⚡️💦⚡️ หลงกาล Episode-20 "ท่องพุทธกาล-6" ⚡️💦⚡️

กระทู้คำถาม


ยานบินของกัปตันวันชนะ ซึ่งเป็นยานลำใหม่ที่แอนดี้ขับหนีกองกำลังรัฐบาลมาตามหากัปตันและลูกทีมจนเจอแล้วร่วงตกและแอนดี้ได้ใช้ชิ้นส่วนอุปกรณ์จากยานลำแรกซึ่งกัปตันและคณะฝังซ่อนไว้บนเขาเรนเนียร์จนสมบูรณ์ใช้งานได้ เดินทางทะลุมิติเวลาอีกครั้ง โดยย้อนหลังไปยังพุทธกาลช่วงกลางตอนต้น พรรษาที่ 7 หลังการตรัสรู้ของพระพุทธองค์

สาเหตุแห่งการเดินทางย้อนหลังไปในช่วงเวลานี้ เกิดจากการที่เอก เสนอแนะกัปตันว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมา หลังจากผ่านเหตุการณ์เรื่องครหทินน์กับสิริคุตต์ และเรื่องพระเถรีปฏาจาราแล้วนั้น เหลือเวลาอีกไม่นานคืออีกเพียง 2-3 ปีข้างหน้า ก็จะถึงกาลมหาปรินิพพานแล้ว เอกอยากเห็นเหตุการณ์ในช่วงต้นๆบ้างจึงเสนอแนะให้กัปตันและแอนดี้พาย้อนหลังไป ซึ่งเหตุการณ์ที่เอกอยากเห็นนั้น ต้องย้อนหลังไป ณ พรรษาที่ 7 หลังจากตรัสรู้ กัปตันถามว่าคือเหตุการณ์อะไร เอกกลับไม่บอก โดยบอกว่าขออุบไว้ก่อน ให้กัปตันและเพื่อนๆได้ลุ้นกันเพื่อความตื่นเต้น

และก่อนหน้าที่จะเดินทาง แอนดี้ ได้รับการปรับปรุงฐานข้อมูลภาษาเพิ่มเติมจากคอมพิวเตอร์ภายในยาน โดยเพิ่มเติมภาษาโบราณที่สำคัญๆเข้าไป อาทิเช่น ภาษาบาลี สันสกฤต ละติน ฮีบรู เปอร์เซีย กรีก โรมัน อาราเมอิก (ภาษาแห่งดินแดนนาซาเร็ธ ถิ่นกำเนิดพระเยซูคริสต์) และอียิปต์โบราณเป็นต้น ทำให้ขณะนี้ แอนดี้สามารถใช้ภาษาโบราณติดต่อสื่อสารกับคนโบราณได้แล้ว โดยเฉพาะภาษาบาลี แอนดี้ลองทดสอบกับเอก ผู้เคยเป็นมหาเปรียญดูแล้ว ปรากฏว่าพูดคุยกันได้อย่างสนุกสนานทีเดียว จนบางครั้งเอกใช้พูดความลับรู้กันระหว่างสองคนกับเขา เวลาหลอกอำสองสาว โดยเฉพาะเล็ก

เมื่อยานทะลุออกสู่ช่วงเวลาที่ต้องการแล้ว ได้ไปลงจอดกลางป่าลึกแห่งหนึ่ง ใกล้กรุงราชคฤห์ จากนั้นทุกคนจึงออกจากยาน

และเมื่อทุกคนเข้าสู่กรุงราชคฤห์แล้ว ก็เป็นเวลายามสาย...

ขณะที่ทุกคนกำลังเดินเลียบไปตามทางเดิน ใกล้ฝั่งแม่น้ำคงคา ทุกคนได้มองเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นน้ำกันอยู่ และส่งเสียงเอะอะอึกทึกดังก้องไปทั่วบริเวณ เมื่อทุกคนเดินเข้าไปใกล้ จึงเห็นหลายคนซึ่งอยู่ในน้ำ ถือแหชูขึ้นมาเหนือน้ำ และในแหนั้นมีวัตถุบางอย่าง สัณฐานกลม ติดร่างแหอยู่

ชายคนหนึ่ง แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเนื้อดี ดูภูมิฐาน สวมทั้งแหวนและสร้อยประดับอัญญมณีมีค่า เดินไปหาคนกลุ่มนั้นที่ริมฝั่งแม่น้ำและตะโกนถาม

"กิเมตัง (อะไรนั่นน่ะ ?)"

"รุกขะฆะฏิกา สามิ (ตาไม้ขอรับ นายท่าน)" ชายคนหนึ่งหันมาแล้วเงยหน้าตอบ

"วาสินา ตัง ตัจฉะ ตะโต อาหริตวา มัง ทัสเสหิ (เอามีดถากมัน จากนั้นนำมาให้ฉันดู)"

"อามะ สามิ (ขอรับ นายท่าน)"

เอกซึ่งซุ่มดูเหตุการณ์อยู่กัปกัปตันและเพื่อนๆหันมาบอกทุกคนยิ้มๆ "เรามาถึงตอนช่วงต้นเหตุการณ์พอดีเลยครับ ไปแนะนำตัวและทำความรู้จักกับพวกเขากันเถอะ"

แล้วก็ลุกขึ้น เดินนำหน้าเข้าไปหาคนเหล่านั้น

ทุกคนเดินตามไป จากนั้น เอกจึงเริ่มทักทายเพื่อสนทนาปราศัยกับคนเหล่านั้น และแนะนำตัว จึงได้ทราบว่า ชายผู้แต่งตัวภูมิฐานนั้นคือเศรษฐีแห่งกรุงราชคฤห์

เอกบอกเขาว่า เขาและเพื่อนๆจะเดินทางไปหาอนาถบิณฑิกเศรษฐีในกรุงสาวัตถี ทำให้เศรษฐีแห่งกกรุงราชคฤห์แปลกใจ

"กิง ตุมเห ตัง ชานาถะ ? (พวกท่าน รู้จักเขาหรือ)"

"อนาคเต มะยัง ตัสสะ อุปการะกา ภะวิสสามะ (ในอนาคต พวกข้าพเจ้า จักเป็นผู้มีอุปการะเขา)" เอกตอบยิ้มๆ

"อะโห...สาธุ (โอ้ ดีจริง), โส เศรษฐี มัยหัง สหายโก (เศรษฐีนั้น คือสหายของข้าพเจ้า),ตุมเห อัทธิกา (พวกท่าน เป็นผู้เดินทางไกล) อัปเปวะ นามะ มัยหัง เคเห กติปาหัง วะสะถะ (ถ้ากระไร ขอพวกท่านพักที่บ้านข้าพเจ้า สักสองสามวันเถิด)" ท่านเศรษฐีตอบ ด้วยเข้าใจว่า อาคันตุกะทั้งหลายเหล่านี้ คือสหายของอนาถบิณฑิกเศรษฐีซึ่งเป็นสหายของตน

เอกแปลคำพูดนั้นให้กัปตันฟัง แล้วผู้เป็นเจ้านายจึงบอก

"บอกท่านเศรษฐีว่า พวกเรายินดีจะเป็นแขกพักที่บ้านท่าน"

"มะยัง ตุฏฐา ตุมหากัง เคเห อาคันตุกา หุตวา วสามะ" เอกหันมาบอกท่านเศรษฐี ซึ่งท่านก็ตอบรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

สักครู่หนึ่ง บริวารคนหนึ่งก็นำเอาตาไม้กลมที่ติดร่างแหนั้น และถากจนเรียบมาให้ดู

"ท่านคิดจะเอาตาไม้นี้ทำอะไรดี ท่านเศรษฐี ?" เอกถาม

เศรษฐีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบ

"ในโลกนี้ คนที่บอกว่าเป็นพระอรหันต์ มีมาก แต่ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักเลยสักคนเดียว เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้า จะประกอบเครื่องกลึงในเรือน แล้วกลึงตาไม้ซึ่งเป็นไม้จันทน์แดงนี้ ให้เป็นบาตรใบหนึ่ง เอาใส่ในสาแหรก เอาไม้ไผ่ต่อๆกันขึ้นไปในอากาศ แล้วเอาบาตรห้อยไว้ที่ปลายไม้ไผ่ จากนั้น ข้าพเจ้า จะอธิษฐานว่า ถ้าหากว่าพระอรหันต์มีอยู่จริงไซร้ ขอพระอรหันต์จงเหาะมาทางอากาศแล้วรับบาตรนั้นไป และข้าพเจ้าพร้อมด้วยบุตรและภรรยา จักขอถึงพระอรหันต์นั้นว่าเป็นสรณะ"

"เป็นความคิดที่ประเสริฐแท้" เอกกล่าวชม

ท่านเศรษฐียิ้ม จากนั้นจึงสั่งให้บริวารนำตาไม้นั้นไป และชวนทุกคนกลับสู่เรือน รวมทั้งอาคันตุกะทั้ง 6 ด้วย

ครั้นกลับถึงเรือนแล้ว ท่านเศรษฐีจึงให้บริวารนำตาไม้นั้นมาดูอีกที

เอกกับกัปตันวันชนะ พูดคุยกันหน่อยหนึ่ง แล้วเอกก็เข้ามาบอกท่านเศรษฐี

"ท่านเศรษฐีขอรับ บุรุษผู้เจริญที่สุดของข้าพเจ้า จักช่วยทำให้ตาไม้ของท่านกลายเป็นบาตรได้โดยเร็ว ท่านไม่จำเป็นต้องประกอบเครื่องกลึงดอก!"

ท่านเศรษฐีหันมามองเขา แล้วหันไปมองกัปตันด้วยความประหลาดใจ

"ไม่มีเครื่องกลึง เขาทำได้รึ ?" ท่านเศรษฐีทำหน้าฉงน คิ้วขมวด

"ท่านคอยดูไปเถิด" เอกกล่าวยิ้มๆ

"อย่างนั้น ข้าพเจ้า คงจักได้เห็นเหตุอัศจรรย์แล้ว เอาเถิด ให้บุรุษผู้เจริญที่สุดของท่าน ชื่ออะไรนะ วะนะ.."

"วะนะชโน ขอรับ"

"วะนะชโน ใช่ๆ ท่านวะนะชนะ" ท่านเศรษฐีหันไปกวักมือเรียก แล้วยื่นตาไม้นั้นให้

"เชิญท่าน ทำบาตร ด้วยตาไม้จันทน์แดงนี้เถิด"

กัปตันวันชนะ น้อมกายลงรับตาไม้นั้นไป

เอกหันไปบอกเจ้านายเพิ่มเติม "กัปตันครับ บาตรสมัยพุทธกาล ก้นตื้น ลักษณะคล้ายจานที่ก้นลึก คนสามารถเอาลิ้นเลียก้นบาตรได้นะครับ พระะพุทธองค์จึงทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามมิให้พระภิกษุฉันเลียบาตร ไม่ได้กลมและก้นลึกจนเลียไม่ถึงเหมือนบาตรสมัยปัจจุบันนะครับ"

"อ้อ...ยังงั้นหรือ ?" กัปตันถามด้วยความทึ่ง

"ครับผม"

"โอเค" กัปตันตอบ ก่อนจะนำตาไม้นั้นไปวางบนโต๊ะตัวหนึ่งที่ชานเรือนของท่านเศรษฐี แล้วเปิดกระเป๋ายังชีพ หยิบอุปกรณ์อย่างหนึ่งออกมา มีแผ่นกลมแบนเป็นตะไบเลื่อยและเครื่องขัด เขาใช้เวลาประมาณห้านาที ก็ทำบาตรกลมแบนสวยงามใบหนึ่งขึ้นมาสำเร็จ นำไปมอบให้ท่านเศรษฐี

"ช่างเป็นบาตรที่สวยงามเสียนี่กระไร!" ท่านเศรษฐีรับบาตรไปชม โดยพลิกดูไปรอบๆ

จากนั้น จึงถือบาตรนั้นลงจากเรือน สั่งบริวารให้เอาไม้ไผ่มาต่อกันขนยาวเหยียดสูงเลยหลังคาบ้านไปหลายช่วงตัวคน แล้วเอาบาตรซึ่งทาน้ำมันด้านนอกจนเงาสะท้อนแสงอาทิตย์วาววับ ใส่ในสาแหรก แขวนไว้กับง่ามที่ปลายไม้ไผ่บนสุด จากนั้นจึงสั่งให้มัดไม้ไผ่อันยาวเหยียดนั้นติดกับเสา แล้วตนเองจึงยืนพนมมืออธิษฐาน กล่าวด้วยเสียงอันดัง

"ถ้าหากว่า พระอรหันต์มีอยู่ไซร้ ขอพระอรหันต์นั้น จงเหาะมาทางอากาศแล้วรับบาตรนั่นไปเถิด ข้าพเจ้าพร้อมด้วยบุตรและภรรยา จักขอถึงพระอรหันต์นั้นว่าเป็นสรณะ ตลอดชีวิต"

การอธิษฐานของท่านเศรษฐี เป็นที่เลื่องลือไปทั่วกรุงราชคฤห์

เจ้าลัทธิทั้ง 6 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อว่า "ครูทั้ง 6" คือ ปูรณกัสสปะ,มักขลิโคสาล,อชิตเกสกัมพล,ปกุธกัจจายนะ,สัญชัยเวลัฏฐบุตร และนิครนถนาฏบุตร ผู้ล้วนเป็นมิจฉาทิฏฐิ และไม่นับถือพระพุทธเจ้า ทราบข่าวการอธิษฐานของท่านเศรษฐี จึงพร้อมด้วยเหล่าบริวารของตนพากันเดินทางมาหาท่านเศรษฐี และร้องขอบาตร

"อัมหากัง เอสะ ปัตโต อนุจฉะวิโก (บาตรนั่น สมควรแก่พวกเรา), อัมหากะเมวะ นัง เทหิ (จงให้มันแก่พวกเราเถิด)"

ท่านเศรษฐี ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า "อากาเสนะ อาคันตวา คัณหาถะ (มาเอาทางอากาศสิ!)" แล้วก็ยืนนิ่ง

พวกครูทั้ง 6 เหล่านั้น เห็นว่าเศรษฐีไม่ยินยอมมอบบาตรให้แน่ จึงพากันเดินทางกลับไปสู่สำนักของตน

ในวันที่ 6 นิครนถ์นาฏบุตร หนึ่งในครูทั้ง 6 ส่งบรรดาสานุศิษย์ของตนมาหาท่านเศรษฐีอีกครั้ง และพวกเขาก็กล่าวขะยั้นขะยอท่านเศรษฐีอีกรอบ

"บาตรนั่น สมควรแก่อาจารย์ของพวกข้าพเจ้า ท่านอย่าทำให้อาจารย์ของพวกข้าพเจ้าต้องเหาะมาทางอากาศด้วยสาเหตุเพราะบาตรซึ่งมีค่าน้อยนิดเลย ฟังว่าขอท่านจงให้บาตรนั่นมาเถิด!"

"ผู้สามารถมารับเอาทางอากาศเท่านั้น จงมารับเอาไป!" ท่านเศรษฐียืนยันกระต่ายขาเดียวอย่างหนักแน่น

เหล่าสานุศิษย์ของนิครนถ์นาฏบุตรจึงพากันกลับไปหาอาจารย์ของตนอีกครั้ง

"สนุกดีจริงๆ เรื่องนี้" สาวจอยกล่าวขณะยืนดูพวกลูกศิษย์ของนิครนถ์นาฏบุตรเดินจากไป "อยากรู้จัง สุดท้ายจะเป็นไงน้าา"

เอกยิ้ม "เรื่องสนุกๆ ต่อจากนี้ ยังมีอีกเยอะครับ"

ทางฝ่ายนิครนถ์นาฏบุตร........

เมื่อเห็นลูกศิษย์ของตนพากันกลับมามือเปล่า และได้ฟังการรายงานแล้ว จึงอยากเดินทางไปหาท่านเศรษฐีด้วยตนเอง จึงทำการวางแผนการณ์บางอย่าง นัดแนะกับลูกศิษย์

"นี่แน่ะพวกเจ้าทั้งหลาย! คอยดูข้าให้ดี! พอข้าบอกว่า ข้าจะขึ้นไปเอาบาตรนั่น และยกมือขึ้นข้างหนึ่งด้วย ยกเท้าขึ้นข้างหนึ่งด้วย แสร้งทำเป็นเหมือนว่าอยากจะเหาะขึ้นไป พวกเจ้าจงกล่าวกะข้า ขณะที่ฉุดดึงข้าไว้อยู่ว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ ท่านจะทำอะไร อย่าแสดงความเป็นอรหันต์ซึ่งเป็นความลับ ด้วยสาเหตุเพราะบาตรไม้ลูกเดียวเลย ดังนี้แล้ว ทำให้ข้าล้มลงไปบนพื้น เข้าใจหรือไม่ ?"

"เข้าใจขอรับ ท่านอาจารย์" พวกเขาประสานเสียงตอบพร้อมกัน

"ดีมาก! ถ้ากระนั้น ไปหาเศรษฐีนั่นกันอีกสักครา!"

นิครนถ์นาฏบุตรพาเหล่าสานุศิษย์เดินทางมาหาท่านเศรษฐีอีกครั้ง พอพบหน้าท่านเศรษฐีแล้วจึงกล่าวหว่านล้อมอีกคำรบหนึ่ง

"ดูก่อนท่านมหาเศรษฐี บาตรนั่น สมควรแก่อาตมาแท้ หาสมควรแก่ผู้อื่นไม่ การเหาะขึ้นไปในอากาศของอาตมา ด้วยสาเหตุเพราะบาตรอันมีค่าน้อย ท่านอย่าชอบใจอยู่เลย! จงให้บาตรแก่อาตมาเถิด"

"ท่านผู้เจริญ จงเหาะขึ้นไปเอาทางอากาศเท่านั้น!" ท่านเศรษฐียังคงยืนกรานกระต่ายขาเดียวเหมือนเดิม

นิครนถ์นาฏบุตรจึงแหวกเหล่าลูกศิษย์ออกมาพร้อมทั้งกล่าว

"พวกเจ้าทั้งหลายหลีกไป หลีกไปเสีย! ข้าจะเหาะขึ้นไปในอากาศละ!" แล้วยกมือและเท้าอย่างละข้างขึ้น

สานุศิษย์เหล่านั้นช่ยกันจับอาจารย์ของตนไว้และร้องห้ามตามแผนการณ์อันเป็นเล่ห์เพทุบายที่นัดแนะกันไว้

"ท่านอาจารย์! จะทำอะไรนั่น ? จะมีประโยชน์อันใด ด้วยคุณวิเศษลับซึ่งท่านจะแสดงแก่มหาชน ด้วยสาเหตุเพราะบาตรไม้เพียงลูกเดียวนั่นเลย"

แล้วพวกเขาจึงฉุดกระชากลากดึงจนอาจารย์ของตนล้มลงกับพื้น

นิครนถ์นาฏบุตร ครั้นล้มลงไปแล้ว จึงเงยหน้าขึ้นพูดกับท่านเศรษฐี

"ท่านมหาเศรษฐี! ศิษย์ของข้าเหล่านี้ ไม่ยอมให้ข้าเหาะขึ้นไป, ท่านจงให้บาตรแก่อาตมาเถิดนะ"

แต่ก็ยังได้ยินท่านเศรษฐี กล่าวยืนยันดังเดิม

"เหาะขึ้นไปเอาเท่านั้นนะขอรับ!"

พวกเดียร์ถีร์ทั้ง 6 พยายามถึง 6 วัน ก็มิได้รับบาตรนั้นจากท่านเศรษฐีเลย ด้วยประการฉะนี้


หนึ่งสัปดาห์ผ่านพ้นไป.......

ในเวลาขณะที่ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ และท่านพระบิณโฑลภารทวาชะ กำลังยืนห่มจีวรบนแผ่นหินดาดแผ่นหนึ่งโดยคิดว่าจะเข้าไปเที่ยวเดินบิณฑบาตรกัน พวกนักเลงพูดคุยกันว่า "พ่อคุณทั้งหลาย! เมื่อก่อนนี้ พวกครูทั้ง 6 มักกล่าวกันว่า พวกเราเป็นพระอรหันต์ในโลก แต่เมื่อเศรษฐีแห่งกรุงราชคฤห์ใช้บริวารให้ยกบาตรขึ้นไปไว้บนปลายไม้ไผ่และบอกว่า ถ้าพระอรหันต์มีอยู่ไซร้ ขอจงมาทางอากาศแล้วรับเอาบาตรไปเถิด วันนี้วันที่ 7 แล้ว คนผู้ซึ่งจะกล่าวว่าเราเป็นพระอรหันต์แล้วเหาะขึ้นไปในอากาศ ไม่มีเลย, วันนี้ พวกเราก็ได้รู้กันแล้วละนะ ว่าในโลกนี้ไม่มีพระอรหันต์ดอก!"

กัปตันวันชนะและคณะ เดินผ่านมาได้ยินพอดี

เอกแปลคำพูดเหล่านั้นให้กัปตันฟัง และชวนทุกคนไปเฝ้าดูใกล้บริเวณที่เสาไม้ไผ่ถูกมัดติดกับเสาไม้หน้าบ้านท่านเศรษฐี

"เดี๋ยวจะได้เห็นอะไรดีๆครับ" เอกบอก

ห่างออกไป คือบนแผ่นหินดาษที่พระเถระทั้งสองยืนห่มจีวรกันอยู่ จนจัดแจงจีวรเข้าที่เข้าทางแน่นหนาดีแล้ว ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ซึ่งเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้ายผู้เป็นเลิศในด้านอิทธิฤทธิ์ จึงกล่าวกับท่านพระบิณโฑลภารทวาชะ

(มีต่อครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่