มัชฌิมยาม (ประมาณเที่ยงคืน)...
กัปตันวันชนะ และเอก ช่วยกันประคองพระเจ้าปเสนทิโกศลไปพักผ่อนที่ศาลาที่พักแห่งหนึ่งซึ่งอยู่นอกกำแพงเมือง ห่างจากจุดที่ก่อกองไฟไม่มากนัก เมื่อเห็นว่าเจ้าแคว้นโกศลทรงมีพระอาการง่วงเต็มที และคนอื่นๆที่เหลือก็ติดตามไป
เมื่อเข้าสู่ภายในศาลาเรียบร้อยแล้ว นางสุมนาก็จัดแจงปูที่บรรทมถวายพระองค์ด้วยผ้าที่พกมาด้วย บนแท่นที่ยกสูงขึ้นจากพื้นเล็กน้อย
กัปตันวันชนะ เห็นพระองค์มีพระวรกายสั่นเทาด้วยความหนาว เขาใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงเปิดกระเป๋ายังชีพ ค้นหาสิ่งของในกระเป๋าครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหยิบสิ่งที่เหมือนแผ่นผ้าที่พับซ้อนๆกัน สีเงินสะท้อนแสงไฟจากกองไฟซึ่งก่อไว้ข้างศาลา แล้วหยิบอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมจัตุรัส หนาประมาณครึ่งนิ้ว กว้างยาวประมาณคืบหนึ่ง ติดเข้ากับแผ่นพับนั้น จัดการอะไรบางอย่างต่อไปอีกเล็กน้อย แล้วคลี่แผ่นพับนั้นออก มันก็กลายเป็นผ้าห่มขนาดใหญ่พอห่มกายคนๆหนึ่งได้พอดี
กัปตันหอบเอา "ผ้าห่ม" นั้น ห่มคลุมพระวรกายของจอมกษัตริย์ ตั้งแต่พระศอลงมาจนคลุมถึงพระบาททั้งสอง แล้วกดปุ่มสี่เหลี่ยมเล็กๆ บนอุปกรณ์ที่ติดตั้งบนผ้าห่มด้านนอก
"ตี๊ดด"
เพียงครู่เดียว เจ้าแคว้นโกศลก็ทรงรู้สึกถึงความอบอุ่นแผ่กระจายไปทั่ว "ผ้าห่มมหัศจรรย์" ทำให้พระองค์อุ่นสบายคลายความหนาวไปทันที
"อะโห...กึง นามิทัง ปารุปะนัง (โอ้ นี่มันผ้าห่มอะไรกัน) สะยัง อุณหัง กะโรติ (ทำความอบอุ่นเองได้)"
เอกยิ้ม แล้วทูลพระองค์ "นิททัง โอกกะมะถะ มหาราชะ (ก้าวลงสู่นิทราเถิด มหาราช) สุขัง สะยะถะ นิททายะถะ (บรรทมหลับให้สบายเถิด)"
"สาธุ ตุมเห เม พหูปการา (ดีจริง พวกท่าน มีอุปการะต่อเรามาก) อุณโห เม ลัทโธ (เราได้ความอบอุ่นแล้ว) อะโห..สุขัง (โอ สุขสบายจริง) เตนะหิ นิททายิสสามิ (ถ้าอย่างนั้น เราจักหลับละ) มะระณังปิ เจ มัยหัง ภวิสสะติ (ถ้าหากว่าความตาย จักมีแก่เราไซร้) โหตุเยวะ (ก็ให้มันมีไปเถิด!)"
นางสุมนาถึงกับน้ำตาร่วง เขยิบเข้าไปใกล้พระองค์แล้วร่ำร้อง
"มา เอวัง วะเทถะ เทวะ (พระองค์ผู้สมมติเทพ อย่าตรัสเช่นนี้เพคะ) มะระณัง โว นะ โหตุ (ความตายจงไม่มีแก่พระองค์) ทีฆายุกา โหถะ เทวะ! (พระองค์ขอจงมีพระชนม์ชีพยืนยาวเถิดเพคะ)"
จอมกษัตริย์แย้มสรวลขณะทอดพระเนตรนาง และทรงสั่นพระเศียรเล็กน้อย
"มนุสเสหิ นามะ อะวัสสัง มริตัพพัง สุมเน (ธรรมดา คนเรา ต้องตายกันแน่แท้ สุมนาเอ๋ย) ตวัง มา จินตะยิ (เจ้าอย่าคิดไปเลย), มา ปโรทิ (อย่าร้องไห้นัก) ตวังปิ ทิวะสัง กิลันตา (แม้เจ้าก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว), สะยิตุง วัฏฏะติ (ควรรจะนอนได้แล้ว)"
เอกเอื้อมมือมาตบบ่านางเบาๆ และกระซิบบอก
"สุมเน (แม่นางสุมนา), มะยัง นิททัง รัญโญ เทมะ (พวกเราให้พระราชาบรรทมเถิด) ตวังปิ เสหิ (แม้ท่านก็นอนเถิด) อะหัง โว สะหะ สหาเยหิ รักขิสสามะ (ข้าพเจ้า พร้อมด้วยเพื่อนๆ จักอารักขาพวกท่าน)"
นางพยักหน้าซึ่งนองด้วยน้ำตา แล้วจึงค่อยๆถอยออกมา ล้มกายลงนอนห่มผ้าขดตัวอยู่ใกล้ๆแท่นบรรทม
เอกก็ถอยออกมาหากัปตันและเพื่อนๆ ที่ยืนรอกันอยู่ แล้วผู้เป็นเจ้านายก็จัดเวรยาม
"เอกอยู่เฝ้ายามเป็นคนแรกก็แล้วกันนะ เผื่อพวกเขาจะเรียกหาให้ช่วยอะไร จากนั้น ชั่วโมงต่อไป ให้แซมต่อ อีกชั่วโมงหนึ่งก็เป็นผม และสุดท้ายให้แอนดี้อยู่ยามจนถึงเช้าเลยก็แล้วกัน ส่วนจอยกับเล็ก นอนพักผ่อนกันได้แล้วครับ และเวลาเฝ้ายาม หมั่นสังเกตดูอาการของพระเจ้าปเสนทิโกศลด้วย ถ้าเห็นมีอะไรไม่ดี ปลุกทุกคนให้ตื่น จะได้ช่วยกันทัน"
"ครับผม", "ค่ะกัปตัน"
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
6 นาฬิกา 30 นาที...
ภายในศาลาที่พักนั้น เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความโศกเศร้า ด้วยเสียงร้องไห้คร่ำครวญของนางสุมนา หลังจากได้ทราบว่า จอมกษัตริย์เจ้าแห่งแคว้นโกศล สวรรคตแล้วด้วยพระอาการอันสงบ โดยแอนดี้ ซึ่งเป็นผู้อยู่เฝ้ายามคนสุดท้าย ได้ยินเสียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายของจอมกษัตริย์ แล้วปลุกทุกคนให้ตื่น จากนั้น กัปตันวันชนะพยายามปั๊มพระหทัยหลายครั้ง แต่ก็ไร้ผล พระองค์จากไปแล้ว
นางสุมนา รีบเข้าสู่พระนครทันทีที่ประตูพระนครเปิด เพื่อไปเข้าเฝ้าพระเจ้าอชาตศัตรูและกราบทูลแจ้งข่าวการสวรรคตของพระเจ้าปเสนทิโกศล ซึ่งหลังจากนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูก็ทรงจัดการทำสรีรกิจของเจ้าแคว้นโกศลผู้เป็นพระเจ้าลุงอย่างสมพระเกียรติ
ส่วนกัปตันและลูกทีมทั้งหมด แยกทางกับนางสุมนาไปอีกทางหนึ่ง เพื่อหาเส้นทางที่พระเจ้าวิฑูฑภะจะยกทัพออกมาเพื่อประหัตประหารเหล่าเจ้าศากยะ
"เราจะไปหาตรงไหนกันดี เอก ?" กัปตันถาม ขณะที่ทุกคนกำลังเดินไปตามทางสายหนึ่งห่างจากประตูพระนครออกไปประมาณครึ่งโยชน์
"เราต้องหาต้นไม้ต้นหนึ่งครับ ซึ่งมีใบไม้น้อย อยู่ห่างจากเขตแดนของพระเจ้าวิฑูฑภะ ใกล้กรุงกบิลพัสด์ุ และในเขตแดนของพระเจ้าวิฑูฑภะนั้น จะมีต้นไทรใหญ่กิ่งใบหนาทึบมีร่มเงาเป็นอย่างดี ต้องหาสถานที่แบบนี้ให้เจอ"
"เพราะอะไรหรือครับ ?"
"เพราะว่า พระพุทธเจ้า จะเสด็จไปประทับนั่งใต้ต้นไม้ซึ่งอัตคัดกิ่งใบ เพื่อทรงดักรอ และขัดขวางพระเจ้าวิฑูฑภะไม่ให้ยกทัพไปฆ่าพวกเจ้าศากยะครับ"
"โอ้....งั้นพวกเรา ก็จะมีโอกาสได้เห็นพระพุทธองค์อีกครั้งแล้วสิเนี่ย"
"ครับผม แต่ต้องหาสถานที่แบบนั้นให้เจอก่อนครับ"
"ถ้าอย่างนั้น ผมจะเหาะขึ้นไปสำรวจเองนะครับ เจ้านาย" แอนดี้กล่าวอาสา
"โอเค แอนดี้ ดีเลย จะได้ไวหน่อย" กัปตันพยักหน้าและกล่าวอนุญาต
"ครับผม งั้นพวกเจ้านาย รออยู่ที่นี่ก่อนนะครับ ผมจะไปสำรวจละ"
พูดจบ แอนดรอยด์ซึ่งเหมือนคนทุกกระเบียดนิ้วก็แยกขา กางแขนออก ปล่อยไอพ่นขับดันตัวเองพุ่งออกจากทั้งฝ่ามือและฝ่าเท้า ลอยตัวขึ้นไปจนสูงลิบ คนข้างล่างมองเห็นเขาตัวเล็กนิดเดียว
กัปตันซึ่งอยู่ข้างล่าง เปิดจอมอนิเตอร์แล้วเปิดวิทยุสื่อสารจากกระเป๋ายังชีพ เรียกลูกน้องคนพิเศษ
"แอนดี้"
"ครับ เจ้านาย ?" แอนดี้ตอบลงมาทันที
"ส่งภาพมาให้ฉันด้วยนะ ตอนนี้ฉันเปิดจอมอนิเตอร์ในกระเป๋าแล้ว"
"ได้ครับเจ้านาย"
ตอบเสร็จ แอนดี้ก็ปรับภาพจากสองตาที่กวาดมองไปรอบๆบริเวณเบื้องล่างซึ่งเป็นโหมด "มองดูธรรมดา" ด้วยตนเอง เป็นโหมด LIVE VIDEO ถ่ายทอดสดและส่งสัญญาณภาพลงไปให้กัปตันผู้สร้างเขา
"เยี่ยมมาก แอนดี้" กัปตันกล่าวชม "บันทึกวีดิโอไว้ด้วยนะ"
"ได้เลยครับเจ้านาย"
แอนดี้กวาดสายตามองพื้นเบื้องล่างต่อไปพร้อมทั้งค่อยๆเหาะวนไปรอบๆในรัศมี 1 โยชน์
ผ่านไปสามนาที แอนดี้ก็หยุด ลอยตัวอยู่นิ่งๆ แล้วถามเจ้านายข้างล่าง
"น่าจะเป็นตรงนี้หรือเปล่าครับเจ้านาย ?"
กัปตันและอีก 4 คนจ้องมองจอมอนิเตอร์ แล้วกัปตันก็หันมาถามเอก
"น่าจะใช่ไหม เอก ?"
"ชัดเจนมากครับผม" อดีตมหาเปรียญพยักหน้า "ดูสิครับ ต้นไม้ซึ่งกิ่งใบแทบจะไม่มี อยู่ห่างออกไปทางขวา มองเห็นกำแพงกรุงราชคฤห์ไกลออกไปลิบๆ ส่วนทางซ้าย เห็นเขตแดนซึ่งแยกออกไป ถนนหนึ่งสายกั้นกลาง ในเขตแดนทางซ้ายนี้ มีต้นไทรใหญ่ร่มครึ้ม กิ่งใบเต็มเลย ตรงกับในเรื่องที่ผมเคยเรียนมาไม่มีผิด"
"โอเค งั้นคงใช่แหละ พวกเราไปที่นั่นกันเลย"
"ให้ผมไปเอายานมารับพวกเจ้านายไหมครับ ?" แอนดี้ถามลงมา
"ไม่ต้องก็ได้ แอนดี้ มันไม่ไกลมากเท่าไร พวกฉันจะได้เดินออกกำลังกายกัน นายไปรอตรงนั้นก่อนก็ได้"
"ครับผม งั้นอีกสักครู่เจอกันครับ"
แล้วแอนดี้ก็เหาะไปลงที่จุดนัดพบ รอกัปตันและเจ้านายคนอื่นๆตามมาสมทบ
หลังจากกัปตันและลูกน้อง 4 คนมาถึงที่หมายซึ่งแอนดี้รออยู่แล้ว กัปตันตัดสินใจเลือกเขตแดนของพระเจ้าวิฑูฑภะ ซึ่งมีต้นไม้และพุ่มไม้อุดมสมบูรณ์เป็นที่ตั้งแคมป์ โดยเลือกภูมิประเทศที่สามารถมองเห็นต้นไม้อันมีกิ่งใบน้อยอีกฟากหนึ่งนั้นได้ถนัด จากนั้น ทุกคนก็รอคอย ทั้งการเสด็จมาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และการยาตราทัพมาของพระเจ้าวิฑูฑภะ
เวลา 16 นาฬิกา กัปตันและลูกน้องทุกคนซึ่งซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้ จ้องมองต้นไม้กิ่งใบโกร๋นทางฝั่งโน้นอยู่ ก็ขนลุกซู่กันโดยทั่วหน้า พากันยกสองมือพนม เมื่อเห็นร่างๆหนึ่ง ลอยตัวลงมาจากอากาศเบื้องบน สู่พื้นดิน ตรงโคนไม้ต้นนั้น แล้วนั่งลงที่โคนต้นไม้นั้นนั่นเองในท่านั่งสมาธิ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า !
"สงสัย อีกไม่นาน วิฑูฑภะ คงจะมาแล้วหละครับ กัปตัน" เอกกระซิบบอก
"อืม...อยากฟังเขาพูดคุยกับพระพุทธองค์จัง" กัปตันตอบ "เราอยู่กันตรงนี้ ห่างไกลจากพระองค์มากพอสมควรนะ ไม่ต้องกระซิบก็ได้"
"ถ้าพระเจ้าวิฑูฑภะมา และคุยกับพระพุทธเจ้า เราก็จะได้ยินกันครับ" แอนดี้บอกเบาๆ
"หืมม.... นาย แอบเอาเครื่องดักฟังไปไว้ตรงโน้นเหรอ แอนดี้ ?" กัปตันหันมาถาม
"ใช่ครับเจ้านาย"
"เยี่ยมเลย แต่ก็ต้องให้เอกช่วยแปลให้อีกทีละนะ" กัปตันกล่าวพลางยกนิ้วโป้งให้ ก่อนจะถามต่อ "แล้วเราจะได้ยินเสียงเข้ามาทางวิทยุสื่อสารในหูของแต่ละคน ใช่ไหม ? หรือต้องเปิดเครื่องรับจากกระเป๋าฉัน ?"
"รอฟังจากเครื่องรับในหูของพวกเจ้านายได้เลยครับ"
"โอเค...งั้น เรารอกันต่อไป"
ผู้มาจากอนาคตทั้ง 6 ซุ่มรออยู่อย่างนั้น จนเวลาผ่านไปประมาณ 15 นาที ทุกคนก็ได้ยินเสียงอื้ออึงจากกระบวนทัพใหญ่ดังมาแต่ไกล และค่อยๆใกล้เข้ามาๆ จนมองเห็นกองทัพใหญ่ยาตราเข้าสู่ถนนสายนั้น นำหน้าโดยช้างศึกเชือกใหญ่ แล้วผู้ที่นั่งอยู่บนคอช้างซึ่งทรงเครื่องรบแห่งกษัตริย์ก็ยกมือขึ้นสูง จากนั้นขบวนทัพก็หยุดเคลื่อน ช้างศึกย่อตัวลง ผู้นั้นค่อยๆลงจากคอช้าง ก้าวเดินตรงไปยังโคนต้นไม้ที่พระพุทธองค์ประทับนั่งอยู่
"พระเจ้าวิฑูฑภะ !!" เอกร้องครางออกมาด้วยความตื่นเต้น ด้วยไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เห็นเหตุการณ์ที่ตนเคยเรียนมาสมัยบวชเรียนตั้งแต่เป็นสามเณร
กษัตริย์ผู้เปี่ยมด้วยเพลิงแค้น ทรงทรุดกายลงประทับนั่งพับเพียบ ทรงก้มอภิวาทพระบรมศาสดาด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วทรงเงยพระพักตรขึ้น ตรัสกับพระทศพลว่า
"ภันฺเต กึงการณา เอวะรูปายะ อุณฺหะเวลายะ (ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เหตุไฉน ในเวลาที่ร้อนเห็นปานนี้) อิมัสฺมิง กะพะรัจฺฉาเย รุกฺขะมูเล นิสินฺนัตฺถะ ? (พระองค์ จึงประทับนั่งที่โคนต้นไม้ ซึ่งมีเงาห่างปรุโปร่งนี้) ? เอตัสฺมึ สัณฺฑัจฺฉาเย นิโคฺรธะมูเล นิสีทะถะ ภันฺเต (ขอพระองค์โปรดประทับนั่งที่โคนต้นไทร อันมีร่มเงาสนิท นั่นเถิด พระเจ้าข้า)" ตรัสพลางทรงชี้นิ้วพระหัตถ์ไปยังต้นไทรในเขตแดนของพระองค์
พระบรมศาสดา ตรัสตอบว่า
"โหตุ มหาราชะ (ช่างเถิด มหาบพิตร), ญาตกานัง ฉายา นามะ สีตะลา (ธรรมดาว่า ร่มเงาแห่งญาติทั้งหลาย ย่อมเย็นสบาย)"
พระเจ้าวิฑูฑภะ ทรงนิ่งอึ้ง และทรงดำริว่า "พระศาสดา เห็นจะต้องเสด็จมา เพื่อทรงปกป้องรักษาเหล่าพระญาติเป็นแน่"
ครั้นทรงดำริอย่างนั้นแล้ว จึงทรงก้มลง อภิวาทพระทศพลอีกครา แล้วจึงทรงลุกขึ้นประทับยืน ทรงน้อมพระสรีระลงพร้อมทรงกระทำอัญชลีต่อพระพุทธองค์อีกครั้ง ก่อนจะทรงหันกลับ เสด็จก้าวดำเนินไปขึ้นคอช้าง แล้วรับสั่งให้ยกทัพกลับเข้าสู่พระนคร
และจากนั้น ผู้มาจากอนาคตทั้ง 6 ก็มองเห็นพระบรมศาสดา อันตรธานหายไปจากโคนไม้อันอัตคัดกิ่งใบต้นนั้น!
กัปตันวันชนะ ถอนหายใจโล่งอก แล้วหันมาถามเอก
"พระเจ้าวิฑูฑภะ เลิกล้มความตั้งใจแล้วใช่ไหม เอก ?"
"ยังครับ กัปตัน" เขาส่ายหน้า "เขากลับไปแล้ว ก็จะนึกแค้นอาฆาตเหล่าเจ้าศากยะขึ้นมาอีก แล้วก็จะอดรนทนไม่ได้ จะยกทัพมาอีก และพระพุทธองค์ก็จะเสด็จมานั่งที่ต้นไม้นั้นอีก ถึงสองครั้ง เขาก็จะต้องยกทัพกลับไปอีกทั้งสองครั้ง"
"ทำไม เขาถึงเกรงอกเกรงใจพระพุทธองค์มากขนาดนั้น ? เขายกทัพผ่านพระพุทธองค์ไปเลยก็ได้นี่นา ?"
"กัปตันอย่าลืมสิครับ เรื่องความเป็นมาของเขาที่ผมเล่าให้ฟัง เขาเป็นหนี้บุญคุณพระพุทธองค์มากนะครับ จากการที่พระพุทธองค์ทรงช่วยตรัสกับพระเจ้าปเสนทิโกศลเรื่องแม่ของเขาซึ่งเป็นลูกนางทาสี จนพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเข้าพระทัย และพระราชทานตำแหน่งและทรัพย์สินเงินทองต่างๆคืนให้แม่ของเขาตามเดิม ถ้าพระพุทธองค์ไม่เสด็จไปทรงเจรจาให้ ป่านนี้ เขาก็จะเป็นแค่ลูกนางทาสี เป็นจัณฑาล ซึ่งเป็นชนชั้นต่ำสุด ถ้าไม่ใช่เพราะพระพุทธองค์ทรงช่วยเจรจา เขากับแม่ก็จะต้องตกระกำลำบาก ไม่มีทางจะมีวันนี้หรอกครับ!"
(ต่อครับ)
⚡️💦⚡️ หลงกาล Episode-18 "ท่องพุทธกาล-4" ⚡️💦⚡️
มัชฌิมยาม (ประมาณเที่ยงคืน)...
กัปตันวันชนะ และเอก ช่วยกันประคองพระเจ้าปเสนทิโกศลไปพักผ่อนที่ศาลาที่พักแห่งหนึ่งซึ่งอยู่นอกกำแพงเมือง ห่างจากจุดที่ก่อกองไฟไม่มากนัก เมื่อเห็นว่าเจ้าแคว้นโกศลทรงมีพระอาการง่วงเต็มที และคนอื่นๆที่เหลือก็ติดตามไป
เมื่อเข้าสู่ภายในศาลาเรียบร้อยแล้ว นางสุมนาก็จัดแจงปูที่บรรทมถวายพระองค์ด้วยผ้าที่พกมาด้วย บนแท่นที่ยกสูงขึ้นจากพื้นเล็กน้อย
กัปตันวันชนะ เห็นพระองค์มีพระวรกายสั่นเทาด้วยความหนาว เขาใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงเปิดกระเป๋ายังชีพ ค้นหาสิ่งของในกระเป๋าครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหยิบสิ่งที่เหมือนแผ่นผ้าที่พับซ้อนๆกัน สีเงินสะท้อนแสงไฟจากกองไฟซึ่งก่อไว้ข้างศาลา แล้วหยิบอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมจัตุรัส หนาประมาณครึ่งนิ้ว กว้างยาวประมาณคืบหนึ่ง ติดเข้ากับแผ่นพับนั้น จัดการอะไรบางอย่างต่อไปอีกเล็กน้อย แล้วคลี่แผ่นพับนั้นออก มันก็กลายเป็นผ้าห่มขนาดใหญ่พอห่มกายคนๆหนึ่งได้พอดี
กัปตันหอบเอา "ผ้าห่ม" นั้น ห่มคลุมพระวรกายของจอมกษัตริย์ ตั้งแต่พระศอลงมาจนคลุมถึงพระบาททั้งสอง แล้วกดปุ่มสี่เหลี่ยมเล็กๆ บนอุปกรณ์ที่ติดตั้งบนผ้าห่มด้านนอก
"ตี๊ดด"
เพียงครู่เดียว เจ้าแคว้นโกศลก็ทรงรู้สึกถึงความอบอุ่นแผ่กระจายไปทั่ว "ผ้าห่มมหัศจรรย์" ทำให้พระองค์อุ่นสบายคลายความหนาวไปทันที
"อะโห...กึง นามิทัง ปารุปะนัง (โอ้ นี่มันผ้าห่มอะไรกัน) สะยัง อุณหัง กะโรติ (ทำความอบอุ่นเองได้)"
เอกยิ้ม แล้วทูลพระองค์ "นิททัง โอกกะมะถะ มหาราชะ (ก้าวลงสู่นิทราเถิด มหาราช) สุขัง สะยะถะ นิททายะถะ (บรรทมหลับให้สบายเถิด)"
"สาธุ ตุมเห เม พหูปการา (ดีจริง พวกท่าน มีอุปการะต่อเรามาก) อุณโห เม ลัทโธ (เราได้ความอบอุ่นแล้ว) อะโห..สุขัง (โอ สุขสบายจริง) เตนะหิ นิททายิสสามิ (ถ้าอย่างนั้น เราจักหลับละ) มะระณังปิ เจ มัยหัง ภวิสสะติ (ถ้าหากว่าความตาย จักมีแก่เราไซร้) โหตุเยวะ (ก็ให้มันมีไปเถิด!)"
นางสุมนาถึงกับน้ำตาร่วง เขยิบเข้าไปใกล้พระองค์แล้วร่ำร้อง
"มา เอวัง วะเทถะ เทวะ (พระองค์ผู้สมมติเทพ อย่าตรัสเช่นนี้เพคะ) มะระณัง โว นะ โหตุ (ความตายจงไม่มีแก่พระองค์) ทีฆายุกา โหถะ เทวะ! (พระองค์ขอจงมีพระชนม์ชีพยืนยาวเถิดเพคะ)"
จอมกษัตริย์แย้มสรวลขณะทอดพระเนตรนาง และทรงสั่นพระเศียรเล็กน้อย
"มนุสเสหิ นามะ อะวัสสัง มริตัพพัง สุมเน (ธรรมดา คนเรา ต้องตายกันแน่แท้ สุมนาเอ๋ย) ตวัง มา จินตะยิ (เจ้าอย่าคิดไปเลย), มา ปโรทิ (อย่าร้องไห้นัก) ตวังปิ ทิวะสัง กิลันตา (แม้เจ้าก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว), สะยิตุง วัฏฏะติ (ควรรจะนอนได้แล้ว)"
เอกเอื้อมมือมาตบบ่านางเบาๆ และกระซิบบอก
"สุมเน (แม่นางสุมนา), มะยัง นิททัง รัญโญ เทมะ (พวกเราให้พระราชาบรรทมเถิด) ตวังปิ เสหิ (แม้ท่านก็นอนเถิด) อะหัง โว สะหะ สหาเยหิ รักขิสสามะ (ข้าพเจ้า พร้อมด้วยเพื่อนๆ จักอารักขาพวกท่าน)"
นางพยักหน้าซึ่งนองด้วยน้ำตา แล้วจึงค่อยๆถอยออกมา ล้มกายลงนอนห่มผ้าขดตัวอยู่ใกล้ๆแท่นบรรทม
เอกก็ถอยออกมาหากัปตันและเพื่อนๆ ที่ยืนรอกันอยู่ แล้วผู้เป็นเจ้านายก็จัดเวรยาม
"เอกอยู่เฝ้ายามเป็นคนแรกก็แล้วกันนะ เผื่อพวกเขาจะเรียกหาให้ช่วยอะไร จากนั้น ชั่วโมงต่อไป ให้แซมต่อ อีกชั่วโมงหนึ่งก็เป็นผม และสุดท้ายให้แอนดี้อยู่ยามจนถึงเช้าเลยก็แล้วกัน ส่วนจอยกับเล็ก นอนพักผ่อนกันได้แล้วครับ และเวลาเฝ้ายาม หมั่นสังเกตดูอาการของพระเจ้าปเสนทิโกศลด้วย ถ้าเห็นมีอะไรไม่ดี ปลุกทุกคนให้ตื่น จะได้ช่วยกันทัน"
"ครับผม", "ค่ะกัปตัน"
6 นาฬิกา 30 นาที...
ภายในศาลาที่พักนั้น เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความโศกเศร้า ด้วยเสียงร้องไห้คร่ำครวญของนางสุมนา หลังจากได้ทราบว่า จอมกษัตริย์เจ้าแห่งแคว้นโกศล สวรรคตแล้วด้วยพระอาการอันสงบ โดยแอนดี้ ซึ่งเป็นผู้อยู่เฝ้ายามคนสุดท้าย ได้ยินเสียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายของจอมกษัตริย์ แล้วปลุกทุกคนให้ตื่น จากนั้น กัปตันวันชนะพยายามปั๊มพระหทัยหลายครั้ง แต่ก็ไร้ผล พระองค์จากไปแล้ว
นางสุมนา รีบเข้าสู่พระนครทันทีที่ประตูพระนครเปิด เพื่อไปเข้าเฝ้าพระเจ้าอชาตศัตรูและกราบทูลแจ้งข่าวการสวรรคตของพระเจ้าปเสนทิโกศล ซึ่งหลังจากนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูก็ทรงจัดการทำสรีรกิจของเจ้าแคว้นโกศลผู้เป็นพระเจ้าลุงอย่างสมพระเกียรติ
ส่วนกัปตันและลูกทีมทั้งหมด แยกทางกับนางสุมนาไปอีกทางหนึ่ง เพื่อหาเส้นทางที่พระเจ้าวิฑูฑภะจะยกทัพออกมาเพื่อประหัตประหารเหล่าเจ้าศากยะ
"เราจะไปหาตรงไหนกันดี เอก ?" กัปตันถาม ขณะที่ทุกคนกำลังเดินไปตามทางสายหนึ่งห่างจากประตูพระนครออกไปประมาณครึ่งโยชน์
"เราต้องหาต้นไม้ต้นหนึ่งครับ ซึ่งมีใบไม้น้อย อยู่ห่างจากเขตแดนของพระเจ้าวิฑูฑภะ ใกล้กรุงกบิลพัสด์ุ และในเขตแดนของพระเจ้าวิฑูฑภะนั้น จะมีต้นไทรใหญ่กิ่งใบหนาทึบมีร่มเงาเป็นอย่างดี ต้องหาสถานที่แบบนี้ให้เจอ"
"เพราะอะไรหรือครับ ?"
"เพราะว่า พระพุทธเจ้า จะเสด็จไปประทับนั่งใต้ต้นไม้ซึ่งอัตคัดกิ่งใบ เพื่อทรงดักรอ และขัดขวางพระเจ้าวิฑูฑภะไม่ให้ยกทัพไปฆ่าพวกเจ้าศากยะครับ"
"โอ้....งั้นพวกเรา ก็จะมีโอกาสได้เห็นพระพุทธองค์อีกครั้งแล้วสิเนี่ย"
"ครับผม แต่ต้องหาสถานที่แบบนั้นให้เจอก่อนครับ"
"ถ้าอย่างนั้น ผมจะเหาะขึ้นไปสำรวจเองนะครับ เจ้านาย" แอนดี้กล่าวอาสา
"โอเค แอนดี้ ดีเลย จะได้ไวหน่อย" กัปตันพยักหน้าและกล่าวอนุญาต
"ครับผม งั้นพวกเจ้านาย รออยู่ที่นี่ก่อนนะครับ ผมจะไปสำรวจละ"
พูดจบ แอนดรอยด์ซึ่งเหมือนคนทุกกระเบียดนิ้วก็แยกขา กางแขนออก ปล่อยไอพ่นขับดันตัวเองพุ่งออกจากทั้งฝ่ามือและฝ่าเท้า ลอยตัวขึ้นไปจนสูงลิบ คนข้างล่างมองเห็นเขาตัวเล็กนิดเดียว
กัปตันซึ่งอยู่ข้างล่าง เปิดจอมอนิเตอร์แล้วเปิดวิทยุสื่อสารจากกระเป๋ายังชีพ เรียกลูกน้องคนพิเศษ
"แอนดี้"
"ครับ เจ้านาย ?" แอนดี้ตอบลงมาทันที
"ส่งภาพมาให้ฉันด้วยนะ ตอนนี้ฉันเปิดจอมอนิเตอร์ในกระเป๋าแล้ว"
"ได้ครับเจ้านาย"
ตอบเสร็จ แอนดี้ก็ปรับภาพจากสองตาที่กวาดมองไปรอบๆบริเวณเบื้องล่างซึ่งเป็นโหมด "มองดูธรรมดา" ด้วยตนเอง เป็นโหมด LIVE VIDEO ถ่ายทอดสดและส่งสัญญาณภาพลงไปให้กัปตันผู้สร้างเขา
"เยี่ยมมาก แอนดี้" กัปตันกล่าวชม "บันทึกวีดิโอไว้ด้วยนะ"
"ได้เลยครับเจ้านาย"
แอนดี้กวาดสายตามองพื้นเบื้องล่างต่อไปพร้อมทั้งค่อยๆเหาะวนไปรอบๆในรัศมี 1 โยชน์
ผ่านไปสามนาที แอนดี้ก็หยุด ลอยตัวอยู่นิ่งๆ แล้วถามเจ้านายข้างล่าง
"น่าจะเป็นตรงนี้หรือเปล่าครับเจ้านาย ?"
กัปตันและอีก 4 คนจ้องมองจอมอนิเตอร์ แล้วกัปตันก็หันมาถามเอก
"น่าจะใช่ไหม เอก ?"
"ชัดเจนมากครับผม" อดีตมหาเปรียญพยักหน้า "ดูสิครับ ต้นไม้ซึ่งกิ่งใบแทบจะไม่มี อยู่ห่างออกไปทางขวา มองเห็นกำแพงกรุงราชคฤห์ไกลออกไปลิบๆ ส่วนทางซ้าย เห็นเขตแดนซึ่งแยกออกไป ถนนหนึ่งสายกั้นกลาง ในเขตแดนทางซ้ายนี้ มีต้นไทรใหญ่ร่มครึ้ม กิ่งใบเต็มเลย ตรงกับในเรื่องที่ผมเคยเรียนมาไม่มีผิด"
"โอเค งั้นคงใช่แหละ พวกเราไปที่นั่นกันเลย"
"ให้ผมไปเอายานมารับพวกเจ้านายไหมครับ ?" แอนดี้ถามลงมา
"ไม่ต้องก็ได้ แอนดี้ มันไม่ไกลมากเท่าไร พวกฉันจะได้เดินออกกำลังกายกัน นายไปรอตรงนั้นก่อนก็ได้"
"ครับผม งั้นอีกสักครู่เจอกันครับ"
แล้วแอนดี้ก็เหาะไปลงที่จุดนัดพบ รอกัปตันและเจ้านายคนอื่นๆตามมาสมทบ
หลังจากกัปตันและลูกน้อง 4 คนมาถึงที่หมายซึ่งแอนดี้รออยู่แล้ว กัปตันตัดสินใจเลือกเขตแดนของพระเจ้าวิฑูฑภะ ซึ่งมีต้นไม้และพุ่มไม้อุดมสมบูรณ์เป็นที่ตั้งแคมป์ โดยเลือกภูมิประเทศที่สามารถมองเห็นต้นไม้อันมีกิ่งใบน้อยอีกฟากหนึ่งนั้นได้ถนัด จากนั้น ทุกคนก็รอคอย ทั้งการเสด็จมาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และการยาตราทัพมาของพระเจ้าวิฑูฑภะ
เวลา 16 นาฬิกา กัปตันและลูกน้องทุกคนซึ่งซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้ จ้องมองต้นไม้กิ่งใบโกร๋นทางฝั่งโน้นอยู่ ก็ขนลุกซู่กันโดยทั่วหน้า พากันยกสองมือพนม เมื่อเห็นร่างๆหนึ่ง ลอยตัวลงมาจากอากาศเบื้องบน สู่พื้นดิน ตรงโคนไม้ต้นนั้น แล้วนั่งลงที่โคนต้นไม้นั้นนั่นเองในท่านั่งสมาธิ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า !
"สงสัย อีกไม่นาน วิฑูฑภะ คงจะมาแล้วหละครับ กัปตัน" เอกกระซิบบอก
"อืม...อยากฟังเขาพูดคุยกับพระพุทธองค์จัง" กัปตันตอบ "เราอยู่กันตรงนี้ ห่างไกลจากพระองค์มากพอสมควรนะ ไม่ต้องกระซิบก็ได้"
"ถ้าพระเจ้าวิฑูฑภะมา และคุยกับพระพุทธเจ้า เราก็จะได้ยินกันครับ" แอนดี้บอกเบาๆ
"หืมม.... นาย แอบเอาเครื่องดักฟังไปไว้ตรงโน้นเหรอ แอนดี้ ?" กัปตันหันมาถาม
"ใช่ครับเจ้านาย"
"เยี่ยมเลย แต่ก็ต้องให้เอกช่วยแปลให้อีกทีละนะ" กัปตันกล่าวพลางยกนิ้วโป้งให้ ก่อนจะถามต่อ "แล้วเราจะได้ยินเสียงเข้ามาทางวิทยุสื่อสารในหูของแต่ละคน ใช่ไหม ? หรือต้องเปิดเครื่องรับจากกระเป๋าฉัน ?"
"รอฟังจากเครื่องรับในหูของพวกเจ้านายได้เลยครับ"
"โอเค...งั้น เรารอกันต่อไป"
ผู้มาจากอนาคตทั้ง 6 ซุ่มรออยู่อย่างนั้น จนเวลาผ่านไปประมาณ 15 นาที ทุกคนก็ได้ยินเสียงอื้ออึงจากกระบวนทัพใหญ่ดังมาแต่ไกล และค่อยๆใกล้เข้ามาๆ จนมองเห็นกองทัพใหญ่ยาตราเข้าสู่ถนนสายนั้น นำหน้าโดยช้างศึกเชือกใหญ่ แล้วผู้ที่นั่งอยู่บนคอช้างซึ่งทรงเครื่องรบแห่งกษัตริย์ก็ยกมือขึ้นสูง จากนั้นขบวนทัพก็หยุดเคลื่อน ช้างศึกย่อตัวลง ผู้นั้นค่อยๆลงจากคอช้าง ก้าวเดินตรงไปยังโคนต้นไม้ที่พระพุทธองค์ประทับนั่งอยู่
"พระเจ้าวิฑูฑภะ !!" เอกร้องครางออกมาด้วยความตื่นเต้น ด้วยไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เห็นเหตุการณ์ที่ตนเคยเรียนมาสมัยบวชเรียนตั้งแต่เป็นสามเณร
กษัตริย์ผู้เปี่ยมด้วยเพลิงแค้น ทรงทรุดกายลงประทับนั่งพับเพียบ ทรงก้มอภิวาทพระบรมศาสดาด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วทรงเงยพระพักตรขึ้น ตรัสกับพระทศพลว่า
"ภันฺเต กึงการณา เอวะรูปายะ อุณฺหะเวลายะ (ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เหตุไฉน ในเวลาที่ร้อนเห็นปานนี้) อิมัสฺมิง กะพะรัจฺฉาเย รุกฺขะมูเล นิสินฺนัตฺถะ ? (พระองค์ จึงประทับนั่งที่โคนต้นไม้ ซึ่งมีเงาห่างปรุโปร่งนี้) ? เอตัสฺมึ สัณฺฑัจฺฉาเย นิโคฺรธะมูเล นิสีทะถะ ภันฺเต (ขอพระองค์โปรดประทับนั่งที่โคนต้นไทร อันมีร่มเงาสนิท นั่นเถิด พระเจ้าข้า)" ตรัสพลางทรงชี้นิ้วพระหัตถ์ไปยังต้นไทรในเขตแดนของพระองค์
พระบรมศาสดา ตรัสตอบว่า
"โหตุ มหาราชะ (ช่างเถิด มหาบพิตร), ญาตกานัง ฉายา นามะ สีตะลา (ธรรมดาว่า ร่มเงาแห่งญาติทั้งหลาย ย่อมเย็นสบาย)"
พระเจ้าวิฑูฑภะ ทรงนิ่งอึ้ง และทรงดำริว่า "พระศาสดา เห็นจะต้องเสด็จมา เพื่อทรงปกป้องรักษาเหล่าพระญาติเป็นแน่"
ครั้นทรงดำริอย่างนั้นแล้ว จึงทรงก้มลง อภิวาทพระทศพลอีกครา แล้วจึงทรงลุกขึ้นประทับยืน ทรงน้อมพระสรีระลงพร้อมทรงกระทำอัญชลีต่อพระพุทธองค์อีกครั้ง ก่อนจะทรงหันกลับ เสด็จก้าวดำเนินไปขึ้นคอช้าง แล้วรับสั่งให้ยกทัพกลับเข้าสู่พระนคร
และจากนั้น ผู้มาจากอนาคตทั้ง 6 ก็มองเห็นพระบรมศาสดา อันตรธานหายไปจากโคนไม้อันอัตคัดกิ่งใบต้นนั้น!
กัปตันวันชนะ ถอนหายใจโล่งอก แล้วหันมาถามเอก
"พระเจ้าวิฑูฑภะ เลิกล้มความตั้งใจแล้วใช่ไหม เอก ?"
"ยังครับ กัปตัน" เขาส่ายหน้า "เขากลับไปแล้ว ก็จะนึกแค้นอาฆาตเหล่าเจ้าศากยะขึ้นมาอีก แล้วก็จะอดรนทนไม่ได้ จะยกทัพมาอีก และพระพุทธองค์ก็จะเสด็จมานั่งที่ต้นไม้นั้นอีก ถึงสองครั้ง เขาก็จะต้องยกทัพกลับไปอีกทั้งสองครั้ง"
"ทำไม เขาถึงเกรงอกเกรงใจพระพุทธองค์มากขนาดนั้น ? เขายกทัพผ่านพระพุทธองค์ไปเลยก็ได้นี่นา ?"
"กัปตันอย่าลืมสิครับ เรื่องความเป็นมาของเขาที่ผมเล่าให้ฟัง เขาเป็นหนี้บุญคุณพระพุทธองค์มากนะครับ จากการที่พระพุทธองค์ทรงช่วยตรัสกับพระเจ้าปเสนทิโกศลเรื่องแม่ของเขาซึ่งเป็นลูกนางทาสี จนพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเข้าพระทัย และพระราชทานตำแหน่งและทรัพย์สินเงินทองต่างๆคืนให้แม่ของเขาตามเดิม ถ้าพระพุทธองค์ไม่เสด็จไปทรงเจรจาให้ ป่านนี้ เขาก็จะเป็นแค่ลูกนางทาสี เป็นจัณฑาล ซึ่งเป็นชนชั้นต่ำสุด ถ้าไม่ใช่เพราะพระพุทธองค์ทรงช่วยเจรจา เขากับแม่ก็จะต้องตกระกำลำบาก ไม่มีทางจะมีวันนี้หรอกครับ!"
(ต่อครับ)