00000000
บนชานเรือน...
อบเชยนั่งพิงเสาเรือน ในมือร้อยพวงมาลัยไหว้พระเหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ดอกไม้จะเหี่ยวเฉากันหมดแล้ว หากแต่พวงมาลัยยังไม่มีวี่แววจะเสร็จสมบูรณ์ อบเชยฟุ้งซ่านคิดไปถึงเรื่องราวในอดีต เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก...
“เล่นอะไรอยู่ลูก”
“เล่นขายของจ้า พ่อจะซื้อกระไรไหมจ๊ะ”
“มีกระไรขายบ้างล่ะ เดี๋ยวพ่อเหมาหมด” ครูเที่ยงลูบหัวอบเชยอย่างเอ็นดู
ลานบ้าน...
“แม่งูเอ๋ย กินน้ำบ่ไหน”
“ กินน้ำบ่โศก โยกไปก็โยกมา”
“แม่งูเอ๋ยกินน้ำบ่อไหน”
“กินน้ำบ่อหินบินไปบินมา” “แม่งูเอ๋ยกินน้ำบ่อไหน”
“กินน้ำบ่อทรายย้ายไปย้ายมา”
“กินหัวกินหาง...กินกลางตลอดตัว”
เสียงเด็กๆเฮลั่นเต็มลาน ทั้งทับทิม จุก เพลิง เข้ม และเด็กๆแถวนั้น...
อบเชยเฝ้ามองดูทุกคนที่กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน จึงเข้าไปขอเล่นด้วย แต่ก็ต้องถอยกลับมาเพราะคำปฏิเสธของทับทิม
“ทับทิม ให้น้องเล่นด้วย เอ็งเป็นพี่ต้องดูแลน้องดีๆเข้าใจไหม” ครูเที่ยงเข้ามาปรามทับทิม ทับทิมจึงยอมให้อบเชยเล่นด้วย
“หนึ่ง สอง สาม...เก้า...สิบ จะไปแล้วน้า” เด็กๆพากันเล่นซ่อนแอบโดยที่อบเชยเป็นคนตามหาทุกคนที่ซ่อนตัวอยู่
“โป้งพี่ทับทิม เย้ อบเชยหาพี่ทับทิมเจอแล้ว” อบเชยกำลังสนุกกับการได้มีส่วนร่วมเล่นซ่อนแอบกับทุกคน
“อบเชย มานี่...พี่จะพาไปหาไอ้จุก...พี่รู้ว่ามันซ่อนอยู่ที่ใด” อบเชยยิ่งดีใจที่พี่สาวใจดีกับตน
“อยู่ตรงโน้นๆ ไอ้จุกอยู่ตรงโน้น” ทับทิมพาอบเชยเดินไปข้างแคร่
“แปะอบเชย” เสียงไอ้จุกยื่นมือมาจากใต้แคร่มาแตะขาอบเชย
“อบเชยโดนแปะแล้ว เย้ ไปอบเชย เอ็งไปปิดตานับใหม่ พวกข้าจะไปซ่อนอีก”
ทับทิมสั่ง อบเชยยอมทำตามแต่โดยดี แต่ก็รู้สึกผิดหวังเพราะคิดว่าทับทิมจะใจดีกับตน แต่กลับกลายเป็นโดนทับทิมหลอกมาให้จุกแปะ อบเชยในวันวานยังคงมองโลกแง่ดี ปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยทับทิมก็ยอมให้ตนเล่นด้วยแล้ว อบเชยเที่ยวไล่หาทุกคนจนเหนื่อย จนจะมืดค่ำแล้ว ทับทิมจึงยอมให้อบเชยเป็นฝ่ายไปซ่อน ตนเป็นฝ่ายหาบ้าง อบเชยไปซ่อนในยุ้งเก็บข้าว แต่นานเท่าใดก็ไม่มีใครมาตามหาสักที จะออกไปตอนนี้ก็กลัวโดนจับได้ แต่ตะวันก็เริ่มคล้อย ทั้งร้อน ทั้งมืด ด้วยความเหนื่อยอ่อนอบเชยจึงเผลอหลับไป
หลังจากที่ทับทิมบอกให้อบเชยไปซ่อน “นี่ทุกคน ข้าว่าเราเปลี่ยนไปเล่นอย่างอื่นกันดีกว่า ข้าเบื่อเล่นซ่อนแอบแล้ว” แล้วทุกคนก็ทำตามคำแนะนำของทับทิม ลืมอบเชยไปเสียสนิท จนผ่านไปสักพักเพลิงเริ่มคิดได้ว่าอบเชยหายตัวไป จึงออกไปตามหาเองตามลำพัง
“ทับทิม ไหนล่ะอบเชย “ ครูเที่ยงเห็นว่ามืดค่ำแล้วจึงมาตรวจดูความเรียบร้อยของเด็กๆ
“เอ็งเห็นมันไหมวะไอ้จุก”
“แย่แล้ว อบเชยมันไปซ่อนแอบ แล้วเราก็เปลี่ยนมาเล่นดีดลูกแก้วกัน ป่านนี้ซ่อนอยู่ไหนล่ะนี่” จุกเริ่มฉุกคิดขึ้นมา
“นังทับทิมเอ็งเป็นพี่ไม่ดูแลน้องเลยรึ” ครูเที่ยงต่อว่าทับทิมก่อนจะบอกให้ทุกคนแยกย้ายกันออกตามหาอบเชย
เพลิงอุ้มอบเชยออกมา “เจอแล้วครู ฉันเจออบเชยไปนอนอยู่ในยุ้งข้าว” เพลิงค่อยๆวางอบเชยไว้ที่แคร่หน้าบ้าน
ครูเที่ยงมองดูอบเชยมีผื่นแดงขึ้นเต็มตัวเพราะแพ้เปลือกข้าว ก็ยิ่งโกรธทับทิมที่ไม่ดูแลน้อง จึงลงหวายเป็นการทำโทษ ตั้งแต่นั้นมาทับทิมก็ไม่เคยให้อบเชยเล่นอะไรด้วยอีกเลย ไม่ว่าอบเชยจะอ้อนวอนสักเท่าใดทับทิมก็ไม่ใจอ่อน อบเชยจึงทำได้แค่เฝ้ามองทุกคนเล่นสนุกกันอยู่ที่มุมๆหนึ่ง
“อยากเล่นกับเขาเหรอลูก” ครูเที่ยงเอ่ยถาม อบเชยพยักหน้า
“โกรธพี่ไหมลูก ที่มันไม่ยอมให้เอ็งเล่นด้วย” อบเชยมองหน้าครูเที่ยงส่งแววตาเศร้าสร้อย แล้วค่อยๆส่ายหน้าเป็นความหมายว่าไม่โกรธ ครูเที่ยงสงสารลูกจับใจ อุ้มอบเชยขึ้นมานั่งบนตัก
“ดีแล้วลูก ยังไงนังทับทิมมันก็เป็นพี่เอ็ง...เป็นพี่เป็นน้องกัน...ยังไงก็ตัดไม่ตายขายไม่ขาดดอก”
“จำคำพ่อไว้นะอบเชย ถ้าเอ็งอยากให้ใครทำดีกับเอ็ง เอ็งต้องหมั่นทำดีกับเขาก่อน แล้วสักวันความดีของเอ็งจะทำให้นังทับทิมมองเห็นเอง”
อบเชยในวัยเด็กยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายที่พ่อบอก แต่สิ่งที่อบเชยจะทำได้คือจดจำคำพ่อ และทำตามเสมอมา
“เล่นขายของเหมือนเดิมสิลูก”
“เล่นคนเดียว อบเชยเหงา”
“มาเดี๋ยวพ่อเล่นเป็นเพื่อนเอ็ง” ครูเที่ยงพยายามปลอบอบเชยจนลืมเรื่องเศร้าไปได้บ้าง...
ภาพในอดีตทำให้อบเชยย้อนกลับมาถามตนเองว่า ที่ทำดีไปทั้งหมด...เหตุใดทับทิมถึงยังมองไม่เห็นสักที แล้วเสียงสะอื้นก็เริ่มดังขึ้น จุกที่เพิ่งเดินขึ้นเรือนมา เห็นทับทิมกำลังนั่งร้องไห้ก็รีบเข้ามาปลอบ
“เบาๆนังอบเชย ประเดี๋ยวครูเที่ยงกับน้าบังอรได้ยินเอ็งสะอื้นก็เป็นเรื่องใหญ่ดอก”
“ข้าทนไม่ไหวแล้วไอ้จุก เมื่อใดพี่ทับทิมจะเลิกโกรธเกลียดข้า แล้วเห็นว่าข้าเป็นน้องสักที” อบเชยอดไม่ได้ที่จะระบายความอัดอั้นตันใจออกมา
“ทำใจเถิดวะ พี่ทับทิมถ้าได้ฝังใจกระไรแล้ว จะไปเปลี่ยนใจพี่เอ็ง...ยากนัก”
“ฮือ...ไอ้จุกเอ็งต้องมาปลอบข้าสิ...ไม่ใช่มาซ้ำเติมกันแบบนี้”
“เอาน่า...แต่ถึงอย่างไร...เท่าที่ข้าอยู่กับพี่ทับทิมมา...ข้าเชื่อ...ว่าพี่ทับทิมก็เป็นคนมีจิตใจอ่อนโยน...เอ็งก็ทำดีต่อไปเรื่อยๆสักวันพี่ทับทิมก็จะเห็นเองแหละ”
“เมื่อใดกันเล่า แต่ยังเป็นเด็ก...พ่อก็บอกแบบนี้...ดูตอนนี้สิ...ไม่เห็นจะมีกระไรดีขึ้นบ้างเลย”
“เอ็งรู้ไหม...ข้าอิจฉาเอ็งนัก เอ็งได้เป็นน้องรักของพี่ทับทิม ได้เที่ยวเล่นสนุกด้วยกันทุกวี่ทุกวัน..ได้ยิ้ม..ได้หัวเราะให้กัน..เอ็งตรองดูเถิด ข้าเป็นน้องแท้ๆยังไม่เคยแม้แต่จะพูดจาดีๆด้วยกันสักครา”
อบเชยปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง จุกไม่รู้จะปลอบอย่างไร ทำได้แค่ตบไหล่อย่างเห็นใจเท่านั้น...
“เอ็งหยุดร้องก่อนเถิดวะ ข้าเห็นเอ็งร้อง...น้ำตาข้ามันจะไหลตามเอ็งแล้ว” จุกเอามือปาดน้ำตาที่กำลังไหลรดลงมาอาบแก้ม
คลองท้ายหมู่บ้าน...
เมื่อทับทิมร้องไห้จนไม่เหลือน้ำตาให้ไหลรินออกมาแล้ว สาวจอมแก่นจึงหันไปมองสิงห์ที่นั่งหนาวสั่นอยู่ข้างๆ แล้วจึงตัดสินใจลุกขึ้นยืน
“จะไปที่ใดอีกเล่า”
“กลับเรือน...ข้าไม่อยากให้ใครต้องมาป่วยไข้เพราะเป็นบ้ามานั่งตากฝนไปกับข้า” สิงห์ยิ้มดีใจที่ทับทิมคลายความเศร้าลงไปได้บ้างแล้ว จึงรีบตามไปส่งทับทิมกลับเรือน
เมื่อกลับถึงเรือน จุกเห็นทับทิมกลับมาก็ดีใจ จึงรีบตะโกนถามทันทีว่าไปไหนกันมา เพราะเห็นว่าหายกันไปนานมาก ทับทิมตัดความรำคาญด้วยการเดินหนีขึ้นเรือนไปไม่ตอบสักคำถามของจุก จุกจึงหันมาเค้นเอาความกับสิงห์ สิงห์ก็ไม่ตอบแต่แสร้งเดินกลับออกไปเฉยๆ ปล่อยให้จุกยืนเกาหัวให้กับคำถามของตนอยู่เพียงผู้เดียว
เมื่อทับทิมขึ้นเรือนไป บังอรที่ดักรออยู่ชานเรือนก็พูดแทรกขึ้นมา...
“หายหัวไปกับผู้ชายสองต่อสอง ตั้งนานสองนาน ไปทำกระไรกันมาเล่านังทับทิม”
“ฉันจะไปทำกระไร มันก็เรื่องของฉัน เพราะฉันไม่ได้ไปทำบนหัวผู้ใดสักหน่อย”
“นังนี่ ปากดีนักนะเอ็ง นังเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เดี๋ยวนี้เอ็งอยากมีผัวจนตัวสั่นเลยรึรึ ถึงได้เที่ยวแล่นไปให้ท่าผู้ชาย ฝนตกห่าใหญ่ขนาดนี้ยังไม่รู้จักกลับบ้านกลับช่อง”
ทับทิมรำคาญบังอรจึงเดินหนีไป
“อย่างพ่อสิงห์เขาไม่เอาเอ็งดอก มันต้องสวยๆอย่างนังอบเชยนู่นเขาถึงจะชายตาแล” บังอรตะโกนไล่หลัง
ทับทิมตัดความรำคาญด้วยการปิดประตูเข้าห้องไป ปล่อยให้บังอรยืนบ่นงึมงำ เข้าใจอะไรผิดๆอยู่อย่างนั้น
00000000
วันต่อมา...
เพลิงไปหาปลามาและได้เยอะ เห็นว่าเป็นปลาช่อนของโปรดของทับทิม จึงรีบเอามาให้ครูเที่ยงที่บ้านเพราะอยากไถ่โทษและยังหวังลึกๆว่าทับทิมจะหายโกรธและกลับมาเป็นพี่เป็นน้องกันดังเดิม
“โอ้โห ปลาช่อนตัวใหญ่ๆทั้งนั้นเลยพ่อเพลิง ดีล่ะ เราทำผัดเผ็ดปลาช่อนกินกันดีไหมพี่”
“ทำแกงส้มปลาช่อนด้วยนะแม่บังอร ฉันอยากกิน” บังอรมองหน้าผัวด้วยแววตาจับผิด
“อยากกินรึ อยากกินของโปรดลูกพี่เชียวนะ หนอย...อยากให้นังทับทิมได้กินของโปรดก็บอกมาเถิด ผัดเผ็ดไปเลยสี่ตัวนะอบเชย เหลือไว้ทำแกงส้มตัวเดียวก็พอลูก” บังอรบ่นงึมงำตามนิสัย ครูเที่ยงได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะชวนเพลิงอยู่รอกินข้าวด้วยกัน
เมื่อทับทิมกับจุกเดินเข้ามาครูเที่ยงจึงเอ่ยทักทาย
“กลับมาแล้วรึเอ็งสองตัว ตะวันไม่ตกดินข้าคงไม่ได้เห็นหัว อยู่ติดเรือนสักวันมันจะลงแดงรึอย่างไร...อ้าวๆ นี่เห็นข้าเป็นหัวหลักหัวตอรึนังทับทิม ข้าเป็นพ่อเอ็งนะโว๊ย”
ครูเที่ยงเริ่มโวยวายเมื่อทับทิมเดินผ่านหน้าไปที่หลังบ้านหน้าตาเฉย ทับทิมไม่ได้เห็นพ่อเป็นหัวหลักหัวตอแต่อย่างใด เพียงแต่ว่า ณ ตรงนั้นมีเพลิง ผู้ที่พึ่งมอบแผลสดทั้งทางกายและใจให้ ทับทิมจึงเลือกที่จะหลบหน้าและเย็นชาใส่เพลิงให้ถึงที่สุด
“ไอ้จุก ลูกพี่เอ็งมันเป็นกระไรรึ ใครไปเหยียบหางมัน ถึงได้ทำหน้าเหมือนยักษ์เหมือนมารเช่นนั้น”
“จะมีใครกันเล่า...ก็คนแถวๆนี้แหละครู คนเรานะ...ทำกระไรไว้ ย่อมรู้แจ้งแก่ใจดี”
จุกพูดเหน็บแนมพร้อมส่งสายตามามองเพลิง สายตาที่เจ็บแค้นแทนทับทิม ก่อนจะเดินตามทับทิมไป ปล่อยให้ครูเที่ยงบ่นงึมงำอยู่อย่างนั้น
เพลิงรู้ดีว่าจุกหมายถึงตนและหากตนยังอยู่ตรงนั้น ทับทิมต้องไม่ยอมออกมากินข้าวกินปลาเป็นแน่ จึงขอตัวลากลับ ครูเที่ยงจึงให้อบเชยตักแกงใส่ปิ่นโตให้เพลิงเอากลับไปกินที่บ้าน
ทับทิมที่หิวจนท้องร้อง ได้กลิ่นแกงส้มของโปรดจึงตามกลิ่นขึ้นมาบนเรือน แล้วนั่งลงซดแกงเคี้ยวตุ้ยๆลืมโกรธเพราะความหิว พอเห็นอบเชยตักแกงออกมาให้เพลิงกลับไปกินที่บ้าน จึงพูดเหน็บแนมขึ้นมา
“บ้านเราเป็นโรงทานตั้งแต่เมื่อใดกัน ถึงต้องแบ่งข้าวปลาให้คนอื่น”
“อุวะ นังทับทิม แกงส้มปลาช่อนที่เอ็งกำลังเคี้ยวตุ้ยๆ นั่น ก็ปลาที่ไอ้เพลิงมันหามาแบ่งให้ แต่เอ็งมาทำปากเสียนี่น่ะรึ “
ทับทิมหยุดเคี้ยวตุ้ย สีหน้าเปลี่ยนเพราะรู้สึกเสียหน้า เพลิงจึงรีบลากลับไป พอพ้นหลังเพลิงทับทิมก็กินแกงส้มต่อจนหมดเกลี้ยง...
00000000
โปรดติดตามตอนต่อไป
ลูกไม้มวยไทย ตอนที่ ๘ โป้งแปะ
บนชานเรือน...
อบเชยนั่งพิงเสาเรือน ในมือร้อยพวงมาลัยไหว้พระเหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ดอกไม้จะเหี่ยวเฉากันหมดแล้ว หากแต่พวงมาลัยยังไม่มีวี่แววจะเสร็จสมบูรณ์ อบเชยฟุ้งซ่านคิดไปถึงเรื่องราวในอดีต เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก...
“เล่นอะไรอยู่ลูก”
“เล่นขายของจ้า พ่อจะซื้อกระไรไหมจ๊ะ”
“มีกระไรขายบ้างล่ะ เดี๋ยวพ่อเหมาหมด” ครูเที่ยงลูบหัวอบเชยอย่างเอ็นดู
ลานบ้าน...
“ กินน้ำบ่โศก โยกไปก็โยกมา”
“แม่งูเอ๋ยกินน้ำบ่อไหน”
“กินน้ำบ่อหินบินไปบินมา” “แม่งูเอ๋ยกินน้ำบ่อไหน”
“กินน้ำบ่อทรายย้ายไปย้ายมา”
“กินหัวกินหาง...กินกลางตลอดตัว”
เสียงเด็กๆเฮลั่นเต็มลาน ทั้งทับทิม จุก เพลิง เข้ม และเด็กๆแถวนั้น...
อบเชยเฝ้ามองดูทุกคนที่กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน จึงเข้าไปขอเล่นด้วย แต่ก็ต้องถอยกลับมาเพราะคำปฏิเสธของทับทิม
“ทับทิม ให้น้องเล่นด้วย เอ็งเป็นพี่ต้องดูแลน้องดีๆเข้าใจไหม” ครูเที่ยงเข้ามาปรามทับทิม ทับทิมจึงยอมให้อบเชยเล่นด้วย
“หนึ่ง สอง สาม...เก้า...สิบ จะไปแล้วน้า” เด็กๆพากันเล่นซ่อนแอบโดยที่อบเชยเป็นคนตามหาทุกคนที่ซ่อนตัวอยู่
“โป้งพี่ทับทิม เย้ อบเชยหาพี่ทับทิมเจอแล้ว” อบเชยกำลังสนุกกับการได้มีส่วนร่วมเล่นซ่อนแอบกับทุกคน
“อบเชย มานี่...พี่จะพาไปหาไอ้จุก...พี่รู้ว่ามันซ่อนอยู่ที่ใด” อบเชยยิ่งดีใจที่พี่สาวใจดีกับตน
“อยู่ตรงโน้นๆ ไอ้จุกอยู่ตรงโน้น” ทับทิมพาอบเชยเดินไปข้างแคร่
“แปะอบเชย” เสียงไอ้จุกยื่นมือมาจากใต้แคร่มาแตะขาอบเชย
“อบเชยโดนแปะแล้ว เย้ ไปอบเชย เอ็งไปปิดตานับใหม่ พวกข้าจะไปซ่อนอีก”
ทับทิมสั่ง อบเชยยอมทำตามแต่โดยดี แต่ก็รู้สึกผิดหวังเพราะคิดว่าทับทิมจะใจดีกับตน แต่กลับกลายเป็นโดนทับทิมหลอกมาให้จุกแปะ อบเชยในวันวานยังคงมองโลกแง่ดี ปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยทับทิมก็ยอมให้ตนเล่นด้วยแล้ว อบเชยเที่ยวไล่หาทุกคนจนเหนื่อย จนจะมืดค่ำแล้ว ทับทิมจึงยอมให้อบเชยเป็นฝ่ายไปซ่อน ตนเป็นฝ่ายหาบ้าง อบเชยไปซ่อนในยุ้งเก็บข้าว แต่นานเท่าใดก็ไม่มีใครมาตามหาสักที จะออกไปตอนนี้ก็กลัวโดนจับได้ แต่ตะวันก็เริ่มคล้อย ทั้งร้อน ทั้งมืด ด้วยความเหนื่อยอ่อนอบเชยจึงเผลอหลับไป
หลังจากที่ทับทิมบอกให้อบเชยไปซ่อน “นี่ทุกคน ข้าว่าเราเปลี่ยนไปเล่นอย่างอื่นกันดีกว่า ข้าเบื่อเล่นซ่อนแอบแล้ว” แล้วทุกคนก็ทำตามคำแนะนำของทับทิม ลืมอบเชยไปเสียสนิท จนผ่านไปสักพักเพลิงเริ่มคิดได้ว่าอบเชยหายตัวไป จึงออกไปตามหาเองตามลำพัง
“ทับทิม ไหนล่ะอบเชย “ ครูเที่ยงเห็นว่ามืดค่ำแล้วจึงมาตรวจดูความเรียบร้อยของเด็กๆ
“เอ็งเห็นมันไหมวะไอ้จุก”
“แย่แล้ว อบเชยมันไปซ่อนแอบ แล้วเราก็เปลี่ยนมาเล่นดีดลูกแก้วกัน ป่านนี้ซ่อนอยู่ไหนล่ะนี่” จุกเริ่มฉุกคิดขึ้นมา
“นังทับทิมเอ็งเป็นพี่ไม่ดูแลน้องเลยรึ” ครูเที่ยงต่อว่าทับทิมก่อนจะบอกให้ทุกคนแยกย้ายกันออกตามหาอบเชย
เพลิงอุ้มอบเชยออกมา “เจอแล้วครู ฉันเจออบเชยไปนอนอยู่ในยุ้งข้าว” เพลิงค่อยๆวางอบเชยไว้ที่แคร่หน้าบ้าน
ครูเที่ยงมองดูอบเชยมีผื่นแดงขึ้นเต็มตัวเพราะแพ้เปลือกข้าว ก็ยิ่งโกรธทับทิมที่ไม่ดูแลน้อง จึงลงหวายเป็นการทำโทษ ตั้งแต่นั้นมาทับทิมก็ไม่เคยให้อบเชยเล่นอะไรด้วยอีกเลย ไม่ว่าอบเชยจะอ้อนวอนสักเท่าใดทับทิมก็ไม่ใจอ่อน อบเชยจึงทำได้แค่เฝ้ามองทุกคนเล่นสนุกกันอยู่ที่มุมๆหนึ่ง
“อยากเล่นกับเขาเหรอลูก” ครูเที่ยงเอ่ยถาม อบเชยพยักหน้า
“โกรธพี่ไหมลูก ที่มันไม่ยอมให้เอ็งเล่นด้วย” อบเชยมองหน้าครูเที่ยงส่งแววตาเศร้าสร้อย แล้วค่อยๆส่ายหน้าเป็นความหมายว่าไม่โกรธ ครูเที่ยงสงสารลูกจับใจ อุ้มอบเชยขึ้นมานั่งบนตัก
“ดีแล้วลูก ยังไงนังทับทิมมันก็เป็นพี่เอ็ง...เป็นพี่เป็นน้องกัน...ยังไงก็ตัดไม่ตายขายไม่ขาดดอก”
“จำคำพ่อไว้นะอบเชย ถ้าเอ็งอยากให้ใครทำดีกับเอ็ง เอ็งต้องหมั่นทำดีกับเขาก่อน แล้วสักวันความดีของเอ็งจะทำให้นังทับทิมมองเห็นเอง”
อบเชยในวัยเด็กยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายที่พ่อบอก แต่สิ่งที่อบเชยจะทำได้คือจดจำคำพ่อ และทำตามเสมอมา
“เล่นขายของเหมือนเดิมสิลูก”
“เล่นคนเดียว อบเชยเหงา”
“มาเดี๋ยวพ่อเล่นเป็นเพื่อนเอ็ง” ครูเที่ยงพยายามปลอบอบเชยจนลืมเรื่องเศร้าไปได้บ้าง...
ภาพในอดีตทำให้อบเชยย้อนกลับมาถามตนเองว่า ที่ทำดีไปทั้งหมด...เหตุใดทับทิมถึงยังมองไม่เห็นสักที แล้วเสียงสะอื้นก็เริ่มดังขึ้น จุกที่เพิ่งเดินขึ้นเรือนมา เห็นทับทิมกำลังนั่งร้องไห้ก็รีบเข้ามาปลอบ
“เบาๆนังอบเชย ประเดี๋ยวครูเที่ยงกับน้าบังอรได้ยินเอ็งสะอื้นก็เป็นเรื่องใหญ่ดอก”
“ข้าทนไม่ไหวแล้วไอ้จุก เมื่อใดพี่ทับทิมจะเลิกโกรธเกลียดข้า แล้วเห็นว่าข้าเป็นน้องสักที” อบเชยอดไม่ได้ที่จะระบายความอัดอั้นตันใจออกมา
“ทำใจเถิดวะ พี่ทับทิมถ้าได้ฝังใจกระไรแล้ว จะไปเปลี่ยนใจพี่เอ็ง...ยากนัก”
“ฮือ...ไอ้จุกเอ็งต้องมาปลอบข้าสิ...ไม่ใช่มาซ้ำเติมกันแบบนี้”
“เอาน่า...แต่ถึงอย่างไร...เท่าที่ข้าอยู่กับพี่ทับทิมมา...ข้าเชื่อ...ว่าพี่ทับทิมก็เป็นคนมีจิตใจอ่อนโยน...เอ็งก็ทำดีต่อไปเรื่อยๆสักวันพี่ทับทิมก็จะเห็นเองแหละ”
“เมื่อใดกันเล่า แต่ยังเป็นเด็ก...พ่อก็บอกแบบนี้...ดูตอนนี้สิ...ไม่เห็นจะมีกระไรดีขึ้นบ้างเลย”
“เอ็งรู้ไหม...ข้าอิจฉาเอ็งนัก เอ็งได้เป็นน้องรักของพี่ทับทิม ได้เที่ยวเล่นสนุกด้วยกันทุกวี่ทุกวัน..ได้ยิ้ม..ได้หัวเราะให้กัน..เอ็งตรองดูเถิด ข้าเป็นน้องแท้ๆยังไม่เคยแม้แต่จะพูดจาดีๆด้วยกันสักครา”
อบเชยปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง จุกไม่รู้จะปลอบอย่างไร ทำได้แค่ตบไหล่อย่างเห็นใจเท่านั้น...
“เอ็งหยุดร้องก่อนเถิดวะ ข้าเห็นเอ็งร้อง...น้ำตาข้ามันจะไหลตามเอ็งแล้ว” จุกเอามือปาดน้ำตาที่กำลังไหลรดลงมาอาบแก้ม
คลองท้ายหมู่บ้าน...
เมื่อทับทิมร้องไห้จนไม่เหลือน้ำตาให้ไหลรินออกมาแล้ว สาวจอมแก่นจึงหันไปมองสิงห์ที่นั่งหนาวสั่นอยู่ข้างๆ แล้วจึงตัดสินใจลุกขึ้นยืน
“จะไปที่ใดอีกเล่า”
“กลับเรือน...ข้าไม่อยากให้ใครต้องมาป่วยไข้เพราะเป็นบ้ามานั่งตากฝนไปกับข้า” สิงห์ยิ้มดีใจที่ทับทิมคลายความเศร้าลงไปได้บ้างแล้ว จึงรีบตามไปส่งทับทิมกลับเรือน
เมื่อกลับถึงเรือน จุกเห็นทับทิมกลับมาก็ดีใจ จึงรีบตะโกนถามทันทีว่าไปไหนกันมา เพราะเห็นว่าหายกันไปนานมาก ทับทิมตัดความรำคาญด้วยการเดินหนีขึ้นเรือนไปไม่ตอบสักคำถามของจุก จุกจึงหันมาเค้นเอาความกับสิงห์ สิงห์ก็ไม่ตอบแต่แสร้งเดินกลับออกไปเฉยๆ ปล่อยให้จุกยืนเกาหัวให้กับคำถามของตนอยู่เพียงผู้เดียว
เมื่อทับทิมขึ้นเรือนไป บังอรที่ดักรออยู่ชานเรือนก็พูดแทรกขึ้นมา...
“หายหัวไปกับผู้ชายสองต่อสอง ตั้งนานสองนาน ไปทำกระไรกันมาเล่านังทับทิม”
“ฉันจะไปทำกระไร มันก็เรื่องของฉัน เพราะฉันไม่ได้ไปทำบนหัวผู้ใดสักหน่อย”
“นังนี่ ปากดีนักนะเอ็ง นังเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เดี๋ยวนี้เอ็งอยากมีผัวจนตัวสั่นเลยรึรึ ถึงได้เที่ยวแล่นไปให้ท่าผู้ชาย ฝนตกห่าใหญ่ขนาดนี้ยังไม่รู้จักกลับบ้านกลับช่อง”
ทับทิมรำคาญบังอรจึงเดินหนีไป
“อย่างพ่อสิงห์เขาไม่เอาเอ็งดอก มันต้องสวยๆอย่างนังอบเชยนู่นเขาถึงจะชายตาแล” บังอรตะโกนไล่หลัง
ทับทิมตัดความรำคาญด้วยการปิดประตูเข้าห้องไป ปล่อยให้บังอรยืนบ่นงึมงำ เข้าใจอะไรผิดๆอยู่อย่างนั้น
วันต่อมา...
เพลิงไปหาปลามาและได้เยอะ เห็นว่าเป็นปลาช่อนของโปรดของทับทิม จึงรีบเอามาให้ครูเที่ยงที่บ้านเพราะอยากไถ่โทษและยังหวังลึกๆว่าทับทิมจะหายโกรธและกลับมาเป็นพี่เป็นน้องกันดังเดิม
“โอ้โห ปลาช่อนตัวใหญ่ๆทั้งนั้นเลยพ่อเพลิง ดีล่ะ เราทำผัดเผ็ดปลาช่อนกินกันดีไหมพี่”
“ทำแกงส้มปลาช่อนด้วยนะแม่บังอร ฉันอยากกิน” บังอรมองหน้าผัวด้วยแววตาจับผิด
“อยากกินรึ อยากกินของโปรดลูกพี่เชียวนะ หนอย...อยากให้นังทับทิมได้กินของโปรดก็บอกมาเถิด ผัดเผ็ดไปเลยสี่ตัวนะอบเชย เหลือไว้ทำแกงส้มตัวเดียวก็พอลูก” บังอรบ่นงึมงำตามนิสัย ครูเที่ยงได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะชวนเพลิงอยู่รอกินข้าวด้วยกัน
เมื่อทับทิมกับจุกเดินเข้ามาครูเที่ยงจึงเอ่ยทักทาย
“กลับมาแล้วรึเอ็งสองตัว ตะวันไม่ตกดินข้าคงไม่ได้เห็นหัว อยู่ติดเรือนสักวันมันจะลงแดงรึอย่างไร...อ้าวๆ นี่เห็นข้าเป็นหัวหลักหัวตอรึนังทับทิม ข้าเป็นพ่อเอ็งนะโว๊ย”
ครูเที่ยงเริ่มโวยวายเมื่อทับทิมเดินผ่านหน้าไปที่หลังบ้านหน้าตาเฉย ทับทิมไม่ได้เห็นพ่อเป็นหัวหลักหัวตอแต่อย่างใด เพียงแต่ว่า ณ ตรงนั้นมีเพลิง ผู้ที่พึ่งมอบแผลสดทั้งทางกายและใจให้ ทับทิมจึงเลือกที่จะหลบหน้าและเย็นชาใส่เพลิงให้ถึงที่สุด
“ไอ้จุก ลูกพี่เอ็งมันเป็นกระไรรึ ใครไปเหยียบหางมัน ถึงได้ทำหน้าเหมือนยักษ์เหมือนมารเช่นนั้น”
“จะมีใครกันเล่า...ก็คนแถวๆนี้แหละครู คนเรานะ...ทำกระไรไว้ ย่อมรู้แจ้งแก่ใจดี”
จุกพูดเหน็บแนมพร้อมส่งสายตามามองเพลิง สายตาที่เจ็บแค้นแทนทับทิม ก่อนจะเดินตามทับทิมไป ปล่อยให้ครูเที่ยงบ่นงึมงำอยู่อย่างนั้น
เพลิงรู้ดีว่าจุกหมายถึงตนและหากตนยังอยู่ตรงนั้น ทับทิมต้องไม่ยอมออกมากินข้าวกินปลาเป็นแน่ จึงขอตัวลากลับ ครูเที่ยงจึงให้อบเชยตักแกงใส่ปิ่นโตให้เพลิงเอากลับไปกินที่บ้าน
ทับทิมที่หิวจนท้องร้อง ได้กลิ่นแกงส้มของโปรดจึงตามกลิ่นขึ้นมาบนเรือน แล้วนั่งลงซดแกงเคี้ยวตุ้ยๆลืมโกรธเพราะความหิว พอเห็นอบเชยตักแกงออกมาให้เพลิงกลับไปกินที่บ้าน จึงพูดเหน็บแนมขึ้นมา
“บ้านเราเป็นโรงทานตั้งแต่เมื่อใดกัน ถึงต้องแบ่งข้าวปลาให้คนอื่น”
“อุวะ นังทับทิม แกงส้มปลาช่อนที่เอ็งกำลังเคี้ยวตุ้ยๆ นั่น ก็ปลาที่ไอ้เพลิงมันหามาแบ่งให้ แต่เอ็งมาทำปากเสียนี่น่ะรึ “
ทับทิมหยุดเคี้ยวตุ้ย สีหน้าเปลี่ยนเพราะรู้สึกเสียหน้า เพลิงจึงรีบลากลับไป พอพ้นหลังเพลิงทับทิมก็กินแกงส้มต่อจนหมดเกลี้ยง...
โปรดติดตามตอนต่อไป