ในงานศพครูเที่ยงซึ่งจัดอยู่ที่วัด ทับทิมมาจุดธูปบอกพ่อให้พ่อไปสู่สุขคติ เมื่อปักธูปลงกระถางแล้วหันกลับมาก็เห็นบังอรเดินเข้ามาพอดี
“นังทับทิม ทำไมเอ็งไม่เป็นกระไร ทำไมเอ็งปล่อยให้พ่อเอ็งตาย ไหนเอ็งบอกจะไปปกป้องพ่อเอ็ง ไหนบอกว่าเก่งนักเก่งหนา แล้วทำไมคนที่ตายถึงเป็นผัวข้า”
บังอรร้องไห้คร่ำครวญ อบเชยเห็นแม่อาละวาดใส่ทับทิมก็รีบมาพาตัวแม่ออกไปจากตรงนั้น ทับทิมน้ำตาคลอและคิดมากกับคำพูดของบังอรจึงหลบมุมมานั่งร้องไห้อยู่เพียงลำพังเงียบๆ อบเชยเมื่อปลอบจนแม่อาการเริ่มทุเลาก็ยกสำรับกับข้าวมาให้ทับทิม
“ข้าไม่หิว”
“แต่พี่ยังไม่ได้กินกระไรไม่ใช่รึ”
“เอาออกไป ข้าไม่กิน...ข้าอยากอยู่คนเดียว”
“กินสักหน่อยเถิดพี่ทับทิม เดี๋ยวจะไม่มีเรี่ยว..”
“บอกให้ออกไปไง ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึ”
“พี่ทับทิม” อบเชยน้ำตาคลอ
“รึเอ็งจะมาต่อว่าข้าอีกคน เอ็งอยากให้คนที่นอนในโลงเป็นข้า แทนที่จะเป็นพ่อใช่หรือไม่นังอบเชย ถ้าข้าเลือกได้ข้าก็อยากจะตายแทนพ่อ จะได้สมใจเอ็งกับแม่เอ็งอย่างไรเล่า” อบเชยเริ่มสะอื้นดังขึ้นพอๆกับเสียงตะคอกของทับทิม
“ฉันไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะพี่ทับทิม ฉันไม่เคยคิดแบบนั้นจริงๆนะพี่”
“ข้าบอกให้หยุดพูด ข้าไม่อยากฟัง เอ็งมันก็ไม่ต่างกระไรกับแม่เอ็งดอก แม่ลูกกันมันก็เหมือนกันนั่นแหละ จะไปไหนก็ไป ไปให้พ้นหูพ้นตาข้าเสียที”
ทับทิมตะคอกเสียงเข้ม อบเชยเสียใจและผิดหวังจึงวิ่งหนีเตลิดออกไป ทับทิมเองก็รู้สึกผิดอยู่ลึกๆแต่เพราะเป็นคนพูดก่อนคิด จึงหงุดหงิดที่ตนปากเสียเกินไป ก่อนที่ทับทิมจะรู้สึกแย่กับการกระทำของตนไปมากกว่านี้ จุกก็เข้ามาชวนคุยและคลายความเศร้าให้ทับทิมได้ลืมเรื่องร้ายๆไปได้บ้าง
00000000
อบเชยเสียใจมากวิ่งหนีออกมาจากวัด อบเชยมาหลบมุมร้องไห้อยู่ที่ศาลาท่าน้ำหน้าวัด จู่ๆก็มีขี้เมาสามคนเดินตามเสียงสะอื้นมาหาเรื่องอบเชย
“เสียงผู้ใดมาร้องไห้โหยหวน ผีหรือคนกันวะ”
“สวยขนาดนี้ ข้าว่าต้องเป็นผีนางไม้เป็นแน่” ชายขี้เมาขยี้ตาเพ่งพินิจดูสาวสวย
“นางไม้กระไรของเอ็ง นี่มันแม่อบเชย ลูกสาวคนสวยของไอ้เที่ยงที่มันเพิ่งตายไป ศพยังตั้งอยู่ในวัดอยู่เลย”
“แล้วมันเป็นกระไรตายวะ”
“มันก็ตายเพราะเป็นกบฏอย่างไรเล่า ฮ่าๆๆ” ชายขี้เมาหัวเราะดังลั่น เย้ยหยันศพกบฏที่นอนตายอยู่ในวัด
“อย่ามาว่าพ่อฉันเยี่ยงนั้น ไอ้พวกขี้เมา จะไปไหนก็ไป” อบเชยโมโหสุดขีดที่พ่อโดนด่าว่าเป็นกบฏ
“แม่อบเชยคนสวย พูดกับพวกพี่ให้มันไพเราะเสนาะหูหน่อยสิจ๊ะ พ่อเอ็งก็ตายโหงไปละ คงไม่มีใครเป็นเสาหลักให้ เอาอย่างนี้เถิด ยอมเป็นเมียพวกพี่ แล้วเราจะคุ้มครองเอ็งเอง” พวกนักเลงขี้เมาเข้ามารุมฉุดกระชากอบเชยจะข่มเหงน้ำใจสาวน้อยผู้อาภัพ อบเชยตกใจสุดขีดจะวิ่งหนีแต่โดนจับตัวไว้และโดนหมัดซัดเข้าท้องจนจุก
จัน แม่ของจุกที่กำลังจะเดินทางมาร่วมงานศพได้เห็นเหตุการณ์เข้าพอดี จึงแอบดูอยู่ข้างพุ่มไม้ เมื่อเห็นนักเลงขี้เมาทั้งสามฉุดอบเชยที่หมดแรงขัดขืนไปแล้ว จันก็รีบวิ่งเข้าวัดไปแจ้งเหตุร้ายในทันที
เมื่อจุกเห็นแม่วิ่งหน้าตั้งมาก็รีบเข้าไปถามไถ่ จันเหนื่อยหอบหยุดพักหายใจก่อนจะตั้งสติแล้วแจ้งว่า...
“ช่วยด้วยๆ นังอบเชยมัน...”
“อบเชยเป็นกระไรรึแม่” จุกซักถามผู้เป็นแม่
“มันโดนไอ้พวกนักเลงฉุดไปที่หน้าวัดเมื่อครู่นี้เอง รีบไปเรียกคนไปช่วยนังอบเชยมันเร็ว มันมาตั้งสามคน...”
จันยังไม่ทันจะสาธยายแล้วเสร็จ ทับทิมก็รีบวิ่งออกไปหน้าวัดในทันที จุกเห็นทับทิมหุนหันพลันแล่นออกไปเพียงลำพังก็รีบบอกให้แม่ไปแจ้งคนในงาน แล้วจุกก็วิ่งตามทับทิมออกไปอย่างร้อนรน
00000000
พวกนักเลงขี้เมาแบกร่างอบเชยที่โดนทำร้ายจนหมดสติเข้าไปในป่าข้างทาง และกำลังตกลงกันว่าใครจะข่มขืนก่อนหลัง ในขณะที่พวกมันกำลังถกเถียงกัน ทับทิมก็คว้าไม้ท่อนใหญ่ ไปตีหัวนักเลงคนหนึ่งจนหัวแตก เลือดสีแดงข้นค่อยๆไหลออกมา ทับทิมเขวี้ยงไม้ท่อนเดิมไปที่กลางหลังของคนที่กำลังขึ้นคร่อมร่างอบเชยอยู่ คนทั้งสามเข้ามารุมทับทิมอย่างบ้าคลั่ง ทับทิมสู้จนสุดกำลัง อบเชยที่เพิ่งฟื้นได้สติตกใจที่เห็นพี่สาวตนต้องมาต่อสู้กับพวกนักเลงขี้เมาเพียงลำพัง ทับทิมพลาดท่าโดนหมัดเข้าที่ท้องทำให้จุกจนเข่าทรุด นักเลงคนหนึ่งล็อคแขนทับทิมเอาไว้และฉุดให้ยืนขึ้น ทับทิมสู้ตาพวกมันอย่างไม่กลัวเกรง นักเลงขี้เมาอีกคนซัดหมัดจะให้โดนหน้าทับทิมแต่ทับทิมอาศัยไหวพริบหลบทัน จนหมัดพวกมันต้องซัดกันเอง ทับทิมกระโดดถีบนักเลงขี้เมาตรงหน้า และกระทืบเหยียบเท้าคนที่ล็อคแขนไว้แถมแทงศอกเข้าให้อีกสองที ขี้เมาคนที่สามเห็นท่าไม่ดี จึงหยิบมีดพกออกมาจะจ้วงแทงแต่ทับทิมหลบทัน จุกที่เพิ่งวิ่งมาถึงก็ต้องมาเห็นภาพน่าหวาดเสียว จุกวิ่งตรงไปหาอบเชยและพยุงร่างอบเชยให้ลุกขึ้น ทั้งคู่ยืนลุ้นอยู่ไม่ห่าง
ขี้เมาถือมีดมันพุ่งตรงเข้ามาจะแทงทับทิมอีกครั้ง แต่ทับทิมใช้กระบวนท่ามวยที่ว่องไวจัดการกับมันจนหมดสติไป จุกกับอบเชยวิ่งเข้าไปหาทับทิม...
“ถ้าพี่ไม่มาช่วย ป่านนี้ฉันคง.. ฮือ...”อบเชยโผเข้ากอดทับทิม ร้องไห้เสียงสั่นเครือ
“นี่กระไรกัน “ อบเชยตกใจที่เห็นบางสิ่งในมือตนเอง
“นี่มันเลือด เลือดพี่ทับทิม” จุกส่งเสียงดัง เพราะตกใจที่เห็นเลือดไหลจากท้องของทับทิม ทับทิมก้มมองดูแผลของตน ก่อนจะรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา
“พี่ทับทิมโดนแทง ทำอย่างไรดีไอ้จุก” อบเชยเห็นพี่สาวได้รับบาดเจ็บก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก จุกยังไม่ทันได้พูดอะไร ทับทิมก็ทรุดลงไปนอนกับพื้น จุกกับอบเชยตกใจมากและร้องเรียกให้พี่สาวฟื้นขึ้นมา
สิงห์ที่พึ่งมาตามถึงเห็นสภาพทับทิมก็ตกใจ พุ่งเข้าไปหาทับทิมอย่างเร็ว สิงห์อุ้มร่างทับทิมมาพักรักษาตัวที่บ้าน อบเชยรีบหาเครื่องมือมาทำแผล สิงห์ก็เผ้าดูอาการหญิงคนรักอยู่ไม่ห่าง บังอรแอบมาดูอาการของทับทิม อบเชยจึงพูดกับแม่ว่า...
“พี่ทับทิมเสี่ยงชีวิตช่วยฉันไว้ ไม่เช่นนั้นป่านนี้ฉันก็คงไม่อาจอยู่เป็นผู้เป็นคนได้ แม่อย่าด่าว่าพี่ทับทิมอีกเลยนะจ๊ะ ฉันขอ” อบเชยส่งแววตาอ้อนวอน
“เออ รู้แล้วน่า ถึงเอ็งไม่ขอ แม่ก็ตั้งใจจะไม่ว่ากระไรมันแล้วล่ะ” อบเชยยิ้มบางๆให้แม่ก่อนจะหันมาดูอาการทับทิมที่นอนนิ่งอยู่ ทับทิมฟื้นขึ้นมาเห็นอบเชยนอนเฝ้าอยู่ไม่ห่าง ทับทิมลูบหัวน้องเบาๆ สัมผัสเบามือปลุกให้อบเชยตื่นขึ้นมา
“พี่ทับทิมฟื้นแล้ว” อบเชยดีใจแต่น้ำตากลับไหลพรั่งพรูออกมา
“เอ็งร้องไห้ทำไม”
“ฉันเสียใจที่เป็นต้นเหตุให้พี่บาดเจ็บถึงเพียงนี้ ฉันขอโทษนะพี่”
“เอ็งทำกระไร ไอ้ขี้เมานั่นต่างหากที่เอามีดมาแทงข้า เอ็งหาใช่คนทำไม่ จะโทษตัวเองทำกระไร”
“หากพี่ไม่ไปช่วยฉันไว้ ป่านนี้ฉันก็คง...”
“ข้าไม่ปล่อยให้เอ็งเป็นกระไรไปดอก หยุดร้องไห้เสียที ไม่มีพ่อคอยปลอบคอยลูบหัวเอ็งแล้วนะ” ทับทิมเริ่มเสียงสั่นเมื่อพูดถึงพ่อ
“ฉันไม่เคยรู้สึกว่าตนเองมีพี่สาว ฉันไม่เคยรู้สึกอบอุ่นหัวใจที่มีพี่ ฉันขอโทษที่พี่ยอมเสี่ยงชีวิตเข้าช่วยฉัน แต่ฉันกลับคิดกับพี่เช่นนั้น ฉันขอโทษนะพี่ ฮือ...”
“เอ็งอย่าโทษตัวเองไปเลยอบเชย ข้าเองก็ผิด ที่ไม่ได้ทำตัวให้สมกับเป็นพี่เอ็ง แต่วันนี้ข้าเองก็ดีใจนัก ที่ได้ทำหน้าที่นั้น” สองพี่น้องยิ้มให้กันอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
00000000
ทับทิมตื่นขึ้นมาในรุ่งเช้า บาดแผลยังคงไม่บรรเทาความเจ็บปวดลงไปเท่าใดนัก แต่ทับทิมเบื่อที่จะนอนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม จึงค่อยๆพยุงตนเองไปเปิดหน้าต่างรับลม เห็นสิงห์นั่งอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน จึงลงไปหา
“ลงมาทำไม บาดแผลยังไม่หายดีเลยไม่ใช่รึ ทำไมไม่นอนพักอยู่ข้างบน”
“ข้านอนมามากพอแล้ว นอนต่อไม่ไหวดอก”
“ดื้อรั้นอย่างนี้แผลคงไม่หายง่ายๆกระมัง” สิงห์ดุทับทิมเสียงเข้ม
“แล้วเมื่อวานเหตุใดหุนหันพลันแล่นออกไปเช่นนั้น แทนที่จะเรียกคนอื่นไปด้วย นึกว่าตนเองเก่งกาจนักรึไง”
“เอ็งบ่นกระไรเยอะแยะ ทำตัวเหมือนเป็นพ่อข้าขึ้นทุกวัน”
“ไม่บ่นได้รึ หากทับทิมเป็นกระไรไป ฉันจะอยู่อย่างไร ทำไมไม่คิดถึงใจกันบ้างเล่า”
“ข้าก็ไม่ได้เป็นกระไรสักหน่อย ยังมายืนตัวเป็นๆให้เอ็งด่าว่านี่กระไรเล่า”
“แผลหายวันใด เราจะกลับกรุงศรีทันที ฉันไม่ไว้ใจให้ทับทิมอยู่ที่นี่แล้ว”
“เหตุใดข้าต้องกลับไปกรุงศรี ข้าเป็นคนเมืองวิเศษชัยชาญ หาใช่คนเมืองกรุงอย่างเอ็งไม่ ข้าไม่กลับไปกับเอ็งดอก”
“แต่คำสั่งเสียสุดท้ายของครูเที่ยง สั่งไว้ว่าให้ฉันเป็นคนดูแลทับทิม จำไม่ได้รึ”
“แล้วอย่างไร ข้าจะอยู่จะไป มันอยู่ที่ใจข้า ไม่ใช่คำสั่งของพ่อ” ทับทิมรั้นหัวชนฝา เพราะเมื่อพูดถึงกรุงศรี ทับทิมก็นึกถึงแต่ลานประหารที่แสนสลด จึงไม่ยอมกลับไปกับสิงห์แต่โดยดี
“จริงสิ ฉันก็ลืมไป ไม่ว่าครูเที่ยงจะอยู่หรือจากไป ทับทิมก็ไม่เคยคิดจะฟังคำครูอยู่แล้ว ถ้าฉันเป็นครูก็คงผิดหวังอยู่ไม่น้อย”
สิงห์นัยน์ตาเศร้า หันหลังเดินออกไปด้วยความผิดหวัง ทับทิมมองสิงห์ที่เดินจากไปด้วยความรู้สึกผิด และกลับมาคิดทบทวนว่าตนได้ทำถูกหรือไม่ที่ปฏิเสธการกลับไปกรุงศรีกับสิงห์
00000000
สามวันต่อมา...
สิงห์มาล่ำลาทุกคนแต่ก็ไม่เจอทับทิม ถามใครก็ไม่มีผู้ใดเห็น สิงห์ผิดหวังมากที่ทับทิมไม่ยอมแม้แต่มาล่ำลาตน สิงห์เดินคอตกไปหาม้าสีหมอก แต่ต้นไม้ต้นเดิมที่ผูกเจ้าสีหมอกไว้กลับไม่มีเจ้าสีหมอกยืนเล็มหญ้าอยู่ที่เดิม สิงห์คิดว่าต้องมีคนมาขโมยม้าตนไปแน่ แต่แปลกนักเพราะเจ้าสีหมอกจะวิ่งหนีเตลิดหากเจอคนแปลกหน้าเข้ามาใกล้ สิงห์ร้องเรียกหาม้าคู่ใจ เจ้าสีหมอกส่งเสียงตอบรับ...
สักพักทับทิมจูงเจ้าสีหมอกออกมาจากลำธารแถวนั้น...
“จะต้องเดินทางไกล ให้กินแต่หญ้า ไม่หาน้ำหาท่าให้มันกินเลยรึ” สิงห์สับสนในท่าทีของหญิงจอมแก่น ทับทิมกระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังม้า
“ไม่รีบออกเดินทางรึ สายป่านนี้แล้ว “ สิงห์ยิ้มมุมปาก รีบกระโดดขึ้นหลังเจ้าม้าสีหมอก ควบม้าคู่ใจไปพร้อมกับหญิงคนรักที่ยอมเปลี่ยนใจร่วมเดินทางไปกับตนแล้ว
00000000
ลูกไม้มวยไทย ตอนที่ ๑๙ สองศรีพี่น้อง
“นังทับทิม ทำไมเอ็งไม่เป็นกระไร ทำไมเอ็งปล่อยให้พ่อเอ็งตาย ไหนเอ็งบอกจะไปปกป้องพ่อเอ็ง ไหนบอกว่าเก่งนักเก่งหนา แล้วทำไมคนที่ตายถึงเป็นผัวข้า”
บังอรร้องไห้คร่ำครวญ อบเชยเห็นแม่อาละวาดใส่ทับทิมก็รีบมาพาตัวแม่ออกไปจากตรงนั้น ทับทิมน้ำตาคลอและคิดมากกับคำพูดของบังอรจึงหลบมุมมานั่งร้องไห้อยู่เพียงลำพังเงียบๆ อบเชยเมื่อปลอบจนแม่อาการเริ่มทุเลาก็ยกสำรับกับข้าวมาให้ทับทิม
“ข้าไม่หิว”
“แต่พี่ยังไม่ได้กินกระไรไม่ใช่รึ”
“เอาออกไป ข้าไม่กิน...ข้าอยากอยู่คนเดียว”
“กินสักหน่อยเถิดพี่ทับทิม เดี๋ยวจะไม่มีเรี่ยว..”
“บอกให้ออกไปไง ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึ”
“พี่ทับทิม” อบเชยน้ำตาคลอ
“รึเอ็งจะมาต่อว่าข้าอีกคน เอ็งอยากให้คนที่นอนในโลงเป็นข้า แทนที่จะเป็นพ่อใช่หรือไม่นังอบเชย ถ้าข้าเลือกได้ข้าก็อยากจะตายแทนพ่อ จะได้สมใจเอ็งกับแม่เอ็งอย่างไรเล่า” อบเชยเริ่มสะอื้นดังขึ้นพอๆกับเสียงตะคอกของทับทิม
“ฉันไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะพี่ทับทิม ฉันไม่เคยคิดแบบนั้นจริงๆนะพี่”
“ข้าบอกให้หยุดพูด ข้าไม่อยากฟัง เอ็งมันก็ไม่ต่างกระไรกับแม่เอ็งดอก แม่ลูกกันมันก็เหมือนกันนั่นแหละ จะไปไหนก็ไป ไปให้พ้นหูพ้นตาข้าเสียที”
ทับทิมตะคอกเสียงเข้ม อบเชยเสียใจและผิดหวังจึงวิ่งหนีเตลิดออกไป ทับทิมเองก็รู้สึกผิดอยู่ลึกๆแต่เพราะเป็นคนพูดก่อนคิด จึงหงุดหงิดที่ตนปากเสียเกินไป ก่อนที่ทับทิมจะรู้สึกแย่กับการกระทำของตนไปมากกว่านี้ จุกก็เข้ามาชวนคุยและคลายความเศร้าให้ทับทิมได้ลืมเรื่องร้ายๆไปได้บ้าง
อบเชยเสียใจมากวิ่งหนีออกมาจากวัด อบเชยมาหลบมุมร้องไห้อยู่ที่ศาลาท่าน้ำหน้าวัด จู่ๆก็มีขี้เมาสามคนเดินตามเสียงสะอื้นมาหาเรื่องอบเชย
“เสียงผู้ใดมาร้องไห้โหยหวน ผีหรือคนกันวะ”
“สวยขนาดนี้ ข้าว่าต้องเป็นผีนางไม้เป็นแน่” ชายขี้เมาขยี้ตาเพ่งพินิจดูสาวสวย
“นางไม้กระไรของเอ็ง นี่มันแม่อบเชย ลูกสาวคนสวยของไอ้เที่ยงที่มันเพิ่งตายไป ศพยังตั้งอยู่ในวัดอยู่เลย”
“แล้วมันเป็นกระไรตายวะ”
“มันก็ตายเพราะเป็นกบฏอย่างไรเล่า ฮ่าๆๆ” ชายขี้เมาหัวเราะดังลั่น เย้ยหยันศพกบฏที่นอนตายอยู่ในวัด
“อย่ามาว่าพ่อฉันเยี่ยงนั้น ไอ้พวกขี้เมา จะไปไหนก็ไป” อบเชยโมโหสุดขีดที่พ่อโดนด่าว่าเป็นกบฏ
“แม่อบเชยคนสวย พูดกับพวกพี่ให้มันไพเราะเสนาะหูหน่อยสิจ๊ะ พ่อเอ็งก็ตายโหงไปละ คงไม่มีใครเป็นเสาหลักให้ เอาอย่างนี้เถิด ยอมเป็นเมียพวกพี่ แล้วเราจะคุ้มครองเอ็งเอง” พวกนักเลงขี้เมาเข้ามารุมฉุดกระชากอบเชยจะข่มเหงน้ำใจสาวน้อยผู้อาภัพ อบเชยตกใจสุดขีดจะวิ่งหนีแต่โดนจับตัวไว้และโดนหมัดซัดเข้าท้องจนจุก
จัน แม่ของจุกที่กำลังจะเดินทางมาร่วมงานศพได้เห็นเหตุการณ์เข้าพอดี จึงแอบดูอยู่ข้างพุ่มไม้ เมื่อเห็นนักเลงขี้เมาทั้งสามฉุดอบเชยที่หมดแรงขัดขืนไปแล้ว จันก็รีบวิ่งเข้าวัดไปแจ้งเหตุร้ายในทันที
เมื่อจุกเห็นแม่วิ่งหน้าตั้งมาก็รีบเข้าไปถามไถ่ จันเหนื่อยหอบหยุดพักหายใจก่อนจะตั้งสติแล้วแจ้งว่า...
“ช่วยด้วยๆ นังอบเชยมัน...”
“อบเชยเป็นกระไรรึแม่” จุกซักถามผู้เป็นแม่
“มันโดนไอ้พวกนักเลงฉุดไปที่หน้าวัดเมื่อครู่นี้เอง รีบไปเรียกคนไปช่วยนังอบเชยมันเร็ว มันมาตั้งสามคน...”
จันยังไม่ทันจะสาธยายแล้วเสร็จ ทับทิมก็รีบวิ่งออกไปหน้าวัดในทันที จุกเห็นทับทิมหุนหันพลันแล่นออกไปเพียงลำพังก็รีบบอกให้แม่ไปแจ้งคนในงาน แล้วจุกก็วิ่งตามทับทิมออกไปอย่างร้อนรน
พวกนักเลงขี้เมาแบกร่างอบเชยที่โดนทำร้ายจนหมดสติเข้าไปในป่าข้างทาง และกำลังตกลงกันว่าใครจะข่มขืนก่อนหลัง ในขณะที่พวกมันกำลังถกเถียงกัน ทับทิมก็คว้าไม้ท่อนใหญ่ ไปตีหัวนักเลงคนหนึ่งจนหัวแตก เลือดสีแดงข้นค่อยๆไหลออกมา ทับทิมเขวี้ยงไม้ท่อนเดิมไปที่กลางหลังของคนที่กำลังขึ้นคร่อมร่างอบเชยอยู่ คนทั้งสามเข้ามารุมทับทิมอย่างบ้าคลั่ง ทับทิมสู้จนสุดกำลัง อบเชยที่เพิ่งฟื้นได้สติตกใจที่เห็นพี่สาวตนต้องมาต่อสู้กับพวกนักเลงขี้เมาเพียงลำพัง ทับทิมพลาดท่าโดนหมัดเข้าที่ท้องทำให้จุกจนเข่าทรุด นักเลงคนหนึ่งล็อคแขนทับทิมเอาไว้และฉุดให้ยืนขึ้น ทับทิมสู้ตาพวกมันอย่างไม่กลัวเกรง นักเลงขี้เมาอีกคนซัดหมัดจะให้โดนหน้าทับทิมแต่ทับทิมอาศัยไหวพริบหลบทัน จนหมัดพวกมันต้องซัดกันเอง ทับทิมกระโดดถีบนักเลงขี้เมาตรงหน้า และกระทืบเหยียบเท้าคนที่ล็อคแขนไว้แถมแทงศอกเข้าให้อีกสองที ขี้เมาคนที่สามเห็นท่าไม่ดี จึงหยิบมีดพกออกมาจะจ้วงแทงแต่ทับทิมหลบทัน จุกที่เพิ่งวิ่งมาถึงก็ต้องมาเห็นภาพน่าหวาดเสียว จุกวิ่งตรงไปหาอบเชยและพยุงร่างอบเชยให้ลุกขึ้น ทั้งคู่ยืนลุ้นอยู่ไม่ห่าง
ขี้เมาถือมีดมันพุ่งตรงเข้ามาจะแทงทับทิมอีกครั้ง แต่ทับทิมใช้กระบวนท่ามวยที่ว่องไวจัดการกับมันจนหมดสติไป จุกกับอบเชยวิ่งเข้าไปหาทับทิม...
“ถ้าพี่ไม่มาช่วย ป่านนี้ฉันคง.. ฮือ...”อบเชยโผเข้ากอดทับทิม ร้องไห้เสียงสั่นเครือ
“นี่กระไรกัน “ อบเชยตกใจที่เห็นบางสิ่งในมือตนเอง
“นี่มันเลือด เลือดพี่ทับทิม” จุกส่งเสียงดัง เพราะตกใจที่เห็นเลือดไหลจากท้องของทับทิม ทับทิมก้มมองดูแผลของตน ก่อนจะรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา
“พี่ทับทิมโดนแทง ทำอย่างไรดีไอ้จุก” อบเชยเห็นพี่สาวได้รับบาดเจ็บก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก จุกยังไม่ทันได้พูดอะไร ทับทิมก็ทรุดลงไปนอนกับพื้น จุกกับอบเชยตกใจมากและร้องเรียกให้พี่สาวฟื้นขึ้นมา
สิงห์ที่พึ่งมาตามถึงเห็นสภาพทับทิมก็ตกใจ พุ่งเข้าไปหาทับทิมอย่างเร็ว สิงห์อุ้มร่างทับทิมมาพักรักษาตัวที่บ้าน อบเชยรีบหาเครื่องมือมาทำแผล สิงห์ก็เผ้าดูอาการหญิงคนรักอยู่ไม่ห่าง บังอรแอบมาดูอาการของทับทิม อบเชยจึงพูดกับแม่ว่า...
“พี่ทับทิมเสี่ยงชีวิตช่วยฉันไว้ ไม่เช่นนั้นป่านนี้ฉันก็คงไม่อาจอยู่เป็นผู้เป็นคนได้ แม่อย่าด่าว่าพี่ทับทิมอีกเลยนะจ๊ะ ฉันขอ” อบเชยส่งแววตาอ้อนวอน
“เออ รู้แล้วน่า ถึงเอ็งไม่ขอ แม่ก็ตั้งใจจะไม่ว่ากระไรมันแล้วล่ะ” อบเชยยิ้มบางๆให้แม่ก่อนจะหันมาดูอาการทับทิมที่นอนนิ่งอยู่ ทับทิมฟื้นขึ้นมาเห็นอบเชยนอนเฝ้าอยู่ไม่ห่าง ทับทิมลูบหัวน้องเบาๆ สัมผัสเบามือปลุกให้อบเชยตื่นขึ้นมา
“พี่ทับทิมฟื้นแล้ว” อบเชยดีใจแต่น้ำตากลับไหลพรั่งพรูออกมา
“เอ็งร้องไห้ทำไม”
“ฉันเสียใจที่เป็นต้นเหตุให้พี่บาดเจ็บถึงเพียงนี้ ฉันขอโทษนะพี่”
“เอ็งทำกระไร ไอ้ขี้เมานั่นต่างหากที่เอามีดมาแทงข้า เอ็งหาใช่คนทำไม่ จะโทษตัวเองทำกระไร”
“หากพี่ไม่ไปช่วยฉันไว้ ป่านนี้ฉันก็คง...”
“ข้าไม่ปล่อยให้เอ็งเป็นกระไรไปดอก หยุดร้องไห้เสียที ไม่มีพ่อคอยปลอบคอยลูบหัวเอ็งแล้วนะ” ทับทิมเริ่มเสียงสั่นเมื่อพูดถึงพ่อ
“ฉันไม่เคยรู้สึกว่าตนเองมีพี่สาว ฉันไม่เคยรู้สึกอบอุ่นหัวใจที่มีพี่ ฉันขอโทษที่พี่ยอมเสี่ยงชีวิตเข้าช่วยฉัน แต่ฉันกลับคิดกับพี่เช่นนั้น ฉันขอโทษนะพี่ ฮือ...”
“เอ็งอย่าโทษตัวเองไปเลยอบเชย ข้าเองก็ผิด ที่ไม่ได้ทำตัวให้สมกับเป็นพี่เอ็ง แต่วันนี้ข้าเองก็ดีใจนัก ที่ได้ทำหน้าที่นั้น” สองพี่น้องยิ้มให้กันอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
ทับทิมตื่นขึ้นมาในรุ่งเช้า บาดแผลยังคงไม่บรรเทาความเจ็บปวดลงไปเท่าใดนัก แต่ทับทิมเบื่อที่จะนอนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม จึงค่อยๆพยุงตนเองไปเปิดหน้าต่างรับลม เห็นสิงห์นั่งอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน จึงลงไปหา
“ลงมาทำไม บาดแผลยังไม่หายดีเลยไม่ใช่รึ ทำไมไม่นอนพักอยู่ข้างบน”
“ข้านอนมามากพอแล้ว นอนต่อไม่ไหวดอก”
“ดื้อรั้นอย่างนี้แผลคงไม่หายง่ายๆกระมัง” สิงห์ดุทับทิมเสียงเข้ม
“แล้วเมื่อวานเหตุใดหุนหันพลันแล่นออกไปเช่นนั้น แทนที่จะเรียกคนอื่นไปด้วย นึกว่าตนเองเก่งกาจนักรึไง”
“เอ็งบ่นกระไรเยอะแยะ ทำตัวเหมือนเป็นพ่อข้าขึ้นทุกวัน”
“ไม่บ่นได้รึ หากทับทิมเป็นกระไรไป ฉันจะอยู่อย่างไร ทำไมไม่คิดถึงใจกันบ้างเล่า”
“ข้าก็ไม่ได้เป็นกระไรสักหน่อย ยังมายืนตัวเป็นๆให้เอ็งด่าว่านี่กระไรเล่า”
“แผลหายวันใด เราจะกลับกรุงศรีทันที ฉันไม่ไว้ใจให้ทับทิมอยู่ที่นี่แล้ว”
“เหตุใดข้าต้องกลับไปกรุงศรี ข้าเป็นคนเมืองวิเศษชัยชาญ หาใช่คนเมืองกรุงอย่างเอ็งไม่ ข้าไม่กลับไปกับเอ็งดอก”
“แต่คำสั่งเสียสุดท้ายของครูเที่ยง สั่งไว้ว่าให้ฉันเป็นคนดูแลทับทิม จำไม่ได้รึ”
“แล้วอย่างไร ข้าจะอยู่จะไป มันอยู่ที่ใจข้า ไม่ใช่คำสั่งของพ่อ” ทับทิมรั้นหัวชนฝา เพราะเมื่อพูดถึงกรุงศรี ทับทิมก็นึกถึงแต่ลานประหารที่แสนสลด จึงไม่ยอมกลับไปกับสิงห์แต่โดยดี
“จริงสิ ฉันก็ลืมไป ไม่ว่าครูเที่ยงจะอยู่หรือจากไป ทับทิมก็ไม่เคยคิดจะฟังคำครูอยู่แล้ว ถ้าฉันเป็นครูก็คงผิดหวังอยู่ไม่น้อย”
สิงห์นัยน์ตาเศร้า หันหลังเดินออกไปด้วยความผิดหวัง ทับทิมมองสิงห์ที่เดินจากไปด้วยความรู้สึกผิด และกลับมาคิดทบทวนว่าตนได้ทำถูกหรือไม่ที่ปฏิเสธการกลับไปกรุงศรีกับสิงห์
สามวันต่อมา...
สิงห์มาล่ำลาทุกคนแต่ก็ไม่เจอทับทิม ถามใครก็ไม่มีผู้ใดเห็น สิงห์ผิดหวังมากที่ทับทิมไม่ยอมแม้แต่มาล่ำลาตน สิงห์เดินคอตกไปหาม้าสีหมอก แต่ต้นไม้ต้นเดิมที่ผูกเจ้าสีหมอกไว้กลับไม่มีเจ้าสีหมอกยืนเล็มหญ้าอยู่ที่เดิม สิงห์คิดว่าต้องมีคนมาขโมยม้าตนไปแน่ แต่แปลกนักเพราะเจ้าสีหมอกจะวิ่งหนีเตลิดหากเจอคนแปลกหน้าเข้ามาใกล้ สิงห์ร้องเรียกหาม้าคู่ใจ เจ้าสีหมอกส่งเสียงตอบรับ...
สักพักทับทิมจูงเจ้าสีหมอกออกมาจากลำธารแถวนั้น...
“จะต้องเดินทางไกล ให้กินแต่หญ้า ไม่หาน้ำหาท่าให้มันกินเลยรึ” สิงห์สับสนในท่าทีของหญิงจอมแก่น ทับทิมกระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังม้า
“ไม่รีบออกเดินทางรึ สายป่านนี้แล้ว “ สิงห์ยิ้มมุมปาก รีบกระโดดขึ้นหลังเจ้าม้าสีหมอก ควบม้าคู่ใจไปพร้อมกับหญิงคนรักที่ยอมเปลี่ยนใจร่วมเดินทางไปกับตนแล้ว