⚡️💦⚡️ หลงกาล Episode-19 "ท่องพุทธกาล-5" ⚡️💦⚡️

กระทู้คำถาม


หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์เกี่ยวกับความตายของพระเจ้าวิฑูฑภะและกองทัพพวกที่เคยสร้างบาปกรรมไว้ในปางก่อนไปแล้ว กัปตันวันชนะและลูกทีมก็ออกเดินทางท่องเที่ยวไปในแคว้นต่างๆต่อไป  จนกระทั่งวันหนึ่ง ทุกคนย้อนกลับมาสู่กรุงสาวัตถีอีกครั้ง โดยคาดหมายว่าจะกลับไปเยี่ยมอนาถบิณฑิกเศรษฐีอีกสักครา ก่อนจะอำลาแล้วเดินทางไปที่อื่นต่อ...

ผู้มาจากอนาคตกาลทั้ง 6 ในคราบของชาวเมืองสมัยนั้น เดินทางมาถึงหน้าบ้านหลังใหญ่สองหลังซึ่งสร้างขึ้นมาดูคล้ายคลึงกัน มีลานดินกว้างใหญ่กั้นตรงกลาง และกลางลานดินนั้น มีชายสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ คนหนึ่งกำลังประกอบล้อเกวียนในขณะที่อีกคนหนึ่งก็ยืนพูดคุยอยู่ข้างๆ บริเวณหน้าบ้านนั้นจัดตั้งหม้อน้ำดื่มพร้อมกระบวยไว้สำหรับคนผู้สัญจรไปมาตักดื่ม

"ที่นี่ดูกว้างขวางนะ เอก" กัปตันเอ่ยขึ้นหลังจากหยุดเดิน "มีคนอยู่ข้างในรั้วบ้านด้วยสองคน เอกลองเจรจาขอน้ำดื่มดูหน่อย แล้วลองถามเขาดูว่าพอจะมีที่พักให้พวกเราบ้างไหม"

"ครับผม กัปตัน"

เอกพยักหน้า แล้วเดินผ่านประตูซึ่งเปิดอยู่เข้าไปข้างใน แล้วเริ่มเจรจา

"อุโภ สหายกา (สหายทั้งสอง)"

คนทั้งสองหันมามอง แล้วคนที่กำลังประกอบล้อเกวียนอยู่ก็เอ่ยถาม

"กึง สหายกะ (อะไรหรือสหาย?)"

"อหัง สหาเยหิ สัทธึง อัทธิกา (ฉันกับเพื่อนทั้งหลาย เป็นคนเดินทางไกล) โถกัง อุทะกัง ปิวิตุกามา (ใคร่จะดื่มน้ำสักหน่อย)"

"สุเขเนวะ ปิวะถะ ตุมเห (พวกท่าน ดื่มตามสบายเลย), อุทะกัง เม ปุเรเคหัง ฐะปิตัง (น้ำข้าพเจ้าตั้งไว้แล้วที่หน้าบ้าน)"

"สุมะโนสิ ตวัง (ท่านเป็นคนใจดี) เตนะหิ มะยัง  ตาวะ อุทะกัง ปิวามะ (ถ้าเช่นนั้น พวกข้าพเจ้าขอดื่มน้ำก่อน)"

ชายคนนั้นพยักหน้าให้ด้วยยิ้มอย่างมีไมตรีจิต

เอกก็ยิ้มและก้มหัวให้นิดหนึ่ง แล้วเดินออกไปบอกกัปตันและเพื่อนๆ

"พวกเราดื่มน้ำที่เขาตั้งไว้หน้าบ้านได้ตามสบายครับ เขาอนุญาตแล้ว"

หลังจากทุกคนดื่มน้ำดื่มท่ากันเรียบร้อยแล้ว เอกก็พาทุกคนเข้าไปอีกครั้ง แล้วเอ่ยถามชายซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเจ้าของบ้าน

"สหายกะ กิง ตะวะ เคเห ตุจฉะคัพโภ อัตถิ อุทาหุ โน ? (สหาย ในบ้านของท่าน มีห้องว่างหรือไม่ ?)"

"อัตถิ สหายกา (มี สหายทั้งหลาย) กิง ตุมเห อิธะ วะสะถะ (พวกท่านจะอยู่ที่นี่หรือ ?)"

"อามะ สหายกะ (ใช่ สหาย), กิตตะกัง ปะนะ เอกะรัตติง วะสะนัง อัคฆะติ ? (ว่าแต่ พักอยู่คืนหนึ่ง ราคาประมาณเท่าไร ?)"

ชายคนนั้นมองหน้าเอกและแต่ละคนที่มาด้วย แล้วจึงตอบ

"วะสะนัสสะ มูลัง นัตถิ (มูลค่าสำหรับการพักอยู่ ไม่มีดอก) ตุมเห สัพเพ วะ กัลยาณะชะนา วิยะ (พวกท่านดูเป็นคนดี) ตัสมา อหัง โว อิธะ ตุจฉัง วสาเปมิ (ฉะนั้น ข้าพเจ้าให้พวกท่านอยู่ที่นี่เปล่าๆ)"

" นะ ยุตตัง สหายกะ (ไม่สมควร สหาย), อัมเหหิ เต กิญจิ วะสะนะมูลัง ทาตุง วัฏฏะติ (พวกข้าพเจ้า ควรให้ค่าพักแก่ท่านบ้าง)" ว่าแล้วเอกก็ล้วงถุงใส่เงินกหาปณะออกมาจากอกเสื้อแล้วนับเงินให้สิบกหาปณะส่งให้เขา

"ทะสะ กะหาปะณานิ ปโหนะกานิ มัญเญ (สิบกหาปณะ คงจะเพียงพอ) คัณหาหิ สหายกะ (โปรดรับไว้เถิดสหาย)"

"อะโห...เอกะรัตติงเยวะ (โอ...แค่คืนเดียวเท่านั้น) อิมานิ ทะสะ กะหาปะณานิ อติพหูนิ สหายะ (สิบกหาปณะเหล่านี้ มากเกินไป สหาย)"

"โหตุ สหายกะ (ช่างเถิดน่ะสหาย) คัณหะ (รับไปเถิด) โน เจ อมเหหิ นะ สกกา อิธะ วสิตุง (ถ้าท่านไม่รับไซร้ พวกข้าพเจ้า ก็ไม่อาจพักอยู่ที่นี่)"

ชายคนนั้นยิ้ม ก่อนจะรับเงินไว้

"เอวัง ตวัง ยาจันโต (เมื่อท่านขอร้องอย่างนี้) เตนะหิ ตุมเห สัพเพวะ มัยหัง วิเสสะอาคันตุกา โหถะ (ถ้าอย่างนั้น พวกท่านก็จงเป็นแขกพิเศษของข้าพเจ้าเถิด)"

เจ้าของบ้านร้องเรียกบริวารให้ยกโต๊ะและเก้าอี้มาจัดตั้งที่กลางลานดินนั้น และสั่งให้จัดหาอาหารว่างและน้ำผลไม้มารับรองแขกทั้ง 6 รวมทั้งสหายของเขาอีกคนหนึ่งด้วย จากนั้นทุกคนจึงแนะนำตัวให้รู้จักซึ่งกันและกัน โดยทางอาคันตุกะจากอนาคตปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเอกตามเคย

หลังจากเอกแนะนำฝ่ายตนเองหมดทุกคนแล้ว ทางเจ้าของบ้านก็แนะนำตนเองกับเพื่อนบ้าง

"ข้าพเจ้านามว่า สิริคุตต์ ส่วนสหายของข้าพเจ้าคนนี้ นามว่า ครหทินน์ พวกเรา เป็นสหายกันมานานแล้ว"

เอกเบิกตากว้างขึ้นนิดหนึ่ง รู้สึกตื่นเต้น เพราะรู้ดีว่า เขา กัปตัน และเพื่อนๆ กำลังจะได้เห็นเหตุการณ์สำคัญอีกเรื่องหนึ่งเข้าแล้ว

สิริคุตต์พูดคุยกับเขาต่อไป

"พวกท่านมาแต่ที่ใดกัน ?"

"พวกข้าพเจ้า มาจากนอกชมพูทวีป เพื่อเข้ามาท่องเที่ยวในชมพูทวีปนี้ และหาโอกาสไปฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"

"อ้อ พระสมณะโคดมนั่นน่ะหรือ ?" ชายชื่อครหทินน์ถาม

"ใช่แล้ว ท่านครหทินน์"

เขาฟังแล้วส่ายหน้า ทำหน้าเบ้

เอกแอบยิ้มที่มุมปาก เพราะรู้แล้วว่า ครหทินน์เป็นมิจฉาทิฏฐิ

"พวกท่านนี่ เป็นเช่นกับสิริคุตต์สหายข้าพเจ้าไม่มีผิดทีเดียว!" ครหทินน์กล่าวต่อไป "ใฝ่ใจที่จะหาพระสมณะโคดมตลอดกาลทุกเมื่อแท้!"

สิริคุตต์ยิ้ม ก่อนจะหันมาพูดกับเอกและชาวคณะ

"ครหทินน์นี่ มักจะกล่าวกะข้าพเจ้าอยู่เนืองๆ เวลามาหาข้าพเจ้า หรือเวลาที่อยู่ด้วยกัน ว่า 'ท่านเข้าไปหาพระสมณะโคดมทำไม ท่านไปแล้วจักได้อะไรมาจากสำนักของพระองค์"

"ก็ไม่จริงหรือไรเล่า ?" ครหทินน์โพล่งขึ้นมา "ท่านเข้าไปหาพระคุณเจ้าทั้งหลายของข้าพเจ้า และถวายทานแก่ท่านเหล่านั้นบ้าง จะไม่ควรหรือ ?"

สิริคุตต์ได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา แล้วชักชวนสนทนาเรื่องอื่นต่อไป....

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


สิริคุตต์ รู้สึกถูกชะตากับเอก และอาคันตุกะคนอื่นๆมาก เขาจึงขอให้ทุกคนพักอาศัยอยู่กับตนต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง ซึ่งทุกคนก็ยินดี ในขณะที่ครหทินน์ผู้เป็นสหาย ก็ยังเทียวไล้เทียวขื่อมาเยี่ยมแทบทุกวัน และทุกครั้งที่มาหา ก็พยายามชักชวนสิริคุตต์และสหายอาคันตุกะทุกคนไปหา "พระคุณเจ้า" ของตน ซึ่งเป็นนักบวชพวกหนึ่งที่เรียกกันว่า นิครนถ์ (นุ่งห่มเหมือนชีปะขาว) เป็นประจำ

วันหนึ่ง ครหทินน์มาหาสิริคุตต์ที่บ้านอีก และชักชวนหว่านล้อมให้สิริคุตต์ไปหาพวกนิครนถ์ที่ตนเคารพนับถือตามเคย

ขณะที่ทั้งสองและอาคันตุกะทั้ง 6 กำลังร่วมโต๊ะอาหารกลางวันกัน และพูดคุยกันไป สิริคุตต์ก็เอ่ยขึ้นมา

"ครหทินน์ สหายเอ๋ย! ท่านขยันมาหาข้าพเจ้า และพูดกะข้าพเจ้าในทุกที่ๆข้าพเจ้ายืนหรือนั่งเป็นต้นอย่างนี้ว่า 'ท่านไปหาพระสมณะโคดมแล้วจักได้อะไร ท่านไปหาพระคุณเจ้าของข้าพเจ้า ถวายทานแก่ท่านเหล่านั้นจะมิดีกว่าหรือ' ดังนี้อยู่ร่ำไป, เอาเถิด ท่านจงบอกข้าพเจ้าก่อน พระคุณเจ้าทั้งหลายของท่าน รู้เรื่องอะไรบ้าง ?"

"อะโห...." ครหทินน์ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ อุทานออกมาด้วยเสียงอันดัง แล้วเริ่มบรรยายสรรพคุณ "พระคุณเจ้า" ที่ตนเคารพนับถือทันที "เจ้านาย...ท่านอย่าได้กล่าวเช่นนี้! ขึ้นชื่อว่าสิ่งใด ที่พระคุณเจ้าทั้งหลายผู้เป็นที่เคารพนับถือของข้าพเจ้าจะไม่รู้ หามีไม่!  พระคุณเจ้าเหล่านั้น รู้หมด ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ในอดีต ปัจจุบัน หรือแม้อนาคต รู้ทั้งกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมของชนทั้งหลาย รู้ทั้งเรื่องที่สมควรและไม่สมควรทั้งหลายทั้งปวงว่า จักมีเหตุการณ์นี้ จักไม่มีเหตุการณ์นี้"

"ท่านบอกว่า พระคุณเจ้าเหล่านั้น รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ท่านกล่าวอย่างนั้นใช่หรือไม่ ?" สิริคุตต์ถามย้ำ

"ใช่ ข้าพเจ้ากล่าวอย่างนั้น" ครหทินน์กล่าวยืนยันหนักแน่น

สิริคุตพยักหน้า แล้วกล่าวว่า "ถ้าเป็นอย่างนั้น ท่านน่าจะบอกให้ข้าพเจ้าทราบอย่างนี้เสียแต่ต้น กาารที่ท่านไม่แจ้งเนื้อความเช่นนี้แก่ข้าพเจ้ามานานถึงเพียงนี้ นับว่าทำกรรมหนักหนาสาหัสทีเดียว! เอาเถิด! วันนี้ ข้าพเจ้า ได้ทราบถึงอานุภาพแห่งญาณของพระคุณเจ้าเหล่านั้นจากปากของท่านแล้ว ไปเถิด สหาย! ไปนิมนต์พระคุณเจ้าเหล่านั้น เพื่อให้มาฉันภัตตาหารเช้าที่บ้านของข้าพเจ้านี่ ในวันพรุ่งนี้เลย!"

ครหทินน์ยิ้มร่า รู้สึกดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง รีบลุกพรวดพราดขึ้นมายืนจับมือของสหายเกาะกุมไว้

"ท่านคิดประเสริฐแล้ว ข้าพเจ้า จะไปกราบนิมนต์พระคุณเจ้าทั้งหลาย ณ บัดนี้! แล้วจะมาแจ้งข่าวให้ทราบโดยเร็ว!"

แล้วเขาก็ปล่อยมือสหาย รีบผลุนผลันออกไปจากบ้าน เดินจนเกือบจะเหมือนวิ่ง มุ่งหน้าไปยังสำนักเหล่านิครนถ์ทั้งหลาย

สิริคุตต์มองตามพลางส่ายหน้าและยิ้ม

เอกเห็นอาการนั้นแล้วก็ยิ้มตามและกล่าว

"ท่านคงมีแผนการณ์พิเศษ ในเรื่องนี้เป็นแน่"

สิริคุตต์หันมายิ้มกว้างให้ และถาม

"ท่านกล่าว ราวกับว่าทราบความในใจข้าพเจ้า ?"

"ข้าพเจ้า เพียงคาดการณ์ว่า ท่านจักทำให้เขารู้ว่า นิครนถ์เหล่านั้นหามีคุณใดๆไม่"

"ท่านรู้จักพวกนิครนถ์ด้วยหรือ ?" เขาถามด้วยความแปลกใจ

"ก็พอรู้บ้าง สหาย" เอกตอบยิ้มๆ

"ถ้าอย่างนั้น ก็เป็นการดียิ่ง! พวกเรา จะจัดสถานที่ต้อนรับนิครนถ์เหล่านั้นอย่างดีทีเดียว!" สิริคุตต์กล่าวและยิ้มกริ่ม

นิวาสถานของสิริคุตต์นั้นกว้างขวางพอสมควร เขาสั่งบริวารให้ขุดหลุมลึกท่วมหัว ยาวไปทั้งสองข้างในระหว่างเรือนทั้งสองหลัง แล้วสั่งให้ตักเอาอุจจาระเหลวมาเทใส่จนเต็ม  แล้วให้ตอกหลักไว้ที่ปลายสุดทั้งสองข้างภายนอกหลุม ให้ผูกเชือกมัดไว้ที่หลักเหล่านั้น ให้ตั้งเท้าหน้าของอาสนะที่นั่งทุกตัวไว้ข้างบนหลุม และให้ตั้งเท้าหลังของอาสนะที่นั่งทุกตัวไว้บนเชือก โดยคาดหมายไว้ว่า ในเวลาที่พวกนิครนถ์นั่งลงเท่านั้น ก็จักหัวคะมำตกลงไป

จากนั้น สิริคุตต์สั่งให้บริวารปูลาดพรมไว้บนอาสนะที่นั่งทุกที่ โดยไม่ให้หลุมปรากฏ แล้วสั่งบริวารให้ล้างตุ่มใบใหญ่ๆ เสร็จแล้วให้ผูกปากตุ่มเหล่านั้นด้วยใบกล้วยและผ้าเก่าๆ ทำให้ด้านนอกตุ่มเหล่านั้นเปรอะเปื้อนด้วยเมล็ดข้าวต้ม ข้าวสวย เนยใส น้ำอ้อย และขนม แล้วจึงให้ตั้งไว้หลังเรือน

ฝ่ายครหทินน์ รีบไปหาสิริคุตต์ในเวลาตั้งแต่ไก่โห่ แล้วถามว่า "ท่านจัดเตรียมเครื่องสักการะสำหรับพระคุณเจ้าทั้งหลายแล้วหรือ ?"

"เออน่ะ สหาย" สิริคุตต์ตอบ "ข้าพเจ้าจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว"

"แล้วเครื่องสักการะเหล่านั้น อยู่ที่ไหนเล่า ?" ครหทินน์ถามพลางมองหา

"ข้าวต้ม ในตุ่มมากมายหลายใบ ประมาณเท่านี้, ข้าวสวยก็มีในตุ่มหลายใบ เนยใส น้ำอ้อย ขนมต่างๆก็มีในตุ่มหลายใบประมาณเท่านี้ อาสนะก็ปูลาดไว้เรียบร้อยแล้ว"

"สาธุ" ครหทินน์กล่าวแล้วก็เดินจากไป

พอครหทินน์เดินจากไปแล้ว พวกนิครนถ์ประมาณห้าร้อยคนก็พากันมาถึง

สิริคุตต์ออกจากเรือน ทรุดตัวลงไหว้พวกนิครนถ์ด้วยท่าเบญจางคประดิษฐ์แล้วก็ลุกขึ้นยืนพนมมืออยู่เบื้องหน้าของนิครนถ์เหล่านั้น แล้วตั้งจิตอธิษฐาน

"เขาว่า พวกท่านรู้เหตุการณ์ทุกอย่างต่างๆ เป็นต้นว่าเหตุการณ์ในอดีต อุปัฏฐากของพวกท่านบอกแก่ข้าพเจ้าเช่นนี้ ถ้าพวกท่านรู้เหตุการณ์ทุกอย่างจริงๆแล้วละก็ พวกท่านอย่าเข้าไปสู่เรือนของข้าพเจ้า เพราะว่า เมื่อพวกท่านเข้าไปสู่เรือนของข้าพเจ้าแล้ว ข้าวต้มก็ไม่มี อาหารเช่นข้าวสวยก็ไม่มี, แต่ถ้าพวกท่านมิได้รู้เหตุอันใด ก็จงเข้าไปเถิด ข้าพเจ้าทำให้พวกท่านตกลงไปในหลุมอุจจาระนั่นแล้วก็จักให้พวกบริวารข่มเหงย่ำยีพวกท่าน!"  

ครั้นนึกอธิษฐานอย่างนั้นเสร็จแล้ว  จึงให้สัญญาณมือแก่พวกบุรุษ ซึ่งได้ซักซ้อมให้รู้กันแล้วว่า เมื่อรู้ว่านิครนถ์เหล่านั้นจะนั่ง ให้ยืนอยู่ข้างหลัง ดึงเครื่องปูลาดบนอาสนะทั้งหลายออกเสีย, อาสนะเหล่านั้นอย่าได้แปดเปื้อนด้วยของสกปรกเลย...

แล้วสิริคุตต์ก็บอกพวกนิครนถ์ว่า "นิมนต์ท่านทั้งหลายมาทางนี้เถิดขอรับ"

พวกนิครนถ์ก็พากันเดินเข้าไป...และเริ่มทำท่าจะนั่งบนอาสนะที่เขาปูไว้

บัดนั้น คนทั้งหลาย ร้องบอกพวกเขาว่า "ขอจงยืนรอก่อนนะขอรับ,อย่าเพิ่งนั่ง"

พวกนิครนถ์ถาม "ทำไมเล่า ?"

"พระคุณเจ้าทั้งหลาย เข้าสู่เรือนของข้าพเจ้าแล้ว ควรจะทราบธรรมเนียมปฏิบัติก่อน แล้วค่อยนั่งลงขอรับ"

"ธรรมเนียมปฏิบัติอย่างไรเล่า ?" นิครนถ์คนหนึ่งกล่าวถาม

"พระคุณเจ้าทุกรูป ยืนอยู่ใกล้ๆอาสนะของตนๆแล้ว นั่งลงพร้อมกัน จึงจะสมควรขอรับ จะเป็นภาพที่น่าเลื่อมใสสำหรับคนทั้งหลายนะขอรับ"

ความจริงแล้ว สิริคุตต์สั่งบริวารให้จัดเตรียมเช่นนี้ ได้คิดอธิษฐานในใจว่า เมื่อนิครนถ์ผู้หนึ่งตกลงไปในหลุมซึ่งเต็มไปด้วยอุจจาระแล้ว พวกที่เหลืออย่านั่ง

"ก็ได้!" พวกนิครนถ์ กล่าวตอบพร้อมกัน

(มีต่อครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่