เรือนครูเที่ยง...
ครูเที่ยงเห็นว่าเพลิงศิษย์รักมาล้มป่วยจึงสั่งให้บังอรทำข้าวต้มไว้ให้เพลิง แล้วสั่งให้ทับทิมกับจุกเอาข้าวเอาน้ำไปส่งและอยู่ดูแลจนกว่าอาการป่วยของเพลิงจะดีขึ้น แต่ทับทิมกลัวจะผิดใจกับสิงห์อีก จึงสั่งให้จุกไปใช้อบเชยแทน เพราะทับทิมรู้ดีแก่ใจว่าหากเป็นอบเชยคอยดูแล เพลิงต้องมีกำลังใจในการหายไข้เร็วขึ้นเป็นแน่ อบเชยยอมไปแต่โดยดี เพราะหากเป็นคำสั่งของทับทิม อบเชยก็ไม่เคยคิดจะปฏิเสธอยู่แล้ว
อบเชยแตะหน้าผากวัดไข้เพลิงเห็นว่าตัวยังรุมๆอยู่จึงไปบิดผ้ามาจะเช็ดตัวให้ อบเชยค่อยๆปลดกระดุมเสื้อเพลิงออกแล้วกวาดเช็ดลำคอและหน้าอกอย่างเบามือ เพลิงตื่นขึ้นมาเห็นอบเชยกำลังเช็ดตัวให้ก็ตกใจสะดุ้งลุกขึ้นมานั่ง อบเชยจึงบอกว่าตนมาดูแลตามคำสั่งพ่อ แล้วสั่งให้เพลิงถอดเสื้อออกตนจะเช็ดหลังให้ เพลิงทำตามคำสั่ง อบเชยค่อยๆบรรจงเช็ดแผ่นหลังของชายหนุ่ม เพลิงเริ่มรู้สึกหน้าร้อนผ่าว หัวใจเต้นผิดจังหวะ จึงบอกอบเชยว่าพอแล้ว เดี๋ยวตนเช็ดต่อเอง อบเชยยื่นผ้าให้ แล้วลุกไปจัดสำรับกับข้าวพร้อมกับยามาให้เพลิง เพลิงรู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน วาดฝันว่าหากมีอบเชยอยู่ดูแลเช่นนี้ในทุกวัน ตนจะต้องเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุดบนโลกใบนี้
เมื่ออบเชยยื่นถ้วยข้าวต้มให้ เพลิงจึงแกล้งออดอ้อนว่ามือไม่มีแรงจะจับช้อน อบเชยจึงยอมป้อนข้าวให้เพลิงตามประสาซื่อ...
“โอ๊ย ลิ้นพี่พองหมดแล้วอบเชย” เพลิงร้องลั่นเมื่ออบเชยลืมเป่าข้าวต้มที่เพิ่งทำเสร็จร้อนๆ
“ฉันขอโทษจ้ะ”
อบเชยรีบบอกขอโทษก่อนจะไม่ลืมเป่าข้าวต้มบนช้อน ก่อนป้อนเข้าปากเพลิง เพลิงเคียวข้าวตุ้ยๆ ใบหน้าร่าเริงดีใจที่มีอบเชยมาคอยดูแล กินข้าวกินยาจนหมดเกลี้ยง อบเชยจึงบอกให้นอนพักผ่อน ตนจะกลับไปทำงานบ้าน แล้วตอนเที่ยงจะแวะมาส่งข้าวอีกที เพลิงพยักหน้าตอบรับ แล้วยอมนอนลงพักผ่อน มองตามอบเชยที่เดินออกจากเรือนไปไม่ละสายตา
ระหว่างทางอบเชยต้องหยุดชะงักเมื่อพบกับสิงห์ สิงห์ฝากมะม่วงน้ำดอกไม้พวงใหญ่ไปให้ทับทิมและบอกว่าหากอบเชยอยากกินก็แบ่งกินได้ อบเชยอึกอักแต่ก็รับมาและรีบขอตัวเดินจากไป สิงห์เห็นท่าทีแปลกๆก็นึกสงสัยแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก
ผ่านพ้นหลังสิงห์ไปเพียงไม่กี่ก้าว หยาดน้ำตาใสๆของอบเชยก็ไหลรินลงอาบแก้ม ภาพเหตุการณ์ในวันที่สิงห์กอดจูบกับทับทิมที่น้ำตกยังติดอยู่ในใจไม่หาย อบเชยฝากพวงมะม่วงให้จุกเอาไปให้ทับทิม ก่อนจะหลบมุมอยู่เงียบๆเพียงคนเดียว เฝ้านึกถึงวันวานของตนกับสิงห์ ก่อนหยาดน้ำตาใสๆจะไหลรินมาอีกครั้ง เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าคงเป็นไปไม่ได้แล้ว
00000000
วันต่อมา...
เพลิงเริ่มอาการทุเลาจึงมาหาอบเชยที่เรือนครูเที่ยง เพลิงไม่ยอมอยู่เฉยช่วยอบเชยทำงานทุกอย่าง จนอบเชยแทบจะไม่ได้หยิบจับอะไร บอกว่าอยากตอบแทนที่อบเชยไปดูแลตน อบเชยปรามว่าเพลิงพึ่งฟื้นไข้ไม่อยากให้ทำงานหนักเดี๋ยวไข้จะกลับแต่เพลิงก็ไม่ฟัง อบเชยจึงปล่อยให้เพลิงทำตามใจ พอตกเย็นเพลิงอาสาพายเรือให้อบเชยนั่ง ดอกบัวสวยงามดาษดื่น อบเชยบรรจงเก็บดอกบัวจนเต็มกำมือ เพลิงมองอบเชยไม่วางตา ก่อนจะเอ่ยปากชวนไปเที่ยวงานลอยคอมประทีปประจำปีที่ใกล้จะมาถึง
“พ่อไม่ให้ฉันไปดอก งานประจำปี คนเยอะ พี่ไปชวนพี่ทับทิมเถิด พ่อให้ฉันอยู่เฝ้าบ้านเป็นแน่ ทุกปีก็เป็นเช่นนั้น” อบเชยปฏิเสธแววตาเศร้าเพราะลึกๆก็น้อยใจที่พ่อไม่ยอมให้ไปเที่ยวเล่นอย่างทับทิม
“หากอบเชยอยากไป พี่จะไปขอครูให้ อยู่กับพี่เอ็งจะไม่ได้รับอันตราย แม้แต่รอยขีดข่วนพี่ก็จะไม่ให้มี ครูเที่ยงต้องให้ไปเป็นแน่”
“จริงรึจ้ะ ขอบน้ำใจพี่เพลิงนัก ฉันฝันอยากไปเที่ยวงานวัดมาตั้งนานแล้ว” อบเชยดีใจที่ตนจะได้ออกนอกบ้านยามค่ำคืนเป็นครั้งแรกในชีวิต
00000000
งานลอยโคมประทีปประจำปี ณ วิเศษชัยชาญ...
งานวัดยิ่งใหญ่และตื่นตาตื่นใจตามคาด เพลิงกับอบเชยเดินชมโน่นนี่อย่างเพลิดเพลิน โดยมีจุกตามประกบอยู่ไม่ห่าง อบเชยสนใจทุกอย่างที่พบเห็น แวะไปทั่วทุกที่
“งานวัดปีนี้จัดใหญ่จัดโตกว่าทุกปีอีกเนอะพี่เพลิง”
“เออ แต่ติดอยู่อย่างเดียว”
“ติดกระไรหรือจ๊ะ”
“ก็ติดที่เอ็งตามมาเป็นก้างขวางคอข้ากับอบเชยนี่อย่างไร ทำไมไม่ไปตามทับทิมกับไอ้สิงห์มันเล่า แต่ก่อนเอ็งไม่เคยอยู่ห่างนังทับทิมมันเลยนี่”
“ก็ตั้งแต่มีไอ้สิงห์ พี่ทับทิมก็ถีบหัวส่งฉันไปเลย ขี้ม้าสีหมอกมางานกันสองคน ไม่มีพื้นที่ให้ไอ้จุกติดสอยห้อยตามมาบ้างเลย นี่ถ้าไม่ได้อาศัยนั่งเรือมากับพี่เพลิงฉันก็ไม่รู้จะมางานกับใคร สงสารไอ้จุกเถิด เดี๋ยวขากลับจะช่วยพี่เพลิงพายเรือนะจ๊ะ”
เพลิงส่ายหน้าระอาที่จุกตามมาเป็นก้างขวางคอตน
“ว่าแต่สองคนนั้นอยู่ที่ใดกัน งานวัดออกใหญ่โตจะเจอกันรึ” เพลิงหมายถึงสิงห์กับทับทิม
“ฉันก็มองหาอยู่ แต่ไม่น่าจะเจอกันง่ายๆดอกจ้ะ” จุกออกความเห็น
“พี่เพลิง ไอ้จุก ไปลอยกระทงกันเถิดจ้ะ” อบเชยเดินถือกระทงสองอันมาแบ่งให้เพลิงอันหนึ่ง
“เอ้า แล้วของฉันเล่า อย่าบอกนะว่าฉันถูกลืมอีกแล้ว” จุกตัดพ้อน้อยใจ
“ขอโทษนะจุก ก็ฉันไม่รู้ว่าจะมาด้วยเลยไม่ได้ทำมาเผื่อ” เพลิงนึกอะไรขึ้นได้จึงรีบฉวยโอกาส
“อ้ะ ไอ้จุก ข้าให้เอ็ง” เพลิงยื่นกระทงให้จุก จุกรีบรับมายิ้มดีใจ
“ให้ฉันรึ พี่เพลิงของไอ้จุกช่างน้ำใจงามแท้” จุกรีบชื่นชมพี่ชายคนสนิท แล้วรีบตรงดิ่งไปลอยกระทงที่ท่าน้ำขอพรเสียงดัง
“พระแม่คงคาจ๋า ขอให้ไอ้จุกได้มีน้ำเย็นๆอาบตลอดทั้งปี แล้วก็ขอให้ในน้ำมีปลาๆเยอะๆไอ้จุกจะได้จับไปให้แม่ทำกับข้าวกับปลานะจ๊ะ”
จุกปล่อยกระทงล่องลอยไปด้วยท่าทีร่าเริงเหมือนเคย
“แล้วพี่เพลิงจะเอากระทงที่ไหนมาลอยเล่าจ๊ะ” อบเชยเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเพลิงสละกระทงให้จุกไปแล้ว
“พี่ขอลอยกระทงเดียวกันกับอบเชยได้ไหมจ๊ะ กระทงอบเชยอันใหญ่ ลอยสองคนคงไม่เป็นกระไรดอก...นะจ๊ะ” เพลิงส่งสายตาออดอ้อน
“ก็ได้จ้ะ”
อบเชยอนุญาต แล้วพากันเดินไปลอยกระทงที่ท่าน้ำ ทั้งคู่หลับตาเสี่ยงทายก่อนจะค่อยๆปล่อยกระทงล่องลอยไป เมื่อกระทงตรงดิ่งไปอย่างไม่หลงทิศทั้งคู่ก็ยิ้มดีใจ
“อบเชยเสี่ยงทายว่ากระไรรึจ๊ะ เห็นหลับตาอยู่นาน” อบเชยเผยแววตาเศร้า
“ฉันเสี่ยงทายว่าหากฉันกับพี่ทับทิมจะกลับมารักใคร่กันเหมือนพี่น้องคนอื่นเขา ก็ขอให้กระทงไม่หลงทิศ” อบเชยมองตามกระทงไปอย่างมีความหวัง ก่อนจะหันมาถามเพลิงว่าเสี่ยงทายอะไร เพลิงส่งสายตาซึ้งก่อนจะตอบคำถาม
“พี่ก็ขอให้เอ็งสมหวังในทุกอย่าง...ที่เอ็งปารถนา” ทั้งคู่มองหน้ากันสักพัก ก่อนอบเชยจะส่งยิ้มหวานออกมาแทนคำขอบใจ
00000000
ทางด้านทับทิมกับสิงห์ก็ควบม้าสีหมอกมาผูกที่ต้นไม้บริเวณใกล้วัด ก่อนจะพากันเดินเข้างาน สิงห์บอกเล่าว่าหลงรักทับทิมตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอที่งานวัดคราวก่อน ทับทิมนึกย้อนไปวันนั้นก็หัวเราะเพราะไม่คิดว่าจะมาลงเอยกันได้ ทั้งคู่พายเรือออกไปลอยกระทงกลางน้ำด้วยกันใต้แสงจันทร์สีนวล
“จากนี้ไปเราสองคนจะต้องมาลอยกระทงขอขมาพระแม่คงคาด้วยกันทุกปีนะทับทิม”
“เหตุใดเอ็งพูดเช่นนั้น พูดเหมือนเราจะจากกัน หรือว่าเอ็งคิดถึงบ้าน”
“ฉันแค่อยากมีทับทิมอยู่ข้างๆตลอดไป...ทับทิมสัญญาได้หรือไม่ สัญญาต่อหน้าพระแม่คงคา ว่าภายหน้าไม่ว่าจะเกิดกระไรขึ้น เราจะยังคงอยู่เคียงข้างกันอย่างนี้”
สิงห์กุมมือทับทิมขึ้นมา แต่มีทีท่ากังวล...
“เอ็งเป็นกระไร พูดจาชอบกลนัก พูดเหมือนกลัวข้าจะจากไปไหน”
“ใช่...ฉันหวั่นใจนัก...ว่าเราจะต้องพรากจากกัน” สิงห์เผยเรื่องกังวลใจ ทับทิมเห็นท่าทางกังวลนั้นก็รับรู้ได้ว่ามากอยู่ จึงตัดสินใจให้คำสัญญา ทั้งคู่อิงแอบแนบชิดกันด้วยความรัก มีสายน้ำและแสงจันทร์เป็นพยานรักให้ในค่ำคืนอันแสนอบอุ่นนี้
00000000
วันต่อมา ที่บ้านเพลิง...
เพลิงพึ่งมาจากหาปลาก็เห็นมีคนมาด้อมๆมองๆหน้าบ้านท่าทางมีพิรุธ จึงรีบเข้าไปจับกุม พร้อมขู่บังคับให้ยอมบอกว่าเป็นใครและมาทำอะไรหน้าบ้านตน สิงห์ได้ยินเสียงโวยวายก็รีบออกมาดู
“ไอ้บุษย์” สิงห์ตกใจที่เห็นสภาพบุษย์กำลังโดนจับกุม
“คุณสิงห์” บุษย์ดีใจที่ได้เห็นหน้านายของตน
“รู้จักกันรึ” เพลิงเอ่ยถามแต่ยังไม่ไว้วางใจบุษย์
“ญาติฉันเองจ้ะพี่เพลิง ปล่อยมันก่อนเถิด” เพลิงค่อยๆปล่อยแขนที่ล็อคคอบุษย์
“เมื่อครู่ข้าได้ยินมันเรียกเอ็งว่า คุณสิงห์เชียวรึ” บุษย์เริ่มอึกอักที่ตนเผลอเรียกสิงห์เหมือนอย่างเคย กลัวความลับผู้เป็นนายจะมาแตกเพราะตน
“พี่เพลิงคงตกใจจนหูแว่วกระมัง ไอ้บุษย์มันเรียกฉันว่าไอ้สิงห์ แต่ช่างเถิด ว่าแต่เอ็งมาตามหาข้ามีกระไรรึไอ้บุษย์” สิงห์รีบเปลี่ยนเรื่องกลัวเพลิงจะจับได้
“แม่ของพ่อสิงห์ให้มาตามกลับบ้าน เห็นว่าหายมานานแล้ว กลัวจะลืมว่ามีแม่รออยู่ ก็เลยให้ฉันมาตามจ้ะ” บุษย์ตั้งใจเรียบเรียงคำพูด กลัวจะเป็นพิรุธอีก สิงห์นึกถึงหน้าผู้เป็นแม่ก็เริ่มรู้สึกตัวว่าตนควรกลับไปหาเพราะจากมานานแล้ว...
00000000
เรือนครูเที่ยง...
สิงห์มาล่ำลาครูเที่ยงบอกว่าแม่ส่งคนมาตามตัวให้กลับไปหา แลตนก็เห็นว่าสมควรแก่เวลาจะกลับแล้ว ครูเที่ยงจึงขอให้สิงห์ซ้อมมวยให้ดูอีกสักครั้งเป็นการทิ้งท้าย สิงห์กับเพลิงจึงวาดลวดลายในลานประลอง บุษย์ตื่นเต้นในเชิงมวยของเจ้านาย เพราะเพิ่งเห็นฝีมือสิงห์เป็นครั้งแรก ไม่คิดว่าจะมีลีลาดุเดือดแทบจะเทียบเท่าเพลิง มีฝีมือมากกว่าคู่ชกของเพลิงในงานวัดที่บุษย์เคยเห็นเสียอีก บุษย์เอ่ยชมสิงห์ไม่หยุดปาก
เชิงมวยของสิงห์นั้นก็ถอดแบบมาจากทับทิม ถึงจะยังหมัดหนักสู้เพลิงไม่ได้ แต่หลบหลีกว่องไวยิ่งนัก ครูเที่ยงปรบมือพอใจกับการประลองของทั้งคู่ สิงห์เข้าไปกราบกรานครูเที่ยงพร้อมเอ่ยลา ทับทิมเห็นสิงห์ล่ำลาทุกคนก็ทำใจไม่ได้ลุกเดินหนีออกไป สิงห์มองตามอย่างหนักใจ เมื่อล่ำลาทุกคนที่เรือนครูเที่ยงเสร็จแล้ว สิงห์ก็เดาใจทับทิมมาที่น้ำตกที่ประจำของทั้งคู่
“ลงมาพูดคุยกันก่อนเถิดทับทิม วันพรุ่งฉันก็จะกลับแล้ว เราเหลือเวลาอยู่ด้วยกันไม่มากนัก อย่าหนีหน้าฉันอีกเลย”
สิงห์อ้อนวอนให้ทับทิมยอมลงมาจากต้นไม้ ทับทิมกระโดดลงมา ยอมพูดคุยด้วยเพราะเห็นว่าเหลือเวลาอยู่ด้วยกันน้อยลงไปทุกที สิงห์รีบคว้าตัวทับทิมมากอดแน่น
“ทับทิมไม่ต้องกังวลไป ฉันกลับไปครานี้จะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอ ถึงอย่างไรฉันก็ไม่ยอมพรากจากทับทิมไปนานดอก ทับทิมอยู่ที่นี้ก็คิดถึงฉันแลเตรียมตัวออกเรือน...เตรียมตัวไปเป็นแม่ศรีเรือนให้ฉันเถิด...”
สิงห์รู้ว่าทับทิมกังวลใจจึงพูดให้ทับทิมเชื่อมั่น...
“เอ็งจะกลับมาแน่รึ” ทับทิมเอ่ยถามสิงห์ แววตาเศร้าหมอง สิงห์บรรจงจูบปลอบใจกลางหน้าผากสามจอมแก่น
“ไม่ว่าทับทิมจะอยู่ที่ใด ฉันจะต้องกลับมาหาดวงใจของฉันเป็นแน่แท้...ไอ้สิงห์จะมีทับทิมเป็นหญิงเดียวในดวงใจ...ฉันสัญญา ...ทับทิมเชื่อคำฉันได้”
ทับทิมสวมกอดสิงห์ไว้ ใจคอไม่สู้ดีนัก เหมือนมีลางว่าจากกันครานี้จะไม่ได้กลับมาเจอกันง่ายๆ สิงห์เองก็รู้สึกไม่ต่างกัน...
00000000
โปรดติดตามตอนต่อไป
ลูกไม้มวยไทย ตอนที่ ๑๐ งานลอยโคมประทีป
ครูเที่ยงเห็นว่าเพลิงศิษย์รักมาล้มป่วยจึงสั่งให้บังอรทำข้าวต้มไว้ให้เพลิง แล้วสั่งให้ทับทิมกับจุกเอาข้าวเอาน้ำไปส่งและอยู่ดูแลจนกว่าอาการป่วยของเพลิงจะดีขึ้น แต่ทับทิมกลัวจะผิดใจกับสิงห์อีก จึงสั่งให้จุกไปใช้อบเชยแทน เพราะทับทิมรู้ดีแก่ใจว่าหากเป็นอบเชยคอยดูแล เพลิงต้องมีกำลังใจในการหายไข้เร็วขึ้นเป็นแน่ อบเชยยอมไปแต่โดยดี เพราะหากเป็นคำสั่งของทับทิม อบเชยก็ไม่เคยคิดจะปฏิเสธอยู่แล้ว
อบเชยแตะหน้าผากวัดไข้เพลิงเห็นว่าตัวยังรุมๆอยู่จึงไปบิดผ้ามาจะเช็ดตัวให้ อบเชยค่อยๆปลดกระดุมเสื้อเพลิงออกแล้วกวาดเช็ดลำคอและหน้าอกอย่างเบามือ เพลิงตื่นขึ้นมาเห็นอบเชยกำลังเช็ดตัวให้ก็ตกใจสะดุ้งลุกขึ้นมานั่ง อบเชยจึงบอกว่าตนมาดูแลตามคำสั่งพ่อ แล้วสั่งให้เพลิงถอดเสื้อออกตนจะเช็ดหลังให้ เพลิงทำตามคำสั่ง อบเชยค่อยๆบรรจงเช็ดแผ่นหลังของชายหนุ่ม เพลิงเริ่มรู้สึกหน้าร้อนผ่าว หัวใจเต้นผิดจังหวะ จึงบอกอบเชยว่าพอแล้ว เดี๋ยวตนเช็ดต่อเอง อบเชยยื่นผ้าให้ แล้วลุกไปจัดสำรับกับข้าวพร้อมกับยามาให้เพลิง เพลิงรู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน วาดฝันว่าหากมีอบเชยอยู่ดูแลเช่นนี้ในทุกวัน ตนจะต้องเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุดบนโลกใบนี้
เมื่ออบเชยยื่นถ้วยข้าวต้มให้ เพลิงจึงแกล้งออดอ้อนว่ามือไม่มีแรงจะจับช้อน อบเชยจึงยอมป้อนข้าวให้เพลิงตามประสาซื่อ...
“โอ๊ย ลิ้นพี่พองหมดแล้วอบเชย” เพลิงร้องลั่นเมื่ออบเชยลืมเป่าข้าวต้มที่เพิ่งทำเสร็จร้อนๆ
“ฉันขอโทษจ้ะ”
อบเชยรีบบอกขอโทษก่อนจะไม่ลืมเป่าข้าวต้มบนช้อน ก่อนป้อนเข้าปากเพลิง เพลิงเคียวข้าวตุ้ยๆ ใบหน้าร่าเริงดีใจที่มีอบเชยมาคอยดูแล กินข้าวกินยาจนหมดเกลี้ยง อบเชยจึงบอกให้นอนพักผ่อน ตนจะกลับไปทำงานบ้าน แล้วตอนเที่ยงจะแวะมาส่งข้าวอีกที เพลิงพยักหน้าตอบรับ แล้วยอมนอนลงพักผ่อน มองตามอบเชยที่เดินออกจากเรือนไปไม่ละสายตา
ระหว่างทางอบเชยต้องหยุดชะงักเมื่อพบกับสิงห์ สิงห์ฝากมะม่วงน้ำดอกไม้พวงใหญ่ไปให้ทับทิมและบอกว่าหากอบเชยอยากกินก็แบ่งกินได้ อบเชยอึกอักแต่ก็รับมาและรีบขอตัวเดินจากไป สิงห์เห็นท่าทีแปลกๆก็นึกสงสัยแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก
ผ่านพ้นหลังสิงห์ไปเพียงไม่กี่ก้าว หยาดน้ำตาใสๆของอบเชยก็ไหลรินลงอาบแก้ม ภาพเหตุการณ์ในวันที่สิงห์กอดจูบกับทับทิมที่น้ำตกยังติดอยู่ในใจไม่หาย อบเชยฝากพวงมะม่วงให้จุกเอาไปให้ทับทิม ก่อนจะหลบมุมอยู่เงียบๆเพียงคนเดียว เฝ้านึกถึงวันวานของตนกับสิงห์ ก่อนหยาดน้ำตาใสๆจะไหลรินมาอีกครั้ง เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าคงเป็นไปไม่ได้แล้ว
วันต่อมา...
เพลิงเริ่มอาการทุเลาจึงมาหาอบเชยที่เรือนครูเที่ยง เพลิงไม่ยอมอยู่เฉยช่วยอบเชยทำงานทุกอย่าง จนอบเชยแทบจะไม่ได้หยิบจับอะไร บอกว่าอยากตอบแทนที่อบเชยไปดูแลตน อบเชยปรามว่าเพลิงพึ่งฟื้นไข้ไม่อยากให้ทำงานหนักเดี๋ยวไข้จะกลับแต่เพลิงก็ไม่ฟัง อบเชยจึงปล่อยให้เพลิงทำตามใจ พอตกเย็นเพลิงอาสาพายเรือให้อบเชยนั่ง ดอกบัวสวยงามดาษดื่น อบเชยบรรจงเก็บดอกบัวจนเต็มกำมือ เพลิงมองอบเชยไม่วางตา ก่อนจะเอ่ยปากชวนไปเที่ยวงานลอยคอมประทีปประจำปีที่ใกล้จะมาถึง
“พ่อไม่ให้ฉันไปดอก งานประจำปี คนเยอะ พี่ไปชวนพี่ทับทิมเถิด พ่อให้ฉันอยู่เฝ้าบ้านเป็นแน่ ทุกปีก็เป็นเช่นนั้น” อบเชยปฏิเสธแววตาเศร้าเพราะลึกๆก็น้อยใจที่พ่อไม่ยอมให้ไปเที่ยวเล่นอย่างทับทิม
“หากอบเชยอยากไป พี่จะไปขอครูให้ อยู่กับพี่เอ็งจะไม่ได้รับอันตราย แม้แต่รอยขีดข่วนพี่ก็จะไม่ให้มี ครูเที่ยงต้องให้ไปเป็นแน่”
“จริงรึจ้ะ ขอบน้ำใจพี่เพลิงนัก ฉันฝันอยากไปเที่ยวงานวัดมาตั้งนานแล้ว” อบเชยดีใจที่ตนจะได้ออกนอกบ้านยามค่ำคืนเป็นครั้งแรกในชีวิต
งานลอยโคมประทีปประจำปี ณ วิเศษชัยชาญ...
งานวัดยิ่งใหญ่และตื่นตาตื่นใจตามคาด เพลิงกับอบเชยเดินชมโน่นนี่อย่างเพลิดเพลิน โดยมีจุกตามประกบอยู่ไม่ห่าง อบเชยสนใจทุกอย่างที่พบเห็น แวะไปทั่วทุกที่
“งานวัดปีนี้จัดใหญ่จัดโตกว่าทุกปีอีกเนอะพี่เพลิง”
“เออ แต่ติดอยู่อย่างเดียว”
“ติดกระไรหรือจ๊ะ”
“ก็ติดที่เอ็งตามมาเป็นก้างขวางคอข้ากับอบเชยนี่อย่างไร ทำไมไม่ไปตามทับทิมกับไอ้สิงห์มันเล่า แต่ก่อนเอ็งไม่เคยอยู่ห่างนังทับทิมมันเลยนี่”
“ก็ตั้งแต่มีไอ้สิงห์ พี่ทับทิมก็ถีบหัวส่งฉันไปเลย ขี้ม้าสีหมอกมางานกันสองคน ไม่มีพื้นที่ให้ไอ้จุกติดสอยห้อยตามมาบ้างเลย นี่ถ้าไม่ได้อาศัยนั่งเรือมากับพี่เพลิงฉันก็ไม่รู้จะมางานกับใคร สงสารไอ้จุกเถิด เดี๋ยวขากลับจะช่วยพี่เพลิงพายเรือนะจ๊ะ”
เพลิงส่ายหน้าระอาที่จุกตามมาเป็นก้างขวางคอตน
“ว่าแต่สองคนนั้นอยู่ที่ใดกัน งานวัดออกใหญ่โตจะเจอกันรึ” เพลิงหมายถึงสิงห์กับทับทิม
“ฉันก็มองหาอยู่ แต่ไม่น่าจะเจอกันง่ายๆดอกจ้ะ” จุกออกความเห็น
“พี่เพลิง ไอ้จุก ไปลอยกระทงกันเถิดจ้ะ” อบเชยเดินถือกระทงสองอันมาแบ่งให้เพลิงอันหนึ่ง
“เอ้า แล้วของฉันเล่า อย่าบอกนะว่าฉันถูกลืมอีกแล้ว” จุกตัดพ้อน้อยใจ
“ขอโทษนะจุก ก็ฉันไม่รู้ว่าจะมาด้วยเลยไม่ได้ทำมาเผื่อ” เพลิงนึกอะไรขึ้นได้จึงรีบฉวยโอกาส
“อ้ะ ไอ้จุก ข้าให้เอ็ง” เพลิงยื่นกระทงให้จุก จุกรีบรับมายิ้มดีใจ
“ให้ฉันรึ พี่เพลิงของไอ้จุกช่างน้ำใจงามแท้” จุกรีบชื่นชมพี่ชายคนสนิท แล้วรีบตรงดิ่งไปลอยกระทงที่ท่าน้ำขอพรเสียงดัง
“พระแม่คงคาจ๋า ขอให้ไอ้จุกได้มีน้ำเย็นๆอาบตลอดทั้งปี แล้วก็ขอให้ในน้ำมีปลาๆเยอะๆไอ้จุกจะได้จับไปให้แม่ทำกับข้าวกับปลานะจ๊ะ”
จุกปล่อยกระทงล่องลอยไปด้วยท่าทีร่าเริงเหมือนเคย
“แล้วพี่เพลิงจะเอากระทงที่ไหนมาลอยเล่าจ๊ะ” อบเชยเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเพลิงสละกระทงให้จุกไปแล้ว
“พี่ขอลอยกระทงเดียวกันกับอบเชยได้ไหมจ๊ะ กระทงอบเชยอันใหญ่ ลอยสองคนคงไม่เป็นกระไรดอก...นะจ๊ะ” เพลิงส่งสายตาออดอ้อน
“ก็ได้จ้ะ”
อบเชยอนุญาต แล้วพากันเดินไปลอยกระทงที่ท่าน้ำ ทั้งคู่หลับตาเสี่ยงทายก่อนจะค่อยๆปล่อยกระทงล่องลอยไป เมื่อกระทงตรงดิ่งไปอย่างไม่หลงทิศทั้งคู่ก็ยิ้มดีใจ
“อบเชยเสี่ยงทายว่ากระไรรึจ๊ะ เห็นหลับตาอยู่นาน” อบเชยเผยแววตาเศร้า
“ฉันเสี่ยงทายว่าหากฉันกับพี่ทับทิมจะกลับมารักใคร่กันเหมือนพี่น้องคนอื่นเขา ก็ขอให้กระทงไม่หลงทิศ” อบเชยมองตามกระทงไปอย่างมีความหวัง ก่อนจะหันมาถามเพลิงว่าเสี่ยงทายอะไร เพลิงส่งสายตาซึ้งก่อนจะตอบคำถาม
“พี่ก็ขอให้เอ็งสมหวังในทุกอย่าง...ที่เอ็งปารถนา” ทั้งคู่มองหน้ากันสักพัก ก่อนอบเชยจะส่งยิ้มหวานออกมาแทนคำขอบใจ
ทางด้านทับทิมกับสิงห์ก็ควบม้าสีหมอกมาผูกที่ต้นไม้บริเวณใกล้วัด ก่อนจะพากันเดินเข้างาน สิงห์บอกเล่าว่าหลงรักทับทิมตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอที่งานวัดคราวก่อน ทับทิมนึกย้อนไปวันนั้นก็หัวเราะเพราะไม่คิดว่าจะมาลงเอยกันได้ ทั้งคู่พายเรือออกไปลอยกระทงกลางน้ำด้วยกันใต้แสงจันทร์สีนวล
“จากนี้ไปเราสองคนจะต้องมาลอยกระทงขอขมาพระแม่คงคาด้วยกันทุกปีนะทับทิม”
“เหตุใดเอ็งพูดเช่นนั้น พูดเหมือนเราจะจากกัน หรือว่าเอ็งคิดถึงบ้าน”
“ฉันแค่อยากมีทับทิมอยู่ข้างๆตลอดไป...ทับทิมสัญญาได้หรือไม่ สัญญาต่อหน้าพระแม่คงคา ว่าภายหน้าไม่ว่าจะเกิดกระไรขึ้น เราจะยังคงอยู่เคียงข้างกันอย่างนี้”
สิงห์กุมมือทับทิมขึ้นมา แต่มีทีท่ากังวล...
“เอ็งเป็นกระไร พูดจาชอบกลนัก พูดเหมือนกลัวข้าจะจากไปไหน”
“ใช่...ฉันหวั่นใจนัก...ว่าเราจะต้องพรากจากกัน” สิงห์เผยเรื่องกังวลใจ ทับทิมเห็นท่าทางกังวลนั้นก็รับรู้ได้ว่ามากอยู่ จึงตัดสินใจให้คำสัญญา ทั้งคู่อิงแอบแนบชิดกันด้วยความรัก มีสายน้ำและแสงจันทร์เป็นพยานรักให้ในค่ำคืนอันแสนอบอุ่นนี้
วันต่อมา ที่บ้านเพลิง...
เพลิงพึ่งมาจากหาปลาก็เห็นมีคนมาด้อมๆมองๆหน้าบ้านท่าทางมีพิรุธ จึงรีบเข้าไปจับกุม พร้อมขู่บังคับให้ยอมบอกว่าเป็นใครและมาทำอะไรหน้าบ้านตน สิงห์ได้ยินเสียงโวยวายก็รีบออกมาดู
“ไอ้บุษย์” สิงห์ตกใจที่เห็นสภาพบุษย์กำลังโดนจับกุม
“คุณสิงห์” บุษย์ดีใจที่ได้เห็นหน้านายของตน
“รู้จักกันรึ” เพลิงเอ่ยถามแต่ยังไม่ไว้วางใจบุษย์
“ญาติฉันเองจ้ะพี่เพลิง ปล่อยมันก่อนเถิด” เพลิงค่อยๆปล่อยแขนที่ล็อคคอบุษย์
“เมื่อครู่ข้าได้ยินมันเรียกเอ็งว่า คุณสิงห์เชียวรึ” บุษย์เริ่มอึกอักที่ตนเผลอเรียกสิงห์เหมือนอย่างเคย กลัวความลับผู้เป็นนายจะมาแตกเพราะตน
“พี่เพลิงคงตกใจจนหูแว่วกระมัง ไอ้บุษย์มันเรียกฉันว่าไอ้สิงห์ แต่ช่างเถิด ว่าแต่เอ็งมาตามหาข้ามีกระไรรึไอ้บุษย์” สิงห์รีบเปลี่ยนเรื่องกลัวเพลิงจะจับได้
“แม่ของพ่อสิงห์ให้มาตามกลับบ้าน เห็นว่าหายมานานแล้ว กลัวจะลืมว่ามีแม่รออยู่ ก็เลยให้ฉันมาตามจ้ะ” บุษย์ตั้งใจเรียบเรียงคำพูด กลัวจะเป็นพิรุธอีก สิงห์นึกถึงหน้าผู้เป็นแม่ก็เริ่มรู้สึกตัวว่าตนควรกลับไปหาเพราะจากมานานแล้ว...
เรือนครูเที่ยง...
สิงห์มาล่ำลาครูเที่ยงบอกว่าแม่ส่งคนมาตามตัวให้กลับไปหา แลตนก็เห็นว่าสมควรแก่เวลาจะกลับแล้ว ครูเที่ยงจึงขอให้สิงห์ซ้อมมวยให้ดูอีกสักครั้งเป็นการทิ้งท้าย สิงห์กับเพลิงจึงวาดลวดลายในลานประลอง บุษย์ตื่นเต้นในเชิงมวยของเจ้านาย เพราะเพิ่งเห็นฝีมือสิงห์เป็นครั้งแรก ไม่คิดว่าจะมีลีลาดุเดือดแทบจะเทียบเท่าเพลิง มีฝีมือมากกว่าคู่ชกของเพลิงในงานวัดที่บุษย์เคยเห็นเสียอีก บุษย์เอ่ยชมสิงห์ไม่หยุดปาก
เชิงมวยของสิงห์นั้นก็ถอดแบบมาจากทับทิม ถึงจะยังหมัดหนักสู้เพลิงไม่ได้ แต่หลบหลีกว่องไวยิ่งนัก ครูเที่ยงปรบมือพอใจกับการประลองของทั้งคู่ สิงห์เข้าไปกราบกรานครูเที่ยงพร้อมเอ่ยลา ทับทิมเห็นสิงห์ล่ำลาทุกคนก็ทำใจไม่ได้ลุกเดินหนีออกไป สิงห์มองตามอย่างหนักใจ เมื่อล่ำลาทุกคนที่เรือนครูเที่ยงเสร็จแล้ว สิงห์ก็เดาใจทับทิมมาที่น้ำตกที่ประจำของทั้งคู่
“ลงมาพูดคุยกันก่อนเถิดทับทิม วันพรุ่งฉันก็จะกลับแล้ว เราเหลือเวลาอยู่ด้วยกันไม่มากนัก อย่าหนีหน้าฉันอีกเลย”
สิงห์อ้อนวอนให้ทับทิมยอมลงมาจากต้นไม้ ทับทิมกระโดดลงมา ยอมพูดคุยด้วยเพราะเห็นว่าเหลือเวลาอยู่ด้วยกันน้อยลงไปทุกที สิงห์รีบคว้าตัวทับทิมมากอดแน่น
“ทับทิมไม่ต้องกังวลไป ฉันกลับไปครานี้จะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอ ถึงอย่างไรฉันก็ไม่ยอมพรากจากทับทิมไปนานดอก ทับทิมอยู่ที่นี้ก็คิดถึงฉันแลเตรียมตัวออกเรือน...เตรียมตัวไปเป็นแม่ศรีเรือนให้ฉันเถิด...”
สิงห์รู้ว่าทับทิมกังวลใจจึงพูดให้ทับทิมเชื่อมั่น...
“เอ็งจะกลับมาแน่รึ” ทับทิมเอ่ยถามสิงห์ แววตาเศร้าหมอง สิงห์บรรจงจูบปลอบใจกลางหน้าผากสามจอมแก่น
“ไม่ว่าทับทิมจะอยู่ที่ใด ฉันจะต้องกลับมาหาดวงใจของฉันเป็นแน่แท้...ไอ้สิงห์จะมีทับทิมเป็นหญิงเดียวในดวงใจ...ฉันสัญญา ...ทับทิมเชื่อคำฉันได้”
ทับทิมสวมกอดสิงห์ไว้ ใจคอไม่สู้ดีนัก เหมือนมีลางว่าจากกันครานี้จะไม่ได้กลับมาเจอกันง่ายๆ สิงห์เองก็รู้สึกไม่ต่างกัน...
โปรดติดตามตอนต่อไป