เรื่องที่ 5 ฟังชื่อเรื่องดู ออกแนวเลิฟสตอรี่ และน่าจะหวาน หรือเปล่า ?
ต้องตามอ่านดู...ครับผม
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ชาคริตไม่รู้ตัวว่าตนมีความรักให้กับเจ้านั่นตั้งแต่เมื่อไหร่ ในวันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ที่สวนมะพร้าวน้ำหอม เป็นมรดกตกทอดมาสู่พ่อของเขา พื้นที่ 40 ไร่ ถึงแม้จะอยู่ไกลจากถนนสายหลัก แต่ถ้าอยู่ในเขตจังหวัดสมุทรสงคราม แน่นอนว่ามูลค่าของที่ดินย่อมมหาศาล
ไม่ใช่สวนมะพร้าวที่เต็มไปด้วยตัวเงินตัวทองที่ปีนป่ายหาอาหารบนต้นมะพร้าว แต่เป็นสิ่งของที่พ่อนำติดตัวมาด้วยต่างหาก พ่อนำกล่องสีเงินออกมาพร้อมหมุนหมายเลขที่ตั้งไว้ เมื่อเปิดออกเขาก็เห็นวัตถุสีดำเป็นนิลวาวราวกับแก้ว พ่อหยิบขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ใช่แล้ว มันคือปืนสั้นแบบลูกโม่
"นี่คือปืน รีวอลเวอร์ โคลท์ไพธ่อน .357 หรือฉายาของแม่สาวคนนี้คือ นางพญางูเหลือมดำ ลำกล้อง 2.5 นิ้ว สวยไหมลูก"
ชาคริตตาโตกับรูปโฉมของเจ้าหล่อน รูปทรงอวบกระชับ มาพร้อมทั้งส่วนโค้งและเว้าเย้ายวนใจ สีดำที่เป็นดั่งแก้วสะท้อนแสงเข้าตาเด็กชาย พ่อปลดเอาลูกโม่ออกมา เสียงของเจ้าหล่อนช่างไพเราะแว่วหวาน พ่อเล่าความยากลำบากในการที่หาปืนตัวนี้เพื่อมาครอบครองด้วยราคาแพงระยับ แต่สิ่งใดที่พ่อต้องการ พ่อจะไปเสาะหาแม้ต้องใช้เงินเท่าไหร่ก็ตาม
ด้วยความที่พ่อของชาคริต เป็นลูกชายคนเดียว ความรักนี่เองทำให้พ่อถูกตามใจจนไม่สามารถทำงานที่ไหนได้ เขาต้องการใช้เงินเมื่อไหร่ก็เข้าไปขอจากย่าของชาคริต จนเหมือนว่าพ่อของชาคริตเป็นลูกแหง่ที่ไม่ยอมโต
พ่อหยิบเอาปืนมาบรรจุกระสุนเข้ารังเพลิง ก่อนจะค่อยๆ นำลูกโม่เข้าตัวปืน พ่อหันมามองแล้วบอกให้ชาคริตใส่อุปกรณ์ป้องกันเสียงสีส้มให้เรียบร้อย
เด็กชายยัดโฟมสีส้มเข้าหู เพื่อป้องกันเสียงแผดร้องของหล่อนเวลาคำราม พ่อย่อตัวลงเหยียดแขนเล็งไปที่ลำต้นมะพร้าว
เปรี้ยง!
กระสุนพุ่งเข้าฉีกลำต้นอย่างถนัดถนี่ ใบหน้าของพ่อแสดงถึงความยินดีที่อานุภาพของมันมีอำนาจการทำลายล้างตามที่ต้องการ กระสุนลั่นตามออกมาจนครบ พ่อปลดเอาปลอกกระสุนลงบนพื้น เขามองหน้าบุตรชายวัย 11 ปี ที่สายตาแสดงถึงความต้องการที่จะสัมผัสเจ้าหล่อนอย่างเต็มที่
"เอาสิ พ่อให้แกลองถือมันดู แต่พ่อคงจะให้แกยิงตอนนี้ไม่ได้ เพราะมันมีแรงรีคอยล์มาก แกอาจตกใจ ทำปืนตกเสียราคาหมด"
"ไม่หรอกป๊า ผมโตพอที่จะยิงปืนแล้วนะครับ ขอผมลองยิงสักนัดนะครับป๊า"
เมื่อลูกชายเอ่ยปากขอ มีหรือเขาจะไม่ให้ เพราะความจริงแล้วพ่อของชาคริตก็ไม่ต่างจากย่า เพราะถ้าคนที่รักที่สุดร้องขออะไร เขาก็จะไม่ลังเลที่จะให้ของสิ่งนั้น
"ก็ได้ งั้นพ่อจะสอนแกก่อนจะได้ยิงปืนให้ถูกวิธี แต่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ พ่อจะไม่ให้ลูกมาถือปืนตอนที่พ่อไม่อยู่ เข้าใจใช่ไหม"
"เข้าใจครับป๊า"
พ่อยื่นปืนที่ไม่มีกระสุนให้ชาคริตถือไว้ในมือ น้ำหนักของหล่อนหนักอึ้งสำหรับเด็ก แต่ก็ไม่เกินพยายาม เมื่อเด็กชายถือเพียงไม่กี่อึดใจก็รู้สึกคุ้นชิน พ่อสอนวิธีบรรจุกระสุน นิ้วของเขามิให้สอดลงในโกร่งไก แต่ให้แตะไว้ที่ด้านข้าง พ่อให้ชาคริตใส่กระสุนเพียง 5 นัด เพื่อซ้อม เมื่อเด็กชายเล็งแล้วเหนี่ยวไก กระสุนถูกเป้าหมายอย่างแม่นยำทั้งห้านัด
"เฮ้ย! นี่แกเพิ่งยิงปืนครั้งแรกจริงๆ หรือ ทำไมถึงได้ยิงแม่นขนาดนี้ แล้วทำไมถึงไม่กลัวแรงถีบจากปืน ป๊าไม่อยากจะเชื่อเลย"
นั่นยิ่งทำให้เด็กชายวัย 11 ยิ่งหลงรักเจ้าไพธ่อนมากยิ่งขึ้น เด็กชายไม่ทราบว่าทำไมถึงสามารถประสานเป็นหนึ่งเดียวกับเธอได้ ความคิดของเขาในขณะนั้นคือความหลงไหลในความงามและอานุภาพของหล่อน
###################
ชาคริตเติบโตขึ้นด้วยวัตถุที่พ่อของเขาสรรหามามอบให้ ยกเว้นเพียงสิ่งเดียวคือ สาวน้อยลำกล้อง 2.5 นิ้ว ที่พ่อไม่ยอมให้เขาแตะต้องอีก จนชาคริตอายุได้ 18 ปี เขาเรียนโรงเรียนช่างเพราะไม่สามารถเรียนที่ไหนได้ เพราะเขาไม่เคยเข้ากับเพื่อนได้เลย พ่อของชาคริตต้องเสียเงินเป็นจำนวนมากเพื่อให้เรียนให้จบ จนในที่สุดก็ต้องมาลงเอยที่โรงเรียนช่างกล
เพื่อนของพ่อหลายคนได้เคยทักท้วงว่า ไม่ควรให้ชาคริตเรียนช่าง เพราะอาจจะมีเรื่องการตีรันฟันแทง แต่ก็ไม่อาจขัดใจลูกชายคนเดียวของเขาได้ จนผ่านไปขึ้นปี 2 ชาคริตก็เกิดเรื่องขึ้น วันนั้นชาคริตกับเพื่อนอีกสามคน ต้องไปเจอกับคู่อริต่างโรงเรียนที่วิ่งเข้ามารุมทำร้าย
ชาคริตกับเพื่อนต้องหนีตาย จากการรุมสหบาทา เพื่อนหนึ่งในสามถูกฟันด้วยมีดหัวตัดเข้ากลางหลังดัง หนึบๆๆ ชาคริตหันมามองเพราะเสียงจากเพื่อนที่ร้องดังลั่น ชาคริตกำลังจะเข้าไปช่วย แต่เพื่อนอีก 2 คน กระชากตัวเขากลับมา เพราะการเข้าไปช่วยนั่นคือการเข้าไปหาความตาย หรือไม่ก็ต้องเจ็บหนัก
ทั้งสามหนีเข้ามาหลบในตลาดที่เพื่อนๆ ชอบมาใช้เป็นที่นัดพบเพื่อดื่มเหล้า สูบบุหรี่ หรือทำอะไรตามแต่เพื่อนๆ จะหากิจกรรมมาทำเป็นกลุ่ม แต่ตอนนี้มีเหลือเพียงสามคน เพราะเพื่อนอีกคนเขายังไม่รู้ชะตากรรมว่าจะเป็นตายร้ายดี เป้เอ่ยออกมาก่อน
"แกจะเข้าไปตายหรือไง พวกมันมีกี่ตีน มีมีดกี่เล่ม ไม่เห็นหรือวะ ไอ้คริต"
ชาคริตนิ่งเงียบ ก่อนจะพูดออกมา
"ข้าจะล้างแค้นให้ไอ้หมาย ข้าไม่รู้ว่ามันจะเป็นหรือตาย แต่พวกมันต้องชดใช้ในเรื่องนี้"
โน๊ตเพื่อนอีกคนถอนลมหายใจ ก่อนเอ่ยออกมา
"ก็ได้ ข้าจะไปรวบรวมพวกช่างก่อสร้างกับโยธา น่าจะได้สัก 30 ถึง 40 คน แล้วไปถล่มพวกมันด้วยกัน"
ชาคริตพูดสวนกลับมาทันที
"ไม่ต้องไอ้โน๊ต ข้าจะทำคนเดียว แต่แกต้องช่วยข้าหากระสุนมาสักห้าสิบนัด"
"อะไรนะ กระสุนอะไรห้าสิบนัด นี่เอ็งจะใช้ M16 ไปถล่มมันหรือวะ พูดเป็นเกมส์เคาเตอร์สไตรค์ไปได้"
"กระสุนขนาดจุดสามห้าเจ็ด ถ้าเป็นหัวเคลือบทองแดงจะดีมาก"
เป้กับโน๊ตหันหน้ามามองกันก่อนจะมองชาคริตเป็นตาเดียว ทั้งคู่พูดเกือบพร้อมกัน
"นี่เอ็งจะยิงพวกมันหรือวะ ตอนที่หนีพวกมันมาก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนลงมือ แล้วเอ็งจะยิงใคร"
ชาคริตหันมามอง ดวงตานั้นจริงจังกว่าคำพูด
"จะใครก็ได้ข้าไม่สนอยู่แล้ว ถ้าข้าเจอใครก่อนข้าจะยิงมัน ยิงให้มากที่สุดเท่าที่ข้าจะยิงพวกมันได้"
หลังจากนั้นอีกสี่วัน ทั้งสามมาพบกันที่ตลาดเช่นเดิม ทั้งหมดทำเป็นไม่ทราบเรื่องที่สมหมายถูกทำร้ายจนปางตาย เพราะชาคริตต้องการให้เรื่องเงียบที่สุด กระสุนได้มาจากโน๊ตที่ไปให้คนแถวบ้านหามาให้ด้วยเงินของทั้งสาม ส่วนอาวุธปืนเป็นของชาคริต
เขาขโมยออกมาจากห้องนอนของพ่อในขณะที่เขาไม่อยู่ แน่นอนว่าปืนกระบอกนี้เก็บในตู้เซฟ ล็อคด้วยรหัส ชาคริตแอบสังเกตมานานจึงรู้ว่ารหัสคือวันเดือนปีเกิดของตน เมื่อได้ปืนพร้อมด้วยกระสุน ปฏิบัติการล้างแค้นจึงกำหนดในวันรุ่งขึ้น เป้ร้องเตือนด้วยความหวังดีเผื่อให้เพื่อนเปลี่ยนใจ
"ไอ้คริต ไม่ลองคิดดูอีกทีหรือวะ ไอ้หมายก็ไม่ตาย เอ็งจะเอาพวกมันให้ถึงตายเลยหรือวะ"
ชาคริตไม่ตอบ เขาหยิบเอากระสุนมาใส่รังเพลิงทีละนัด ทีละนัด ในใจของเขาได้ตอบเพื่อนของตนกลับมาว่า
'กระสุนที่ยิงออกไปแล้ว ไม่มีทางเอากลับคืนได้หรอกว่ะ ไอ้เป้'
วันรุ่งขึ้น ชาคริตไปเพียงลำพัง เขามองเหยื่อของตน คือนักเรียนโรงเรียนช่างคู่อริที่เดินมาเป็นกลุ่มเพื่อเข้าโรงเรียน ชาคริตสวมแว่นดำที่เพิ่งซื้อจากร้าน 7/11 หมวกแก๊ปซื้อมาเมื่อวาน เสื้อตัวยีนส์ใหม่ใส่ถุงไว้ เขานำมาสวมทับเสื้อของตนไว้ ปืนที่เหน็บข้างเอว
หัวใจเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้น เป็นความยินดีที่จะได้ยิงคนเป็นๆ ที่มีเลือด มีเนื้อ ความแค้นที่นักเรียนโรงเรียนคู่อริทำร้ายเพื่อน เป็นแค่สะเก็ตไฟเล็กๆ ที่จุดความต้องการภายในใจให้ลุกโชนด้วยไฟของความต้องการที่ซ่อนอยู่ภายใน
ชาคริตก้าวออกมาจากตรอกเผชิญหน้ากับกลุ่มนักเรียนช่างผู้เคราะห์ร้าย แล้วกระชากไพธ่อนสีดำออกมา กระหน่ำยิงออกไปทั้งหมดหกนัด เสียงดังปานเสียงฟ้าผ่าหกครั้งซ้อน ทำให้ชาวบ้านต่างหลบหนีกันจ้าละหวั่น ชาคริตไม่ดูผลงานของตนเขาออกวิ่งเข้าตรอกอย่างชำนาญ
เขาถอดเสื้อที่ใส่ลงในถุงกระดาษที่แอบซ่อนไว้รวมทั้งแว่นดำและหมวกแก๊ป
เขาเดินออกมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใบหน้าของชาคริตมิได้มีความเศร้าสลดหลังจากที่ยิงคนเมื่อสักครู่ ในใจมีแต่ความอิ่มเอิบเท่านั้น
ชาคริตกลับไปที่บ้านอย่างใจเย็น เขาดูข่าวที่เกิดขึ้นในข่าวภาคเที่ยงว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกับตนหรือไม่ ในข่าวแจ้งว่ามีนักเรียนถูกยิงไปสี่คน กระสุนลูกหลงไปถูกแม่ค้าขายขนมซึ่งอยู่ห่างออกไปยี่สิบเมตร กระสุนถูกบริเวณหัวใจของเธอสิ้นใจตายทันที ส่วนนักเรียนทั้งสี่ก็สิ้นใจทันทีสองคน ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลอีกสอง
นั่นหมายความว่ากระสุนทั้งหกนัด สังหารชีวิตมนุษย์ไปห้าคน ส่วนคนร้ายทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เบาะแสว่า เป็นชายสวมเสื้อยีนส์สีฟ้า มีภาพในกล้องวงจรปิดแต่ไม่ชัดนัก แต่ข่าวที่ทิ้งท้ายทำให้ชาคริตใจหายวาบ
"ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เบาะแสคนร้ายแล้ว กำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อนำตัวคนร้ายมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้ค่ะ"
ชาคริตถึงกับเหงื่อตก ทั้งที่ในห้องอากาศก็เย็นด้วยแอร์คอนดิชั่น
"พวกตำรวจจะรู้ได้ไงว่าเราเป็นคนทำ ไม่มีใครเห็นเราจังๆ นินา หรือพวกตำรวจแค่ออกข่าวเพื่อกดดันเฉยๆ แต่..."
ทันใดนั้น เสียงกริ่งก็ดังขึ้น
ชาคริตหลบวูบอย่างตื่นตระหนก เขามองไปหน้าบ้าน หมวกที่โผล่จากรั้วเป็นหมวกที่คล้ายของตำรวจ ใจของเขาหล่นวูบ สิ่งที่นึกออกมีเพียงอย่างเดียวคือ หนีให้พ้นจากที่นี่เสียก่อน
สิ่งที่เขาทำต่อมาก็คือ วิ่งไปรวบรวมเงินสดจากในห้องของพ่อ ซึ่งมีอยู่ประมาณสามหมื่นบาท
เงินสดส่วนตัวใน ATM ในขณะนี้เขามีสองหมื่นสามพัน
เสื้อผ้ากระสุนที่เหลืออีก 44 นัด พร้อมด้วย'หล่อน' เขานำลงเป้สะพายพร้อมกัน แล้วปีนหนีออกทางหลังบ้าน
โดยที่ชาคริตไม่สามารถทราบได้เลยว่าผู้ที่มากดกริ่งหน้าบ้านเป็นยามที่เดินมาส่งจดหมายนัดประชุมหมู่บ้านเท่านั้น
ชาคริตไม่ติดต่อเพื่อนคนใด เขากดเงิน ATM ได้อีกสองหมื่น แล้วซื้อตั๋วรถลงใต้ เขาลงไปที่กระบี่เพื่อหลบหนีคดีที่เขาก่อ เงินห้าหมื่นทำให้เขาสะดวกสะบายในช่วงแรก จนกระทั่งผ่านไปแค่เดือนครึ่งเงินก็หมด เขาจึงออกมาอยู่ตามศาลเจ้ากับปั๊มน้ำมัน ใบหน้าซูบผอมลง เงินติดตัวเหลือเพียงสองพันสุดท้าย ความจริงเขาเหลือเงินอีกสามพันใน ATM แต่เขาไม่กล้ากดเพราะกลัวจะเปิดเผยร่องรอยให้ตำรวจตามมาจับเขาได้
ชาคริตไม่กล้าดูข่าวในทีวี ในหนังสือพิมพ์ เขากลัวที่จะเห็นหน้าตัวเองในนั้นนั่นเอง จนกระทั่งเงินของเขาเหลืออยู่ห้าร้อยบาท เขาก็หาทางเอาตัวรอดด้วยวิธีที่ตนคิดได้
"ตรงท้ายถนนมีร้านทองอยู่ตรงนั้น ตอนก่อนเที่ยงกับช่วงบ่ายคนจะน้อยมาก เรียกว่าแทบร้างเลย ในช่วงเวลานั้นเราจะทำอะไรก็ย่อมได้ เพราะพี่มีเธอ 'น้องไพ' แต่น้องต้องช่วยพี่เหมือนคราวที่แล้ว ถ้าโชคดีพี่จะไม่ฆ่าใคร แต่ถ้าพวกมันไม่ยอมพี่ก็ต้องฆ่ามัน"
ชายหนุ่มใบหน้าซูบผอมแต่ดวงตาเหมือนคนที่ตกในผวังค์แห่งความรัก ลูบคลำไปตามส่วนโค้ง ส่วนเว้า เขาก้มลงประทับจูบที่ลูกโม่อย่างแผ่วเบา ดวงตาที่จ้องมองมานั้นมีแต่ความหลงใหลจนไม่เป็นตัวของตัวเอง
(มีต่อครับ)
🌼💖🌼 [ถุงมือนักเขียน - FINAL] เรื่องที่ 5 "รักกันจนตาย" โดย ถุงมือ "เหมันต์มาแล้วจ้า" 🌼💖🌼
เรื่องที่ 5 ฟังชื่อเรื่องดู ออกแนวเลิฟสตอรี่ และน่าจะหวาน หรือเปล่า ?
ต้องตามอ่านดู...ครับผม
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ชาคริตไม่รู้ตัวว่าตนมีความรักให้กับเจ้านั่นตั้งแต่เมื่อไหร่ ในวันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ที่สวนมะพร้าวน้ำหอม เป็นมรดกตกทอดมาสู่พ่อของเขา พื้นที่ 40 ไร่ ถึงแม้จะอยู่ไกลจากถนนสายหลัก แต่ถ้าอยู่ในเขตจังหวัดสมุทรสงคราม แน่นอนว่ามูลค่าของที่ดินย่อมมหาศาล
ไม่ใช่สวนมะพร้าวที่เต็มไปด้วยตัวเงินตัวทองที่ปีนป่ายหาอาหารบนต้นมะพร้าว แต่เป็นสิ่งของที่พ่อนำติดตัวมาด้วยต่างหาก พ่อนำกล่องสีเงินออกมาพร้อมหมุนหมายเลขที่ตั้งไว้ เมื่อเปิดออกเขาก็เห็นวัตถุสีดำเป็นนิลวาวราวกับแก้ว พ่อหยิบขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ใช่แล้ว มันคือปืนสั้นแบบลูกโม่
"นี่คือปืน รีวอลเวอร์ โคลท์ไพธ่อน .357 หรือฉายาของแม่สาวคนนี้คือ นางพญางูเหลือมดำ ลำกล้อง 2.5 นิ้ว สวยไหมลูก"
ชาคริตตาโตกับรูปโฉมของเจ้าหล่อน รูปทรงอวบกระชับ มาพร้อมทั้งส่วนโค้งและเว้าเย้ายวนใจ สีดำที่เป็นดั่งแก้วสะท้อนแสงเข้าตาเด็กชาย พ่อปลดเอาลูกโม่ออกมา เสียงของเจ้าหล่อนช่างไพเราะแว่วหวาน พ่อเล่าความยากลำบากในการที่หาปืนตัวนี้เพื่อมาครอบครองด้วยราคาแพงระยับ แต่สิ่งใดที่พ่อต้องการ พ่อจะไปเสาะหาแม้ต้องใช้เงินเท่าไหร่ก็ตาม
ด้วยความที่พ่อของชาคริต เป็นลูกชายคนเดียว ความรักนี่เองทำให้พ่อถูกตามใจจนไม่สามารถทำงานที่ไหนได้ เขาต้องการใช้เงินเมื่อไหร่ก็เข้าไปขอจากย่าของชาคริต จนเหมือนว่าพ่อของชาคริตเป็นลูกแหง่ที่ไม่ยอมโต
พ่อหยิบเอาปืนมาบรรจุกระสุนเข้ารังเพลิง ก่อนจะค่อยๆ นำลูกโม่เข้าตัวปืน พ่อหันมามองแล้วบอกให้ชาคริตใส่อุปกรณ์ป้องกันเสียงสีส้มให้เรียบร้อย
เด็กชายยัดโฟมสีส้มเข้าหู เพื่อป้องกันเสียงแผดร้องของหล่อนเวลาคำราม พ่อย่อตัวลงเหยียดแขนเล็งไปที่ลำต้นมะพร้าว
เปรี้ยง!
กระสุนพุ่งเข้าฉีกลำต้นอย่างถนัดถนี่ ใบหน้าของพ่อแสดงถึงความยินดีที่อานุภาพของมันมีอำนาจการทำลายล้างตามที่ต้องการ กระสุนลั่นตามออกมาจนครบ พ่อปลดเอาปลอกกระสุนลงบนพื้น เขามองหน้าบุตรชายวัย 11 ปี ที่สายตาแสดงถึงความต้องการที่จะสัมผัสเจ้าหล่อนอย่างเต็มที่
"เอาสิ พ่อให้แกลองถือมันดู แต่พ่อคงจะให้แกยิงตอนนี้ไม่ได้ เพราะมันมีแรงรีคอยล์มาก แกอาจตกใจ ทำปืนตกเสียราคาหมด"
"ไม่หรอกป๊า ผมโตพอที่จะยิงปืนแล้วนะครับ ขอผมลองยิงสักนัดนะครับป๊า"
เมื่อลูกชายเอ่ยปากขอ มีหรือเขาจะไม่ให้ เพราะความจริงแล้วพ่อของชาคริตก็ไม่ต่างจากย่า เพราะถ้าคนที่รักที่สุดร้องขออะไร เขาก็จะไม่ลังเลที่จะให้ของสิ่งนั้น
"ก็ได้ งั้นพ่อจะสอนแกก่อนจะได้ยิงปืนให้ถูกวิธี แต่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ พ่อจะไม่ให้ลูกมาถือปืนตอนที่พ่อไม่อยู่ เข้าใจใช่ไหม"
"เข้าใจครับป๊า"
พ่อยื่นปืนที่ไม่มีกระสุนให้ชาคริตถือไว้ในมือ น้ำหนักของหล่อนหนักอึ้งสำหรับเด็ก แต่ก็ไม่เกินพยายาม เมื่อเด็กชายถือเพียงไม่กี่อึดใจก็รู้สึกคุ้นชิน พ่อสอนวิธีบรรจุกระสุน นิ้วของเขามิให้สอดลงในโกร่งไก แต่ให้แตะไว้ที่ด้านข้าง พ่อให้ชาคริตใส่กระสุนเพียง 5 นัด เพื่อซ้อม เมื่อเด็กชายเล็งแล้วเหนี่ยวไก กระสุนถูกเป้าหมายอย่างแม่นยำทั้งห้านัด
"เฮ้ย! นี่แกเพิ่งยิงปืนครั้งแรกจริงๆ หรือ ทำไมถึงได้ยิงแม่นขนาดนี้ แล้วทำไมถึงไม่กลัวแรงถีบจากปืน ป๊าไม่อยากจะเชื่อเลย"
นั่นยิ่งทำให้เด็กชายวัย 11 ยิ่งหลงรักเจ้าไพธ่อนมากยิ่งขึ้น เด็กชายไม่ทราบว่าทำไมถึงสามารถประสานเป็นหนึ่งเดียวกับเธอได้ ความคิดของเขาในขณะนั้นคือความหลงไหลในความงามและอานุภาพของหล่อน
ชาคริตเติบโตขึ้นด้วยวัตถุที่พ่อของเขาสรรหามามอบให้ ยกเว้นเพียงสิ่งเดียวคือ สาวน้อยลำกล้อง 2.5 นิ้ว ที่พ่อไม่ยอมให้เขาแตะต้องอีก จนชาคริตอายุได้ 18 ปี เขาเรียนโรงเรียนช่างเพราะไม่สามารถเรียนที่ไหนได้ เพราะเขาไม่เคยเข้ากับเพื่อนได้เลย พ่อของชาคริตต้องเสียเงินเป็นจำนวนมากเพื่อให้เรียนให้จบ จนในที่สุดก็ต้องมาลงเอยที่โรงเรียนช่างกล
เพื่อนของพ่อหลายคนได้เคยทักท้วงว่า ไม่ควรให้ชาคริตเรียนช่าง เพราะอาจจะมีเรื่องการตีรันฟันแทง แต่ก็ไม่อาจขัดใจลูกชายคนเดียวของเขาได้ จนผ่านไปขึ้นปี 2 ชาคริตก็เกิดเรื่องขึ้น วันนั้นชาคริตกับเพื่อนอีกสามคน ต้องไปเจอกับคู่อริต่างโรงเรียนที่วิ่งเข้ามารุมทำร้าย
ชาคริตกับเพื่อนต้องหนีตาย จากการรุมสหบาทา เพื่อนหนึ่งในสามถูกฟันด้วยมีดหัวตัดเข้ากลางหลังดัง หนึบๆๆ ชาคริตหันมามองเพราะเสียงจากเพื่อนที่ร้องดังลั่น ชาคริตกำลังจะเข้าไปช่วย แต่เพื่อนอีก 2 คน กระชากตัวเขากลับมา เพราะการเข้าไปช่วยนั่นคือการเข้าไปหาความตาย หรือไม่ก็ต้องเจ็บหนัก
ทั้งสามหนีเข้ามาหลบในตลาดที่เพื่อนๆ ชอบมาใช้เป็นที่นัดพบเพื่อดื่มเหล้า สูบบุหรี่ หรือทำอะไรตามแต่เพื่อนๆ จะหากิจกรรมมาทำเป็นกลุ่ม แต่ตอนนี้มีเหลือเพียงสามคน เพราะเพื่อนอีกคนเขายังไม่รู้ชะตากรรมว่าจะเป็นตายร้ายดี เป้เอ่ยออกมาก่อน
"แกจะเข้าไปตายหรือไง พวกมันมีกี่ตีน มีมีดกี่เล่ม ไม่เห็นหรือวะ ไอ้คริต"
ชาคริตนิ่งเงียบ ก่อนจะพูดออกมา
"ข้าจะล้างแค้นให้ไอ้หมาย ข้าไม่รู้ว่ามันจะเป็นหรือตาย แต่พวกมันต้องชดใช้ในเรื่องนี้"
โน๊ตเพื่อนอีกคนถอนลมหายใจ ก่อนเอ่ยออกมา
"ก็ได้ ข้าจะไปรวบรวมพวกช่างก่อสร้างกับโยธา น่าจะได้สัก 30 ถึง 40 คน แล้วไปถล่มพวกมันด้วยกัน"
ชาคริตพูดสวนกลับมาทันที
"ไม่ต้องไอ้โน๊ต ข้าจะทำคนเดียว แต่แกต้องช่วยข้าหากระสุนมาสักห้าสิบนัด"
"อะไรนะ กระสุนอะไรห้าสิบนัด นี่เอ็งจะใช้ M16 ไปถล่มมันหรือวะ พูดเป็นเกมส์เคาเตอร์สไตรค์ไปได้"
"กระสุนขนาดจุดสามห้าเจ็ด ถ้าเป็นหัวเคลือบทองแดงจะดีมาก"
เป้กับโน๊ตหันหน้ามามองกันก่อนจะมองชาคริตเป็นตาเดียว ทั้งคู่พูดเกือบพร้อมกัน
"นี่เอ็งจะยิงพวกมันหรือวะ ตอนที่หนีพวกมันมาก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนลงมือ แล้วเอ็งจะยิงใคร"
ชาคริตหันมามอง ดวงตานั้นจริงจังกว่าคำพูด
"จะใครก็ได้ข้าไม่สนอยู่แล้ว ถ้าข้าเจอใครก่อนข้าจะยิงมัน ยิงให้มากที่สุดเท่าที่ข้าจะยิงพวกมันได้"
หลังจากนั้นอีกสี่วัน ทั้งสามมาพบกันที่ตลาดเช่นเดิม ทั้งหมดทำเป็นไม่ทราบเรื่องที่สมหมายถูกทำร้ายจนปางตาย เพราะชาคริตต้องการให้เรื่องเงียบที่สุด กระสุนได้มาจากโน๊ตที่ไปให้คนแถวบ้านหามาให้ด้วยเงินของทั้งสาม ส่วนอาวุธปืนเป็นของชาคริต
เขาขโมยออกมาจากห้องนอนของพ่อในขณะที่เขาไม่อยู่ แน่นอนว่าปืนกระบอกนี้เก็บในตู้เซฟ ล็อคด้วยรหัส ชาคริตแอบสังเกตมานานจึงรู้ว่ารหัสคือวันเดือนปีเกิดของตน เมื่อได้ปืนพร้อมด้วยกระสุน ปฏิบัติการล้างแค้นจึงกำหนดในวันรุ่งขึ้น เป้ร้องเตือนด้วยความหวังดีเผื่อให้เพื่อนเปลี่ยนใจ
"ไอ้คริต ไม่ลองคิดดูอีกทีหรือวะ ไอ้หมายก็ไม่ตาย เอ็งจะเอาพวกมันให้ถึงตายเลยหรือวะ"
ชาคริตไม่ตอบ เขาหยิบเอากระสุนมาใส่รังเพลิงทีละนัด ทีละนัด ในใจของเขาได้ตอบเพื่อนของตนกลับมาว่า
'กระสุนที่ยิงออกไปแล้ว ไม่มีทางเอากลับคืนได้หรอกว่ะ ไอ้เป้'
วันรุ่งขึ้น ชาคริตไปเพียงลำพัง เขามองเหยื่อของตน คือนักเรียนโรงเรียนช่างคู่อริที่เดินมาเป็นกลุ่มเพื่อเข้าโรงเรียน ชาคริตสวมแว่นดำที่เพิ่งซื้อจากร้าน 7/11 หมวกแก๊ปซื้อมาเมื่อวาน เสื้อตัวยีนส์ใหม่ใส่ถุงไว้ เขานำมาสวมทับเสื้อของตนไว้ ปืนที่เหน็บข้างเอว
หัวใจเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้น เป็นความยินดีที่จะได้ยิงคนเป็นๆ ที่มีเลือด มีเนื้อ ความแค้นที่นักเรียนโรงเรียนคู่อริทำร้ายเพื่อน เป็นแค่สะเก็ตไฟเล็กๆ ที่จุดความต้องการภายในใจให้ลุกโชนด้วยไฟของความต้องการที่ซ่อนอยู่ภายใน
ชาคริตก้าวออกมาจากตรอกเผชิญหน้ากับกลุ่มนักเรียนช่างผู้เคราะห์ร้าย แล้วกระชากไพธ่อนสีดำออกมา กระหน่ำยิงออกไปทั้งหมดหกนัด เสียงดังปานเสียงฟ้าผ่าหกครั้งซ้อน ทำให้ชาวบ้านต่างหลบหนีกันจ้าละหวั่น ชาคริตไม่ดูผลงานของตนเขาออกวิ่งเข้าตรอกอย่างชำนาญ
เขาถอดเสื้อที่ใส่ลงในถุงกระดาษที่แอบซ่อนไว้รวมทั้งแว่นดำและหมวกแก๊ป เขาเดินออกมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใบหน้าของชาคริตมิได้มีความเศร้าสลดหลังจากที่ยิงคนเมื่อสักครู่ ในใจมีแต่ความอิ่มเอิบเท่านั้น
ชาคริตกลับไปที่บ้านอย่างใจเย็น เขาดูข่าวที่เกิดขึ้นในข่าวภาคเที่ยงว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกับตนหรือไม่ ในข่าวแจ้งว่ามีนักเรียนถูกยิงไปสี่คน กระสุนลูกหลงไปถูกแม่ค้าขายขนมซึ่งอยู่ห่างออกไปยี่สิบเมตร กระสุนถูกบริเวณหัวใจของเธอสิ้นใจตายทันที ส่วนนักเรียนทั้งสี่ก็สิ้นใจทันทีสองคน ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลอีกสอง
นั่นหมายความว่ากระสุนทั้งหกนัด สังหารชีวิตมนุษย์ไปห้าคน ส่วนคนร้ายทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เบาะแสว่า เป็นชายสวมเสื้อยีนส์สีฟ้า มีภาพในกล้องวงจรปิดแต่ไม่ชัดนัก แต่ข่าวที่ทิ้งท้ายทำให้ชาคริตใจหายวาบ
"ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เบาะแสคนร้ายแล้ว กำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อนำตัวคนร้ายมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้ค่ะ"
ชาคริตถึงกับเหงื่อตก ทั้งที่ในห้องอากาศก็เย็นด้วยแอร์คอนดิชั่น
"พวกตำรวจจะรู้ได้ไงว่าเราเป็นคนทำ ไม่มีใครเห็นเราจังๆ นินา หรือพวกตำรวจแค่ออกข่าวเพื่อกดดันเฉยๆ แต่..."
ทันใดนั้น เสียงกริ่งก็ดังขึ้น
ชาคริตหลบวูบอย่างตื่นตระหนก เขามองไปหน้าบ้าน หมวกที่โผล่จากรั้วเป็นหมวกที่คล้ายของตำรวจ ใจของเขาหล่นวูบ สิ่งที่นึกออกมีเพียงอย่างเดียวคือ หนีให้พ้นจากที่นี่เสียก่อน
สิ่งที่เขาทำต่อมาก็คือ วิ่งไปรวบรวมเงินสดจากในห้องของพ่อ ซึ่งมีอยู่ประมาณสามหมื่นบาท
เงินสดส่วนตัวใน ATM ในขณะนี้เขามีสองหมื่นสามพัน
เสื้อผ้ากระสุนที่เหลืออีก 44 นัด พร้อมด้วย'หล่อน' เขานำลงเป้สะพายพร้อมกัน แล้วปีนหนีออกทางหลังบ้าน โดยที่ชาคริตไม่สามารถทราบได้เลยว่าผู้ที่มากดกริ่งหน้าบ้านเป็นยามที่เดินมาส่งจดหมายนัดประชุมหมู่บ้านเท่านั้น
ชาคริตไม่ติดต่อเพื่อนคนใด เขากดเงิน ATM ได้อีกสองหมื่น แล้วซื้อตั๋วรถลงใต้ เขาลงไปที่กระบี่เพื่อหลบหนีคดีที่เขาก่อ เงินห้าหมื่นทำให้เขาสะดวกสะบายในช่วงแรก จนกระทั่งผ่านไปแค่เดือนครึ่งเงินก็หมด เขาจึงออกมาอยู่ตามศาลเจ้ากับปั๊มน้ำมัน ใบหน้าซูบผอมลง เงินติดตัวเหลือเพียงสองพันสุดท้าย ความจริงเขาเหลือเงินอีกสามพันใน ATM แต่เขาไม่กล้ากดเพราะกลัวจะเปิดเผยร่องรอยให้ตำรวจตามมาจับเขาได้
ชาคริตไม่กล้าดูข่าวในทีวี ในหนังสือพิมพ์ เขากลัวที่จะเห็นหน้าตัวเองในนั้นนั่นเอง จนกระทั่งเงินของเขาเหลืออยู่ห้าร้อยบาท เขาก็หาทางเอาตัวรอดด้วยวิธีที่ตนคิดได้
"ตรงท้ายถนนมีร้านทองอยู่ตรงนั้น ตอนก่อนเที่ยงกับช่วงบ่ายคนจะน้อยมาก เรียกว่าแทบร้างเลย ในช่วงเวลานั้นเราจะทำอะไรก็ย่อมได้ เพราะพี่มีเธอ 'น้องไพ' แต่น้องต้องช่วยพี่เหมือนคราวที่แล้ว ถ้าโชคดีพี่จะไม่ฆ่าใคร แต่ถ้าพวกมันไม่ยอมพี่ก็ต้องฆ่ามัน"
ชายหนุ่มใบหน้าซูบผอมแต่ดวงตาเหมือนคนที่ตกในผวังค์แห่งความรัก ลูบคลำไปตามส่วนโค้ง ส่วนเว้า เขาก้มลงประทับจูบที่ลูกโม่อย่างแผ่วเบา ดวงตาที่จ้องมองมานั้นมีแต่ความหลงใหลจนไม่เป็นตัวของตัวเอง
(มีต่อครับ)