เปลวพิศวาส (บทที่ 3) โดย มานัส

บทที่ 3


ภวัตไม่เคยชอบหลานสะใภ้ไม่ว่าตอนยังมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้ว

ณัฐมนมาจากครอบครัวที่มีฐานะแสนธรรมดาแค่พนักงานบัญชีเล็กๆ ของโรงแรมในกรุงเทพฯ แล้วมาแต่งงานกับเตชน์

ไม่คู่ควรไม่เหมาะสม ต่างจากลูกสาวเจ้าของโรงสีใหญ่ที่เขาหมายมั่นปั้นมือให้หลานชายคนโตเมื่อหลายปีก่อนคาดหวังให้เข้ามาช่วยแก้ปัญหาการเงินของครอบครัว ที่เขากับพี่ชายคนรอง…ก้าวพลาด

ปัญหาที่ไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้นเพราะเขากับพี่ชายคนรองสร้างมันจนเกินจะแก้ได้ ดีลเลอร์รถที่บุกเบิกโดยพี่ชายคนโตพ่อของเตชน์และตุลย์ ถูกยกเลิก เงินที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ก็เหลือจากการทยอยขายที่กงสีออกไป

ต่างจากธุรกิจของเตชน์นักจากร้านอาหารเล็กๆ ที่จงกลพี่สะใภ้ปั้นขึ้นมา เตชน์เข้ามาสานต่อ ขยายตัวอย่างเร็วกอบโกยรายได้มหาศาล จนเปิดผับ และเมื่อไม่กี่ปีก่อน สร้างโรงแรมกึ่งรีสอร์ทริมแม่น้ำแห่งนี้

โรงแรมที่เมื่อก่อนภวัตและกำธรพยายามเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง…วุ่นวาย

เตชน์…ยอมแต่มีขอบเขต

แต่ตุลย์กับณัฐมนไม่ยอม

‘นี่มันธุรกิจของพี่เตชน์เสี่ยงและสู้มาด้วยตัวเองไม่เกี่ยวกับกงสี’ตุลย์มักเตือนเสียงหนัก หากด้วยรอยยิ้มบางๆ ราวทีเล่นทีจริง ‘หนี้ที่แบก ก็ไม่เกี่ยวกับกงสี’

ที่สำคัญ…รายได้ปีละหลายสิบล้านก็ไม่เกี่ยวกับกงสีเช่นกัน

เตชน์กับณัฐมนว่าร้ายแต่ตุลย์ร้ายยิ่งกว่า เป็นหอกข้างแคร่ของอาทั้งสองตลอดเวลา

ไม่ยอมแม้แต่นิดเดียว

วันกลางสัปดาห์เช่นนี้ ภวัตรู้ว่าตุลย์อยู่กรุงเทพดังนั้นจึงเป็นการสะดวกที่เขาจะแวะมาหาผู้ช่วยผู้จัดการโรงแรม

“อีกสองอาทิตย์ล็อคห้องว่างให้ด้วยยี่สิบห้องและห้องสัมมนา เตรียมเสนอราคาพร้อมอาหารเช้า อาหารค่ำเพื่อนของฉันที่เป็นนายก อ.บ.ต. จะมาสัมมนาสามวันสองคืน เดี๋ยวลูกน้องเขาจะติดต่อมายังไงดูแลด้วย” ภวัตสั่ง ตบบ่าอีกฝ่าย ยื่นกระดาษใบเล็กให้ราวว่าทุกอย่างเป็นเรื่องปรกติ “ส่วนใบเสนอราคาทำตัวเลขสูงไว้ก็แล้วกันใบเสร็จเป็นอีกยอด ตามนี้นะ”

“แต่…”

“ฉันสั่งคุณจงกลก็อนุญาต” การอ้างเช่นนี้ทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าปฏิเสธ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ภวัตหรือกำธรทำเช่นนี้เงินส่วนต่างจากงบประมาณรัฐ ถูกแบ่งจากเจ้าหน้าที่ มาให้ภวัตและกำธรจะมีเหลือมาถึงพนักงานของเทวนิรมิตที่…ช่วย ก็แสนจะน้อยนิด

“แต่คุณตุลย์…”

“แม่เขาไม่ว่าแล้วเขาจะว่าได้ยังไง หุ้นของเตชน์ ต่อไปแม่เขาก็เข้ามาถือว่าแต่แม่ของตุ๊กตามาถึงหรือยัง”

“ครับอยู่ที่บ้านคุณเตชน์”

“ไปตามมาพบฉันที่ห้องประชุมของออฟฟิศโรงแรมนะ”

บ้านโน้น…ใครจะกล้าไปและยิ่งตำรวจไม่ได้กักสถานที่ไว้ก็ไม่มีคนเฝ้า

คนกล้ามีไม่กี่คนจะมีที่กล้าหนักสุดก็ตุลย์

กลางวันกลางคืน หรือแม้แต่นอนค้าง

มีอะไรบ้างในโลกที่มันกลัว

เพราะแม้แต่ความตายมันก็หนีรอดมาง่ายๆ

‘ยิงระยะเผาขนขนาดนั้นมันยังรอด ไอ้พวกนั้นบอกตำรวจว่า พอจะยิงหัว ปืนกลับยิงไม่ได้’ เขากับกำธรได้คุยเรื่องนี้กันหลายครั้ง

แต่ที่ทุกคนข้องใจ…

‘แล้วไอ้กลุ่มคนที่เข้ามาช่วยนั่นก็ไม่รู้ว่าใคร หรือมีจริงไหม ตำรวจบอกไม่พบร่องรอยคนอื่นแล้วไอ้พวกคนลงมือต่างก็ให้การเตลิดไปกันคนละทาง’

คำให้การของผู้ต้องสงสัยยังไม่นิ่งไม่ต่างจากสภาพจิตใจของพวกมัน

คืนนั้นมันเจอใคร…อะไร

และใคร…อะไรนั่นต้องการอะไร

หรือแค่ช่วยตุลย์เท่านั้น

นี่คือสิ่งที่ทั้งภวัตและกำธรพยายามหาคำตอบ




เสียงดนตรีด้านในของคืนวันพุธไม่ได้ดังเหมือนเช่นวันอื่นๆอาจจะเป็นเพราะคนน้อย บรรยากาศจึงสบายๆ พอมองเห็นว่าใครเป็นใครและเขาก็เห็นเอื้องคำที่ทำงานอยู่ด้านนอกแล้ว แต่ต้องแสร้งทำเป็นไม่เห็นเดินหลบมาที่โต๊ะเดิมติดริมแม่น้ำ

ให้พยายามไม่มองแต่ในสายตามักจับที่ผู้หญิงผมบ๊อบสีดำยาวระคอที่รวบขึ้นไปเป็นมวยเล็กๆ ข้างหลัง

เอื้องคำ…สวย

สวยจนเขาคิดไม่ถึงว่าจะสวยขนาดนี้

เมื่อหลายเดือนก่อน  ที่ธัญญาและเตชน์แนะนำว่าเธอเป็นหัวหน้าทีมพนักงานเสิร์ฟส่วนบาร์คนใหม่ของนิมมานตอนนั้นตุลย์แค่พยักหน้ารับรู้ ไม่สนใจที่จะจำหน้าหรือจำชื่อ

หลังจากนั้นได้พูดคุยกันไม่กี่ครั้งเมื่อเขาแวะมาที่ร้าน และเธอเข้ามาดูแล โดยที่เขาเองไม่ได้ใส่ใจหรือสนใจมากไปกว่าถามเรื่องราวสารทุกข์สุขดิบเช่นที่เขาทำกับพนักงานทุกคน

จะรู้อะไรเพิ่มเติมก็จากฟังสิ่งที่ธัญญาเล่า

ฟังก็แค่ผ่านๆไม่สนใจ จำได้บ้าง ลืมไปบ้าง แต่น่าแปลกที่บัดนี้เขากลับจำได้

‘ชีวิตนางน่าสงสารค่ะพี่ตุลย์เลิกกับสามี เพราะสามีนางนอกใจ ขนาดมีลูกด้วยกันสามคน พอมีแฟนใหม่คบกันไม่กี่เดือนก็เลิกอีก นี่เลยหนีมาพักใจที่ต่างต่างจังหวัด แต่โอ๊ย นางฮ๊อต มีเด็กมาจีบด้วยคร่าอายุอ่อนกว่าตั้งห้าปี’

เมื่อหลายเดือนก่อนโน้นหัวใจของเขาพะวงหาแต่มัทนาเพียงผู้เดียว ชีวิตและลมหายใจมีแต่ผู้หญิงคนนั้น

แม้แต่ในคืนนั้นที่เขาทะเลาะกับมัทนา คืนที่เขาเมาแทบไม่รู้เรื่อง แล้วกระทำสิ่งที่ผิดพลาด…A Mistake

หรือในคืนที่เขาแทบสิ้นลมหายใจเพราะกระสุนปืน

ในสติสุดท้ายเขาก็มีแต่มัทนา

ความคิดถึงเอื้องคำจะมีแวบเข้ามาแค่ให้รู้สึกผิดเพราะเขาทำผิด

เป็นความคิดที่เขาอยากจะลืมเสียด้วยซ้ำแต่ลืมไม่ได้

กรรมคือการกระทำและสิ่งที่เขาทำ มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง

ความผิดที่ได้กระทำไปแล้วถึงอย่างไรมันก็คือความผิด คือบาป ที่ต่อให้ทำบุญ ทำทาน ทำความดีมาเท่าไรแต่ก็ไม่สามารถลบล้างว่า…การกระทำผิดได้เกิดขึ้นแล้ว

กระทั่งในตอนนี้ความรู้สึกผิดยังคงเกาะในความคิดและหัวใจ บีบแน่นขึ้นเมื่อเอื้องคำเดินเข้ามาใบหน้าเธอประดับด้วยรอยยิ้มประหม่า ดวงตากว้างเรียวยาวราวเม็ดอัลมอนด์ฉายแววลังเล

“พอเรามา ก็หนีเข้าข้างในเชียวเหรอ”ตุลย์ไม่กล้ามองหน้าเธอตรงๆ เพราะเขายังคลายชนักที่ติดหลังไม่ได้ ลืมความผิดในคืนนั้นไม่ได้

เปล่าค่ะกลับไปดูบาร์ค่ะ” คำตอบสั้น “นี่ดื่มอะไรคะหรือว่าเป็นเหล้าที่ทางร้านติดค้างไว้อยู่”

“ก็งั้นแหละ”ประโยคนั้นกลั้วหัวเราะ จิบวิสกี้ชั้นดีสีเข้ม “แล้วกลับบ้านยังไง วันนี้คุณธัญญาไม่เข้านี่”

“ติดรถเพื่อน”หญิงสาวไม่ขยายความว่าเพื่อนคนไหนหรือใคร

“ก็ดี”ว่าแล้วเขาก็ทิ้งทุกอย่างไว้กับความเงียบ ดื่มน้ำเย็นจากแก้วตรงหน้าจนเอื้องคำขอตัวไปดูแลลูกค้าและบาร์ในส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบ

และอีกเกือบชั่วโมงกว่าเธอจะเดินกลับมาหาเขา

“แก้วที่เท่าไหร่แล้วคะ” รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้านวล ดวงตาเจิดจรัสเป็นประกายจับอยู่ที่เขา

“สองเองว่าแต่สักแก้วไหม”

“ไม่ค่ะ”

“ถ้าโควตาหมดแล้วแก้วนี้เราเลี้ยงเอง”

“ใจดีจัง”

“ปรกติก็ใจดีทำไม คิดว่าเราเป็นคนใจร้ายนักหรือไง”

“หายไปหลายเดือน”หางเสียงคล้ายตัดพ้อ

“เรายุ่งงานเยอะ แต่เงินไม่เดิน” ตุลย์ไม่ได้เสริมหรอกว่า ยังมีมัทนาที่เขาใช้เวลาให้ทั้งหมด จนกระทั่งราวว่าเวลาของเราหมดแล้ว

อีกทั้ง…เขามองเอื้องคำ

ดวงตาสีอำพันเข้มมองเธอตรงๆ ไม่ได้ชำเลือง หรือแอบมองเหมือนเช่นวันก่อน เพราะหลังจากเกิดเหตุการณ์คืนนั้นเขาก็ไม่แน่ใจว่าจะมองหน้าเธอได้อย่างไร

แต่คืนนี้การมองง่ายดายนัก ไม่ต่างจากความสนิทที่ก่อตัวอย่างรวดเร็ว

“ก็ดีแล้วที่กลับมาเค้าคิดถึงตัว” การสารภาพจากหญิงสาวแสนง่าย ดวงประสานราวพยายามหยั่งถึงก้นบึ้งของหัวใจ

หัวใจเจ็บเพียงนิดเดียวเมื่อเขาเลือกจะหันไปทางอื่น ก่อนเธอจะฝืนใจเปรย

“คิดว่าติดสาวกรุงเทพ”คนพูดย่นจมูกยิ้มละไม

“ไม่มี๊” ตุลย์ลากเสียง ส่ายหน้าปฏิเสธตาใส “ไม่มีใครที่ไหนทั้งสิ้น มีแต่งาน และเพื่อนๆ”

“เพื่อนอะไร”

“เพื่อนทั่วๆไป”

“ตัวเองเพื่อนเยอะเค้าไม่ค่อยมีเพื่อนหรอก”

“ก็หาเอา”

“กำลังหาๆอยู่” เอื้องคำกลั้วหัวเราะ

“นั่งสิ” เขาเชิญและอีกฝ่ายก็ไม่ลังเล

ถ้าจะลุกก็เพื่อไปเติมน้ำให้เขาหรือปรุงเหล้าผสมให้ตัวเอง

คืนนี้หญิงสาวหัวเราะบ่อยครั้งตุลย์ไม่ใช่แค่เป็นผู้ฟังที่ดี แต่เขาเข้าใจหาเรื่องคุยมีหลายเรื่องที่เขาหยิบยกมาเล่า และรู้จักซักถาม สร้างความเป็นกันเองได้ไม่ยาก

การที่เธอได้นั่งข้างๆเขา หรือดูแลเขาในฐานะหัวหน้าพนักงานเสิร์ฟก็ล้วนเป็นไปอย่างคุ้นเคยในหน้าที่และในความรู้สึก ทั้งๆ ที่…มันไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นแต่มันก็ทำให้อุ่นใจอย่างประหลาด

หญิงสาวอยากถ่ายรูปเขาเก็บไว้แต่ไม่กล้า ถ่ายแค่รูปเครื่องดื่มของเขาบนโต๊ะ เก็บเอาไว้ดู เวลาคิดถึง แล้วเอาไปลงในโซเชียลมีเดียส่วนตัว

รูปที่ไม่จำเป็นต้องมีcaption

มีแต่ความรู้สึกลึกๆในหัวใจเท่านั้น

บทสนทนาในคืนนี้ยังคงสนุกคุยกันจนเกือบลืมเวลา แต่เขาจำได้จึงเตือน

“กลับกันเถอะนี่เที่ยงคืนกว่าแล้ว”

“ขับไหวเหรอ”หญิงสาวมองอย่างชั่งใจ

“ไหวสิดื่มแต่น้ำเปล่าเกือบทั้งคืน”

“ค่อยสบายใจหน่อย”

และเธอก็สบายใจจริงๆ

สบายไม่ต่างจากลมที่พัดไอเย็นจากแม่น้ำ

แล้วยังใจที่แสนสบายเพราะมีเขาอยู่ข้างๆ ในสายตา แค่มือเอื้อม รับรู้ว่า ตุลย์เว้นระยะอย่างพอเหมาะ ปล่อยให้เธอเดินนำส่วนเขาก้าวตามมาข้างหลัง จนถึงรถยุโรปสีขาวคันใหม่ที่ผู้เป็นพี่ชายซื้อให้เมื่อไม่กี่เดือนก่อน

เพียงวางมือบนด้ามจับเขาก็สามารถเปิดประตูรถ แม้แต่การติดเครื่อง ก็แค่เพียงกดปุ่มเท่านั้นภายในรถที่กำลังเคลื่อนตัวออกช้าๆ มีแต่ความเงียบ จนหญิงสาวหันไปถามอย่างสงสัย

“เวลาเมาหนักๆแล้วทำยังไง”

“ถ้าต้องขับรถก็จะไม่ค่อยดื่ม”

“แสดงว่าปรกติดื่มหนัก”

“ไม่หรอก”

“แล้วทีคืนนั้น” เอื้องคำพยายามเท้าความ อยากรู้ว่าเขาจะพูด หรือรู้สึกอย่างไร

“ถ้าเมามากก็ค้างที่โรงแรมหรือกับพี่เตชน์ ถ้าที่กรุงเทพก็เรียกอูเบอร์ เรียกแกร็ป” การบอกไม่ยินดียินร้ายไม่แม้จะสนใจคำพูดก่อนหน้าของอีกฝ่าย

“นอนที่โรงแรมก็ยังกล้านอนห้องผีสิง” หญิงสาวกลั้วหัวเราะกลบเกลื่อนความรู้สึก

“ไม่เห็นมีอะไรทุกคนคิดไปเอง” คราวนี้เขาหันมามองเธอ “นอนหลับสนิทตลอดถ้ามีเสียงก็อาจจะจากห้องข้างๆ หรือหูแว่ว เดี๋ยวก็เงียบไป”

“ผีกลัว พระยมก็ไม่กล้า”คนพูดย่นจมูกยิ้มละไมให้เขาในความมืด

“คนน่ากลัวกว่าเยอะ  เรื่องคดียังไม่รู้ว่าจะสืบไปถึงคนจ้างวานได้ไหม” อยู่ๆ เขาก็เล่า“แต่ตอนนี้ตำรวจถ้าไม่สรุปว่าเราบงการ ก็อาจสรุปเป็นฆ่าชิงทรัพย์”

“ทำไมเขาต้องคิดว่าเป็นตัว”

“ก็เรารอดไงไอ้พวกนั้นก็ให้การแบบนั้น บอกว่าเราหวังมรดก โชคดีที่นอกจากปากเปล่าหลักฐานอื่นมันไม่มี”

“คุณเตชน์ไม่ได้ทำพินัยกรรม” เรื่องนี้แม้แต่คนอื่นเช่นเธอยังรู้ ไม่ต่างจากแทบทุกคนในจังหวัด

“ของๆพี่เตชน์ก็ต้องให้แม่ ส่วนที่เป็นของพี่ตุ๊กตาก็ต้องให้แม่เขา ถ้าเรา…” เหมือนว่าเขาคิดอะไรสักอย่างหากเลือกที่จะถอนหายใจแทน ผ่อนฝีเท้าจากคันเร่ง

“ถอนหายใจบ่อยๆระวังแก่เร็ว”

“แก่แล้วใกล้ตายก็แล้ว ตายทั้งเป็นก็แล้ว”

“อย่างตัวเนี่ยนะตายทั้งเป็น”ใครจะคิด…องค์ชายน้อยของเครือเทวนิรมิต มีตายทั้งเป็นกับเขาด้วยหรือ

มีแต่เขาที่ทำให้เธอทรมานใจทั้งเป็นตอนที่เขาหายหน้าไปหลังจากคืนนั้น…แล้วยังเมื่อเขาโดนยิง

“อือ”เสียงทุ้มลงแค่ในลำคอ ไม่ขยายความ แล้วจึงเปลี่ยนเรื่อง“แล้วทำไมไม่ทำงานในกรุงเทพฯ มาอยู่บ้านนอกทำไม”

“เบื่อ”ครั้งแรกที่คำตอบจากหญิงสาวสั้น สั้นที่สุดเท่าที่ได้คุยกันมา

“เบื่ออะไร”

“โน่น นี่นั่น”

“หลายอย่างนะ” รอยเสียงมีแววขัน

“ลองมาอยู่ที่นี่สถานที่ใหม่ๆ คนหน้าใหม่ๆ แล้วทำโน่น ทำนี่อะไรใหม่ๆ”

“ทำอะไรล่ะ เห็นแต่คลุกอยู่กับบาร์” เขาหันมายิ้ม แววตาเป็นประกาย

“เรียนนวด ลองไหมล่ะ”

“ก็ได้ งั้นนวดให้หน่อย”แขนซ้ายของเขาที่เท้าบนพนักพักแขนยื่นไปให้อีกฝ่าย “คลายทุกข์ยังไม่ได้แต่คลายเมื่อยได้ก็ยังดี”

“หมดทุกข์ก็ต้องนิพพาน”เอื้องคำกำมือเขาไว้ กดไปตามจุด รู้สึกว่ามือขององค์ชายน้อย นุ่ม สวย บอบบางกว่ามือเธอเสียอีกราวมือเทวดาเสียนั่น “ตราบใดที่ยังเวียนว่ายตายเกิดมันก็ต้องทุกข์”

“ดีนะนวดไป เทศน์ไปด้วยแถมนวดดีอีก ท่าจะหายเมื่อยเป็นแน่” เสียงหยอกล้อสนุก ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ดึงมือออกประคองรถยนต์สีขาวให้เลี้ยวเข้าซอยจากถนนพลุกพล่าน

เธอบอกให้เขาเลี้ยวเข้าไปในบริเวณที่จอดรถแคบๆของตึกพักอาศัยเก่าๆสูงห้าชั้น เอื้องคำมองเขา เห็นแต่ด้านข้างของใบหน้าที่มองตรงไปข้างหน้าเมื่อรถคันงามเข้าจอด

“ถึงแล้วไว้วันหลังเจอกกัน”

เอื้องคำพยักหน้ายังไม่ละสายตาจากเขา ยกมือไหว้ลวกๆ หันไปเตรียมเปิดประตูรถ หากเมื่อตัดสินใจแล้วจึงหันกลับ ยื่นหน้าหอมแก้มเขาอย่างรวดเร็ว…ชื่นใจ

“ขอบคุณค่ะ”




(ต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่