⚡️💦⚡️ หลงกาล Episode-17 "ท่องพุทธกาล-3" ⚡️💦⚡️

กระทู้คำถาม


ค่ำวันหนึ่ง หน้าประตูพระนครราชคฤห์ซึ่งถูกปิดแล้ว...

ชายชราคนหนึ่ง หนวดเคราขาวโพลน แต่ใบหน้าดูมีสง่าราศีอยู่บ้าง สวมเสื้อผ้าเก่าๆขาดๆ ดูแล้วไม่เข้ากับบุคลิกลักษณะของเขาเลย นั่งผิงไฟอยู่กับหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งซึ่งก็ดูคล้ายชาวบ้านธรรมดา แต่ถ้าใครสังเกตให้ดีๆ ก็อาจจะเห็นได้ว่า นางหาใช่หญิงธรรมดาสามัญไม่

ดวงตะวันลับลาขอบฟ้าไปแล้ว ความหนาวเย็นเพิ่มพูนทวี หญิงคนนั้นเร่งเติมฟืนลงไปในกองไฟ ฝ่ายชายชรานั้นก็นั่งยองๆตัวสั่นเทาด้วยความหนาว

"ถ้าว่า พวกเรามาถึงที่นี่ ในกาลก่อน แต่กาลแห่งประตูพระนคร อันนายทวารผู้เฝ้ารักษายังมิได้ปิดไซร้ พวกเรา คงมิได้ลำบาก ดุจ ณ เวลานี้" ชายชราเอ่ยขึ้น

"ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ..." หญิงคนนั้นเอ่ยตอบ และขยับเข้ามาใกล้ๆ "พระองค์ อย่าได้ทรงยกโทษขึ้นว่าพระองค์เองเลยเพคะ เป็นเพราะพระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน และเพราะความชราภาพ อันชนอายุมากเช่นกับพระองค์ จะเดินทางให้รวดเร็วดุจบุรุษหนุ่มอย่างเจ้าชายอชาตศัตรูได้อย่างไร"

ชายชราผู้ถูกเรียกขานว่า 'พระองค์ผู้สมมติเทพ' ถอนใจ

"ข้าเข้าใจดี สุมนา..." กล่าวแล้วก็เอื้อมมือเข้าไปใกล้กองไฟอีกหน่อยหนึ่ง ผิงไฟราวกับจะย่างมือทั้งสอง แล้วชักมือกลับมาลูบไล้ใบหน้าอันเหี่ยวย่นนั้น

"อะโห....ข้าอุตส่าห์รีบเร่งออกจากเมทฬุปะนิคม เพื่อมาที่นี่ หวังจะให้หลานชายของข้าจัดการจับคนจัณฑาลนั่น! แล้วสำเร็จโทษเสีย! เขาไม่สมควร และไม่คู่ควรเป็นราชา!!" พอพูดจบ ก็หอบหายใจ

"ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ..." หญิงผู้ถูกเรียกว่า 'สุมนา' ยกสองมือเกาะกุมมือชายชราไว้ "พระองค์อย่าได้ทรงพลุ่งพล่านพระทัย อย่าได้มีพระดำริอันใดอีกเลย รอถึงพรุ่งนี้ พวกเราก็จะได้เข้าไปในพระนครกันแล้ว ถึงกาลนั้น มีเรื่องอันใดก็พึงบอกพระกุมารนั้นเถิดเพคะ"

"จงเป็นไปตามคำที่เจ้ากล่าวเถิด" ชายชราพยักหน้า

ทั้งสองนั่งผิงไฟกันต่อไป...

ครู่หนึ่ง ก็มีคนในวัยหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่ง ประกอบด้วยบุรุษสี่คน และอิสตรีอีกสองคน พากันเดินมุ่งตรงมาหาคนทั้งสอง

บุรุษคนหนึ่งในจำนวนนั้น เอ่ยขึ้นหลังจากพวกของตนมาถึงกองไฟ

"สายัณเห โว โสตฺถิ (สวัสดียามเย็น ท่านทั้งหลาย)"

ชายชรากล่าวตอบด้วยประโยคเดียวกัน และทำคิ้วขมวด มองหน้าผู้พูด "วจนันเต วิกติกัง (คำพูดของท่าน แปลก), อัทธานะคะมิกา ตุมฺเห ? (พวกท่านเป็นคนเดินทางไกลหรือ)"

"อามะ มาตุละ (ใช่ครับ ท่านลุง)"

"โก นามะ เต ยุวชนะ (เจ้าชื่ออะไรหรือ เจ้าหนุ่ม)"

"อหัง มาตุละ เอโก นามะ (ผมชื่อเอกครับท่านลุง),วามโต เม ปุริโส สาโม นามะ (ชายทางซ้ายมือผมชื่อ สามะ),ทักขิณะโต ปะนะ เชฏฺฐปุริโส วะนะชะโน นามะ (ส่วนทางขวา คือบุรุษผู้เจริญที่สุด<=หัวหน้า> ชื่อว่า วันชนะ"

ชายชราพยักหน้าหงึกๆ และหญิงวัยกลางคนก็มองหน้าเหล่าอาคันตุกะอย่างแปลกใจ

"อะปะเรสัง นามา กา โหนติ ? (อื่นๆที่เหลือล่ะ มีชื่ออะไรกันบ้าง)"

"อะปะโร ปุริโส อันติ นามะ (ชายอีกคน ชื่อ อันติ), อิมา ทะเว อิตถิโย (หญิงสองคนเหล่านี้)" เอกกล่าวพลางผายมือมาทางสองสาว "รัสสะเกสา วัลลภา (คนที่มีผมสั้น ชื่อวัลลภา), ทีฆะเกสา ปะนะ สุจิตฺรา (ส่วนคนผมยาว ชื่อ สุจิตรา)"

"อะหัง เสโน (เราชื่อเสนะ)" ชายชรากล่าวแนะนำตัวเอง "อิตฺถี เม วามโต สุมะนา นามะ (ส่วนหญิงทางซ้ายมือของเรา ชื่อ สุมนา)"

"เสโน ?" เอกกล่าวทวนคำ "ฟังดูคล้ายคลึงกับชื่อบุรุษหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าเคยได้ยิน" แล้วก็หันไปมองดูรอบๆบริเวณ "ข้างนอกนี้ อากาศหนาวเย็นมาก หากจะอยู่ตรงนี้ตลอดทั้งคืน จำเป็นต้องเติมฟืนให้ตลอด ท่านทั้งสองรออยู่ก่อน พวกข้าพเจ้าจะช่วยกันหาฟืนมาเพิ่ม"

ทั้งสองพยักหน้ารับ

เอกแปลคำพูดให้กัปตันวันชนะและเพื่อนๆฟัง จากนั้นทุกคนจึงแยกย้ายกันหาท่อนไม้ท่อนฟืน ครู่เดียวเท่านั้นก็ได้มารวมกันเป็นกองใหญ่

กัปตันให้เอกโยนฟืนเพิ่มเข้าไปอีกสิบท่อน แล้วล้วงอกเสื้อ หยิบ "ไฟแช็คเลเซอร์" ออกมากดยิงใส่กองไฟ

"พรึ่บบบ"

กองไฟขยายใหญ่มากกว่าเดิมสองเท่า จนชายชราและหญิงสาวนั้นต้องรีบกระเถิบถอยห่างออกไป

หญิงชื่อสุมนาเอ่ยถามอย่างฉงน "กิง นาเมตัง ? (นั่นมันอะไรกัน)"

"อัคคิปัชชะละนัง (เครื่องยังไฟให้โพลงขึ้น) อัมมะ (คุณแม่)"

หลังจากก่อไฟกองใหญ่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็มานั่งล้อมรอบกองไฟ

"เอก ถามสองคนนั่นซิ ได้กินอะไรบ้างหรือยัง หิวไหม ?" กัปตันสั่ง

บุรุษผู้เคยเรียนภาษามคธ หันไปถามคนทั้งสอง แล้วก็ตอบกลับ "ยังไม่ได้กินอะไรเลยครับ กัปตัน"

"งั้นจัดอาหารเม็ดให้พวกเขาไปก่อนนะ"

"ได้ครับผม"

ตอบเจ้านายแล้ว เอกก็ล้วงกระเป๋าในอกเสื้อ เอาถุงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าใบหนึ่งออกมา เขากดนิ้วลงไปที่ริมถุง ถุงนั้นก็เปิดออก ชายชราและหญิงชื่อสุมนาทำตาโต

เอกหยิบ "อาหาร" ออกมาสองเม็ด เม็ดหนึ่งมีขนาดเท่ากับขนมขี้หนูเม็ดหนึ่งเท่านั้นเอง ยื่นให้ชายชราก่อน "อิมัง มุเข ปักขิปะถะ (เอาไอ้นี่ใส่ปาก), มา ขาทะถะ (อย่าเคี้ยว), อันโตมุเขเยวะ ฐะปิตัง โหตุ (ให้มันอยู่ในปากเฉยๆ)" จากนั้นก็ยื่นให้สุมนาอีกคน

ทั้งสองคนรับไปอมคนละเม็ด โดยทำหน้าตางงๆ และครู่หนึ่งชายชราก็ยิ้ม และสุมนาทำตาโตร้องเสียงดัง

"อะโห! อัจฉะริโย อาหาโร !! (โอ้ อาหารน่าอัศจรรย์)"

"อิทานิ โว ตัง ขาทิตุง วัฏฏะติ (ตอนนี้ พวกท่าน จะเคี้ยวมันก็ควร)" เอกกล่าวยิ้มๆ

ทั้งสองคน เริ่มทำการขบเคี้ยวอาหารซึ่งพองตัวขึ้นในปาก เคี้ยวแล้วกลืน แล้วก็รู้สึกว่ามันพองขึ้นเพิ่มมาอีก ก็เคี้ยวอีก กลืนอีก

"กัสมา นะ ปริปุณณัง ? (ทำไมไม่หมดสักที)" สุมนาเคี้ยวกินไปถามไป

ทั้งสองคน เคี้ยวแล้วกลืนๆ ได้คนละสิบครั้ง อาหารจึงหมด ไม่มีพองเพิ่มขึ้นมาให้เคี้ยวอีก และทำให้อิ่มท้องพอดี!

"อะโห.....ตุมเห...ตุมเห...(โอ้ พวกท่านๆ)" นางสุมนาร้องขึ้นมาอีกด้วยความมหัศจรรย์ใจ และชักเริ่มหวั่นกลัว "ตุมเห นะ อัทธา มนุสสา! (พวกท่าน ไม่ใช่มนุษย์แน่นอน!) เทวตา อัทธา ภวิสสะถะ!! (ต้องเป็นเทวดาแน่นอน)"

กัปตันและลูกน้องทุกคนยิ้มเมื่อได้ยินคำแปลจากเอก

"เอ้อ...เอาไงดีล่ะเนี่ย นึกว่าพวกเราเป็นเทวดากันไปแล้ว" กัปตันยิ้มมองหน้าลูกน้องแต่ละคน "น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเราได้เปรียบนะ เอกต้องพยายามใช้ข้อได้เปรียบนี้ ในการซักถามอะไรพวกเขา"

"ครับผม" เอกพยักหน้าแล้วหันไปหาชายชรา "ท่านก็มิใช่บุคคลสามัญธรรมดา ใช่ไหม ?"

ชายชรามองหน้าเอก แล้วหันไปมองนางสุมนา

"นะ เต ปัจจามิตตาติ จินเตมิ (หม่อมฉันคิดว่า พวกเขา หาใช่ปัจจามิตรไม่)" นางกล่าวเบาๆ

"เตนะหิ ตวัง เตสัง ปะวัตติง กเถหิ (ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงบอกเล่าเรื่องราวแก่พวกเขาเถิด)"

นางสุมนา จึงเริ่มบอกความจริงแก่ทุกคน ผ่านการแปลโดยเอก

"ท่านผู้เฒ่าซึ่งทุกท่านมองเห็นกันอยู่นี้ คือ พระเจ้าปเสนทิโกศล ส่วนข้าคือผู้คอยดูแลรับใช้เบื้องพระยุคลบาทของพระองค์เพียงคนเดียวในยามนี้"

เอกตาเบิกโพลง

"ถ้าข้าพเจ้าคาดเดาไม่ผิด พระองค์สูญเสียราชบัลลังก์แล้ว หลังจากที่ทรงฝากเครื่องราชกกุธภัณฑ์ทั้ง ๕ อย่างแก่ทีฆะการายนะผู้เป็นเสนาบดีแล้ว พระองค์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นเสด็จเข้าไปเฝ้าพระศาสดาในพระคันธกุฎี"

ชายชรา และนางสุมนาพยักหน้าด้วยความแปลกใจอีกครั้ง

"เหตุใด ท่านจึงทราบความเป็นไปนี้ ?" กษัตริย์ในคราบของชายชราตรัสถาม

"พวกเขาเป็นเทวดาไงล่ะเพคะ จะมิทราบได้หรือ ?"

"อ้อ จริงสินะ สุมนา...ข้าลืมคิดถึงข้อนี้"

เอกหันไปแปลและบอกกัปตันกับพรรคพวกให้รู้ถึงความสำคัญของชายชรา และถามความเห็นจากเจ้านายทันที

"ตามประวัติแล้ว เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงที่นี่ วันรุ่งขึ้น พระองค์ก็จะเสด็จสวรรคต เพราะความหนาวของอากาศข้างนอกนี่ บวกกับความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าของพระองค์มาทั้งวัน"

"ไม่แน่นะเอก พระองค์อาจจะมีพระชนม์ชีพอยู่ต่อไปก็เป็นได้ เพราะเราได้ให้พระองค์เสวยพระกระยาหารพิเศษไปแล้ว มันอาจช่วยยื้อพระชนมายุให้ยาวนานออกไปก็ได้"

"อันนี้ก็ต้องคอยดูพระองค์อย่างเดียวครับ ใครจะไปรู้ได้ว่าพระองค์จะสวรรคตตอนไหน ? และถ้าสมมติว่ารู้ได้ เราจะช่วยให้พระองค์มีพระชนมายุอยู่ต่อไปไหม ?"

"ถ้าพระองค์ไม่เสด็จสวรรคต พระองค์จะทำอะไรต่อไปล่ะ คุณเอก ?"

"อ๋อ...พระองค์จะเสด็จเข้าเมืองไปหาพระกุมารอชาตศัตรู แจ้งข่าวเรื่องการเสียพระราชบัลลังก์ แล้วจะให้พระกุมารอชาตศัตรูช่วยยกทัพไปจับผู้ที่ยึดราชสมบัติไปแล้วในตอนนี้"

"ใครครับ ?"

"วิฑูฑะภะ!"

"อ้อ....จากนั้น สงครามใหญ่ก็จะเกิดละสินะ"

"ต่อให้พระเจ้าปเสนทิโกศลสวรรคตไป และต่อให้พระกุมารอชาตศัตรูไม่ทรงกระทำอะไรเลย ปล่อยให้วิฑูฑภะเป็นกษัตริย์ไป ยังไงก็จะเกิดสงครามใหญ่ขึ้นอยู่ดีแหละครับกัปตัน!"

"อ้าว, ทำไมถึงเป็นยังงั้นน่ะ ?"

"เพราะวิฑูฑภะ จ้องจะล้างศากยวงศ์อยู่แล้ว ตั้งแต่ยังไม่ได้ครองบัลลังก์"

"แล้วทำไมต้องล้างราชวงศ์ศากยะ ?"

"เพราะพวกศากยะ สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจไว้กับพระองค์มากครับ"

"อืม...สงสัย พวกเราคงตจ้องยื่นมือเข้าช่วยพวกศากยะกระมัง ถ้างั้น"

"ช่วยไม่ได้หรอกครับกัปตัน สุดท้ายก็พากันโดนน้ำทะเลกลืนหายตายกันหมดอยู่ดี ยกเว้นคนที่ไม่เคยทำบาปกรรมอะไรก็จะรอดตายครับ"

"อืม...." กัปตันทำท่าครุ่นคิด "งั้น ก็คงเหมือนพระพุทธดำรัส 'กมฺมุนา วตฺตตี โลโก' ล่ะสินะ, เอาละ เอกลองถามพระองค์ดูว่า ถ้าถึงวันพรุ่งนี้ พระองค์ตื่นขึ้นมาแล้ว จะทำอะไรบ้าง"

เอกพยักหน้า แล้วหันไปสนทนากับเจ้าแคว้นโกศลอีกครั้ง

"วันพรุ่งนี้ หลังจากที่พระองค์ตื่นจากผทมขึ้นมาแล้ว ทรงดำริจะกระทำอะไรต่อไป ? มหาราช"

"ก็รีบเข้าเมืองไปบอกหลานชายของเรา ให้ไปจับตัวคนจัณฑาลนั่นน่ะสิ!"

"เหตุใด พระองค์จึงว่าเขาเป็นจัณฑาล ?"

"ก็มารดาของเขา เป็นนางทาสี มิใช่รึ ???"

"เป็นนางทาสีแล้ว แต่ก็ยังเป็นชายาของพระราชา พระศาสดาก็เคยตรัสมิใช่หรือ ว่าโคตรของบิดาสำคัญกว่าโคตรของมารดา ผู้ใดมีบิดาเป็นกษัตริย์ เขาก็เป็นกษัตริย์ หาเป็นไพร่ไม่ โคตรของมารดาจักกระทำอะไรได้ พระพุทธองค์ตรัสอย่างนี้ มิใช่หรือ ?"

เจ้าแคว้นโกศล ถึงกับนิ่งเงียบไปพักใหญ่ เมื่อได้ยินประโยคนี้

พระองค์ทรงดำริในพระทัยอยู่ครู่หนึ่ง จึงตรัสออกมา

"เรื่องชาติตระกูล ยกไว้ก่อนเถิด แต่ว่า วิฑูฑภะ ยึดราชสมบัติไปแล้วเยี่ยงนี้ หาสมควรไม่ เพราะราชสมบัติ ยังคงเป็นไปกับด้วยเจ้าของ! ดังนั้น เขาจึงเป็นกบฏ การกระทำของเขาเป็นความผิด มิใช่การครองราชอันประกอบด้วยธรรม! ดังนั้น เรายังคงต้องเข้าวัง ไปบอกให้หลานชายยกทัพไปปราบเขาอยู่ดี!"

"เกรงว่า ท่านจะไม่มีโอกาสทำอย่างนั้น!" เอกกล่าวด้วยน้ำเสียงเบา แต่หนักแน่น

จอมคนแห่งแคว้นโกศลหันขวับมามองหน้าเขาเขม็ง

"ท่านกล่าวเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไร ?"

"ขอบอกท่านตามตรง มหาราช ท่านจะสวรรคต ในตอนเช้าของวันพรุ่งนี้!"

"ว่าไงนะ ?" พระองค์ตรัสเสียงแหบแห้ง "เรา...เรา จะตาย เมื่อถึงเช้าวันพรุ่งนี้หรือ ?"

"ถูกต้อง มหาราช..." เอกพยักหน้าและตอบด้วยสีหน้าเศร้า "ไม่มีใครทำอะไรพระองค์หรอก แต่พระองค์จะสวรรคตเอง!"

"อาหารวิเศษที่ท่านมอบให้เรากิน ก็ช่วยอะไรไม่ได้หรือ ?"

"มันเป็นเพียงสักว่าอาหารเพื่อยังอัตภาพของพระองค์ให้เป็นไปได้ตลอดราตรีนี้เท่านั้น มิใช่โอสถ"

"ถึงกระนั้น คนหิว ครั้นได้อาหารมาบรรเทาความหิวโหยแล้ว สมควรมีชีวิตยืนยาวออกไปได้อีกบ้าง เหตุใด เราจึงจะได้มีชีวิตอยู่เพียงราตรีเดียวเล่า ?"

"เพราะพระองค์ทรงมีพระวรกายเหน็ดเหนื่อยตรากตรำมาทั้งวัน"

"ถ้าอย่างนั้น ก็คงเป็นเรื่องของกรรม เราไม่อาจทำอะไรได้แล้ว" พระองค์ทรงส่ายพระพักตรด้วยความท้อแท้ แล้วหันไปหาหญิงรับใช้

"สุมนาเอ๋ย"

"เพคะ มหาราชเจ้า"

"พรุ่งนี้เช้า ถ้าเราตายไปแล้ว เจ้าก็จงกลับบ้านเกิดของเจ้าเถิดนะ"

นางสุมนาน้ำตาไหล ก้มลงไปกราบและกอดพระบาททั้งสองของเจ้าแคว้นโกศล

"หม่อมฉัน จะอยู่กับพระองค์ จะไม่ไปไหนทั้งสิ้น จนถึงวันเผาพระบรมศพของพระองค์เพคะ"

หลังจากเอกแปลคำพูดทุกอย่างให้ฟังแล้ว กัปตันวันชนะจึงถามด้วยความข้องใจ

"เรื่องราวมันเป็นยังไง ทำไม วิฑูฑภะ จึงมีความแค้นมากมายถึงขั้นล้างราชตระกูลศากยะ ลองเล่ามาซิ"

"ได้ครับ กัปตัน งั้นผมจะเริ่มเล่ามาตั้งแต่ต้น...."

แล้วเอก ก็เริ่มเล่าเรื่องราวความเป็นมาของเจ้าชายวิฑูฑภะ ก่อนจะได้ยึดครองราชสมบัติ ตั้งแต่แรกเริ่ม...


(มีต่อครับ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่