับ ? ต่อสู้กับเขาหรือ ?"
"หามิได้ ข้าฯ เพียงต้องการการทดลองเล็กน้อยเท่านั้น เจ้าจงงัดข้อมือกับเขาก็แล้วกัน บนโต๊ะนี่"
พูดจบ ท่านเศรษฐีก็ลุกขึ้น ผายมือไปที่โต๊ะตัวหนึ่ง มีเก้าอี้สองตัวอยู่ตรงข้ามกัน
กาฬกะมองหน้าแอนดี้แล้วยิ้มร่า
"สรีรันเต มะมะ ขุททะกะตะรัง (สรีระของท่านเล็กกว่าข้า) ตวัง นาฏะโก วิยะ! (ท่านดูราวกะนักฟ้อน!) เอหิ โภ! (มาเถิดพ่อคุณ!) มะยัง พาหายะ พะลัง วีมังสามะ! (พวกเราจะทดลองซึ่งกำลังแห่งแขน!)"
ว่าแล้วเขาก็นั่งลงที่เก้าอี้ด้านหนึ่ง วางศอกลงบนโต๊ะ กำหมัดอันล่ำบึ้กรออยู่
(มีต่อครับ)