ได้ยินมาว่ามีคนบอกว่าพระปิณโฑลภารวาชะ เหาะไปเอาบาตรเศรษฐี เพราะอยากได้
จึงขอยกเอาเนื้อความพระไตรปิฎกมา (ตัดส่วนที่ไม่เกี่ยวกับท่านออกบางส่วน)
[๒๙] สมัยต่อมา ปุ่มไม้แก่นจันทน์มีราคามาก ได้บังเกิดแก่เศรษฐีชาวเมืองราชคฤห์ จึงราชคหเศรษฐีได้คิดว่า
ถ้ากระไรเราจะให้กลึงบาตรด้วยปุ่มไม้แก่นจันทน์นี้ ส่วนที่กลึงเหลือเราจักเก็บไว้ใช้ และเราจักให้บาตรเป็นทาน
หลังจากนั้น ท่านราชคหเศรษฐีให้กลึงบาตรด้วยปุ่มไม้แก่นจันทน์นั้น แล้วใส่สาแหรกแขวนไว้ที่ปลายไม้ไผ่ผูกต่อๆ กันขึ้นไป
แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์ผู้ใด เป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ จงปลดบาตรที่เราให้แล้วไปเถิด ฯ
[๓๑] สมัยต่อมา ท่านพระมหาโมคคัลลานะกับท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ ครองอันตรวาสกในเวลาเช้าแล้ว
ถือบาตรจีวร เข้าไปบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์
อันที่แท้ ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ เป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์
แม้ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็เป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์
จึงท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ ได้กล่าวกะท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า
ไปเถิด ท่านโมคคัลลานะจงปลดบาตรนั้นลง บาตรนั้นของท่าน
แม้ท่านพระโมคคัลลานะก็กล่าวกะท่านพระปิณโฑลภารทวาชะว่า
ไปเถิด ท่านภารทวาชะ จงปลดบาตรนั้นลง บาตรนั้นของท่าน
จึงท่านพระปิณโฑลภารทวาชะเหาะขึ้นสู่เวหาส ถือบาตรนั้นเวียนไปรอบเมืองราชคฤห์ ๓ รอบ ฯ
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=7&A=256&Z=312
เล่าง่ายๆก็คือ เศรษฐีเอาบาตรไปแขวนเพื่อตามหาพระอรหันต์ (เขาคิดว่าพระอรหันต์ต้องมีฤทธิ์)
พระมหาโมคคัลลานะกับพระปิณโฑลภารทวาชะทราบ ก็เลยไปเอาลงมา
เพื่อยังศรัทธาแก่เศรษฐีและเพื่อไม่ให้เกิดโทษแก่เศรษฐีปรามาสว่าโลกนี้ไม่มีพระอรหันต์
ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าบัญญัติพระวินัยห้ามพระภิกษุแสดงฤทธิ์ให้ฆาราวาสเห็น
วินัยนี้ท่านปรับโทษอาบัติทุกกฎ
เรื่องโดยพิศดารก็อ่านจาก
https://84000.org/one/1/14.html กันตามอัธยาศัย
ส่วนใครที่บอกว่าพระท่านเหาะไปเอาบาตรเพราะบาตรสมัยนั้นหายาก เลยอยากได้ ก็ไปขอขมากันนะครับ
เรื่องพระปิณโฑลภารทวาชะ เอตทัคคะผู้บันลือสีหนาท
จึงขอยกเอาเนื้อความพระไตรปิฎกมา (ตัดส่วนที่ไม่เกี่ยวกับท่านออกบางส่วน)
[๒๙] สมัยต่อมา ปุ่มไม้แก่นจันทน์มีราคามาก ได้บังเกิดแก่เศรษฐีชาวเมืองราชคฤห์ จึงราชคหเศรษฐีได้คิดว่า
ถ้ากระไรเราจะให้กลึงบาตรด้วยปุ่มไม้แก่นจันทน์นี้ ส่วนที่กลึงเหลือเราจักเก็บไว้ใช้ และเราจักให้บาตรเป็นทาน
หลังจากนั้น ท่านราชคหเศรษฐีให้กลึงบาตรด้วยปุ่มไม้แก่นจันทน์นั้น แล้วใส่สาแหรกแขวนไว้ที่ปลายไม้ไผ่ผูกต่อๆ กันขึ้นไป
แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์ผู้ใด เป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ จงปลดบาตรที่เราให้แล้วไปเถิด ฯ
[๓๑] สมัยต่อมา ท่านพระมหาโมคคัลลานะกับท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ ครองอันตรวาสกในเวลาเช้าแล้ว
ถือบาตรจีวร เข้าไปบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์
อันที่แท้ ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ เป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์
แม้ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็เป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์
จึงท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ ได้กล่าวกะท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า
ไปเถิด ท่านโมคคัลลานะจงปลดบาตรนั้นลง บาตรนั้นของท่าน
แม้ท่านพระโมคคัลลานะก็กล่าวกะท่านพระปิณโฑลภารทวาชะว่า
ไปเถิด ท่านภารทวาชะ จงปลดบาตรนั้นลง บาตรนั้นของท่าน
จึงท่านพระปิณโฑลภารทวาชะเหาะขึ้นสู่เวหาส ถือบาตรนั้นเวียนไปรอบเมืองราชคฤห์ ๓ รอบ ฯ
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=7&A=256&Z=312
เล่าง่ายๆก็คือ เศรษฐีเอาบาตรไปแขวนเพื่อตามหาพระอรหันต์ (เขาคิดว่าพระอรหันต์ต้องมีฤทธิ์)
พระมหาโมคคัลลานะกับพระปิณโฑลภารทวาชะทราบ ก็เลยไปเอาลงมา
เพื่อยังศรัทธาแก่เศรษฐีและเพื่อไม่ให้เกิดโทษแก่เศรษฐีปรามาสว่าโลกนี้ไม่มีพระอรหันต์
ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าบัญญัติพระวินัยห้ามพระภิกษุแสดงฤทธิ์ให้ฆาราวาสเห็น
วินัยนี้ท่านปรับโทษอาบัติทุกกฎ
เรื่องโดยพิศดารก็อ่านจาก https://84000.org/one/1/14.html กันตามอัธยาศัย
ส่วนใครที่บอกว่าพระท่านเหาะไปเอาบาตรเพราะบาตรสมัยนั้นหายาก เลยอยากได้ ก็ไปขอขมากันนะครับ