นายฮ้อยจอมคนทุ่งทมิฬ ตอนที่ 1 (นายฮ้อยขามภาค 2)





นายฮ้อยจอมคนทุ่งทมิฬ ตอนที่ 1 (นายฮ้อยขามภาค 2)

ล. วิลิศมาหรา & เดือนเอก

ขบวนคาราวานของนายฮ้อยขาม ได้ทำการลำเลียงฝูงควายข้ามป่าอันตรายอย่างป่าดงพญาไฟไปได้ด้วยความเรียบร้อยดี ต่อจากนี้ ขามก็นำควายไปขายยังตลาดค้าควายที่เมืองล่าง ได้เงินมาเป็นกอบเป็นกำ สีหน้าท่าทางของทุกคนในขบวนคาราวาน จึงพากันยิ้มแย้มแจ่มใส หลังผ่านเหตุการณ์ร้าย ๆ มาตลอดเส้นทาง

การก้าวขึ้นมาเป็นนายฮ้อยของขาม จะว่าไปก็ไม่ใช่ประสบความสำเร็จเสียทีเดียว แต่ก็ยังถือว่าทำหน้าที่ได้ดีที่สุดแล้ว ในฐานะของนายฮ้อย เพราะต้องเผชิญกับโจรปล้นควาย และสิ่งอาถรรพ์เร้นลับหลายอย่าง มันเป็นประสบการณ์ของความเป็นนายฮ้อยที่สมบูรณ์แบบ และยิ่งใหญ่ในอนาคตต่อไป 
นอกจากนี้ ตัวขามเอง ยังได้พบกับความรักที่เหมือนอยู่กันคนละโลกภพ แต่กลับสร้างความสุขให้แก่ขามเป็นอย่างมาก หากแต่เป็นธรรมดาของโลก เมื่อพบกันแล้วก็ย่อมมีการลาจาก

เหตุการณ์นั้นยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำของขามเสมอมา สัจจะวาจาคำมั่นของลูกผู้ชาย ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจแน่วแน่ ดั่งคำอธิษฐานที่ให้ไว้แก่คำแพง ว่าจะรอพบเธอทุกชาติไป ขามยังจำขึ้นใจอยู่เสมอ ไม่เคยลืมเลือน

ลูกน้องทุกคนยังคงศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวของขามเป็นอย่างดี เพราะเหตุที่ได้เห็นถึงความกล้าหาญและการยอมเสียสละตัวเอง เพื่อรับผิดชอบต่อชีวิตของลูกน้อง ดูแลความปลอดภัย และคุ้มกันทรัพย์สินของขบวนค้าควายอย่างดีที่สุด 

เมื่อเสร็จภารกิจขายควายเรียบร้อยแล้ว ขบวนของนายฮ้อยขามก็มุ่งหน้ากลับไปสู่ถิ่นฐานของพวกตน ที่บ้านหัวดง คำผายและคำพันจะได้นำข่าวการตายของม่อนกับคำดา กลับไปบอกแก่ครอบครัว และจัดพิธีทำบุญให้ตามประเพณี ส่วนอินหม่องกับลูกน้องได้ขอแยกทางออกจากขบวนไป เพื่อกลับไปยังหมู่บ้านที่มีบัวงามคนรักของอินหม่องรออยู่

ขบวนของนายฮ้อยขามเดินทางมาอย่างไม่เร่งรีบนัก เพราะช่วงนี้ไม่ใช่ฤดูที่จะต้องนำควายกลับไปขายอีก เมื่อกลับไปถึงบ้านแล้ว ขามจะเริ่มต้นลงมือทำนา พร้อมกับออกหาซื้อควายมาเตรียมไว้ เพื่อนำไปขายยังเมืองล่างในฤดูแล้งข้างหน้า

ขบวนเกวียนที่ตอนนี้เหลืออยู่แค่ไม่กี่เล่มเท่านั้น เพราะเกิดมีความชำรุดเสียหายระหว่างทาง จึงได้ขายไปเสียก่อนจะขึ้นรถไฟกลับมา แล้วค่อยหาเกวียนเล่มใหม่มาใช้บรรทุกข้าวของอีก เพื่อจะนำกลับไปฝากแก่ทางบ้าน

ระหว่างทางที่กำลังบ่ายหน้ากลับไปสู่บ้านหัวดง ขามซึ่งขี่ม้ามากับลุงคำผายและคำพัน ได้เอ่ยขึ้นว่า

“อีกไม่นานก็จะถึงบ้านกันแล้ว คนทางนั้นคงตั้งตารอพวกเราอยู่” 

“พวกเราผ่านอะไรมามากมายเหลือเกิน ยังดีที่รอดกันมาได้ เสียดายก็แต่เจ้าม่อนกับคำดา พวกมันดันมาตายไปเสียก่อน ไม่งั้นพ่อแม่พวกมันคงจะดีใจมาก” 

คำพันซึ่งเป็นญาติของม่อนกับคำดา เอ่ยตอบกลับมา ในใจของเขาเฝ้าคิดหาคำพูดที่จะไปบอกกับพ่อแม่ของคนตาย ลูกชายได้มาตายไปอย่างนี้แล้ว พ่อแม่ของพวกเขาคงจะเสียใจกันมาก แต่เป็นธรรมดาของเหล่าคนในขบวนคาราวาน ที่เดินทางไปขายควายยังเมืองล่าง ทุกคนต่างรู้ดี เส้นทางบุกป่าพญาไฟมีอันตรายอยู่แทบทุกฝีก้าว ถ้าพลาดเพียงนิดเดียวย่อมหมายถึงชีวิต

แต่ม่อนกับคำดาก็ไม่ได้ตายเปล่า นายฮ้อยขามได้แบ่งส่วนขายควายเพื่อมอบให้แก่ครอบครัวคนตาย ตามที่ได้ตกลงกันไว้ตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง และยังแบ่งในส่วนของขามเอง ตอบแทนเป็นสินน้ำใจให้แก่ครอบครัวอีกต่างหาก ซึ่งคงจะได้มีเงินทองไว้ใช้จ่ายมากกว่าแต่ก่อนพอสมควร

ในระหว่างทาง เนื่องจากขณะนี้ย่างเข้าสู่หน้าฝน จึงมีฝนตกลงมาให้ต้องหาที่หลบฝนกันก่อน ป้องกันอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง  

ขบวนของขามจึงหลบเข้าพักในเพิงตลาดร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ข้างทาง ขามลงจากหลังม้ามานั่งเหม่อมองสายฝนที่ตกพรำ ๆ อยู่ที่แคร่ไม้ไผ่ในเพิง จิตใจล่องลอยไปถึงใบหน้าของคำแพง และคำอธิษฐานที่เคยให้ไว้ต่อกัน ใบหน้าอ่อนหวานปนรอยยิ้มอันเศร้าสร้อย ก่อนจะสลายหายไปในอ้อมกอดของตน ยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำ เหมือนมันเพิ่งผ่านมาไม่นาน ทำให้จิตใจของขามเกิดวูบไหวอย่างบอกไม่ถูก

ลุงคำผายดูเหมือนจะเข้าใจในความรู้สึกของขามดี ด้วยผ่านโลกมาแล้วอย่างโชกโชน แกจึงเดินมานั่งเคียงข้างอยู่กับขาม

“สมัยที่ข้ายังเป็นหนุ่ม ทุกครั้งที่เดินทางไปขายควายกับขบวนของนายฮ้อยไฝ พ่อของเอ็ง ข้าก็ผ่านอะไรมาเยอะแยะ เรื่องของภูตผีหรือแม้แต่สัตว์ร้าย ก็ผ่านมาได้โดยตลอด ยากที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องของผู้หญิงนี่แหละ ที่ทำให้พวกเราบางครั้งถึงกับไปไม่เป็นเอาเหมือนกัน"

พูดพลาง แกก็ควักมวนยาเส้นออกมาจุดไฟ ดูดจนปลายมวนแดงวาบ พ่นควันเป็นสาย สายตามองตามควันไป

“สาวต่างหมู่บ้านที่เราไปซื้อขายควาย มักชอบมาขอติดตามขบวนเราไป นอกจากสาว ๆ เหล่านั้นแล้ว ก็ยังมีพวกผีสางนางไม้ บางครั้งนางผีพวกนั้นก็แกล้งแปลงตัวมาหลอกล่อเรา ข้าเองก็เคยหลงไปกับนางตานีตนหนึ่ง ยังดีที่พ่อของเอ็งช่วยข้าเอาไว้ได้ทัน ไม่งั้นข้ามีหวังกลายเป็นผัวนางตานีอยู่ที่ดงกล้วยนั้นไปแล้ว”

แกเล่าพลางหัวเราะในลำคอ แต่ดวงตาของลุงคำผายหาได้บ่งบอกถึงความรู้สึกขบขัน มันดูเหงา ๆ เสียด้วยซ้ำ

“ลุงเคยมีเมียเป็นผีมาก่อนนี่เอง มิน่าล่ะ ลุงถึงทำท่าเหมือนจะรู้ว่า ข้าแอบมีคำแพง”

ขามหันมามองหน้าลุงคำผาย ซึ่งแกก็ยิ้ม พยักหน้ารับ

“ก็เพราะข้าเคยมาก่อนนี่แหละ ถึงได้แอบเป็นห่วงเอ็งอยู่ห่าง ๆ แต่ข้าก็เห็นใจเอ็งนะ ตัดใจเสียเถอะ ผีกับคนรักกันไม่ได้อยู่แล้ว”

"ข้าเข้าใจจ้ะลุง...แล้วตอนนั้นลุงไปเจอกับผีนางตานีได้ยังไง เล่าให้ข้าฟังหน่อยซิ”

“ข้าไปกับขบวนของพ่อเอ็งนี่ล่ะ ตอนนั้นเราผ่านป่าไปทางเหนือ ขบวนไปพักอยู่ข้างดงกล้วย นางตานีที่ในดงกล้วยเกิดมานึกชอบใจตัวข้าเข้า ก็เลยมาแสดงตัวให้เห็น แล้วเป่ามนตร์ให้ข้าหลงเสน่ห์ ยอมตกปากรับคำจะไปอยู่ด้วย ข้าโดนเอาตัวเข้าไปอยู่ในดงกล้วยนั้น ร้อนถึงพ่อของเอ็งต้องใช้คาถาแก้มนตร์บังตา ช่วยให้ข้าหลุดออกมาพ้นดงกล้วย แต่กว่านางตานีจะยอมปล่อยให้ข้าออกมา ก็ต้องต่อสู้กับพ่อเอ็งอยู่หลายยก จนนายฮ้อยไฝต้องใช้คาถาเหล็กไหลสายฟ้าใส่ลงในมีดพร้า ขู่ว่าจะตัดต้นกล้วยทิ้งให้หมด นางตานีถึงยอมปล่อยตัวข้าออกมา”

“ถามจริง...ตอนที่อยู่กับนางตานี ลุงคำผายเกิดไปหลงรักนางตานีบ้างไหม” 

ขามอยากรู้ว่าลุงคำผายจะเกิดความรู้สึกเช่นเดียวกับตนหรือไม่ ลุงคำผายดูดบุหรี่พลางทำตาลอย เหมือนระลึกถึงเรื่องในอดีต

“ความรู้สึกมันปนกันไปหมด รู้สึกสงสารมากกว่า สงสารทั้งเมียผี สงสารทั้งตัวเองนั่นล่ะวะ เอาเป็นว่าข้าเข้าใจความรู้สึกของเอ็งก็แล้วกัน” 

ลุงคำผายไม่ยอมอธิบายให้มากความ แกพูดตัดบท ขามเองก็เข้าใจในความรู้สึกของแกเช่นเดียวกัน จึงไม่ได้เซ้าซี้ถามแกอีก หันไปถามถึงพ่อของตนแทน 

“เออ...แล้วพ่อข้าล่ะลุง ระหว่างเอาควายไปขาย พ่อแอบไปมีใครอีกหรือเปล่า นอกจากแม่ ลุงช่วยเล่าให้ข้าฟังที" 

ขามแกล้งถามลุงคำผายดู แกยิ้มน้อย ๆ หันไปมองสายฝนที่กำลังลงเม็ดมาอย่างไม่ขาดสาย เหล่าคนในทัพควายบ้างก็หลบอยู่ในเกวียน บ้างก็ลงมาอยู่ที่เพิงของตลาด ซึ่งกว้างขวางพอสมควร

"เอ็งก็เหมือนกับพ่อของเอ็งนั่นแหละ รักใครแล้วรักจริง พอพ่อของเอ็งไปเจอกับแม่เอ็งเข้า เขาก็ตกหลุมรักในทันที เมื่อรักกันแล้วก็ไม่มีเปลี่ยนใจ ทั้งที่ต้องเดินทางจากกันไปไกลครั้งละหลาย ๆ เดือน แต่ละที่ก็มีสาว ๆ มาให้ความสนใจต่อนายฮ้อย แต่นายฮ้อยไฝก็ไม่เคยสนใจใคร อาจเป็นเพราะมีข้อห้ามเรื่องผิดข้อคะลำ ห้ามนำหญิงสาวร่วมขบวนไปด้วย พูดคำไหนต้องเป็นคำนั้น ถ้าทำผิดคะลำ หรือไม่อยู่ในศีลธรรมแล้ว คาถาอาคมก็จะเสื่อม และลูกน้องจะไม่เชื่อฟังอีกต่อไป"

ขามได้ฟังก็แอบอมยิ้มอยู่ในหน้า นึกถึงภาพผู้เป็นพ่อ ที่บุคคลภายนอกมักจะเห็นว่ามีความทระนงองอาจอยู่เสมอ ซึ่งเขาก็ได้ยึดถือเอาเป็นแบบอย่าง จนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นนายฮ้อยได้ ทั้งที่อายุยังน้อยอยู่

แต่ใครจะไปรู้ นายฮ้อยไฝผู้มีชื่อเสียงโด่งดังทั้งทางด้านคาถาอาคม และเชี่ยวชาญในการต่อสู้แทบทุกชนิด มีความกล้าหาญเด็ดขาด แต่เมื่อเข้ามาอยู่ภายในบ้านแล้ว กลับกลายเป็นผู้ชายที่อ่อนโยนอย่างที่สุดต่อบุญตา ผู้เป็นภรรยาของตนเอง ขนาดที่แม่ของขามเสียงเข้มใส่นิดเดียว นายฮ้อยไฝผู้ยิ่งใหญ่ก็จะกลายเป็นแมวหง่าวของเมียไปในชั่วพริบตา

"ฝนเริ่มจะซาเม็ดแล้ว เดี๋ยวเราเตรียมตัวออกเดินทางกันได้เลย"

ขามบอกแก่ลุงคำผาย พร้อมขยับตัวลุกขึ้นยืน เขาออกจากเพิงมาแหงนหน้าดูท้องฟ้า ที่เริ่มสว่างมากขึ้นตามลำดับ หลังฝนหยุดตกแล้ว ลูกทีมในขบวนก็เตรียมตัวจะออกเดินทางกัน นายฮ้อยขามขึ้นม้าขี่นำหน้าขบวนเดินไปอย่างช้า ๆ เพราะว่าสภาพเส้นทางยังเจิ่งนองไปด้วยน้ำและโคลนตม จากโดนฝนถล่มเมื่อสักครู่นี้

เส้นทางที่ใช้สัญจรเป็นทางเกวียน มีต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นเรียงรายไปตามทางดิน ตลอดทางเห็นแต่รอยเท้าของสัตว์ประเภทวัวควาย และรอยล้อเกวียนเท่านั้น บางช่วงเป็นหลุมบ่อ มีแอ่งน้ำขนาดย่อมขังอยู่กลางทางหลายแห่ง 

ขามและคำพันขี่ม้าล่วงหน้าไปดูเส้นทางว่ามีสิ่งกีดขวางอยู่บ้างหรือเปล่า แล้วจึงขี่ม้าย้อนกลับมาบอก ก่อนจะเคลื่อนขบวนไปต่อ

จนใกล้จะถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน ขามสังเกตเห็นบางอย่างอยู่ไกล ๆ เป็นรถเก๋งคันหนึ่งซึ่งจอดนิ่งอยู่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังยืนอยู่ที่ข้างรถ ท่าทางคงจะมีอะไรกันแน่  


ติดตามรับฟังต่อได้ที่ลิ้งค์ข้างล่างนี้นะคะ ขอบคุณมากค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่