วันรุ่งขึ้น...
กัปตันวันชนะ และลูกทีม นั่งสนทนากับอนาถบิณฑิกเศรษฐีบริเวณหน้าบ้าน โดยมีเอกเป็นล่ามช่วยแปลตามเดิม หลังจากทุกคนรับประทานอาหารกลางวันกันเรียบร้อยแล้ว
หลังจากพูดคุยกันผ่านไปหลายเรื่อง ในที่สุด กัปตันวันชนะจึงกล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา
"นายท่านขอรับ เมื่อคืน ในมัชฌิมยาม พวกกระผมยังไม่หลับ แต่อยู่ที่หน้าห้องนอนของท่าน และได้ยินท่านพูดอยู่คนเดียว แต่เหมือนท่านกำลังพูดคุยกับใครบางคนอยู่"
ท่านเศรษฐีเลิกคิ้วขึ้น มีสีหน้าประหลาดใจ
"เหตุใด ท่านทั้งหลายจึงไม่เข้าสู่นิทรา แต่ตื่นอยู่หน้าห้องนอนของข้าพเจ้าในยามวิกาลเห็นปานนั้น ?"
"นายท่าน โปรดอดโทษ (ยกโทษ/อภัย) แก่กระผมด้วยขอรับ" เอกกล่าวแทรกขึ้นมาก่อนที่เจ้านายจะกล่าวต่อ
"เรื่องอะไรหรือท่านเอก ?"
"เพราะกระผมบอกท่านวนะชโนเองขอรับ ว่า เหตุการณ์บางอย่าง อันราวกะว่าเหตุการณ์ซึ่งกระผมเคยเล่าเรียนมาก่อน อาจเกิดขึ้น พวกกระผมจึงใคร่รอคอยดูกันขอรับ"
"เหตุการณ์อันใดหรือ ?"
"การที่นายท่านได้พบและสนทนากับเทวดาองค์หนึ่งซึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นพาล ผู้ชักชวนนายท่านให้เลิกการทำทาน แล้วถูกนายท่านขับไล่ออกจากบ้านไปขอรับนายท่าน"
"อะโห...ความเป็นไปนั่น คือสิ่งที่ท่านเคยเล่าเรียนมาก่อนหรือ ?" ท่านเศรษฐีทำท่าประหลาดใจอย่างล้นเหลือ
"ใช่ขอรับ นายท่าน"
"โดยที่แท้คืออย่างนี้เอง" บุรุษผู้เลิศในการถวายทานพยักหน้าสองสามครั้ง แล้วหันมาทางกัปตัน "เมื่อคืนนี้ เทวดาองค์หนึ่ง มาหาข้าพเจ้า คำพูดอันข้าพเจ้ากล่าวกะเขา พวกท่านได้ฟังแล้ว"
"นายท่านขอรับ คำพูดทั้งปวงของท่าน พวกกระผมได้ฟังแล้วก็จริงอยู่ แต่ทว่า คำพูดของเทวดานั้น พวกกระผมหาได้ยินไม่"
"อย่างนั้นหรือ ?"
"อย่างนั้น ขอรับนายท่าน"
"ถ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าจะบอกแก่ท่านทั้งหลาย เทวดานั้นมาแล้วบอกขัาพเจ้าว่า จะให้โอวาทแก่ข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้ากล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นจงกล่าวเถิดเทวดา จึงกล่าวต่อไปว่า ดูก่อนมหาเศรษฐี ทรัพย์เป็นอันมาก ท่านไม่แลดูกาลเวลาในภายหลัง เรี่ยรายแล้วในศาสนาของพระสมณะโคดม, ในกาลนี้ ท่านเป็นผู้ถึงความทุกข์ยาก แม้เป็นแล้วก็ยังไม่ยอมปล่อยปละละเลยพระสมณะโคดมนั้น, ท่านเมื่อประพฤติอยู่อย่างนี้ ไม่กี่วันหรอกก็จักไม่ได้วัตถุแม้แต่อาหารที่จะพึงกินและผ้าที่จะนุ่งห่มปิดกาย จะมีประโยชน์อะไรสำหรับท่าน ด้วยพระสมณะผู้โคดม ? ท่านงดเว้นจากการบริจาคอันยิ่งเสีย ประกอบการงานทั้งหลายแล้วจง ตั้งขุมทรัพย์ไว้ด้วยดีเถิด ดังนี้"
"ดังนั้น นายท่านจึงกล่าวกะเขาว่า นี่หรือคือโอวาทซึ่งท่านให้แก่ข้าพเจ้า" เอกย้อนทวนคำพูดของท่านเศรษฐี
"ใช่แล้ว ท่านเอก ข้าพเจ้ากล่าวอย่างนั้นแล้วจึงสั่งบังคับให้เขาออกไปจากเรือนนี้ จากนั้น เทวดานั้นก็หายไปพร้อมกับแสงสว่างของตน พวกท่านคงได้เห็นกันแล้ว"
"นายท่าน ข้าพเจ้าใคร่ขอถาม เมื่อก่อนนี้ ทรัพย์ของท่าน มีประมาณเท่าไร และเหตุใดจึงได้ถึงความหมดสิ้นไปเร็วเหลือเกิน ?" กัปตันตั้งคำถาม
ท่านเศรษฐีถอนใจเล็กน้อย ก่อนจะเฉลย
"เมื่อก่อนนี้ ทรัพยสมบัติของข้าพเจ้ามีอยู่เป็นอันมาก เฉพาะเงินกหาปณะอย่างเดียว ก็มีแก่ข้าพเจ้าถึง ๕๔ โกฏิ"
"๕๔ โกฏิ! ก็คือ ห้าร้อย สี่สิบล้านกหาปณะ!!" กัปตันกล่าวแล้วอ้าปากหวอ
"เงินหน่วยกหาปณะ คือหน่วยนับที่ใหญ่สุดแล้วครับ กัปตัน" เอกช่วยอธิบาย "สมัยนั้น...อ่า ไม่ใช่สิ สมัยนี้! เงินที่จับจ่ายใช้สอยกัน ใหญ่ที่สุดคือ กหาปณะ แล้วลดลงไปเป็นอัฑฒะ ปาทะ (บาท) มาสกะ และ เล็กสุดคือ กากณิกะ"
"กากณิกะนี่ ซื้ออะไรได้บ้าง ?"
"ถั่วงอกซักกำมือหนึ่ง พอได้อยู่กระมังครับ นายท่าน ?" เอกหันมาถามแทนเจ้านาย
"ได้บ้างเล็กน้อย" ท่านเศรษฐีพยักหน้า
"450 ล้านของท่านเศรษฐี น่าจะประมาณ 4 หมื่นล้าน ในยุคของเรา..." กัปตันกล่าวโดยหันมามองลูกทีมแต่ละคน "มีเงินเยอะขนาดนั้น ทำบุญทำทานทุกวันก็ไม่น่ามีปัญหา และท่านเศรษฐีก็ทำธุรกิจไปด้วยมิใช่หรือ ไม่ใช่นั่งกินนอนกินเฉยๆนี่นา" กัปตันหยุดที่เอกและถามคำถามที่ข้องใจ
เอกพยักหน้าและแปลคำถามนี้ให้ท่านเศรษฐีฟัง
"อะโห...มหาวิปาโก! เอโส...(โอ นั่นน่ะ เป็นวิบากกรรมอันใหญ่หลวง)" ท่านเศรษฐีอุทานพร้อมทอดถอนใจ แล้วหันมามองกัปตัน "วนชโน...ท่านกล่าวไม่ผิดดอก ข้าพเจ้า หาได้อยู่นิ่งเฉยเสวยแต่ทรัพย์ไม่ ปกติข้าพเจ้าก็ดำเนินธุรกิจให้กู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเป็นผลกำไรแต่น้อย พอให้ประคับประคองการอยู่กินไปได้เท่านั้น แต่ถึงคราวเคราะห์ ทรัพย์ส่วนหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าฝังเก็บไว้ใต้ปฐพีริมฝั่งแม่น้ำ ถูกพัดเข้าไปสู่ท้องทะเลลึก เมื่อยามมีพายุคลื่นใหญ่สาดซัดเข้ามา ทางส่วนของบรรดาผู้คนที่เป็นลูกหนี้ หลายคนประสบเคราะห์จากอุทกภัยในครั้งนั้น จึงไม่สามารถใช้หนี้คืนแก่ข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าก็จำต้องปล่อยให้พวกเขาเหล่านั้นตั้งตัวได้เสียก่อน"
"เข้าใจดีแล้วขอรับ" กัปตันพยักหน้า
เอกยื่นมือทั้งสองเข้ามากุมมือของท่านเศรษฐีแล้วกล่าวปลอบใจ
"นายท่าน อย่าได้ห่วง โปรดทำทานตามกำลังที่ท่านสามารถทำได้เถิด อีกไม่นาน ทานจะกลับมาเป็นผู้มีทรัพย์เท่าเดิมอีกครั้ง!"
"เท่าเดิม ... ห้าสิบสี่โกฏินั่นเทียวนะ ท่านเอก ?" ท่านเศรษฐีกล่าวพลางมองหน้าเขาด้วยความฉงนว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร
"นายท่าน คอยดูต่อไปเถิดขอรับ อีกไม่นาน!"
"สาธุ เต วาจา (วาจาของท่าน จงยังประโยชน์ให้สำเร็จเถิด)"
สิ้นคำของท่านเศรษฐี ก็มีเสียงร้องตะโกนเรียกมาจากหน้าประตูบ้าน
"มหาเสฏฐิ ! อาคจฺฉถ (ท่านมหาเศรษฐี มาเถิด), มยัง โว อิณัคคาหิกา (พวกเรา คือผู้ถือหนี้<ลูกหนี้>ของท่าน"
อนาถบิณฑิกเศรษฐี หันมามองเอกแว่บหนึ่งด้วยความทึ่ง ก่อนจะตะโกนตอบและลุกขึ้นเตรียมเดินลงบันได
"อาคเมถะ ตาวะ (รอก่อนนะ) อาคมิสสามหัง (ข้าพเจ้ากำลังมา)"
หน้าบ้านของท่านเศรษฐี มีชายวัยกลางคนจนถึงวัยชราสิบคน แต่ละคนมาจากคนละที่ละแห่ง และมีผู้ติดตามมาด้วยคนหนึ่งบ้าง สองคนบ้าง สามคนบ้าง รวมคนทั้งหมดเกือบสามสิบคน แต่ทุกคนดูท่าทางเป็นมิตร และคนสิบคนนั้น แต่ละคนดูเหมือนว่าจะรู้จักท่านเศรษฐีเป็นอย่างดี
ท่านเศรษฐีเชื้อเชิญทุกคนให้เข้าไปในบ้าน พาไปยังห้องรับแขกซึ่งโอ่งโถงกว้างขวาง
และแล้วท่านเศรษฐีก็ได้ทราบว่า บุคคลทั้งสิบซึ่งเป็นลูกหนี้ของตนทั้งหมด นำเงินและทรัพย์สินอื่นๆรวมกันมาใช้คืนให้ เฉพาะเงินนั้น ทั้งหมดรวมกันได้ 18 กหาปณะ
"มยัง ทะสะปิ (พวกเรา ทั้งสิบคน) สุปิเน เอกัง เทวตัง ปสสิมฺหา (เห็นเทวดาองค์หนึ่ง ในความฝัน)"
"กทา ตุมฺเห (เมื่อไรกัน ท่านทั้งหลาย)?"
"หิยฺโย รัตติง (เมื่อคืนวันวาน)"
"ตุมฺเห ทสปิ (พวกท่าน ทั้งสิบคนหรือ) ?"
"อามะ มหาเสฏฐิ (ใช่ ท่านมหาเศรษฐี)"
"เอกัง เทวตัง ปัสสิตถะ (เห็นเทวดา องค์เดียวกัน), สา ปน กินติ อโวจะ (แล้ว เขาพูดว่าไง) ?"
"สา โน เอเกกัง เอตะทโวจะ (เขาพูดกะเราคนหนึ่งๆ ซึ่งคำนี้ว่า) อนาถะปิณฑิโก เสฏฺฐี (เศรษฐีชื่อว่าอนาถะ) อิทานิ สะยัง อนาโถ เอวะ! บัดนี้ ไร้ที่พึ่งเสียเองแล้ว) ตุมฺเห ธะนะวันโตตถะ (พวกท่าน เป็นผู้มีทรัพย์แล้ว) ตัสสะ กหาปเณหิ (ด้วยกหาปณะทั้งหลาย ของเขา) เอกเกหิ โว คหิเตหิ (ที่พวกท่านแต่ละคนเอาของเขามา) ตุมฺเห ตัสสะ อิณัคคาหกา สมานา (พวกท่าน เป็นหนี้เขาอยู่) คจฺฉะ อัตตโน อิณํ โสธาเปเถะ (จงไป จงชำระหนี้ของตนเสียเถิด)"
"อนัจฉะริยัง (น่าอัศจรรย์มาก)!" ชายอีกคนหนึ่งกล่าวเสริม " สัพเพ มยัง (พวกเราทุกคน) ...สา เทวตา (เทวดานั้น) ยัง ปุคคลัง ยถา วทิ (พูดกับบุคคลใด อย่างไร) ตัง อิตรัง ตถาเอวะ วุตตัง สุณิมหา (ก็ได้ฟังคำที่เขาพูดกะอีกคนหนึ่งนั้น อย่างนั้นนั่นแล"
โดยสรุปก็คือ ลูกหนี้ทุกคน ได้พบกับเทวดาในความฝัน และเทวดานั้นบอกให้แต่ละคนมาใช้หนี้คืนให้แก่ท่านเศรษฐี
บัดนี้ ท่านเศรษฐี ได้เงินคืนมา 1 ใน 3 ส่วนแล้ว!
อาคันตุกะทั้ง 10 คนพร้อมทั้งผู้ติดตาม ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีด้วยห้องพักตามสถานะที่เหมาะสมของแต่ละคน ทุกคนดื่มกินกันในงานเลี้ยงที่ท่านเศรษฐีจัดให้ในคืนนั้น
กัปตันวันชนะ และลูกน้องทั้ง 5 ได้รับเชิญให้ร่วมด้วย ในฐานะเป็น "แขกพิเศษ" ไม่ใช่เป็นคนรับใช้ทั่วไปแบบธรรมดา ซึ่งคนใช้ชายหญิงทุกคนต่างก็เข้าใจและทราบดี เพราะเคยเห็น "สิ่งมหัศจรรย์" กันมาแล้ว
คืนนั้น หลังจากอาคันตุกะทั้งสิบและผู้ติดตามเข้านอนกันหมดแล้ว กัปตันวันชนะและเอก เดินเข้ามาหาท่านเศรษฐีที่ระเบียงด้านนอก
"สามิ (นายท่านขอรับ)"
"กึง เอกะ (อะไรหรือ ท่านเอก) ?"
"อิมาย รัตติยา (ในคืนนี้) เอกัง วิเสสะ การะณัง ปุนะ อุปปันนัง ภวิสสะติ มัญเญ (อาจจะ มีเหตุพิเศษ บังเกิดขึ้นอีก)"
"กึง นาเมตัง การะณัง (เหตุอะไรกันเล่า) ? "
"นาหันทานิ ชานามิ สามิ (กระผมยังไม่ทราบในตอนนี้ขอรับ นายท่าน) มยัมปะนะ อิธะ พหิ ปัสสิสสามะ (แต่พวกเรา จักรอดูกัน ข้างนอกนี่)"
"เตนะหิ อะหัมปิ ปัสสิสสามิ (ถ้าอย่างนั้น ข้าพเจ้า ก็จักดูบ้าง)" ว่าแล้ว ท่านเศรษฐีก็แหงนหน้าขึ้นมองฟ้า
"นะภายะ มัชเฌ พหู ตารา สัญฉัณณา (ท่ามกลางแห่งท้องฟ้า ดวงดาว ดารดาษ) อภิรูปา รมณียา (งดงาม น่ารื่มรมณ์)"
และในขณะที่กำลังชมความงามของแสงดาวในยามราตรีนั้นเอง ท่านเศรษฐีก็ยกมือขึ้นชี้ทางทิศตะวันออก
"ปัสสะถะ ตุมเห! (พวกท่าน จงดูเถิด) เอเต กา รังสิโย! (รัศมีทั้งหลาย อะไรนั่น ?)"
บนฟ้านั้น ปรากฏแสงสว่างเป็นกลุ่มๆ แล้วแสงสว่างทั้งหมดก็พุ่งเข้าไปยังห้องเก็บทรัพย์สินของท่านเศรษฐี ซึ่งบัดนี้เป็นห้องเปล่า
แสงสว่างเจิดจ้าส่องลอดฝาบ้านบ้าง ช่องรอยแตกต่างๆบ้าง หน้าต่างที่เปิดไว้บ้าง ครู่หนึ่ง ก็พุ่งออกมาจากห้องนั้น หายลับไปบนฟากฟ้าทิศตะวันออก ทิศเดิมที่แสงเหล่านั้นปรากฏ
ท่านเศรษฐียืนตะลึง หันมามองหน้าเอกซึ่งกำลังยืนยิ้มอยู่
"กระผมคิดว่า ในห้องเก็บสมบัติของท่าน ตอนนี้ คงจะเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติแล้วละขอรับ นายท่าน"
"เอวัง สัปปุริสะ (อย่างนั้นหรือ ท่านสัตบุรุษ) ?" ท่านเศรษฐีเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น
"เอวัง ภวิตัพพัง สามิ (พึงเป็นเช่นนั้นขอรับ)"
"เตนะหิ ปัสสิตุง คจฉามะ (ถ้าอย่างนั้น พวกเรา ไปดูกันเถิด)"
ท่านเศรษฐีเดินนำหน้า อาคันตุกะผู้รับใช้พิเศษทั้ง 6 เดินตามหลัง
ครั้นเดินมาถึงประตูห้อง ท่านเศรษฐี เอื้อมมือแตะ "โคมไฟมหัศจรรย์" ซึ่งกัปตันติดตั้งไว้ให้
แสงไฟสีขาวนวลสว่างไปทั่ว และท่านเศรษฐีก็ถึงกับยกมือทาบอก อุทานออกมาอย่างปลาบปลื้มและประหลาดใจ
"อะโห....มัยหัง กหาปณา! (โอ เงินกหาปณะของข้าพเจ้า!")
ห้องนั้นทั้งห้อง ซึ่งมองดูกว้างใหญ่พอๆกับพื้นที่ทั้งหมดในห้องสวีทสองชั้นของโรงแรมใหญ่ระดับห้าดาว บัดนี้เต็มไปด้วยหีบบรรจุเงินกหาปณะอัดจนล้นในแต่ละหีบ กองเรียงรายซ้อนกันตั้งแต่พื้นจนจรดเพดาน และยังปะปนด้วยแก้วแหวนเงินทองต่างๆ ส่องประกายสีทองวูบวาบทั่วไปหมด!
"อัจฉะริยัง....อัจฉะริยัง..." ท่านเศรษฐีพึมพำไม่ขาดปาก
"ธมฺโม หะเว รกฺขติ ธมฺมจารึ (พระธรรมแล ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม)" เอกกล่าวพลางจับมือข้างขวาของท่านเศรษฐีมาบีบ "สตฺถารา เอวัง วุตตัง (พระศาสดา ตรัสไว้อย่างนี้) สุตะปุพพัง โว (ท่านเคยฟังมาก่อนไหม)?"
"อาม เอวัมเม สุตัง (ใช่ ข้าพเจ้าก็เคยฟังมาก่อนอย่างนี้)"
"เอสา เทวตา (เทวดานั่น) อัตตโน อปราธัสสะ ทัณฑัง อกาสิ (ได้ทำการไถ่โทษ ต่อความผิดของตนแล้ว) ตโต สา โว ขมาเปสสะติ (ต่อไป เขาจะมาขอโทษท่าน)"
"อปรัง ฐานัง (สถานที่อื่น) ยัตถะ เม สัมปัตติ นัฏฐา อัตถิ (ที่ซึ่งสมัติของข้าพเจ้าหายไป ยังมีอยู่) มะยัง ตัตถะ คัจฉามะ (พวกเราไปที่นั่นกันเถอะ)"
กล่าวจบ ท่านเศรษฐีก็เดินถือโคมไฟลงจากเรือน มุ่งหน้าไปยังริมฝั่งแม่น้ำ โดยมีกัปตันและลูกน้องทั้ง 5 เดินตามไปติดๆ
เมื่อใกล้จะถึงริมฝั่ง ทุกคนมองเห็นคลื่นทะเลหลายลูก ซัดกระหน่ำสิ่งของต่างๆขึ้นมากองอยู่บนหาดทรายเกลื่อนกลาดไปหมด นานราวครึ่งชั่วโมง กว่าคลื่นจะสงบ ระดับน้ำในแม่น้ำลดลง บนหาดทรายมีแต่กองทรัพย์สมบัติคือหีบกหาปณะและของมีค่าอื่นๆมากมายก่ายกอง
"คราวนี้ เห็นที ทรัพย์สมบัติของท่านเศรษฐี คงจะกลับคืนมาเป็นจำนวนมากเท่าเดิมแล้ว" กัปตันกล่าว
เอกแปลคำพูดของเขาให้ท่านเศรษฐีฟัง แล้วท่านจึงกล่าวตอบ
"ข้าพเจ้า คงต้องเรียกเหล่าบริวาร ให้มาช่วยกันขนทรัพย์สมบัติเหล่านี้กลับเข้าบ้าน"
(มีต่อครับ)
⚡️💦⚡️ หลงกาล Episode-16 "ท่องพุทธกาล-2" ⚡️💦⚡️
วันรุ่งขึ้น...
กัปตันวันชนะ และลูกทีม นั่งสนทนากับอนาถบิณฑิกเศรษฐีบริเวณหน้าบ้าน โดยมีเอกเป็นล่ามช่วยแปลตามเดิม หลังจากทุกคนรับประทานอาหารกลางวันกันเรียบร้อยแล้ว
หลังจากพูดคุยกันผ่านไปหลายเรื่อง ในที่สุด กัปตันวันชนะจึงกล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา
"นายท่านขอรับ เมื่อคืน ในมัชฌิมยาม พวกกระผมยังไม่หลับ แต่อยู่ที่หน้าห้องนอนของท่าน และได้ยินท่านพูดอยู่คนเดียว แต่เหมือนท่านกำลังพูดคุยกับใครบางคนอยู่"
ท่านเศรษฐีเลิกคิ้วขึ้น มีสีหน้าประหลาดใจ
"เหตุใด ท่านทั้งหลายจึงไม่เข้าสู่นิทรา แต่ตื่นอยู่หน้าห้องนอนของข้าพเจ้าในยามวิกาลเห็นปานนั้น ?"
"นายท่าน โปรดอดโทษ (ยกโทษ/อภัย) แก่กระผมด้วยขอรับ" เอกกล่าวแทรกขึ้นมาก่อนที่เจ้านายจะกล่าวต่อ
"เรื่องอะไรหรือท่านเอก ?"
"เพราะกระผมบอกท่านวนะชโนเองขอรับ ว่า เหตุการณ์บางอย่าง อันราวกะว่าเหตุการณ์ซึ่งกระผมเคยเล่าเรียนมาก่อน อาจเกิดขึ้น พวกกระผมจึงใคร่รอคอยดูกันขอรับ"
"เหตุการณ์อันใดหรือ ?"
"การที่นายท่านได้พบและสนทนากับเทวดาองค์หนึ่งซึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นพาล ผู้ชักชวนนายท่านให้เลิกการทำทาน แล้วถูกนายท่านขับไล่ออกจากบ้านไปขอรับนายท่าน"
"อะโห...ความเป็นไปนั่น คือสิ่งที่ท่านเคยเล่าเรียนมาก่อนหรือ ?" ท่านเศรษฐีทำท่าประหลาดใจอย่างล้นเหลือ
"ใช่ขอรับ นายท่าน"
"โดยที่แท้คืออย่างนี้เอง" บุรุษผู้เลิศในการถวายทานพยักหน้าสองสามครั้ง แล้วหันมาทางกัปตัน "เมื่อคืนนี้ เทวดาองค์หนึ่ง มาหาข้าพเจ้า คำพูดอันข้าพเจ้ากล่าวกะเขา พวกท่านได้ฟังแล้ว"
"นายท่านขอรับ คำพูดทั้งปวงของท่าน พวกกระผมได้ฟังแล้วก็จริงอยู่ แต่ทว่า คำพูดของเทวดานั้น พวกกระผมหาได้ยินไม่"
"อย่างนั้นหรือ ?"
"อย่างนั้น ขอรับนายท่าน"
"ถ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าจะบอกแก่ท่านทั้งหลาย เทวดานั้นมาแล้วบอกขัาพเจ้าว่า จะให้โอวาทแก่ข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้ากล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นจงกล่าวเถิดเทวดา จึงกล่าวต่อไปว่า ดูก่อนมหาเศรษฐี ทรัพย์เป็นอันมาก ท่านไม่แลดูกาลเวลาในภายหลัง เรี่ยรายแล้วในศาสนาของพระสมณะโคดม, ในกาลนี้ ท่านเป็นผู้ถึงความทุกข์ยาก แม้เป็นแล้วก็ยังไม่ยอมปล่อยปละละเลยพระสมณะโคดมนั้น, ท่านเมื่อประพฤติอยู่อย่างนี้ ไม่กี่วันหรอกก็จักไม่ได้วัตถุแม้แต่อาหารที่จะพึงกินและผ้าที่จะนุ่งห่มปิดกาย จะมีประโยชน์อะไรสำหรับท่าน ด้วยพระสมณะผู้โคดม ? ท่านงดเว้นจากการบริจาคอันยิ่งเสีย ประกอบการงานทั้งหลายแล้วจง ตั้งขุมทรัพย์ไว้ด้วยดีเถิด ดังนี้"
"ดังนั้น นายท่านจึงกล่าวกะเขาว่า นี่หรือคือโอวาทซึ่งท่านให้แก่ข้าพเจ้า" เอกย้อนทวนคำพูดของท่านเศรษฐี
"ใช่แล้ว ท่านเอก ข้าพเจ้ากล่าวอย่างนั้นแล้วจึงสั่งบังคับให้เขาออกไปจากเรือนนี้ จากนั้น เทวดานั้นก็หายไปพร้อมกับแสงสว่างของตน พวกท่านคงได้เห็นกันแล้ว"
"นายท่าน ข้าพเจ้าใคร่ขอถาม เมื่อก่อนนี้ ทรัพย์ของท่าน มีประมาณเท่าไร และเหตุใดจึงได้ถึงความหมดสิ้นไปเร็วเหลือเกิน ?" กัปตันตั้งคำถาม
ท่านเศรษฐีถอนใจเล็กน้อย ก่อนจะเฉลย
"เมื่อก่อนนี้ ทรัพยสมบัติของข้าพเจ้ามีอยู่เป็นอันมาก เฉพาะเงินกหาปณะอย่างเดียว ก็มีแก่ข้าพเจ้าถึง ๕๔ โกฏิ"
"๕๔ โกฏิ! ก็คือ ห้าร้อย สี่สิบล้านกหาปณะ!!" กัปตันกล่าวแล้วอ้าปากหวอ
"เงินหน่วยกหาปณะ คือหน่วยนับที่ใหญ่สุดแล้วครับ กัปตัน" เอกช่วยอธิบาย "สมัยนั้น...อ่า ไม่ใช่สิ สมัยนี้! เงินที่จับจ่ายใช้สอยกัน ใหญ่ที่สุดคือ กหาปณะ แล้วลดลงไปเป็นอัฑฒะ ปาทะ (บาท) มาสกะ และ เล็กสุดคือ กากณิกะ"
"กากณิกะนี่ ซื้ออะไรได้บ้าง ?"
"ถั่วงอกซักกำมือหนึ่ง พอได้อยู่กระมังครับ นายท่าน ?" เอกหันมาถามแทนเจ้านาย
"ได้บ้างเล็กน้อย" ท่านเศรษฐีพยักหน้า
"450 ล้านของท่านเศรษฐี น่าจะประมาณ 4 หมื่นล้าน ในยุคของเรา..." กัปตันกล่าวโดยหันมามองลูกทีมแต่ละคน "มีเงินเยอะขนาดนั้น ทำบุญทำทานทุกวันก็ไม่น่ามีปัญหา และท่านเศรษฐีก็ทำธุรกิจไปด้วยมิใช่หรือ ไม่ใช่นั่งกินนอนกินเฉยๆนี่นา" กัปตันหยุดที่เอกและถามคำถามที่ข้องใจ
เอกพยักหน้าและแปลคำถามนี้ให้ท่านเศรษฐีฟัง
"อะโห...มหาวิปาโก! เอโส...(โอ นั่นน่ะ เป็นวิบากกรรมอันใหญ่หลวง)" ท่านเศรษฐีอุทานพร้อมทอดถอนใจ แล้วหันมามองกัปตัน "วนชโน...ท่านกล่าวไม่ผิดดอก ข้าพเจ้า หาได้อยู่นิ่งเฉยเสวยแต่ทรัพย์ไม่ ปกติข้าพเจ้าก็ดำเนินธุรกิจให้กู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเป็นผลกำไรแต่น้อย พอให้ประคับประคองการอยู่กินไปได้เท่านั้น แต่ถึงคราวเคราะห์ ทรัพย์ส่วนหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าฝังเก็บไว้ใต้ปฐพีริมฝั่งแม่น้ำ ถูกพัดเข้าไปสู่ท้องทะเลลึก เมื่อยามมีพายุคลื่นใหญ่สาดซัดเข้ามา ทางส่วนของบรรดาผู้คนที่เป็นลูกหนี้ หลายคนประสบเคราะห์จากอุทกภัยในครั้งนั้น จึงไม่สามารถใช้หนี้คืนแก่ข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าก็จำต้องปล่อยให้พวกเขาเหล่านั้นตั้งตัวได้เสียก่อน"
"เข้าใจดีแล้วขอรับ" กัปตันพยักหน้า
เอกยื่นมือทั้งสองเข้ามากุมมือของท่านเศรษฐีแล้วกล่าวปลอบใจ
"นายท่าน อย่าได้ห่วง โปรดทำทานตามกำลังที่ท่านสามารถทำได้เถิด อีกไม่นาน ทานจะกลับมาเป็นผู้มีทรัพย์เท่าเดิมอีกครั้ง!"
"เท่าเดิม ... ห้าสิบสี่โกฏินั่นเทียวนะ ท่านเอก ?" ท่านเศรษฐีกล่าวพลางมองหน้าเขาด้วยความฉงนว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร
"นายท่าน คอยดูต่อไปเถิดขอรับ อีกไม่นาน!"
"สาธุ เต วาจา (วาจาของท่าน จงยังประโยชน์ให้สำเร็จเถิด)"
สิ้นคำของท่านเศรษฐี ก็มีเสียงร้องตะโกนเรียกมาจากหน้าประตูบ้าน
"มหาเสฏฐิ ! อาคจฺฉถ (ท่านมหาเศรษฐี มาเถิด), มยัง โว อิณัคคาหิกา (พวกเรา คือผู้ถือหนี้<ลูกหนี้>ของท่าน"
อนาถบิณฑิกเศรษฐี หันมามองเอกแว่บหนึ่งด้วยความทึ่ง ก่อนจะตะโกนตอบและลุกขึ้นเตรียมเดินลงบันได
"อาคเมถะ ตาวะ (รอก่อนนะ) อาคมิสสามหัง (ข้าพเจ้ากำลังมา)"
หน้าบ้านของท่านเศรษฐี มีชายวัยกลางคนจนถึงวัยชราสิบคน แต่ละคนมาจากคนละที่ละแห่ง และมีผู้ติดตามมาด้วยคนหนึ่งบ้าง สองคนบ้าง สามคนบ้าง รวมคนทั้งหมดเกือบสามสิบคน แต่ทุกคนดูท่าทางเป็นมิตร และคนสิบคนนั้น แต่ละคนดูเหมือนว่าจะรู้จักท่านเศรษฐีเป็นอย่างดี
ท่านเศรษฐีเชื้อเชิญทุกคนให้เข้าไปในบ้าน พาไปยังห้องรับแขกซึ่งโอ่งโถงกว้างขวาง
และแล้วท่านเศรษฐีก็ได้ทราบว่า บุคคลทั้งสิบซึ่งเป็นลูกหนี้ของตนทั้งหมด นำเงินและทรัพย์สินอื่นๆรวมกันมาใช้คืนให้ เฉพาะเงินนั้น ทั้งหมดรวมกันได้ 18 กหาปณะ
"มยัง ทะสะปิ (พวกเรา ทั้งสิบคน) สุปิเน เอกัง เทวตัง ปสสิมฺหา (เห็นเทวดาองค์หนึ่ง ในความฝัน)"
"กทา ตุมฺเห (เมื่อไรกัน ท่านทั้งหลาย)?"
"หิยฺโย รัตติง (เมื่อคืนวันวาน)"
"ตุมฺเห ทสปิ (พวกท่าน ทั้งสิบคนหรือ) ?"
"อามะ มหาเสฏฐิ (ใช่ ท่านมหาเศรษฐี)"
"เอกัง เทวตัง ปัสสิตถะ (เห็นเทวดา องค์เดียวกัน), สา ปน กินติ อโวจะ (แล้ว เขาพูดว่าไง) ?"
"สา โน เอเกกัง เอตะทโวจะ (เขาพูดกะเราคนหนึ่งๆ ซึ่งคำนี้ว่า) อนาถะปิณฑิโก เสฏฺฐี (เศรษฐีชื่อว่าอนาถะ) อิทานิ สะยัง อนาโถ เอวะ! บัดนี้ ไร้ที่พึ่งเสียเองแล้ว) ตุมฺเห ธะนะวันโตตถะ (พวกท่าน เป็นผู้มีทรัพย์แล้ว) ตัสสะ กหาปเณหิ (ด้วยกหาปณะทั้งหลาย ของเขา) เอกเกหิ โว คหิเตหิ (ที่พวกท่านแต่ละคนเอาของเขามา) ตุมฺเห ตัสสะ อิณัคคาหกา สมานา (พวกท่าน เป็นหนี้เขาอยู่) คจฺฉะ อัตตโน อิณํ โสธาเปเถะ (จงไป จงชำระหนี้ของตนเสียเถิด)"
"อนัจฉะริยัง (น่าอัศจรรย์มาก)!" ชายอีกคนหนึ่งกล่าวเสริม " สัพเพ มยัง (พวกเราทุกคน) ...สา เทวตา (เทวดานั้น) ยัง ปุคคลัง ยถา วทิ (พูดกับบุคคลใด อย่างไร) ตัง อิตรัง ตถาเอวะ วุตตัง สุณิมหา (ก็ได้ฟังคำที่เขาพูดกะอีกคนหนึ่งนั้น อย่างนั้นนั่นแล"
โดยสรุปก็คือ ลูกหนี้ทุกคน ได้พบกับเทวดาในความฝัน และเทวดานั้นบอกให้แต่ละคนมาใช้หนี้คืนให้แก่ท่านเศรษฐี
บัดนี้ ท่านเศรษฐี ได้เงินคืนมา 1 ใน 3 ส่วนแล้ว!
อาคันตุกะทั้ง 10 คนพร้อมทั้งผู้ติดตาม ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีด้วยห้องพักตามสถานะที่เหมาะสมของแต่ละคน ทุกคนดื่มกินกันในงานเลี้ยงที่ท่านเศรษฐีจัดให้ในคืนนั้น
กัปตันวันชนะ และลูกน้องทั้ง 5 ได้รับเชิญให้ร่วมด้วย ในฐานะเป็น "แขกพิเศษ" ไม่ใช่เป็นคนรับใช้ทั่วไปแบบธรรมดา ซึ่งคนใช้ชายหญิงทุกคนต่างก็เข้าใจและทราบดี เพราะเคยเห็น "สิ่งมหัศจรรย์" กันมาแล้ว
คืนนั้น หลังจากอาคันตุกะทั้งสิบและผู้ติดตามเข้านอนกันหมดแล้ว กัปตันวันชนะและเอก เดินเข้ามาหาท่านเศรษฐีที่ระเบียงด้านนอก
"สามิ (นายท่านขอรับ)"
"กึง เอกะ (อะไรหรือ ท่านเอก) ?"
"อิมาย รัตติยา (ในคืนนี้) เอกัง วิเสสะ การะณัง ปุนะ อุปปันนัง ภวิสสะติ มัญเญ (อาจจะ มีเหตุพิเศษ บังเกิดขึ้นอีก)"
"กึง นาเมตัง การะณัง (เหตุอะไรกันเล่า) ? "
"นาหันทานิ ชานามิ สามิ (กระผมยังไม่ทราบในตอนนี้ขอรับ นายท่าน) มยัมปะนะ อิธะ พหิ ปัสสิสสามะ (แต่พวกเรา จักรอดูกัน ข้างนอกนี่)"
"เตนะหิ อะหัมปิ ปัสสิสสามิ (ถ้าอย่างนั้น ข้าพเจ้า ก็จักดูบ้าง)" ว่าแล้ว ท่านเศรษฐีก็แหงนหน้าขึ้นมองฟ้า
"นะภายะ มัชเฌ พหู ตารา สัญฉัณณา (ท่ามกลางแห่งท้องฟ้า ดวงดาว ดารดาษ) อภิรูปา รมณียา (งดงาม น่ารื่มรมณ์)"
และในขณะที่กำลังชมความงามของแสงดาวในยามราตรีนั้นเอง ท่านเศรษฐีก็ยกมือขึ้นชี้ทางทิศตะวันออก
"ปัสสะถะ ตุมเห! (พวกท่าน จงดูเถิด) เอเต กา รังสิโย! (รัศมีทั้งหลาย อะไรนั่น ?)"
บนฟ้านั้น ปรากฏแสงสว่างเป็นกลุ่มๆ แล้วแสงสว่างทั้งหมดก็พุ่งเข้าไปยังห้องเก็บทรัพย์สินของท่านเศรษฐี ซึ่งบัดนี้เป็นห้องเปล่า
แสงสว่างเจิดจ้าส่องลอดฝาบ้านบ้าง ช่องรอยแตกต่างๆบ้าง หน้าต่างที่เปิดไว้บ้าง ครู่หนึ่ง ก็พุ่งออกมาจากห้องนั้น หายลับไปบนฟากฟ้าทิศตะวันออก ทิศเดิมที่แสงเหล่านั้นปรากฏ
ท่านเศรษฐียืนตะลึง หันมามองหน้าเอกซึ่งกำลังยืนยิ้มอยู่
"กระผมคิดว่า ในห้องเก็บสมบัติของท่าน ตอนนี้ คงจะเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติแล้วละขอรับ นายท่าน"
"เอวัง สัปปุริสะ (อย่างนั้นหรือ ท่านสัตบุรุษ) ?" ท่านเศรษฐีเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น
"เอวัง ภวิตัพพัง สามิ (พึงเป็นเช่นนั้นขอรับ)"
"เตนะหิ ปัสสิตุง คจฉามะ (ถ้าอย่างนั้น พวกเรา ไปดูกันเถิด)"
ท่านเศรษฐีเดินนำหน้า อาคันตุกะผู้รับใช้พิเศษทั้ง 6 เดินตามหลัง
ครั้นเดินมาถึงประตูห้อง ท่านเศรษฐี เอื้อมมือแตะ "โคมไฟมหัศจรรย์" ซึ่งกัปตันติดตั้งไว้ให้
แสงไฟสีขาวนวลสว่างไปทั่ว และท่านเศรษฐีก็ถึงกับยกมือทาบอก อุทานออกมาอย่างปลาบปลื้มและประหลาดใจ
"อะโห....มัยหัง กหาปณา! (โอ เงินกหาปณะของข้าพเจ้า!")
ห้องนั้นทั้งห้อง ซึ่งมองดูกว้างใหญ่พอๆกับพื้นที่ทั้งหมดในห้องสวีทสองชั้นของโรงแรมใหญ่ระดับห้าดาว บัดนี้เต็มไปด้วยหีบบรรจุเงินกหาปณะอัดจนล้นในแต่ละหีบ กองเรียงรายซ้อนกันตั้งแต่พื้นจนจรดเพดาน และยังปะปนด้วยแก้วแหวนเงินทองต่างๆ ส่องประกายสีทองวูบวาบทั่วไปหมด!
"อัจฉะริยัง....อัจฉะริยัง..." ท่านเศรษฐีพึมพำไม่ขาดปาก
"ธมฺโม หะเว รกฺขติ ธมฺมจารึ (พระธรรมแล ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม)" เอกกล่าวพลางจับมือข้างขวาของท่านเศรษฐีมาบีบ "สตฺถารา เอวัง วุตตัง (พระศาสดา ตรัสไว้อย่างนี้) สุตะปุพพัง โว (ท่านเคยฟังมาก่อนไหม)?"
"อาม เอวัมเม สุตัง (ใช่ ข้าพเจ้าก็เคยฟังมาก่อนอย่างนี้)"
"เอสา เทวตา (เทวดานั่น) อัตตโน อปราธัสสะ ทัณฑัง อกาสิ (ได้ทำการไถ่โทษ ต่อความผิดของตนแล้ว) ตโต สา โว ขมาเปสสะติ (ต่อไป เขาจะมาขอโทษท่าน)"
"อปรัง ฐานัง (สถานที่อื่น) ยัตถะ เม สัมปัตติ นัฏฐา อัตถิ (ที่ซึ่งสมัติของข้าพเจ้าหายไป ยังมีอยู่) มะยัง ตัตถะ คัจฉามะ (พวกเราไปที่นั่นกันเถอะ)"
กล่าวจบ ท่านเศรษฐีก็เดินถือโคมไฟลงจากเรือน มุ่งหน้าไปยังริมฝั่งแม่น้ำ โดยมีกัปตันและลูกน้องทั้ง 5 เดินตามไปติดๆ
เมื่อใกล้จะถึงริมฝั่ง ทุกคนมองเห็นคลื่นทะเลหลายลูก ซัดกระหน่ำสิ่งของต่างๆขึ้นมากองอยู่บนหาดทรายเกลื่อนกลาดไปหมด นานราวครึ่งชั่วโมง กว่าคลื่นจะสงบ ระดับน้ำในแม่น้ำลดลง บนหาดทรายมีแต่กองทรัพย์สมบัติคือหีบกหาปณะและของมีค่าอื่นๆมากมายก่ายกอง
"คราวนี้ เห็นที ทรัพย์สมบัติของท่านเศรษฐี คงจะกลับคืนมาเป็นจำนวนมากเท่าเดิมแล้ว" กัปตันกล่าว
เอกแปลคำพูดของเขาให้ท่านเศรษฐีฟัง แล้วท่านจึงกล่าวตอบ
"ข้าพเจ้า คงต้องเรียกเหล่าบริวาร ให้มาช่วยกันขนทรัพย์สมบัติเหล่านี้กลับเข้าบ้าน"
(มีต่อครับ)