สงครามหนังสติ๊ก

กระทู้สนทนา
เรื่อง : สงครามหนังสติ๊ก
(សង្គ្រាមចំពាមកៅស៊ូ)
โดย : ละเว้

ตะวันเพิ่งโผล่เหนือผืนนาได้ไม่นาน ไอหมอกรอบกายยังคงเห็นได้จาง ๆ อากาศกำลังเหมาะ ไอ้เซงยิ้มกริ่ม หันมาพยักพเยิดใส่ข้า ฝูงวัวของพวกนั้นเริ่มใกล้เข้ามา ข้ากระตุกยิ้มมุมปาก พยักหน้าตอบอย่างรู้กัน ตอนนี้พวกเราก็แค่รออย่างใจเย็นกันเท่านั้น

กระทั่งพวกมันต้อนวัวเข้ามาจนได้ระยะ เห็นได้ว่ามันมากันห้าหกฅน เป็นจำนวนที่พอกันกับพวกข้า เหมาะทีเดียวกับสงคราม

ไอ้เด็กตัวดำที่ดูโตและล่ำกว่าเพื่อนนั่นเราน่าจะรุ่นเดียวกัน มันชื่อเซือม เป็นหัวโจกในกลุ่มนั้น ไอ้ตัวเล็กที่เดินถอดเสื้ออยู่ข้างมันนั่นข้าพอรู้ว่ามันชื่อฮน

ตอนนี้พวกมันต่างหยุดยืน ดูท่าว่าจะพร้อมแล้วเช่นกัน ข้าขยับหมวกให้เข้าที่ก่อนยกมือทักทาย ทันทีที่มันพยักหน้า หนังสติ๊กในมือก็ถูกเหนี่ยวกระสุนใส่อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ ข้าเหยียดยิ้มมุมปากด้วยความสะใจเมื่อได้ยินเสียงร้องขณะพุ่งตัวหมอบกับคันนา ไอ้เซงและฅนอื่นๆ ล้วนไม่รอช้า ต่างประจำที่พร้อมใจเหนี่ยวหนังสติ๊กเข้าใส่พวกมันที่ยิงสวนกลับมาเช่นกัน สงครามหนังสติ๊กของพวกเรา ได้เริ่มขึ้นแล้ว

จรวดอาร์พีจีพุ่งจากเครื่องยิงพาหัวระเบิดไปทำงานกลางขบวนเดินเท้าของพวกมันอย่างแม่นยำ การเปิดฉากโจมตีที่สมบูรณ์แบบเป็นการสร้างความฮึกเหิมให้พวกเราได้เป็นอย่างดี ไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไป เราฉวยโอกาสตอนพวกนั้นกำลังแตกตื่น กระหน่ำอาวุธเข้าใส่มันไม่ยั้ง เสียงปืนปะทุลั่นป่า คมกระสุนของพวกข้าพุ่งเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างบ้าคลั่ง มันยังสู้ยิบตาแม้จะเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัดก็ตาม ข้าเหยียดยิ้มมุมปากขณะสาดลูกปืนให้ได้ลิ้มรสกันอย่างสะใจ

ข้าชื่อ ‘เหริด’ (ฤทธิ์ สำเนียงแขมร์) ถือกำเนิดจากหมู่บ้านเล็ก ๆ ในจังหวัดเซียมเรียบ  ข้านั้นเติบโตท่ามกลางสงครามเฉกเช่นเด็กอื่นทั่วไป ทั้งแผ่นดินแขมร์ยามนี้การสู้รบเกิดขึ้นได้ทุกหนแห่ง

ปืน เป็นสิ่งที่ข้าได้สัมผัสกับมันมาตั้งแต่จำความได้ ข้าเห็นมันมีอยู่ทุกที่ โดยเฉพาะในห้องนอน เมื่อข้าโตพอจะหิ้วไปไหนมาไหนได้ มันก็แทบอยู่ข้างกายข้าตลอด

การทำนายังคงเป็นอาชีพหลักของพวกเรา ครอบครัวของข้านั้นที่จริงก็ถือว่ามีฐานะหากเทียบกับชาวบ้านอื่นในละแวกเดียวกัน ข้าไม่เคยคิดว่าตัวเองลำบากอะไรนักแม้ทั้งแผ่นดินยังคงไม่สงบก็ตาม อาจเป็นเพราะข้าชาชินกับมันมาตั้งแต่เกิดก็เป็นได้

บางครั้งข้าก็ได้เห็นการสู้รบประปรายในหมู่บ้าน ซึ่งเด็กอย่างข้าคงได้แต่รับรู้ว่ามันน่าสนุก ใช่ มันน่าสนุกกว่าสงครามหนังสติ๊กของพวกข้ามากมายนัก

จะว่าไปข้านั้นไม่เคยสนใจด้วยซ้ำว่าใครจะรบกับใคร ทั้งไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าฝ่ายไหนถูกฝ่ายไหนผิด ก็เหมือนที่ข้าใช้หนังสติ๊กไล่ยิงกันนั่นแหละ ไม่มีใครถูกไม่มีใครผิด เราไม่เคยได้มีความโกรธแค้นอะไรต่อกัน ข้ารู้แต่ว่าเด็กพวกนั้นอยู่ฅนละหมู่บ้านกับข้า เมื่อโคจรมาเจอกันแล้วอยากยิงกัน ก็เท่านั้น

เช่นกันกับฅนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน พวกเขาก็ไม่เคยสนใจพวกที่รบกันว่าจะเป็นใครฝ่ายไหน เพราะจะว่าไป พวกไหนก็ล้วนแต่เลือดเนื้อเชื้อแขมร์ด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้นไม่ว่าใครถือปืนเข้ามาเราต้อนรับหมด บางพวกอาจต้องการแค่เสบียง ก็เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้านที่จะจัดการให้พวกเราหามาสนองตอบ บางพวกต้องการกำลังพล พวกเขาก็จะมาคัดเลือกเอาฅนหนุ่มในหมู่บ้านของเราไป แน่นอนว่าบางฅนก็เต็มใจ แต่หลายฅนล้วนไม่พร้อม ทั้งพวกที่กลัวตายและไม่ต้องการสู้รบก็มาก แต่หากเลี่ยงไม่ได้ทุกฅนก็ต้องเข้าร่วมกองทัพของพวกเขา เพื่อไปต่อสู้กับแขมร์ด้วยกัน

ข้านั้นให้ขัดใจนักกับพวกที่กลัวตาย และให้เสียดายทุกครั้งที่มีการเกณฑ์ฅนในหมู่บ้านไปเป็นทหาร ด้วยเหตุที่ตอนนั้นข้ายังอายุน้อยและตัวเล็กเกินไป

เราส่งเสียงโห่ฮาเมื่อขับไล่เด็กพวกนั้นออกไปได้แล้ว แต่วัวของพวกมันยังอยู่ที่นี่ พวกข้าจึงแค่ซุ่มรอจากพุ่มไม้นี่เท่านั้น 

ท่ามกลางไอแดดร้อนระอุเหนือผืนนา พวกมันเริ่มปรากฏตัวออกมา ด้วยชะล่าใจว่าไม่มีใครจึงพากันเข้าสู่วงล้อมในที่สุด

“ยิงมัน” 

เมื่อสิ้นคำสั่งข้า พวกเราก็โจมตีจากทุกด้านในทันที พวกมันแตกตื่นเกินกว่าจะทันตั้งรับ จึงได้รู้รสชาติกระสุนดินเหนียวกันอีกฅนละหลายลูก ก่อนจะหนีฝ่าวงล้อมออกไปได้ ช่างสะใจข้ายิ่งนัก

ข้าเหนี่ยวไกปล่อยกระสุนออกไปกับเลือดในกายที่ฉีดพล่าน เสียงปืนเสียงระเบิดช่วยปลุกเร้าประสาทรับรู้ให้ตื่นตัวถึงขีดสุด สำหรับข้าแล้ว ความตายเป็นสิ่งซึ่งไม่เคยนึกถึง ข้าโผจากไม้ต้นหนึ่ง ไปยังอีกต้น และอีกต้น รุกคืบเข้าไปพร้อมสาดกระสุนเข้าใส่พวกมัน ไม่ปล่อยให้มีโอกาสแม้แต่จะหันหลังกลับ พวกมันสู้แบบหมาจนตรอกแล้วในเวลานี้ และการจัดการกับหมาจนตรอกนั้นก็ช่างน่ารื่นรมย์เสียยิ่งนัก เพียงแต่บางทีข้าอาจคิดผิดก็ได้

ในที่สุดข้าก็เติบโตพอสำหรับการเป็นทหาร ตอนนั้นสงครามใกล้จบลงเต็มที พวกแดงถูกตีถอยร่นไปอยู่ติดชายแดนไทยกันหมดแล้ว พวกเวียดนามก็กลับบ้านของพวกมันแล้วเช่นกัน และทั้งที่ไม่มีการกวาดต้อนผู้ฅนไปเป็นทหารเหมือนก่อนก็ตาม แต่ข้าก็พร้อมสมัครใจเข้ามาเอง เพราะความน่าสนุกของการสู้รบมันฝังใจข้ามาตั้งแต่เด็กอย่างที่บอก และข้าก็เติบโตเกินกว่าจะเอาหนังสติ๊กไปไล่ยิงกันแล้ว

“เฮ้ย เอ็งดูซิว่าใครมา” 

ที่หน่วยทหารซึ่งข้าเพิ่งมาถึง เมื่อหันไปตามเสียงนั้นก็ได้เห็นพวกมัน ไอ้เซือมกับไอ้ฮนกำลังยืนยิ้มเผล่มองข้ากับไอ้เซงอยู่

“ข้าน่าจะรู้นะว่าต้องได้เจอพวกเอ็งที่นี่” ข้าเอ่ยขึ้นหลังจากเข้าไปทักทาย

“แต่ข้ารู้อยู่แล้วว่าต้องได้เจอพวกเอ็งแน่นอน” มันพูดพร้อมพยักหน้าหัวเราะใส่ ข้าได้แต่มองหน้าและหัวเราะไปกับมัน เราต่างหัวเราะใส่กัน เรื่องราวแต่ครั้งหลังกลายเป็นความเฮฮาเมื่อถูกนำมาพูดถึง

สถานการณ์กลับพลิกผันเมื่อกองกำลังเสริมของพวกมันเข้ามาสมทบ เราถูกโอบล้อมและเริ่มเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ข้ายังคงเหนี่ยวไกสาดกระสุนเข้าใส่พวกมันดุจเดิม หากคราวนี้กลับเป็นไปเพื่อยับยั้งห่ากระสุนที่พุ่งเข้ามาเสียมากกว่า

คมกระสุนเหล่านั้นเฉียดฉิวถากหนังข้าไป ทั้งเจาะทะลุร่างเพื่อนพ้องของข้าให้บาดเจ็บล้มตายทีละฅน

ไอ้ฮนถูกยิงลงไปกองกับพื้นขณะมีสัญญาณให้ถอย ไอ้เซงส่งสัญญาณมือบอกว่าจะเข้าไปพามันกลับไปด้วยกัน ข้าเหนี่ยวไกรัวไม่ยั้งเพื่อคุ้มกันมันสองฅน แต่ขณะที่ไอ้เซงวิ่งเข้าไปนั้น ไอ้ฮนซึ่งนอนหมอบกับพื้นก็ขยับร่างน้อย ๆ เหนี่ยวไกลั่นกระสุนใส่เพื่อนที่กำลังเข้าไปช่วยมันออกมา ไอ้เซงส่งเสียงร้องดังก่อนล้มคว่ำแน่นิ่ง มันสองฅนสิ้นลมพร้อมกัน

‘มันไม่เคยโกรธกัน สิ่งที่ไอ้ฮนทำไม่ใช่จากความเกลียดชัง เป็นแค่อารมณ์บ้าคลั่งของฅนที่รู้ตัวว่าใกล้ตายเท่านั้น’

“ว่าไง” ไอ้เซือมเดินมาตบบ่าพลางนั่งลงข้างข้า

“เปล่า” ข้าตอบไปแบบนั้น ตอบแบบไม่รู้จะตอบอะไรดี ยังคงจ้องมองควันไฟลอยกรุ่นขณะน้ำที่ต้มใกล้เดือด

“เอ็งว่าไหม บางทีพวกเราก็ไม่ต่างจากหมาบ้า” จู่ๆ ข้าก็พูดขึ้นมา มันหันมองหน้าด้วยแววตาเรียบเฉยเกินคาดเดา

“เปล่า” ข้าตอบเหมือนเดิมอีกครั้งเมื่อมันถามว่าทำไม บางทีมันอาจเป็นแค่ความรู้สึกสับสนเท่านั้น

หลังจากความพ่ายแพ้ในคราวนั้น ฝ่ายเราก็โหมโจมตีอย่างหนัก กระทั่งพากันบุกถึงที่มั่นของพวกมันได้ในที่สุด ฐานบนยอดเขาของมันทำให้เราเป็นฝ่ายเสียเปรียบในด้านสมรภูมิ แต่พวกเข้าตีคงไม่สามารถเลือกอะไรได้มากกว่าฝ่ายตั้งรับ กฎข้อนี้เราต่างรู้ดี

พวกเราเตรียมพร้อมกันกลางดึก ท่ามกลางความเงียบนั้น เสียงกระสุนปืนใหญ่ลอยข้ามหัวไปตกระเบิดยังฐานที่ตั้งของพวกมันอย่างแม่นยำ เมื่อกองหน้าบุกเข้าไป เสียงจากกระสุนชนิดต่าง ๆ ที่พวกเราสาดใส่กันก็ดังลั่นราวป่าแตก

เวลาผ่านไปเนิ่นนานจวบจนฟ้าสาง พวกมันยังคงตั้งรับอย่างเหนียวแน่นแม้โดนโจมตีอย่างหนักก็ตาม ขณะที่เราเริ่มอ่อนล้า ยิ่งเป็นเวลากลางวันแบบนี้พวกข้ายิ่งเสียเปรียบ เป็นอีกครั้งที่ได้เห็นพวกพ้องบาดเจ็บล้มตายทีละฅนต่อหน้าต่อตา

ข้าข้ามศพที่นอนตายรุกคืบเข้าไป จากแนวหินนี้ โคนไม้ใหญ่ตรงหน้าดูจะเป็นทำเลชัยที่เหมาะกว่า แต่ข้ารู้ดีว่าต้องระวัง เพราะท่ามกลางห่ากระสุนที่สาดใส่เข้ามานั้น ยังมีปากกระบอกปืนที่จับนิ่งจ้องเล็งมายังหัวของข้าอยู่ พวกมือเที่ยง (พลซุ่มยิง)  มันแค่รอให้ได้จังหวะเท่านั้น แต่อยู่ตรงนี้ก็เสี่ยงเกินไป ข้ากะว่าปลอดภัยจึงพุ่งตัวออกไป ไม่ทันถึงโคนไม้ด้วยซ้ำ ชายโครงข้าก็เสียวแปลบร่างล้มลงทันที 

ข้าถูกยิง รับรู้ถึงความเจ็บปวดขณะกัดฟันคว้าปืนรัวใส่พวกมันอย่างบ้าคลั่ง ข้าเริ่มอ่อนแรง พร้อมกับรู้สึกว่าถูกจับเหวี่ยงขึ้นบ่าใครฅนหนึ่ง 

ข้าพยายามเบิกตาขึ้นเมื่อถูกวางลง ไอ้เซือม มันนั่นเอง ไม่คิดว่ามันจะเข้าช่วยข้าในทันที ไม่สนใจยุทธวิธีอะไรเลยด้วยซ้ำ โดยเฉพาะกฎเรื่องอาวุธ 

“เอ็ง ไม่กลัวข้าจะยิงเอ็งรึไง” ข้ากัดฟันถามออกไปขณะเปลือกตาคอยจะปิด เรี่ยวแรงเหลือน้อยลงทุกที

“เอ็งยิงข้ามามากพอแล้ว” มันตอบเรียบ ๆ ข้าพยายามเบิกตาขึ้นอีกครั้ง ทันได้เห็นรอยยิ้มจืด ๆ ของไอ้เซือม ก่อนที่เศษเนื้อ สมอง และเลือดสด ๆ จะพุ่งทะลักออกจากท้ายทอยของมัน มันพลาดให้พวกมือเที่ยงจนได้ ดวงตาข้าเบิกกว้างโดยอัตโนมัติ กลิ่นคาวคลุ้งมาก่อนที่สติจะวูบดับไป

รถบรรทุกทหารที่วิ่งผ่านไปจะนับจำนวนได้สักเท่าไร ข้าคงไม่อยากใส่ใจนัก เพียงแต่ว่าในแต่ละคันนั้นอัดแน่นไปด้วยจำนวนทหาร ซึ่งถูกจับยัดโยนใส่ด้วยกันจนเต็มคันรถ คันแล้วคันเล่า

เราใช้เวลาหลายวันตามยุทธวิธีของพวกเวียดนาม นั่นคือตายสิบเพิ่มร้อยตายร้อยเพิ่มพัน กว่าจะยึดฐานที่มั่นของพวกมันได้ จำนวนทหารซึ่งนำชีวิตมาถมทิ้งในคราวนี้ก็มากมายนัก ข้านอนมองรถที่วิ่งฝุ่นฟุ้งออกไป สูดกลิ่นของพวกมัน สักคันหนึ่งคงมีไอ้เซือมอยู่ในนั้น

สายลมร้องยังคงพัดผ่านผืนนาแล้ง ข้านั่งปั้นกระสุนดินเหนียวเพียงลำพัง ขณะทอดสายตามองฝูงวัวยังอดคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมาไม่ได้ นึกถึงสงครามหนังสติ๊กเมื่อครั้งยังเด็ก นึกถึงสงครามที่สาดกระสุนเข้าพรากชีวิตของกันและกัน ข้านึกถึงมันด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป ความฮึกเหิมต่าง ๆ ไม่เหลือแล้ว สงครามบ้าบอนั่นจะจบเมื่อไรอย่างไรก็ช่างมันเถอะ

เมื่อหายดีแล้วข้าก็ทิ้งปืน หนีทัพออกมา ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนักหรอกสำหรับการหันหลังให้สนามรบ มันไม่ต่างจากการเข้าเป็นทหารของข้านั่นแหละ

และไม่ว่าชีวิตคืออะไร วันนี้ข้าคงยอมรับได้อย่างไม่อายว่า ข้าก็รู้จักรักชีวิต รู้จักกลัวตายไม่ต่างจากฅนอื่นเช่นกัน

ข้ากลับมาทำนา เลี้ยงวัว ใช้ชีวิตที่เหลือให้คุ้ม บางทีอาจมีที่ไหนสักที่เบื้องหลังชีวิตนี้ ที่ซึ่งข้าจะได้พบเจอไอ้เซือม ไอ้เซง ไอ้ฮน รวมถึงไอ้พวกที่ข้าเคยลั่นกระสุนใส่มันนั่นด้วย เราจะมองหน้า ยิ้ม และระเบิดหัวเราะเข้าใส่กัน ใช่ ข้าอยากให้มันเป็นเช่นนั้น เพราะไม่ว่าอย่างไรเราก็เป็นเพื่อน เป็นญาติ เป็นคนชาติเชื้อแขมร์ไม่ต่างกัน

ที่สำคัญ เราไม่เคยมีเรื่องโกรธแค้นอะไรกันเลยนี่นา.

(หนึ่งในรวมเรื่องสั้นชุด ต่างชายคา ฟ้าเดียวกัน)

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่