บทที่ 4
“เจ้ว่าคืนนี้คุณตุลย์จะมาไหม”ว่าจะไม่ถาม แต่เอื้องคำก็แพ้ใจตัวเอง ถามจนได้
หลังจากคืนนั้นที่ตุลย์ไปส่งที่บ้านอีกวันเขาก็กลับมา ได้คุยกันตอนที่เธอเข้าไปดูแลเรื่องอาหารเครื่องดื่มของเขา ผสมค็อกเทลพิเศษให้เขาดื่มแค่นี้ก็ได้รู้จักเขามากขึ้น มันทำให้เธอมีความสุข จนแอบโพส์รูปบรรยากาศริมน้ำลงโซเชียล…ลมเย็นดีจัง
และลมมักจะเย็นสบายและดีเวลาที่มีเขาอยู่ในสายตา
สบายตาสบายใจจนเธอสามารถเล่าหลายเรื่องให้เขาฟัง
คุยเรื่องส่วนตัวเรื่องเพลงที่ชอบ เรื่องชีวิตประจำวันไปจนถึงเรื่องเข้าวัดทำบุญ
และเขาเองก็รู้จักสรรหาเรื่องคุยรู้จักถาม ทำให้การสนทนาดำเนินไปเรื่อยๆ ไม่น่าเบื่อ
องค์ชายน้อยนักเรียนนอก ชายหนุ่มสังคมจัด ใช้ชีวิตที่ไม่ผูกติดผูกมัด รู้หลายเรื่องสันทัดหลายอย่าง เห็นโลกมามากมาย แถมยังรู้จักเข้าวัดทำบุญด้วย
ยิ่งได้คุยเอื้องคำก็ยิ่งอยากอยู่ใกล้เขา อยากได้ยินเสียงเขา อยากมองเขา
หากการคุยก็ต้องระวังเพราะธัญญาจับตามองอยู่ หญิงสาวไม่อยากทำให้ธัญญาระแวงสงสัยเพราะไม่แน่ใจในความรู้สึกที่ผู้เป็นเจ้านายและรุ่นพี่ที่นับถือมีต่อตุลย์
ธัญญาไม่เคยเล่าไม่เคยพูด แต่เอื้องคำรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงตุลย์ยิ่งนักเฝ้าติดตามความเป็นไปของเขาแทบทุกฝีก้าว เขาไปไหน เมื่อไร ที่ไหน กับใคร
คืนนั้นที่ตุลย์เมาหนักก็เป็นธัญญาที่ตัดสินใจพาเขาลับห้องพักของเธอ แทนที่จะส่งกลับบ้านพี่ชายหรือเข้าพักที่เทวนิรมิต
‘พี่ตุลย์จะได้โดนพี่เตชน์ตำหนิสิ’
วันที่เกิดโศกนาฏกรรมธัญญาเป็นห่วงตุลย์มากกว่าอื่นใด มากกว่าที่จะฟูมฟายเพราะการตายของเตชน์และณัฐมน
หากตุลย์ไม่เคยแสดงท่าทีหรือความรู้สึกกับธัญญาหรือใครอื่นเขาเว้นช่องว่างความสัมพันธ์อย่างพอดี ระมัดระวังตัวนัก ขนาดกับเธอเอื้องคำมองออกว่าเขาระวังเช่นกัน แค่จะยกโทรศัพท์มือถือถ่ายรูป เขายังปัดมือ รีบหันหน้าหนีสิ่งที่เธอถ่ายได้ก็แค่โต๊ะที่มีทั้งขวดและแก้วไวน์ของเขาวางอยู่
ได้แค่นี้ก็ยังดีก็เก็บไว้เป็นความทรงจำได้
“จะถามทำไมจะมาจะไปก็เรื่องของเขา” ธัญญาหันมาจ้องเขม็ง
“ปรกติวันธรรมดาเขาก็มานี่ยิ่งลาออกจากงานแล้ว น่าจะมีเวลา…”
“แล้วไปรู้ได้ยังไงว่าเขาออกจากงาน”ธัญญาคาดคั้น เพราะเรื่องนี้ แม้แต่เธอก็เพิ่งรู้เมื่อไม่กี่วันเอง
“ก็วันก่อน เขาแวะมาที่ร้านบ่นว่าทนไม่ไหว ทั้งออฟฟิศโกงกันสนั่น อย่างว่าเนอะ คนเราศีลไม่เสมอกัน”
“รู้แบบนี้ก็ดีแล้วพี่ตุลย์ดี คุยด้วยได้ แต่อย่าให้มันเกินไป เขากับเราต่างกัน อย่าไปตีตนเสมอเขา หรือทำตัวสนิทสนมเกินเหตุ”
การเตือนทำให้ต้องคิดทำให้ไม่สามารถลืมความคิดนี้ได้
…ตุลย์กับเธอช่างแตกต่างกันนัก…วิถีชีวิตต่างกัน ทางเดินชีวิตก็ต่างกัน
ถ้าไม่ใช่…คืนนั้นทางเดินชีวิตของเราก็คงไม่มีวันบรรจบพบเจอ
เอื้องคำออกมาด้านนอกอัดบุหรี่แล้วผ่อนควันออก พยายามคลายความคิดที่รุมเร้าทั้งหมดออกจากหัว กลบความรู้สึกในหัวใจ
“เครียดอะไรเบอร์นั้น”
เสียงสนุกจงใจหยอกล้อทำให้หญิงสาวหันไป รอยยิ้มคลี่ออก พร้อมกับที่เธอรีบดับบุหรี่มวนนั้นเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
“บุหรี่ทำให้หายเครียดหรือเปล่าหนออัดๆ เข้าไปยิ่งอึดอัดแย่” เขายิ้ม ตาฉ่ำ แสดงว่ามาถึงพักใหญ่แล้วและดื่มไปประมาณหนึ่งแล้ว
“ทำไมไม่ไปนั่งข้างใน”เอื้องคำถาม ถ้าเห็นเขาก่อนหน้านี้ เธอคงจะดีใจกว่านี้
“ข้างใน…ไม่ค่อยสะดวก”เขาเว้นคำ…คุย ร่างสูงในเสื้อยืดกางเกงยีนส์สีเข้มเดินนำกลับมาที่โต๊ะ แววตาใต้หมวกแก๊ปสีดำเป็นประกายระยิบ“นี่เราเอาไวน์มา ขวดนี้อร่อยนะ ลองชิมไหม”
“ชิมนิดก็ได้แต่ถ้าเป็นเบียร์จะน่าสนกว่า”
“เดี๋ยวเลี้ยงเบียร์หนึ่งแก้ว”
“จริงเหรอ”ท่าทางดีใจนั้นแสดงชัดเจน ก่อนจะบอก “วันนี้เลิกงานเร็ว”
“ทำไมจะไปต่อที่ไหน” เสียงของเขาเข้มขึ้นอย่างตั้งใจ
“พี่ธัญญาจะไปเฮเวนส์คืนนี้เพราะผู้จัดการบ้านโน้นลา ก็กะว่าจะตามไป แล้วแวะไปที่ๆ เค้าไปประจำ”
“งั้นเหรอ”แค่นั้น ตุลย์ไม่ยื้อ ไม่ชักชวน เขาหยิบแก้วไวน์มาจิบ
และเมื่ออีกฝ่ายนิ่งเงียบ หญิงสาวจึงพยายามหาเรื่องคุย “ต้องเข้ากรุงเทพฯ อีกหรือเปล่า”
“ดูก่อนไม่พรุ่งนี้ก็อีกสองสามวัน”
“ออกจากงานแล้วไม่ต้องไปยุ่งกับคนพวกนั้น แล้วยังคิ้วขมวดเรื่องอะไรอีก”
คราวนี้เขาวางแก้วไวน์ลงเอนตัวกอดอกพิงพนักเก้าอี้ “มันก็มีเรื่องให้คิดเรื่อยๆ เช่นต้องเจอกับพวกที่ไม่อยากเจอ”
“ถ้าเจอแล้วมันทำให้ปัญหาจบก็เจอๆ ไปเถอะ” หญิงสาวมองเขา แล้วลดเสียงลงต่ำ “กับแฟนเก่าเค้าก็ไม่อยากเจอแต่ต้องเจอเพราะลูก เพราะธุระ”
“ยังตัดกันไม่ขาดเหรอ”
“ขาดแล้วขาดสะบั้น” เอื้องคำหัวเราะ “เขาก็มีปัญหาของเขา มีปัญหากับคนใหม่ อยากให้เอื้องกลับไปแต่เอื้องไม่กลับ ไม่เอาแล้วเข็ด นี่เลิกกันเกือบสองปีแล้ว”
“ทำไมเลิก”
“เราไม่ค่อยมีเวลาให้กันมันเลยห่าง เมื่อก่อนอยู่กรุงเทพฯ ก็อยู่คนละที่ เวลาเลิกงาน วันหยุดก็ไม่ตรงกันมารู้อีกที เขาไปมีคนอื่น เอื้องเลยขอเลิก”
“แล้วถ้าเขาจะกลับมาล่ะ”
“ไม่! ไม่เอาอีกแล้ว”การยืนยันนั้นด้วยเสียงหนักแน่น
“ทำไมพอพูดเรื่องนี้ตาถึงแดงๆ”
ความช่างสังเกตของเขาแล้วยังเสียงเย้าแหย่ ทำให้หญิงสาวคลี่ยิ้มใช้นิ้วแตะขอบตาเรียวโตที่วาดได้อย่างสวยงาม
“โอ๊ย…เป็นเพราะดื่มไปหลายแก้วคืนนี้แล้วยังคอนแทค์เลนส์อีก” เอื้องคำรินไวน์ให้เขา ยื่นแก้วให้อย่างเอาใจ มองคนที่รับไปอย่างระมัดระวังราวกลัวถูกมือเธอ“เดี๋ยวไปดูพี่ธัญญาก่อนว่าจะไปกี่โมง”
หญิงสาวลุกขึ้นเตรียมเดินออกไปหากช้ากว่ามือที่จับแขนเธอไว้
“คืนนี้ไม่ไปได้ไหมอยากดื่มอะไรก็สั่ง เราเลี้ยง แล้วเดี๋ยวเราพาไปส่งบ้านเอง” เสียงของเขาเป็นจังหวะไม่ได้ออดอ้อน และไม่ได้สั่ง มันเป็นการขอร้องกลายๆ แล้วยังแววตาระยิบคู่นั้นอีก
นั่นทำให้หญิงสาวพยักหน้าเพราะการอยู่ก็ไม่ได้เสียหายอะไร ทว่าการไปมันหมายถึงไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับเขา
เอื้องคำนั่งลงที่เดิมหยิบโทรศัพท์ออกมา “ไลน์ไปบอกพี่ธัญญาก็ได้”
ระยะนี้หากเป็นอะไรที่เกี่ยวกับตุลย์เธอมักทำได้ ทำให้เสมอ และยิ่งมีโอกาสที่จะใช้เวลาอยู่ด้วยกันแบบนี้ เอื้องคำย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือ
ตุลย์คุยง่ายท่าทางสบายๆ ไม่ทุกข์ร้อน แลดูอารมณ์ดีเป็นนิจ เขาไว้ตัวนิดๆ แต่ไม่ได้ดุ โมโหร้ายหรือร้ายกาจจนผีสาง เทวดากลัว แบบที่ธัญญาหรือใครต่อใครเล่าขาน
เขามีความอ่อนโยนที่อย่าว่าแต่ในตอนนี้แม้แต่ในคืนนั้นที่เขาแทบไม่ได้สติเพราะฤทธิ์เหล้า เขาก็ยังอ่อนโยนและช่างออดอ้อน
“ลมเริ่มพัดแรงสงสัยฝนจะตก” เขาบอกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเก็บโทรศัพท์ไปแล้ว“เราย้ายไปนั่งข้างในกันไหม”
“ทำไมกลัวฝนเหรอ” ริมฝีปากได้รูปแย้มอย่างมีเลศนัย “ทีคืนนั้นไม่เห็นกลัว”
อีกแล้วที่ตุลย์เสหัวเราะเมื่ออีกฝ่ายทวนความทรงจำเกี่ยวกับ…คืนที่ฝนพรำ
คืนที่เขาจำหลายอย่างแทบไม่ได้
แต่ก็มีบางอย่างที่จำได้แม้ว่าเขาพยายามลืม…ไม่คิด
“ไม่ได้กลัวฝน”ชายหนุ่มมองหน้าอีกฝ่าย
“แล้วกลัวอะไร”
“ไม่กลัวอะไร”
“ผีก็ไม่กลัวสารพัดสัตว์ก็ไม่กลัว ฟ้าร้อง ฟ้าฝ่าก็ไม่กลัว แล้วกลัวอะไรบ้างเนี่ย”
คราวนี้คิ้วเข้มขมวดแววตาจริงจัง ก่อนจะตอบเสียงหนักแน่น “กลัวว่าความยุติธรรมไม่มีจริงกลัวว่าคนผิดจะไม่ได้รับโทษ”
นั่นทำให้หญิงสาวยิ้มอย่างเข้าใจเห็นใจ
หากก็อดคิดไม่ได้ว่าเรื่องระหว่างเขากับเธอตอนนี้ เป็นเพราะเขาแค่รู้สึกผิดหรือเปล่า จากเรื่อง…คืนนั้น!
แล้วกลับมาเพื่อไถ่โทษเพื่อให้ความยุติธรรมแก่เธอเท่าบ้างนั้นเอง
มัทนา หรือที่ทุกคนเรียกคุณขวัญ…คือผู้หญิงคนเดียวในรอบหลายปี ที่ตุลย์พามาเทวนิรมิต
มาเที่ยว กินดื่ม และค้างคืนที่โรงแรม
หลายเดือนก่อนตุลย์เคยพาผู้หญิงคนนั้นมานั่งชมวิวยามพระอาทิตย์ตกดินริมฝั่งน้ำแล้วเข้าไปกินดื่มกันอย่างมีความสุขด้านใน
เอื้องคำจำได้ผู้หญิงคนนั้นสวย แลดูสดใส โดยไม่ต้องเสริมแต่งมากมาย ผิวพรรณขาวนวลละเอียดผุดผ่องนักรอยยิ้มในดวงตางดงาม ทำให้สายตาและรอยยิ้มของตุลย์ไม่มีเผื่อแผ่ให้ใครอื่น ไม่ว่าจะเป็นเธอหรือธัญญา
ทุกสิ่งที่เธอผู้นั้นต้องการเขาสรรหามาให้ได้เสมอ
ทั้งคู่นั่งคุยหยอกล้อกันเป็นชั่วโมง
ดื่ม กินโดยไม่สนใจใครอื่น ไม่ลุกไปไหน ก็คงคล้ายๆ ที่ตุลย์ทำกับเธอในพักหลังๆ
เพียงแต่กับผู้หญิงคนนั้นเขาทำราวว่า
เมื่อรู้ว่ารักดั่งศรปัก ชะงักลงตรงจิตไม่คิดหนี
ราบหมอบเห็นเป็นทาสเทวี ปฐพีคือที่จองจำฯ
มัทนาสวยสะดุดตาขนาดผู้หญิงด้วยกันยังต้องเหลียวหลังมอง ซ้ำการศึกษาและฐานะทางบ้านก็ดีทุกอย่างเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นช่างไร้ที่ติ
…เทพอุ้มสม…
ธัญญาเคยบัญญัติความสัมพันธ์ไว้เช่นนั้น
ทว่าระหว่างที่ตุลย์พักฟื้นจากบาดแผลหรือแม้แต่ตอนงานศพเตชน์และณัฐมน ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่เคยปรากฏตัวให้เห็นไม่เคยมาเยี่ยม หรือถามสารทุกข์สุขดิบ
‘อาจจะดูแลพี่ตุลย์ที่กรุงเทพฯ’ธัญญาสรุปและเอื้องคำก็เห็นด้วย
มันก็ควรเป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือคุณหนูพันล้านกับตุลย์ เหมาะสม และคู่ควรกัน ไม่ใช่เธอ…ที่เป็นแค่ร่างๆหนึ่งที่เขาพร่ำพลอดกอดไว้ ตักตวงในห้วงพิศวาสของคืนที่เขาเมาเหล้า เมาอารมณ์
(ต่อ)
เปลวพิศวาส (บทที่ 4) โดย มานัส
“เจ้ว่าคืนนี้คุณตุลย์จะมาไหม”ว่าจะไม่ถาม แต่เอื้องคำก็แพ้ใจตัวเอง ถามจนได้
หลังจากคืนนั้นที่ตุลย์ไปส่งที่บ้านอีกวันเขาก็กลับมา ได้คุยกันตอนที่เธอเข้าไปดูแลเรื่องอาหารเครื่องดื่มของเขา ผสมค็อกเทลพิเศษให้เขาดื่มแค่นี้ก็ได้รู้จักเขามากขึ้น มันทำให้เธอมีความสุข จนแอบโพส์รูปบรรยากาศริมน้ำลงโซเชียล…ลมเย็นดีจัง
และลมมักจะเย็นสบายและดีเวลาที่มีเขาอยู่ในสายตา
สบายตาสบายใจจนเธอสามารถเล่าหลายเรื่องให้เขาฟัง
คุยเรื่องส่วนตัวเรื่องเพลงที่ชอบ เรื่องชีวิตประจำวันไปจนถึงเรื่องเข้าวัดทำบุญ
และเขาเองก็รู้จักสรรหาเรื่องคุยรู้จักถาม ทำให้การสนทนาดำเนินไปเรื่อยๆ ไม่น่าเบื่อ
องค์ชายน้อยนักเรียนนอก ชายหนุ่มสังคมจัด ใช้ชีวิตที่ไม่ผูกติดผูกมัด รู้หลายเรื่องสันทัดหลายอย่าง เห็นโลกมามากมาย แถมยังรู้จักเข้าวัดทำบุญด้วย
ยิ่งได้คุยเอื้องคำก็ยิ่งอยากอยู่ใกล้เขา อยากได้ยินเสียงเขา อยากมองเขา
หากการคุยก็ต้องระวังเพราะธัญญาจับตามองอยู่ หญิงสาวไม่อยากทำให้ธัญญาระแวงสงสัยเพราะไม่แน่ใจในความรู้สึกที่ผู้เป็นเจ้านายและรุ่นพี่ที่นับถือมีต่อตุลย์
ธัญญาไม่เคยเล่าไม่เคยพูด แต่เอื้องคำรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงตุลย์ยิ่งนักเฝ้าติดตามความเป็นไปของเขาแทบทุกฝีก้าว เขาไปไหน เมื่อไร ที่ไหน กับใคร
คืนนั้นที่ตุลย์เมาหนักก็เป็นธัญญาที่ตัดสินใจพาเขาลับห้องพักของเธอ แทนที่จะส่งกลับบ้านพี่ชายหรือเข้าพักที่เทวนิรมิต
‘พี่ตุลย์จะได้โดนพี่เตชน์ตำหนิสิ’
วันที่เกิดโศกนาฏกรรมธัญญาเป็นห่วงตุลย์มากกว่าอื่นใด มากกว่าที่จะฟูมฟายเพราะการตายของเตชน์และณัฐมน
หากตุลย์ไม่เคยแสดงท่าทีหรือความรู้สึกกับธัญญาหรือใครอื่นเขาเว้นช่องว่างความสัมพันธ์อย่างพอดี ระมัดระวังตัวนัก ขนาดกับเธอเอื้องคำมองออกว่าเขาระวังเช่นกัน แค่จะยกโทรศัพท์มือถือถ่ายรูป เขายังปัดมือ รีบหันหน้าหนีสิ่งที่เธอถ่ายได้ก็แค่โต๊ะที่มีทั้งขวดและแก้วไวน์ของเขาวางอยู่
ได้แค่นี้ก็ยังดีก็เก็บไว้เป็นความทรงจำได้
“จะถามทำไมจะมาจะไปก็เรื่องของเขา” ธัญญาหันมาจ้องเขม็ง
“ปรกติวันธรรมดาเขาก็มานี่ยิ่งลาออกจากงานแล้ว น่าจะมีเวลา…”
“แล้วไปรู้ได้ยังไงว่าเขาออกจากงาน”ธัญญาคาดคั้น เพราะเรื่องนี้ แม้แต่เธอก็เพิ่งรู้เมื่อไม่กี่วันเอง
“ก็วันก่อน เขาแวะมาที่ร้านบ่นว่าทนไม่ไหว ทั้งออฟฟิศโกงกันสนั่น อย่างว่าเนอะ คนเราศีลไม่เสมอกัน”
“รู้แบบนี้ก็ดีแล้วพี่ตุลย์ดี คุยด้วยได้ แต่อย่าให้มันเกินไป เขากับเราต่างกัน อย่าไปตีตนเสมอเขา หรือทำตัวสนิทสนมเกินเหตุ”
การเตือนทำให้ต้องคิดทำให้ไม่สามารถลืมความคิดนี้ได้
…ตุลย์กับเธอช่างแตกต่างกันนัก…วิถีชีวิตต่างกัน ทางเดินชีวิตก็ต่างกัน
ถ้าไม่ใช่…คืนนั้นทางเดินชีวิตของเราก็คงไม่มีวันบรรจบพบเจอ
เอื้องคำออกมาด้านนอกอัดบุหรี่แล้วผ่อนควันออก พยายามคลายความคิดที่รุมเร้าทั้งหมดออกจากหัว กลบความรู้สึกในหัวใจ
“เครียดอะไรเบอร์นั้น”
เสียงสนุกจงใจหยอกล้อทำให้หญิงสาวหันไป รอยยิ้มคลี่ออก พร้อมกับที่เธอรีบดับบุหรี่มวนนั้นเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
“บุหรี่ทำให้หายเครียดหรือเปล่าหนออัดๆ เข้าไปยิ่งอึดอัดแย่” เขายิ้ม ตาฉ่ำ แสดงว่ามาถึงพักใหญ่แล้วและดื่มไปประมาณหนึ่งแล้ว
“ทำไมไม่ไปนั่งข้างใน”เอื้องคำถาม ถ้าเห็นเขาก่อนหน้านี้ เธอคงจะดีใจกว่านี้
“ข้างใน…ไม่ค่อยสะดวก”เขาเว้นคำ…คุย ร่างสูงในเสื้อยืดกางเกงยีนส์สีเข้มเดินนำกลับมาที่โต๊ะ แววตาใต้หมวกแก๊ปสีดำเป็นประกายระยิบ“นี่เราเอาไวน์มา ขวดนี้อร่อยนะ ลองชิมไหม”
“ชิมนิดก็ได้แต่ถ้าเป็นเบียร์จะน่าสนกว่า”
“เดี๋ยวเลี้ยงเบียร์หนึ่งแก้ว”
“จริงเหรอ”ท่าทางดีใจนั้นแสดงชัดเจน ก่อนจะบอก “วันนี้เลิกงานเร็ว”
“ทำไมจะไปต่อที่ไหน” เสียงของเขาเข้มขึ้นอย่างตั้งใจ
“พี่ธัญญาจะไปเฮเวนส์คืนนี้เพราะผู้จัดการบ้านโน้นลา ก็กะว่าจะตามไป แล้วแวะไปที่ๆ เค้าไปประจำ”
“งั้นเหรอ”แค่นั้น ตุลย์ไม่ยื้อ ไม่ชักชวน เขาหยิบแก้วไวน์มาจิบ
และเมื่ออีกฝ่ายนิ่งเงียบ หญิงสาวจึงพยายามหาเรื่องคุย “ต้องเข้ากรุงเทพฯ อีกหรือเปล่า”
“ดูก่อนไม่พรุ่งนี้ก็อีกสองสามวัน”
“ออกจากงานแล้วไม่ต้องไปยุ่งกับคนพวกนั้น แล้วยังคิ้วขมวดเรื่องอะไรอีก”
คราวนี้เขาวางแก้วไวน์ลงเอนตัวกอดอกพิงพนักเก้าอี้ “มันก็มีเรื่องให้คิดเรื่อยๆ เช่นต้องเจอกับพวกที่ไม่อยากเจอ”
“ถ้าเจอแล้วมันทำให้ปัญหาจบก็เจอๆ ไปเถอะ” หญิงสาวมองเขา แล้วลดเสียงลงต่ำ “กับแฟนเก่าเค้าก็ไม่อยากเจอแต่ต้องเจอเพราะลูก เพราะธุระ”
“ยังตัดกันไม่ขาดเหรอ”
“ขาดแล้วขาดสะบั้น” เอื้องคำหัวเราะ “เขาก็มีปัญหาของเขา มีปัญหากับคนใหม่ อยากให้เอื้องกลับไปแต่เอื้องไม่กลับ ไม่เอาแล้วเข็ด นี่เลิกกันเกือบสองปีแล้ว”
“ทำไมเลิก”
“เราไม่ค่อยมีเวลาให้กันมันเลยห่าง เมื่อก่อนอยู่กรุงเทพฯ ก็อยู่คนละที่ เวลาเลิกงาน วันหยุดก็ไม่ตรงกันมารู้อีกที เขาไปมีคนอื่น เอื้องเลยขอเลิก”
“แล้วถ้าเขาจะกลับมาล่ะ”
“ไม่! ไม่เอาอีกแล้ว”การยืนยันนั้นด้วยเสียงหนักแน่น
“ทำไมพอพูดเรื่องนี้ตาถึงแดงๆ”
ความช่างสังเกตของเขาแล้วยังเสียงเย้าแหย่ ทำให้หญิงสาวคลี่ยิ้มใช้นิ้วแตะขอบตาเรียวโตที่วาดได้อย่างสวยงาม
“โอ๊ย…เป็นเพราะดื่มไปหลายแก้วคืนนี้แล้วยังคอนแทค์เลนส์อีก” เอื้องคำรินไวน์ให้เขา ยื่นแก้วให้อย่างเอาใจ มองคนที่รับไปอย่างระมัดระวังราวกลัวถูกมือเธอ“เดี๋ยวไปดูพี่ธัญญาก่อนว่าจะไปกี่โมง”
หญิงสาวลุกขึ้นเตรียมเดินออกไปหากช้ากว่ามือที่จับแขนเธอไว้
“คืนนี้ไม่ไปได้ไหมอยากดื่มอะไรก็สั่ง เราเลี้ยง แล้วเดี๋ยวเราพาไปส่งบ้านเอง” เสียงของเขาเป็นจังหวะไม่ได้ออดอ้อน และไม่ได้สั่ง มันเป็นการขอร้องกลายๆ แล้วยังแววตาระยิบคู่นั้นอีก
นั่นทำให้หญิงสาวพยักหน้าเพราะการอยู่ก็ไม่ได้เสียหายอะไร ทว่าการไปมันหมายถึงไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับเขา
เอื้องคำนั่งลงที่เดิมหยิบโทรศัพท์ออกมา “ไลน์ไปบอกพี่ธัญญาก็ได้”
ระยะนี้หากเป็นอะไรที่เกี่ยวกับตุลย์เธอมักทำได้ ทำให้เสมอ และยิ่งมีโอกาสที่จะใช้เวลาอยู่ด้วยกันแบบนี้ เอื้องคำย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือ
ตุลย์คุยง่ายท่าทางสบายๆ ไม่ทุกข์ร้อน แลดูอารมณ์ดีเป็นนิจ เขาไว้ตัวนิดๆ แต่ไม่ได้ดุ โมโหร้ายหรือร้ายกาจจนผีสาง เทวดากลัว แบบที่ธัญญาหรือใครต่อใครเล่าขาน
เขามีความอ่อนโยนที่อย่าว่าแต่ในตอนนี้แม้แต่ในคืนนั้นที่เขาแทบไม่ได้สติเพราะฤทธิ์เหล้า เขาก็ยังอ่อนโยนและช่างออดอ้อน
“ลมเริ่มพัดแรงสงสัยฝนจะตก” เขาบอกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเก็บโทรศัพท์ไปแล้ว“เราย้ายไปนั่งข้างในกันไหม”
“ทำไมกลัวฝนเหรอ” ริมฝีปากได้รูปแย้มอย่างมีเลศนัย “ทีคืนนั้นไม่เห็นกลัว”
อีกแล้วที่ตุลย์เสหัวเราะเมื่ออีกฝ่ายทวนความทรงจำเกี่ยวกับ…คืนที่ฝนพรำ
คืนที่เขาจำหลายอย่างแทบไม่ได้
แต่ก็มีบางอย่างที่จำได้แม้ว่าเขาพยายามลืม…ไม่คิด
“ไม่ได้กลัวฝน”ชายหนุ่มมองหน้าอีกฝ่าย
“แล้วกลัวอะไร”
“ไม่กลัวอะไร”
“ผีก็ไม่กลัวสารพัดสัตว์ก็ไม่กลัว ฟ้าร้อง ฟ้าฝ่าก็ไม่กลัว แล้วกลัวอะไรบ้างเนี่ย”
คราวนี้คิ้วเข้มขมวดแววตาจริงจัง ก่อนจะตอบเสียงหนักแน่น “กลัวว่าความยุติธรรมไม่มีจริงกลัวว่าคนผิดจะไม่ได้รับโทษ”
นั่นทำให้หญิงสาวยิ้มอย่างเข้าใจเห็นใจ
หากก็อดคิดไม่ได้ว่าเรื่องระหว่างเขากับเธอตอนนี้ เป็นเพราะเขาแค่รู้สึกผิดหรือเปล่า จากเรื่อง…คืนนั้น!
แล้วกลับมาเพื่อไถ่โทษเพื่อให้ความยุติธรรมแก่เธอเท่าบ้างนั้นเอง
มัทนา หรือที่ทุกคนเรียกคุณขวัญ…คือผู้หญิงคนเดียวในรอบหลายปี ที่ตุลย์พามาเทวนิรมิต
มาเที่ยว กินดื่ม และค้างคืนที่โรงแรม
หลายเดือนก่อนตุลย์เคยพาผู้หญิงคนนั้นมานั่งชมวิวยามพระอาทิตย์ตกดินริมฝั่งน้ำแล้วเข้าไปกินดื่มกันอย่างมีความสุขด้านใน
เอื้องคำจำได้ผู้หญิงคนนั้นสวย แลดูสดใส โดยไม่ต้องเสริมแต่งมากมาย ผิวพรรณขาวนวลละเอียดผุดผ่องนักรอยยิ้มในดวงตางดงาม ทำให้สายตาและรอยยิ้มของตุลย์ไม่มีเผื่อแผ่ให้ใครอื่น ไม่ว่าจะเป็นเธอหรือธัญญา
ทุกสิ่งที่เธอผู้นั้นต้องการเขาสรรหามาให้ได้เสมอ
ทั้งคู่นั่งคุยหยอกล้อกันเป็นชั่วโมง
ดื่ม กินโดยไม่สนใจใครอื่น ไม่ลุกไปไหน ก็คงคล้ายๆ ที่ตุลย์ทำกับเธอในพักหลังๆ
เพียงแต่กับผู้หญิงคนนั้นเขาทำราวว่า
เมื่อรู้ว่ารักดั่งศรปัก ชะงักลงตรงจิตไม่คิดหนี
ราบหมอบเห็นเป็นทาสเทวี ปฐพีคือที่จองจำฯ
มัทนาสวยสะดุดตาขนาดผู้หญิงด้วยกันยังต้องเหลียวหลังมอง ซ้ำการศึกษาและฐานะทางบ้านก็ดีทุกอย่างเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นช่างไร้ที่ติ
…เทพอุ้มสม…
ธัญญาเคยบัญญัติความสัมพันธ์ไว้เช่นนั้น
ทว่าระหว่างที่ตุลย์พักฟื้นจากบาดแผลหรือแม้แต่ตอนงานศพเตชน์และณัฐมน ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่เคยปรากฏตัวให้เห็นไม่เคยมาเยี่ยม หรือถามสารทุกข์สุขดิบ
‘อาจจะดูแลพี่ตุลย์ที่กรุงเทพฯ’ธัญญาสรุปและเอื้องคำก็เห็นด้วย
มันก็ควรเป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือคุณหนูพันล้านกับตุลย์ เหมาะสม และคู่ควรกัน ไม่ใช่เธอ…ที่เป็นแค่ร่างๆหนึ่งที่เขาพร่ำพลอดกอดไว้ ตักตวงในห้วงพิศวาสของคืนที่เขาเมาเหล้า เมาอารมณ์
(ต่อ)