บทที่ 3
ภวัตไม่เคยชอบหลานสะใภ้ไม่ว่าตอนยังมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้ว
ณัฐมนมาจากครอบครัวที่มีฐานะแสนธรรมดาแค่พนักงานบัญชีเล็กๆ ของโรงแรมในกรุงเทพฯ แล้วมาแต่งงานกับเตชน์
ไม่คู่ควรไม่เหมาะสม ต่างจากลูกสาวเจ้าของโรงสีใหญ่ที่เขาหมายมั่นปั้นมือให้หลานชายคนโตเมื่อหลายปีก่อนคาดหวังให้เข้ามาช่วยแก้ปัญหาการเงินของครอบครัว ที่เขากับพี่ชายคนรอง…ก้าวพลาด
ปัญหาที่ไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้นเพราะเขากับพี่ชายคนรองสร้างมันจนเกินจะแก้ได้ ดีลเลอร์รถที่บุกเบิกโดยพี่ชายคนโตพ่อของเตชน์และตุลย์ ถูกยกเลิก เงินที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ก็เหลือจากการทยอยขายที่กงสีออกไป
ต่างจากธุรกิจของเตชน์นักจากร้านอาหารเล็กๆ ที่จงกลพี่สะใภ้ปั้นขึ้นมา เตชน์เข้ามาสานต่อ ขยายตัวอย่างเร็วกอบโกยรายได้มหาศาล จนเปิดผับ และเมื่อไม่กี่ปีก่อน สร้างโรงแรมกึ่งรีสอร์ทริมแม่น้ำแห่งนี้
โรงแรมที่เมื่อก่อนภวัตและกำธรพยายามเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง…วุ่นวาย
เตชน์…ยอมแต่มีขอบเขต
แต่ตุลย์กับณัฐมนไม่ยอม
‘นี่มันธุรกิจของพี่เตชน์เสี่ยงและสู้มาด้วยตัวเองไม่เกี่ยวกับกงสี’ตุลย์มักเตือนเสียงหนัก หากด้วยรอยยิ้มบางๆ ราวทีเล่นทีจริง ‘หนี้ที่แบก ก็ไม่เกี่ยวกับกงสี’
ที่สำคัญ…รายได้ปีละหลายสิบล้านก็ไม่เกี่ยวกับกงสีเช่นกัน
เตชน์กับณัฐมนว่าร้ายแต่ตุลย์ร้ายยิ่งกว่า เป็นหอกข้างแคร่ของอาทั้งสองตลอดเวลา
ไม่ยอมแม้แต่นิดเดียว
วันกลางสัปดาห์เช่นนี้ ภวัตรู้ว่าตุลย์อยู่กรุงเทพดังนั้นจึงเป็นการสะดวกที่เขาจะแวะมาหาผู้ช่วยผู้จัดการโรงแรม
“อีกสองอาทิตย์ล็อคห้องว่างให้ด้วยยี่สิบห้องและห้องสัมมนา เตรียมเสนอราคาพร้อมอาหารเช้า อาหารค่ำเพื่อนของฉันที่เป็นนายก อ.บ.ต. จะมาสัมมนาสามวันสองคืน เดี๋ยวลูกน้องเขาจะติดต่อมายังไงดูแลด้วย” ภวัตสั่ง ตบบ่าอีกฝ่าย ยื่นกระดาษใบเล็กให้ราวว่าทุกอย่างเป็นเรื่องปรกติ “ส่วนใบเสนอราคาทำตัวเลขสูงไว้ก็แล้วกันใบเสร็จเป็นอีกยอด ตามนี้นะ”
“แต่…”
“ฉันสั่งคุณจงกลก็อนุญาต” การอ้างเช่นนี้ทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าปฏิเสธ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ภวัตหรือกำธรทำเช่นนี้เงินส่วนต่างจากงบประมาณรัฐ ถูกแบ่งจากเจ้าหน้าที่ มาให้ภวัตและกำธรจะมีเหลือมาถึงพนักงานของเทวนิรมิตที่…ช่วย ก็แสนจะน้อยนิด
“แต่คุณตุลย์…”
“แม่เขาไม่ว่าแล้วเขาจะว่าได้ยังไง หุ้นของเตชน์ ต่อไปแม่เขาก็เข้ามาถือว่าแต่แม่ของตุ๊กตามาถึงหรือยัง”
“ครับอยู่ที่บ้านคุณเตชน์”
“ไปตามมาพบฉันที่ห้องประชุมของออฟฟิศโรงแรมนะ”
บ้านโน้น…ใครจะกล้าไปและยิ่งตำรวจไม่ได้กักสถานที่ไว้ก็ไม่มีคนเฝ้า
คนกล้ามีไม่กี่คนจะมีที่กล้าหนักสุดก็ตุลย์
กลางวันกลางคืน หรือแม้แต่นอนค้าง
มีอะไรบ้างในโลกที่มันกลัว
เพราะแม้แต่ความตายมันก็หนีรอดมาง่ายๆ
‘ยิงระยะเผาขนขนาดนั้นมันยังรอด ไอ้พวกนั้นบอกตำรวจว่า พอจะยิงหัว ปืนกลับยิงไม่ได้’ เขากับกำธรได้คุยเรื่องนี้กันหลายครั้ง
แต่ที่ทุกคนข้องใจ…
‘แล้วไอ้กลุ่มคนที่เข้ามาช่วยนั่นก็ไม่รู้ว่าใคร หรือมีจริงไหม ตำรวจบอกไม่พบร่องรอยคนอื่นแล้วไอ้พวกคนลงมือต่างก็ให้การเตลิดไปกันคนละทาง’
คำให้การของผู้ต้องสงสัยยังไม่นิ่งไม่ต่างจากสภาพจิตใจของพวกมัน
คืนนั้นมันเจอใคร…อะไร
และใคร…อะไรนั่นต้องการอะไร
หรือแค่ช่วยตุลย์เท่านั้น
นี่คือสิ่งที่ทั้งภวัตและกำธรพยายามหาคำตอบ
เสียงดนตรีด้านในของคืนวันพุธไม่ได้ดังเหมือนเช่นวันอื่นๆอาจจะเป็นเพราะคนน้อย บรรยากาศจึงสบายๆ พอมองเห็นว่าใครเป็นใครและเขาก็เห็นเอื้องคำที่ทำงานอยู่ด้านนอกแล้ว แต่ต้องแสร้งทำเป็นไม่เห็นเดินหลบมาที่โต๊ะเดิมติดริมแม่น้ำ
ให้พยายามไม่มองแต่ในสายตามักจับที่ผู้หญิงผมบ๊อบสีดำยาวระคอที่รวบขึ้นไปเป็นมวยเล็กๆ ข้างหลัง
เอื้องคำ…สวย
สวยจนเขาคิดไม่ถึงว่าจะสวยขนาดนี้
เมื่อหลายเดือนก่อน ที่ธัญญาและเตชน์แนะนำว่าเธอเป็นหัวหน้าทีมพนักงานเสิร์ฟส่วนบาร์คนใหม่ของนิมมานตอนนั้นตุลย์แค่พยักหน้ารับรู้ ไม่สนใจที่จะจำหน้าหรือจำชื่อ
หลังจากนั้นได้พูดคุยกันไม่กี่ครั้งเมื่อเขาแวะมาที่ร้าน และเธอเข้ามาดูแล โดยที่เขาเองไม่ได้ใส่ใจหรือสนใจมากไปกว่าถามเรื่องราวสารทุกข์สุขดิบเช่นที่เขาทำกับพนักงานทุกคน
จะรู้อะไรเพิ่มเติมก็จากฟังสิ่งที่ธัญญาเล่า
ฟังก็แค่ผ่านๆไม่สนใจ จำได้บ้าง ลืมไปบ้าง แต่น่าแปลกที่บัดนี้เขากลับจำได้
‘ชีวิตนางน่าสงสารค่ะพี่ตุลย์เลิกกับสามี เพราะสามีนางนอกใจ ขนาดมีลูกด้วยกันสามคน พอมีแฟนใหม่คบกันไม่กี่เดือนก็เลิกอีก นี่เลยหนีมาพักใจที่ต่างต่างจังหวัด แต่โอ๊ย นางฮ๊อต มีเด็กมาจีบด้วยคร่าอายุอ่อนกว่าตั้งห้าปี’
เมื่อหลายเดือนก่อนโน้นหัวใจของเขาพะวงหาแต่มัทนาเพียงผู้เดียว ชีวิตและลมหายใจมีแต่ผู้หญิงคนนั้น
แม้แต่ในคืนนั้นที่เขาทะเลาะกับมัทนา คืนที่เขาเมาแทบไม่รู้เรื่อง แล้วกระทำสิ่งที่ผิดพลาด…A Mistake
หรือในคืนที่เขาแทบสิ้นลมหายใจเพราะกระสุนปืน
ในสติสุดท้ายเขาก็มีแต่มัทนา
ความคิดถึงเอื้องคำจะมีแวบเข้ามาแค่ให้รู้สึกผิดเพราะเขาทำผิด
เป็นความคิดที่เขาอยากจะลืมเสียด้วยซ้ำแต่ลืมไม่ได้
กรรมคือการกระทำและสิ่งที่เขาทำ มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง
ความผิดที่ได้กระทำไปแล้วถึงอย่างไรมันก็คือความผิด คือบาป ที่ต่อให้ทำบุญ ทำทาน ทำความดีมาเท่าไรแต่ก็ไม่สามารถลบล้างว่า…การกระทำผิดได้เกิดขึ้นแล้ว
กระทั่งในตอนนี้ความรู้สึกผิดยังคงเกาะในความคิดและหัวใจ บีบแน่นขึ้นเมื่อเอื้องคำเดินเข้ามาใบหน้าเธอประดับด้วยรอยยิ้มประหม่า ดวงตากว้างเรียวยาวราวเม็ดอัลมอนด์ฉายแววลังเล
“พอเรามา ก็หนีเข้าข้างในเชียวเหรอ”ตุลย์ไม่กล้ามองหน้าเธอตรงๆ เพราะเขายังคลายชนักที่ติดหลังไม่ได้ ลืมความผิดในคืนนั้นไม่ได้
เปล่าค่ะกลับไปดูบาร์ค่ะ” คำตอบสั้น “นี่ดื่มอะไรคะหรือว่าเป็นเหล้าที่ทางร้านติดค้างไว้อยู่”
“ก็งั้นแหละ”ประโยคนั้นกลั้วหัวเราะ จิบวิสกี้ชั้นดีสีเข้ม “แล้วกลับบ้านยังไง วันนี้คุณธัญญาไม่เข้านี่”
“ติดรถเพื่อน”หญิงสาวไม่ขยายความว่าเพื่อนคนไหนหรือใคร
“ก็ดี”ว่าแล้วเขาก็ทิ้งทุกอย่างไว้กับความเงียบ ดื่มน้ำเย็นจากแก้วตรงหน้าจนเอื้องคำขอตัวไปดูแลลูกค้าและบาร์ในส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบ
และอีกเกือบชั่วโมงกว่าเธอจะเดินกลับมาหาเขา
“แก้วที่เท่าไหร่แล้วคะ” รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้านวล ดวงตาเจิดจรัสเป็นประกายจับอยู่ที่เขา
“สองเองว่าแต่สักแก้วไหม”
“ไม่ค่ะ”
“ถ้าโควตาหมดแล้วแก้วนี้เราเลี้ยงเอง”
“ใจดีจัง”
“ปรกติก็ใจดีทำไม คิดว่าเราเป็นคนใจร้ายนักหรือไง”
“หายไปหลายเดือน”หางเสียงคล้ายตัดพ้อ
“เรายุ่งงานเยอะ แต่เงินไม่เดิน” ตุลย์ไม่ได้เสริมหรอกว่า ยังมีมัทนาที่เขาใช้เวลาให้ทั้งหมด จนกระทั่งราวว่าเวลาของเราหมดแล้ว
อีกทั้ง…เขามองเอื้องคำ
ดวงตาสีอำพันเข้มมองเธอตรงๆ ไม่ได้ชำเลือง หรือแอบมองเหมือนเช่นวันก่อน เพราะหลังจากเกิดเหตุการณ์คืนนั้นเขาก็ไม่แน่ใจว่าจะมองหน้าเธอได้อย่างไร
แต่คืนนี้การมองง่ายดายนัก ไม่ต่างจากความสนิทที่ก่อตัวอย่างรวดเร็ว
“ก็ดีแล้วที่กลับมาเค้าคิดถึงตัว” การสารภาพจากหญิงสาวแสนง่าย ดวงประสานราวพยายามหยั่งถึงก้นบึ้งของหัวใจ
หัวใจเจ็บเพียงนิดเดียวเมื่อเขาเลือกจะหันไปทางอื่น ก่อนเธอจะฝืนใจเปรย
“คิดว่าติดสาวกรุงเทพ”คนพูดย่นจมูกยิ้มละไม
“ไม่มี๊” ตุลย์ลากเสียง ส่ายหน้าปฏิเสธตาใส “ไม่มีใครที่ไหนทั้งสิ้น มีแต่งาน และเพื่อนๆ”
“เพื่อนอะไร”
“เพื่อนทั่วๆไป”
“ตัวเองเพื่อนเยอะเค้าไม่ค่อยมีเพื่อนหรอก”
“ก็หาเอา”
“กำลังหาๆอยู่” เอื้องคำกลั้วหัวเราะ
“นั่งสิ” เขาเชิญและอีกฝ่ายก็ไม่ลังเล
ถ้าจะลุกก็เพื่อไปเติมน้ำให้เขาหรือปรุงเหล้าผสมให้ตัวเอง
คืนนี้หญิงสาวหัวเราะบ่อยครั้งตุลย์ไม่ใช่แค่เป็นผู้ฟังที่ดี แต่เขาเข้าใจหาเรื่องคุยมีหลายเรื่องที่เขาหยิบยกมาเล่า และรู้จักซักถาม สร้างความเป็นกันเองได้ไม่ยาก
การที่เธอได้นั่งข้างๆเขา หรือดูแลเขาในฐานะหัวหน้าพนักงานเสิร์ฟก็ล้วนเป็นไปอย่างคุ้นเคยในหน้าที่และในความรู้สึก ทั้งๆ ที่…มันไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นแต่มันก็ทำให้อุ่นใจอย่างประหลาด
หญิงสาวอยากถ่ายรูปเขาเก็บไว้แต่ไม่กล้า ถ่ายแค่รูปเครื่องดื่มของเขาบนโต๊ะ เก็บเอาไว้ดู เวลาคิดถึง แล้วเอาไปลงในโซเชียลมีเดียส่วนตัว
รูปที่ไม่จำเป็นต้องมีcaption
มีแต่ความรู้สึกลึกๆในหัวใจเท่านั้น
บทสนทนาในคืนนี้ยังคงสนุกคุยกันจนเกือบลืมเวลา แต่เขาจำได้จึงเตือน
“กลับกันเถอะนี่เที่ยงคืนกว่าแล้ว”
“ขับไหวเหรอ”หญิงสาวมองอย่างชั่งใจ
“ไหวสิดื่มแต่น้ำเปล่าเกือบทั้งคืน”
“ค่อยสบายใจหน่อย”
และเธอก็สบายใจจริงๆ
สบายไม่ต่างจากลมที่พัดไอเย็นจากแม่น้ำ
แล้วยังใจที่แสนสบายเพราะมีเขาอยู่ข้างๆ ในสายตา แค่มือเอื้อม รับรู้ว่า ตุลย์เว้นระยะอย่างพอเหมาะ ปล่อยให้เธอเดินนำส่วนเขาก้าวตามมาข้างหลัง จนถึงรถยุโรปสีขาวคันใหม่ที่ผู้เป็นพี่ชายซื้อให้เมื่อไม่กี่เดือนก่อน
เพียงวางมือบนด้ามจับเขาก็สามารถเปิดประตูรถ แม้แต่การติดเครื่อง ก็แค่เพียงกดปุ่มเท่านั้นภายในรถที่กำลังเคลื่อนตัวออกช้าๆ มีแต่ความเงียบ จนหญิงสาวหันไปถามอย่างสงสัย
“เวลาเมาหนักๆแล้วทำยังไง”
“ถ้าต้องขับรถก็จะไม่ค่อยดื่ม”
“แสดงว่าปรกติดื่มหนัก”
“ไม่หรอก”
“แล้วทีคืนนั้น” เอื้องคำพยายามเท้าความ อยากรู้ว่าเขาจะพูด หรือรู้สึกอย่างไร
“ถ้าเมามากก็ค้างที่โรงแรมหรือกับพี่เตชน์ ถ้าที่กรุงเทพก็เรียกอูเบอร์ เรียกแกร็ป” การบอกไม่ยินดียินร้ายไม่แม้จะสนใจคำพูดก่อนหน้าของอีกฝ่าย
“นอนที่โรงแรมก็ยังกล้านอนห้องผีสิง” หญิงสาวกลั้วหัวเราะกลบเกลื่อนความรู้สึก
“ไม่เห็นมีอะไรทุกคนคิดไปเอง” คราวนี้เขาหันมามองเธอ “นอนหลับสนิทตลอดถ้ามีเสียงก็อาจจะจากห้องข้างๆ หรือหูแว่ว เดี๋ยวก็เงียบไป”
“ผีกลัว พระยมก็ไม่กล้า”คนพูดย่นจมูกยิ้มละไมให้เขาในความมืด
“คนน่ากลัวกว่าเยอะ เรื่องคดียังไม่รู้ว่าจะสืบไปถึงคนจ้างวานได้ไหม” อยู่ๆ เขาก็เล่า“แต่ตอนนี้ตำรวจถ้าไม่สรุปว่าเราบงการ ก็อาจสรุปเป็นฆ่าชิงทรัพย์”
“ทำไมเขาต้องคิดว่าเป็นตัว”
“ก็เรารอดไงไอ้พวกนั้นก็ให้การแบบนั้น บอกว่าเราหวังมรดก โชคดีที่นอกจากปากเปล่าหลักฐานอื่นมันไม่มี”
“คุณเตชน์ไม่ได้ทำพินัยกรรม” เรื่องนี้แม้แต่คนอื่นเช่นเธอยังรู้ ไม่ต่างจากแทบทุกคนในจังหวัด
“ของๆพี่เตชน์ก็ต้องให้แม่ ส่วนที่เป็นของพี่ตุ๊กตาก็ต้องให้แม่เขา ถ้าเรา…” เหมือนว่าเขาคิดอะไรสักอย่างหากเลือกที่จะถอนหายใจแทน ผ่อนฝีเท้าจากคันเร่ง
“ถอนหายใจบ่อยๆระวังแก่เร็ว”
“แก่แล้วใกล้ตายก็แล้ว ตายทั้งเป็นก็แล้ว”
“อย่างตัวเนี่ยนะตายทั้งเป็น”ใครจะคิด…องค์ชายน้อยของเครือเทวนิรมิต มีตายทั้งเป็นกับเขาด้วยหรือ
มีแต่เขาที่ทำให้เธอทรมานใจทั้งเป็นตอนที่เขาหายหน้าไปหลังจากคืนนั้น…แล้วยังเมื่อเขาโดนยิง
“อือ”เสียงทุ้มลงแค่ในลำคอ ไม่ขยายความ แล้วจึงเปลี่ยนเรื่อง“แล้วทำไมไม่ทำงานในกรุงเทพฯ มาอยู่บ้านนอกทำไม”
“เบื่อ”ครั้งแรกที่คำตอบจากหญิงสาวสั้น สั้นที่สุดเท่าที่ได้คุยกันมา
“เบื่ออะไร”
“โน่น นี่นั่น”
“หลายอย่างนะ” รอยเสียงมีแววขัน
“ลองมาอยู่ที่นี่สถานที่ใหม่ๆ คนหน้าใหม่ๆ แล้วทำโน่น ทำนี่อะไรใหม่ๆ”
“ทำอะไรล่ะ เห็นแต่คลุกอยู่กับบาร์” เขาหันมายิ้ม แววตาเป็นประกาย
“เรียนนวด ลองไหมล่ะ”
“ก็ได้ งั้นนวดให้หน่อย”แขนซ้ายของเขาที่เท้าบนพนักพักแขนยื่นไปให้อีกฝ่าย “คลายทุกข์ยังไม่ได้แต่คลายเมื่อยได้ก็ยังดี”
“หมดทุกข์ก็ต้องนิพพาน”เอื้องคำกำมือเขาไว้ กดไปตามจุด รู้สึกว่ามือขององค์ชายน้อย นุ่ม สวย บอบบางกว่ามือเธอเสียอีกราวมือเทวดาเสียนั่น “ตราบใดที่ยังเวียนว่ายตายเกิดมันก็ต้องทุกข์”
“ดีนะนวดไป เทศน์ไปด้วยแถมนวดดีอีก ท่าจะหายเมื่อยเป็นแน่” เสียงหยอกล้อสนุก ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ดึงมือออกประคองรถยนต์สีขาวให้เลี้ยวเข้าซอยจากถนนพลุกพล่าน
เธอบอกให้เขาเลี้ยวเข้าไปในบริเวณที่จอดรถแคบๆของตึกพักอาศัยเก่าๆสูงห้าชั้น เอื้องคำมองเขา เห็นแต่ด้านข้างของใบหน้าที่มองตรงไปข้างหน้าเมื่อรถคันงามเข้าจอด
“ถึงแล้วไว้วันหลังเจอกกัน”
เอื้องคำพยักหน้ายังไม่ละสายตาจากเขา ยกมือไหว้ลวกๆ หันไปเตรียมเปิดประตูรถ หากเมื่อตัดสินใจแล้วจึงหันกลับ ยื่นหน้าหอมแก้มเขาอย่างรวดเร็ว…ชื่นใจ
“ขอบคุณค่ะ”
(ต่อ)
เปลวพิศวาส (บทที่ 3) โดย มานัส
ภวัตไม่เคยชอบหลานสะใภ้ไม่ว่าตอนยังมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้ว
ณัฐมนมาจากครอบครัวที่มีฐานะแสนธรรมดาแค่พนักงานบัญชีเล็กๆ ของโรงแรมในกรุงเทพฯ แล้วมาแต่งงานกับเตชน์
ไม่คู่ควรไม่เหมาะสม ต่างจากลูกสาวเจ้าของโรงสีใหญ่ที่เขาหมายมั่นปั้นมือให้หลานชายคนโตเมื่อหลายปีก่อนคาดหวังให้เข้ามาช่วยแก้ปัญหาการเงินของครอบครัว ที่เขากับพี่ชายคนรอง…ก้าวพลาด
ปัญหาที่ไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้นเพราะเขากับพี่ชายคนรองสร้างมันจนเกินจะแก้ได้ ดีลเลอร์รถที่บุกเบิกโดยพี่ชายคนโตพ่อของเตชน์และตุลย์ ถูกยกเลิก เงินที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ก็เหลือจากการทยอยขายที่กงสีออกไป
ต่างจากธุรกิจของเตชน์นักจากร้านอาหารเล็กๆ ที่จงกลพี่สะใภ้ปั้นขึ้นมา เตชน์เข้ามาสานต่อ ขยายตัวอย่างเร็วกอบโกยรายได้มหาศาล จนเปิดผับ และเมื่อไม่กี่ปีก่อน สร้างโรงแรมกึ่งรีสอร์ทริมแม่น้ำแห่งนี้
โรงแรมที่เมื่อก่อนภวัตและกำธรพยายามเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง…วุ่นวาย
เตชน์…ยอมแต่มีขอบเขต
แต่ตุลย์กับณัฐมนไม่ยอม
‘นี่มันธุรกิจของพี่เตชน์เสี่ยงและสู้มาด้วยตัวเองไม่เกี่ยวกับกงสี’ตุลย์มักเตือนเสียงหนัก หากด้วยรอยยิ้มบางๆ ราวทีเล่นทีจริง ‘หนี้ที่แบก ก็ไม่เกี่ยวกับกงสี’
ที่สำคัญ…รายได้ปีละหลายสิบล้านก็ไม่เกี่ยวกับกงสีเช่นกัน
เตชน์กับณัฐมนว่าร้ายแต่ตุลย์ร้ายยิ่งกว่า เป็นหอกข้างแคร่ของอาทั้งสองตลอดเวลา
ไม่ยอมแม้แต่นิดเดียว
วันกลางสัปดาห์เช่นนี้ ภวัตรู้ว่าตุลย์อยู่กรุงเทพดังนั้นจึงเป็นการสะดวกที่เขาจะแวะมาหาผู้ช่วยผู้จัดการโรงแรม
“อีกสองอาทิตย์ล็อคห้องว่างให้ด้วยยี่สิบห้องและห้องสัมมนา เตรียมเสนอราคาพร้อมอาหารเช้า อาหารค่ำเพื่อนของฉันที่เป็นนายก อ.บ.ต. จะมาสัมมนาสามวันสองคืน เดี๋ยวลูกน้องเขาจะติดต่อมายังไงดูแลด้วย” ภวัตสั่ง ตบบ่าอีกฝ่าย ยื่นกระดาษใบเล็กให้ราวว่าทุกอย่างเป็นเรื่องปรกติ “ส่วนใบเสนอราคาทำตัวเลขสูงไว้ก็แล้วกันใบเสร็จเป็นอีกยอด ตามนี้นะ”
“แต่…”
“ฉันสั่งคุณจงกลก็อนุญาต” การอ้างเช่นนี้ทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าปฏิเสธ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ภวัตหรือกำธรทำเช่นนี้เงินส่วนต่างจากงบประมาณรัฐ ถูกแบ่งจากเจ้าหน้าที่ มาให้ภวัตและกำธรจะมีเหลือมาถึงพนักงานของเทวนิรมิตที่…ช่วย ก็แสนจะน้อยนิด
“แต่คุณตุลย์…”
“แม่เขาไม่ว่าแล้วเขาจะว่าได้ยังไง หุ้นของเตชน์ ต่อไปแม่เขาก็เข้ามาถือว่าแต่แม่ของตุ๊กตามาถึงหรือยัง”
“ครับอยู่ที่บ้านคุณเตชน์”
“ไปตามมาพบฉันที่ห้องประชุมของออฟฟิศโรงแรมนะ”
บ้านโน้น…ใครจะกล้าไปและยิ่งตำรวจไม่ได้กักสถานที่ไว้ก็ไม่มีคนเฝ้า
คนกล้ามีไม่กี่คนจะมีที่กล้าหนักสุดก็ตุลย์
กลางวันกลางคืน หรือแม้แต่นอนค้าง
มีอะไรบ้างในโลกที่มันกลัว
เพราะแม้แต่ความตายมันก็หนีรอดมาง่ายๆ
‘ยิงระยะเผาขนขนาดนั้นมันยังรอด ไอ้พวกนั้นบอกตำรวจว่า พอจะยิงหัว ปืนกลับยิงไม่ได้’ เขากับกำธรได้คุยเรื่องนี้กันหลายครั้ง
แต่ที่ทุกคนข้องใจ…
‘แล้วไอ้กลุ่มคนที่เข้ามาช่วยนั่นก็ไม่รู้ว่าใคร หรือมีจริงไหม ตำรวจบอกไม่พบร่องรอยคนอื่นแล้วไอ้พวกคนลงมือต่างก็ให้การเตลิดไปกันคนละทาง’
คำให้การของผู้ต้องสงสัยยังไม่นิ่งไม่ต่างจากสภาพจิตใจของพวกมัน
คืนนั้นมันเจอใคร…อะไร
และใคร…อะไรนั่นต้องการอะไร
หรือแค่ช่วยตุลย์เท่านั้น
นี่คือสิ่งที่ทั้งภวัตและกำธรพยายามหาคำตอบ
เสียงดนตรีด้านในของคืนวันพุธไม่ได้ดังเหมือนเช่นวันอื่นๆอาจจะเป็นเพราะคนน้อย บรรยากาศจึงสบายๆ พอมองเห็นว่าใครเป็นใครและเขาก็เห็นเอื้องคำที่ทำงานอยู่ด้านนอกแล้ว แต่ต้องแสร้งทำเป็นไม่เห็นเดินหลบมาที่โต๊ะเดิมติดริมแม่น้ำ
ให้พยายามไม่มองแต่ในสายตามักจับที่ผู้หญิงผมบ๊อบสีดำยาวระคอที่รวบขึ้นไปเป็นมวยเล็กๆ ข้างหลัง
เอื้องคำ…สวย
สวยจนเขาคิดไม่ถึงว่าจะสวยขนาดนี้
เมื่อหลายเดือนก่อน ที่ธัญญาและเตชน์แนะนำว่าเธอเป็นหัวหน้าทีมพนักงานเสิร์ฟส่วนบาร์คนใหม่ของนิมมานตอนนั้นตุลย์แค่พยักหน้ารับรู้ ไม่สนใจที่จะจำหน้าหรือจำชื่อ
หลังจากนั้นได้พูดคุยกันไม่กี่ครั้งเมื่อเขาแวะมาที่ร้าน และเธอเข้ามาดูแล โดยที่เขาเองไม่ได้ใส่ใจหรือสนใจมากไปกว่าถามเรื่องราวสารทุกข์สุขดิบเช่นที่เขาทำกับพนักงานทุกคน
จะรู้อะไรเพิ่มเติมก็จากฟังสิ่งที่ธัญญาเล่า
ฟังก็แค่ผ่านๆไม่สนใจ จำได้บ้าง ลืมไปบ้าง แต่น่าแปลกที่บัดนี้เขากลับจำได้
‘ชีวิตนางน่าสงสารค่ะพี่ตุลย์เลิกกับสามี เพราะสามีนางนอกใจ ขนาดมีลูกด้วยกันสามคน พอมีแฟนใหม่คบกันไม่กี่เดือนก็เลิกอีก นี่เลยหนีมาพักใจที่ต่างต่างจังหวัด แต่โอ๊ย นางฮ๊อต มีเด็กมาจีบด้วยคร่าอายุอ่อนกว่าตั้งห้าปี’
เมื่อหลายเดือนก่อนโน้นหัวใจของเขาพะวงหาแต่มัทนาเพียงผู้เดียว ชีวิตและลมหายใจมีแต่ผู้หญิงคนนั้น
แม้แต่ในคืนนั้นที่เขาทะเลาะกับมัทนา คืนที่เขาเมาแทบไม่รู้เรื่อง แล้วกระทำสิ่งที่ผิดพลาด…A Mistake
หรือในคืนที่เขาแทบสิ้นลมหายใจเพราะกระสุนปืน
ในสติสุดท้ายเขาก็มีแต่มัทนา
ความคิดถึงเอื้องคำจะมีแวบเข้ามาแค่ให้รู้สึกผิดเพราะเขาทำผิด
เป็นความคิดที่เขาอยากจะลืมเสียด้วยซ้ำแต่ลืมไม่ได้
กรรมคือการกระทำและสิ่งที่เขาทำ มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง
ความผิดที่ได้กระทำไปแล้วถึงอย่างไรมันก็คือความผิด คือบาป ที่ต่อให้ทำบุญ ทำทาน ทำความดีมาเท่าไรแต่ก็ไม่สามารถลบล้างว่า…การกระทำผิดได้เกิดขึ้นแล้ว
กระทั่งในตอนนี้ความรู้สึกผิดยังคงเกาะในความคิดและหัวใจ บีบแน่นขึ้นเมื่อเอื้องคำเดินเข้ามาใบหน้าเธอประดับด้วยรอยยิ้มประหม่า ดวงตากว้างเรียวยาวราวเม็ดอัลมอนด์ฉายแววลังเล
“พอเรามา ก็หนีเข้าข้างในเชียวเหรอ”ตุลย์ไม่กล้ามองหน้าเธอตรงๆ เพราะเขายังคลายชนักที่ติดหลังไม่ได้ ลืมความผิดในคืนนั้นไม่ได้
เปล่าค่ะกลับไปดูบาร์ค่ะ” คำตอบสั้น “นี่ดื่มอะไรคะหรือว่าเป็นเหล้าที่ทางร้านติดค้างไว้อยู่”
“ก็งั้นแหละ”ประโยคนั้นกลั้วหัวเราะ จิบวิสกี้ชั้นดีสีเข้ม “แล้วกลับบ้านยังไง วันนี้คุณธัญญาไม่เข้านี่”
“ติดรถเพื่อน”หญิงสาวไม่ขยายความว่าเพื่อนคนไหนหรือใคร
“ก็ดี”ว่าแล้วเขาก็ทิ้งทุกอย่างไว้กับความเงียบ ดื่มน้ำเย็นจากแก้วตรงหน้าจนเอื้องคำขอตัวไปดูแลลูกค้าและบาร์ในส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบ
และอีกเกือบชั่วโมงกว่าเธอจะเดินกลับมาหาเขา
“แก้วที่เท่าไหร่แล้วคะ” รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้านวล ดวงตาเจิดจรัสเป็นประกายจับอยู่ที่เขา
“สองเองว่าแต่สักแก้วไหม”
“ไม่ค่ะ”
“ถ้าโควตาหมดแล้วแก้วนี้เราเลี้ยงเอง”
“ใจดีจัง”
“ปรกติก็ใจดีทำไม คิดว่าเราเป็นคนใจร้ายนักหรือไง”
“หายไปหลายเดือน”หางเสียงคล้ายตัดพ้อ
“เรายุ่งงานเยอะ แต่เงินไม่เดิน” ตุลย์ไม่ได้เสริมหรอกว่า ยังมีมัทนาที่เขาใช้เวลาให้ทั้งหมด จนกระทั่งราวว่าเวลาของเราหมดแล้ว
อีกทั้ง…เขามองเอื้องคำ
ดวงตาสีอำพันเข้มมองเธอตรงๆ ไม่ได้ชำเลือง หรือแอบมองเหมือนเช่นวันก่อน เพราะหลังจากเกิดเหตุการณ์คืนนั้นเขาก็ไม่แน่ใจว่าจะมองหน้าเธอได้อย่างไร
แต่คืนนี้การมองง่ายดายนัก ไม่ต่างจากความสนิทที่ก่อตัวอย่างรวดเร็ว
“ก็ดีแล้วที่กลับมาเค้าคิดถึงตัว” การสารภาพจากหญิงสาวแสนง่าย ดวงประสานราวพยายามหยั่งถึงก้นบึ้งของหัวใจ
หัวใจเจ็บเพียงนิดเดียวเมื่อเขาเลือกจะหันไปทางอื่น ก่อนเธอจะฝืนใจเปรย
“คิดว่าติดสาวกรุงเทพ”คนพูดย่นจมูกยิ้มละไม
“ไม่มี๊” ตุลย์ลากเสียง ส่ายหน้าปฏิเสธตาใส “ไม่มีใครที่ไหนทั้งสิ้น มีแต่งาน และเพื่อนๆ”
“เพื่อนอะไร”
“เพื่อนทั่วๆไป”
“ตัวเองเพื่อนเยอะเค้าไม่ค่อยมีเพื่อนหรอก”
“ก็หาเอา”
“กำลังหาๆอยู่” เอื้องคำกลั้วหัวเราะ
“นั่งสิ” เขาเชิญและอีกฝ่ายก็ไม่ลังเล
ถ้าจะลุกก็เพื่อไปเติมน้ำให้เขาหรือปรุงเหล้าผสมให้ตัวเอง
คืนนี้หญิงสาวหัวเราะบ่อยครั้งตุลย์ไม่ใช่แค่เป็นผู้ฟังที่ดี แต่เขาเข้าใจหาเรื่องคุยมีหลายเรื่องที่เขาหยิบยกมาเล่า และรู้จักซักถาม สร้างความเป็นกันเองได้ไม่ยาก
การที่เธอได้นั่งข้างๆเขา หรือดูแลเขาในฐานะหัวหน้าพนักงานเสิร์ฟก็ล้วนเป็นไปอย่างคุ้นเคยในหน้าที่และในความรู้สึก ทั้งๆ ที่…มันไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นแต่มันก็ทำให้อุ่นใจอย่างประหลาด
หญิงสาวอยากถ่ายรูปเขาเก็บไว้แต่ไม่กล้า ถ่ายแค่รูปเครื่องดื่มของเขาบนโต๊ะ เก็บเอาไว้ดู เวลาคิดถึง แล้วเอาไปลงในโซเชียลมีเดียส่วนตัว
รูปที่ไม่จำเป็นต้องมีcaption
มีแต่ความรู้สึกลึกๆในหัวใจเท่านั้น
บทสนทนาในคืนนี้ยังคงสนุกคุยกันจนเกือบลืมเวลา แต่เขาจำได้จึงเตือน
“กลับกันเถอะนี่เที่ยงคืนกว่าแล้ว”
“ขับไหวเหรอ”หญิงสาวมองอย่างชั่งใจ
“ไหวสิดื่มแต่น้ำเปล่าเกือบทั้งคืน”
“ค่อยสบายใจหน่อย”
และเธอก็สบายใจจริงๆ
สบายไม่ต่างจากลมที่พัดไอเย็นจากแม่น้ำ
แล้วยังใจที่แสนสบายเพราะมีเขาอยู่ข้างๆ ในสายตา แค่มือเอื้อม รับรู้ว่า ตุลย์เว้นระยะอย่างพอเหมาะ ปล่อยให้เธอเดินนำส่วนเขาก้าวตามมาข้างหลัง จนถึงรถยุโรปสีขาวคันใหม่ที่ผู้เป็นพี่ชายซื้อให้เมื่อไม่กี่เดือนก่อน
เพียงวางมือบนด้ามจับเขาก็สามารถเปิดประตูรถ แม้แต่การติดเครื่อง ก็แค่เพียงกดปุ่มเท่านั้นภายในรถที่กำลังเคลื่อนตัวออกช้าๆ มีแต่ความเงียบ จนหญิงสาวหันไปถามอย่างสงสัย
“เวลาเมาหนักๆแล้วทำยังไง”
“ถ้าต้องขับรถก็จะไม่ค่อยดื่ม”
“แสดงว่าปรกติดื่มหนัก”
“ไม่หรอก”
“แล้วทีคืนนั้น” เอื้องคำพยายามเท้าความ อยากรู้ว่าเขาจะพูด หรือรู้สึกอย่างไร
“ถ้าเมามากก็ค้างที่โรงแรมหรือกับพี่เตชน์ ถ้าที่กรุงเทพก็เรียกอูเบอร์ เรียกแกร็ป” การบอกไม่ยินดียินร้ายไม่แม้จะสนใจคำพูดก่อนหน้าของอีกฝ่าย
“นอนที่โรงแรมก็ยังกล้านอนห้องผีสิง” หญิงสาวกลั้วหัวเราะกลบเกลื่อนความรู้สึก
“ไม่เห็นมีอะไรทุกคนคิดไปเอง” คราวนี้เขาหันมามองเธอ “นอนหลับสนิทตลอดถ้ามีเสียงก็อาจจะจากห้องข้างๆ หรือหูแว่ว เดี๋ยวก็เงียบไป”
“ผีกลัว พระยมก็ไม่กล้า”คนพูดย่นจมูกยิ้มละไมให้เขาในความมืด
“คนน่ากลัวกว่าเยอะ เรื่องคดียังไม่รู้ว่าจะสืบไปถึงคนจ้างวานได้ไหม” อยู่ๆ เขาก็เล่า“แต่ตอนนี้ตำรวจถ้าไม่สรุปว่าเราบงการ ก็อาจสรุปเป็นฆ่าชิงทรัพย์”
“ทำไมเขาต้องคิดว่าเป็นตัว”
“ก็เรารอดไงไอ้พวกนั้นก็ให้การแบบนั้น บอกว่าเราหวังมรดก โชคดีที่นอกจากปากเปล่าหลักฐานอื่นมันไม่มี”
“คุณเตชน์ไม่ได้ทำพินัยกรรม” เรื่องนี้แม้แต่คนอื่นเช่นเธอยังรู้ ไม่ต่างจากแทบทุกคนในจังหวัด
“ของๆพี่เตชน์ก็ต้องให้แม่ ส่วนที่เป็นของพี่ตุ๊กตาก็ต้องให้แม่เขา ถ้าเรา…” เหมือนว่าเขาคิดอะไรสักอย่างหากเลือกที่จะถอนหายใจแทน ผ่อนฝีเท้าจากคันเร่ง
“ถอนหายใจบ่อยๆระวังแก่เร็ว”
“แก่แล้วใกล้ตายก็แล้ว ตายทั้งเป็นก็แล้ว”
“อย่างตัวเนี่ยนะตายทั้งเป็น”ใครจะคิด…องค์ชายน้อยของเครือเทวนิรมิต มีตายทั้งเป็นกับเขาด้วยหรือ
มีแต่เขาที่ทำให้เธอทรมานใจทั้งเป็นตอนที่เขาหายหน้าไปหลังจากคืนนั้น…แล้วยังเมื่อเขาโดนยิง
“อือ”เสียงทุ้มลงแค่ในลำคอ ไม่ขยายความ แล้วจึงเปลี่ยนเรื่อง“แล้วทำไมไม่ทำงานในกรุงเทพฯ มาอยู่บ้านนอกทำไม”
“เบื่อ”ครั้งแรกที่คำตอบจากหญิงสาวสั้น สั้นที่สุดเท่าที่ได้คุยกันมา
“เบื่ออะไร”
“โน่น นี่นั่น”
“หลายอย่างนะ” รอยเสียงมีแววขัน
“ลองมาอยู่ที่นี่สถานที่ใหม่ๆ คนหน้าใหม่ๆ แล้วทำโน่น ทำนี่อะไรใหม่ๆ”
“ทำอะไรล่ะ เห็นแต่คลุกอยู่กับบาร์” เขาหันมายิ้ม แววตาเป็นประกาย
“เรียนนวด ลองไหมล่ะ”
“ก็ได้ งั้นนวดให้หน่อย”แขนซ้ายของเขาที่เท้าบนพนักพักแขนยื่นไปให้อีกฝ่าย “คลายทุกข์ยังไม่ได้แต่คลายเมื่อยได้ก็ยังดี”
“หมดทุกข์ก็ต้องนิพพาน”เอื้องคำกำมือเขาไว้ กดไปตามจุด รู้สึกว่ามือขององค์ชายน้อย นุ่ม สวย บอบบางกว่ามือเธอเสียอีกราวมือเทวดาเสียนั่น “ตราบใดที่ยังเวียนว่ายตายเกิดมันก็ต้องทุกข์”
“ดีนะนวดไป เทศน์ไปด้วยแถมนวดดีอีก ท่าจะหายเมื่อยเป็นแน่” เสียงหยอกล้อสนุก ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ดึงมือออกประคองรถยนต์สีขาวให้เลี้ยวเข้าซอยจากถนนพลุกพล่าน
เธอบอกให้เขาเลี้ยวเข้าไปในบริเวณที่จอดรถแคบๆของตึกพักอาศัยเก่าๆสูงห้าชั้น เอื้องคำมองเขา เห็นแต่ด้านข้างของใบหน้าที่มองตรงไปข้างหน้าเมื่อรถคันงามเข้าจอด
“ถึงแล้วไว้วันหลังเจอกกัน”
เอื้องคำพยักหน้ายังไม่ละสายตาจากเขา ยกมือไหว้ลวกๆ หันไปเตรียมเปิดประตูรถ หากเมื่อตัดสินใจแล้วจึงหันกลับ ยื่นหน้าหอมแก้มเขาอย่างรวดเร็ว…ชื่นใจ
“ขอบคุณค่ะ”
(ต่อ)