เมื่อครูเที่ยงกับเพลิงกลับมาที่เรือน อบเชยจึงเล่าความว่าสิงห์เป็นคนช่วยพาตนมาส่งเรือน
“พ่อพึ่งสั่งสอนนังทับทิมพี่เอ็งไปเมื่อวันก่อน ว่าไม่ให้ไปยุ่งกับสวนมะม่วงตาจั่น วันนี้เอ็งก็ไปตามรอยนังทับทิมมันรึ เอ็งสองคนนี่มันกระไรกัน มะม่วงสวนเราก็มี รู้ทั้งรู้ว่าตาจั่นเขาหวงนักหวงหนายังจะเทียวไปขโมยของของเขา วันก่อนเขามาด่าถึงบ้านว่าอยากกินก็ให้ปลูกกินเอง ไม่ได้ยินดอกรึ”ครูเที่ยงเหล่มองลูกสาวที่กำลังทำหน้าสำนึกผิด
“อยู่ดีไม่ว่าดี อยากไปเป็นลิงตกต้นไม้ เอ็งอยู่บ้านเป็นแม่บ้านแม่เรือนก็ดีอยู่แล้ว จะไปเป็นลิงทะโมนตามรอยนังทัมทิมมันทำไมอบเชยเอ๊ย”
“ฉันขอโทษจ้ะพ่อ “ ครูเที่ยงลูบหัวด้วยความเอ็นดูอบเชย ทับทิมที่แอบฟังอยู่มองมาด้วยแววตาน้อยใจ
“ดูสิไอ้จุก ทีกับข้าโดนไล่เตะจนรอบบ้าน ทีกับนังอบเชย...” จุกได้แต่ตบไหล่ปลอบใจทับทิม
ครูเที่ยงหันมามองเพ่งพินิจดูลักษณะหน่วยก้านของสิงห์
“ข้าขอบใจเอ็งนักที่ช่วยเหลือนังอบเชยลูกข้า แต่ข้าไม่คุ้นหน้าเอ็ง เอ็งคงเป็นคนต่างถิ่นล่ะสิ ”
สิงห์กลัวครูเที่ยงจับได้ว่าตนไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาสามัญ แต่ก็ต้องทำใจดีสู้เสือ
“ฉันเป็นลูกพ่อค้ามาจากกรุงศรีจ้ะ เผอิญวันงานวัดได้ไปดูเขาเปรียบมวยกัน ฉันจึงรู้จักสำนักมวยครูเที่ยง จึงดั้นด้นมา อยากมาขอเป็นศิษย์ครูเที่ยงสักคน”
“อบเชยมันบอกว่าเอ็งมาตามหาบ้านข้า แต่หลงทิศหลงทาง บ้านข้ามันก็ไม่ได้หายากเย็นกระไร ถามใครเขาก็รู้จัก เหตุใดเอ็งถึงหลงทางกันเล่า” ครูเที่ยงสงสัยจึงถามให้ความกระจ่าง
“พอดีมีคนแกล้งบอกทางฉันวกวน ก็เลยหลงไปเลยเถิด ดีที่ไปเจออบเชยเข้า”
“ใครมันมาเล่นพิเรนทร์กลั่นแกล้งคนไม่รู้จักเวล่ำเวลา เอ็งรู้ชื่อเสียงเรียงนามมันหรือไม่เล่า ข้าจะได้ไปสั่งสอนให้หลาบให้จำ อยากรู้นักว่าลูกหลานบ้านไหนที่พ่อแม่มันไม่สั่งไม่สอน”
สิงห์กำลังจะอ้าปากตอบคำถาม แต่ไม่ทันจะได้พูดอะไร ก้อนหินลูกพอดีมือถูกเหวี่ยงมาเต็มแรงตรงกลางหน้าผากของสิงห์ สิงห์เร้องตามสัญชาตญาณ ครูเที่ยงเห็นพิรุธจึงแน่ใจในตัวผู้ก่อเหตุ
“ไอ้จุก”
“จ๋า...” จุกลืมตัวจึงขานรับทันที
“เอ็งจะขานรับทำกระไรวะไอ้จุก” ทับทิมหัวเสียกับไอ้จุกอีกครั้ง
“พาลูกพี่เอ็งออกมานี่ซิ “ ครูเที่ยงพูดอย่างรู้ทัน จุกลากแขนทับทิมออกมาจากที่ซ่อน
“เอ็งไปแกล้งเขาทำไมนังทับทิม ข้าเลี้ยงเอ็งให้เป็นอันธพาลรึ “
“ไอ้สิงห์ ใช่ไอ้สองตัวนี่ไหมที่บอกทางเอ็ง” สิงห์พยักหน้าตอบรับ ทับทิมจ้องหน้าสิงห์ส่งสายตาพิฆาตแทบจะกินเลือดกินเนื้อ
“เอ็งสองคนก่อเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน ข้าจะจัดการกับพวกเอ็งอย่างไรดีถึงจะหลาบจำ แต่เด็กว่าดื้อด้านแล้ว โตมายิ่งหนักข้อขึ้นทุกวี่ทุกวัน ไอ้สิงห์มันดั้นด้นอยากมาขอเรียนมวย ไปกลั่นแกล้งมันทำไมกัน ตอบข้ามาประเดี๋ยวนี้นังทับทิม”
“โธ่พ่อ...ก็มันโง่เง่าเยี่ยงนี้ไงเล่าถึงโดนฉันหลอก เป็นนักมวยใช่ว่าอาศัยแต่กำลัง มันต้องมีมันสมอง มีไหวพริบ ฉันก็ทดสอบมันให้พ่อเห็นอย่างไรเล่า ว่ามันไม่เหมาะสมจะมาเป็นศิษย์สำนักเราสักนิด สำนักมวยครูเที่ยงต้องคัดคนมีฝีมือ ต้องเป็นให้ได้อย่างพี่เพลิง ไอ้สิงห์นี่น่ะรึ...หน่วยก้านไม่ได้ครึ่งไอ้เข้มด้วยซ้ำ แถมมันยังโง่เง่า รับเข้ามารังแต่จะขายหน้าสำนักของเรา พ่อไม่ต้องรับมันดอก นะพ่อ”
ทับทิมเถียงหัวชนฝา ในใจคิดแต่เพียงว่า จะไม่ยอมเห็นหน้าสิงห์อยู่ในบ้านของตนเด็ดขาด
“เอ็งยอมรับออกมาก็ดีแล้วนังทับทิม เกิดเป็นลูกข้า กล้าทำต้องกล้ารับ ต้องมีความรับผิดชอบ ข้าจะให้เอ็งรับผิดชอบในสิ่งที่เอ็งกระทำลงไป” ครูเที่ยงมองทับทิมด้วยสายตาเอาจริงเอาจังจนทับทิมเริ่มหวาดกลัว
“พ่อหมายความว่าเยี่ยงไร ฉันไม่เข้าใจ”
“เอ็งจะต้องเป็นครูพี่เลี้ยงฝึกซ้อมมวยให้ไอ้สิงห์มัน ให้มันรู้พื้นฐานและชำนาญในแต่ละท่วงท่า พอมันชำนาญขึ้นค่อยส่งต่อหน้าที่ให้ไอ้เพลิง”
ทับทิมจุกอกกับคำสั่งของพ่อ แต่ไม่ทันจะเถียงอะไร ครูเที่ยงก็ปล่อยไม้ตายในการกำหลาบลูกสาวแสนพยศ
“ข้าให้เอ็งชดใช้ในสิ่งที่เอ็งทำ แต่ถ้าเอ็งขัดคำข้า ก็ไม่ต้องนับพ่อนับลูกกัน ข้าเป็นพ่อเอ็ง ถ้าสั่งสอนเอ็งไม่ได้ ก็ไม่รู้จะเป็นพ่อลูกกันไปทำไม” ทับทิมน้ำตาคลอโกรธที่ทำอะไรไม่ได้ จึงวิ่งหนีออกไป จุกจะตามไปแต่เพลิงรั้งไว้
“ปล่อยให้ทับทิมมันได้คิดทบทวนอะไรบ้างเถิดไอ้จุก เอ็งทำตัวติดทับทิมมามากพอละ”
จุกกับเพลิงมองตามทับทิมด้วยความเป็นห่วง สิงห์เองก็รู้สึกผิดที่ทำให้ทับทิมโดนครูเที่ยงดุ แต่อีกใจก็ดีใจเพราะนั่นหมายความว่าตนจะได้ใกล้ชิดกับทับทิมมากขึ้น
00000000
ทับทิมทั้งโกรธและเจ็บใจที่ทำอะไรไม่ได้ จึงหนีมาระเบิดอารมณ์ใส่ต้นกล้วยหลังบ้าน เพลิงเป็นห่วงจึงตามมาดู เห็นทับทิมเตะต้นกล้วยจนก้านหักไป เพลิงจึงค่อยๆเดินเข้าไปหาทับทิม
“พอเถิดทับทิม ต้นกล้วยจะหมดสวนแล้ว” ทับทิมหยุดชะงัก ปาดน้ำตาแล้วหันมาหาเพลิง
“พี่เพลิง ฉันไม่ชอบขี้หน้าไอ้สิงห์ แล้วเหตุใดพ่อมาสั่งฉันแบบนี้ ฉันก็บอกอยู่ว่าไม่ชอบขี้หน้ามัน ทำไมพ่อถึงไม่ฟังฉัน”
ทับทิมระเบิดอารมณ์ใส่เพลิง ก่อนจะปล่อยโฮร้องไห้ออกมา เหมือนตอนเด็กๆทุกครั้งที่มีปัญหากับคนในบ้านทับทิมก็จะหนีมาร้องไห้อยู่ตรงนี้ แล้วก็จะมีเพลิงอยู่ข้างๆเสมอ เพลิงเข้าไปลูบหัวทับทิมเหมือนอย่างทุกครั้ง
“พี่เห็นใจเอ็งนะทับทิม แต่เอ็งต้องใจเย็นๆก่อน หยุดร้องไห้เป็นเด็กๆได้แล้ว” เพลิงเอามือปาดน้ำตาให้ทับทิม ก่อนจะลูบหัวอย่างเอ็นดู ทับทิมเชื่อฟังยอมปาดน้ำตาแล้วกลั้นสะอื้น
“เอ็งฟังคำพี่ก่อน...ที่ครูเที่ยงทำไปเช่นนั้นเพราะมีเหตุผล เอ็งอย่าพึ่งพาลโกรธครูเลยทับทิม” เพลิงเอ่ย
“เหตุผลรึ เหตุผลอันใดกัน” ทับทิมแย้งเพราะตนมองไม่เห็นเหตุผลที่เพลิงว่า
“ก็เอ็งเองไม่ใช่รึ ที่ยอมรับออกมาหน้าตาเฉย ว่ากลั่นแกล้งไอ้สิงห์มัน คนได้ยินกันทั้งลาน หากครูเที่ยงไม่ตัดสินให้ความยุติธรรมแก่ไอ้สิงห์มัน จะมีศิษย์คนใดนับถือครูกันเล่าทับทิม เอ็งลองตรองดูเถิด” ทับทิมคิดทบทวนตามคำเพลิง แล้วก็เห็นว่าเป็นจริงตามนั้น
“ฉันมันปัญญาน้อย คิดตื้นเขินนัก ฉันเข้าใจแล้ว แต่...ฉันก็ไม่อยากฝึกมวยให้มันอยู่ดี”
“แล้วเอ็งไม่อยากรู้รึ ว่าเอ็งมีความสามารถเพียงใด”
“ความสามารถของฉัน เกี่ยวกระไรกับฝึกมวยให้ไอ้สิงห์รึ”
“เอ็งลองตรองดู ที่พี่เป็นมวยได้อย่างทุกวันนี้ ล้วนเป็นความสามารถในการฝึกฝนพี่อย่างจริงจังของครู และที่เอ็งเป็นมวยก็เพราะพี่คอยฝึกให้ พี่ยังภูมิใจเลยทับทิมที่เอ็งเก่งเชิงมวยถึงเพียงนี้ ครูเที่ยงก็คงภูมิใจที่สอนทั้งพี่กับเอ็งและศิษย์ทุกคนจนชำนาญเชิงมวยกันถึงเพียงนี้ แล้วเอ็งเล่า ไม่อยากภูมิใจรึ ที่สามารถฝึกคนให้เป็นมวยได้ ไอ้สิงห์มันไม่เป็นมวยสักนิด หากเอ็งฝึกฝนมันได้ เอ็งจะไม่ยิ่งภูมิใจรึทับทิม ”
ทับทิมครุ่นคิดและคล้อยตามคำพูดของเพลิง แต่พอนึกถึงหน้าสิงห์ขึ้นมา ก็ยังคงกวนใจอยู่
“ฉันก็อยากจะเป็นครูมวยแบบพ่อ...แต่ให้ฉันฝึกซ้อมให้ไอ้จุกยังจะดีกว่า” ทับทิมยังทำใจไม่ได้ที่จะต้องทนเห็นหน้าสิงห์แต่ก็พยายามทำใจ เพราะก็รู้ดีแก่ใจว่า คงเลี่ยงคำสั่งของผู้เป็นพ่อไม่ได้แล้ว
0000000
เมื่อใจเย็นลงแล้วทับทิมจึงยอมออกมาที่หน้าบ้านกับเพลิง ได้ยินครูเที่ยงถามไถ่สิงห์เรื่องที่พัก ทับทิมจึงรีบพูดแทรกทันที
“ข้ายอมฝึกมวยให้เอ็ง แต่ข้าไม่ยอมให้เอ็งมาซุกหัวนอนที่เรือนข้า เอ็งจะไปขอนอนที่วัดไหนก็ไป แต่ต้องไม่ใช่เรือนข้า”
“ให้ไอ้สิงห์มันไปพักกับฉันก็ได้ครู ตั้งแต่แม่เสียไป ฉันก็อยู่เรือนคนเดียว ไปพักบ้านข้า เอ็งขัดข้องกระไรไหมไอ้สิงห์” เพลิงเอ่ย
“ขอบใจจ้ะพี่เพลิง ที่เมตตาฉัน ฉันก็นึกว่าจะได้ไปอาศัยนอนวัดเสียแล้ว”
“ดีแล้ว อย่างนั้นวันพรุ่งเอ็งก็มาเริ่มฝึกมวยได้เลย เอ็งพร้อมหรือไม่ไอ้สิงห์” ครูเที่ยงเอ่ย
สิงห์ตอบรับพร้อมกับฉายแววตามุ่งมั่น
00000000
เช้าวันใหม่...
ทับทิมกับจุกเตรียมพร้อมฝึกซ้อมให้สิงห์ เมื่อเพลิงพาสิงห์มาถึงลานมวย ทับทิมก็ไล่เพลิงให้ไปที่อื่น อ้างคำสั่งครูเที่ยงว่ามอบหมายหน้าที่ฝึกสิงห์ให้กับตน เพลิงไม่เกี่ยว เพลิงจึงเดินออกมามองดูห่างๆ
“ฉันพร้อมแล้วจ้ะ จะให้ฉันทำกระไร สั่งฉันมาได้เลย” สิงห์ตื่นเต้นที่จะได้ฝึกมวยเป็นครั้งแรก
“ดี...พร้อมก็ดี ดีแล้วไอ้สิงห์” ทับทิมยิ้มนัยน์ตาเจ้าเล่ห์ พลันหันไปสบตากับจุกราวกับมีแผนการร้าย จุกเดินออกไปหอบฟืนกองใหญ่มาวางลงตรงหน้าสิงห์ สิงห์ทำหน้างุนงง
“เอ้านี่ ผ่าฟืนกองนี้ให้เสร็จ ไม่เสร็จไม่ต้องพัก” ทับทิมออกคำสั่งด้วยท่าทีดุดัน
“ผ่าฟืน เกี่ยวกระไรกับฝึกมวยกันเล่า นี่กลั่นแกล้งฉันอีกแล้วรึ”
“อย่ามากล่าวหาข้านะไอ้สิงห์ เป็นศิษย์ข้า ข้าสั่งกระไรเอ็งก็ต้องทำ แต่หากเอ็งไม่อยากผ่าฟืนก็ไม่เป็นกระไร ข้าจะไม่ฝืนใจเอ็ง”
“อย่างนั้นฉันไม่ทำ ฉันมาที่นี่เพื่อฝึกมวย ไม่ได้มาผ่าฟืน!”
“เอ็งจะฝึกมวยที่ไหนก็ไปเถิด แต่ไม่ใช่ที่นี่! หากอยากฝึกที่นี่ก็ผ่าฟืนซะ อย่ามาทำตัวกระด้างกระเดื่องกับข้า ไม่เช่นนั้นก็ไสหัวกลับกรุงศรีบ้านเอ็งไป” ทับทิมยื่นคำขาดก่อนจะเดินไปนั่งดูที่แคร่หน้าบ้าน
“แล้วไม่ใช่แค่กองนี้ดอกนะไอ้สิงห์ ยังมีอีกกองใหญ่อยู่หลังบ้าน...ใหญ่กว่านี้อีก แต่เอ็งไปแบกมาเองเถอะ ข้าแบกกองนี้มาก็ปวดหลังจะแย่ “ จุกสาธยายให้สิงห์รับรู้ สิงห์กัดฟันแน่นที่โดนกลั่นแกล้งอีกครา
“เออ พี่ทับทิมสั่งไว้ ไม่เสร็จไม่ต้องพัก แล้วคราวหน้าลูกพี่ข้าสั่งกระไร เอ็งห้ามถาม ห้ามเถียง ทำตามอย่างเดียว จำใส่หัวไว้ด้วยถ้าไม่อยากมีปัญหา” จุกขู่สิงห์เสร็จก็หัวเราะเสียงดัง แล้วเดินไปหาทับทิมที่ยิ้มสะใจอยู่ สิงห์ได้แต่กัดฟันแน่น ก่อนจะตัดสินใจนั่งลงไปผ่าฟืนอย่างจำยอม
00000000
เมื่อสิงห์ผ่าฟืนเสร็จเรียบร้อย ทับทิมก็สั่งให้หาบน้ำขึ้นเรือนต่อทันทีโดยที่สิงห์ไม่ทันได้พัก ต่อด้วยสั่งให้ตักน้ำขึ้นเรือนให้เต็มทั้งสองตุ่ม ยิ่งเห็นสิงห์เหนื่อยหอบก็ยิ่งเป็นที่สะใจของทั้งทับทิมและจุก อบเชยเฝ้ามองสิงห์ด้วยความสงสารแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพลิงเห็นท่าไม่ดีจึงจะเข้าไปช่วยสิงห์
“เพลิง ไม่ต้องเข้าไปช่วยไอ้สิงห์” ครูเที่ยงขัดเพลิงไว้
“แต่ครูก็เห็นว่าทับทิมแกล้งไอ้สิงห์มัน ครูช่วยไปห้ามปรามทีเถิด”
“ไม่ต้องไปห้ามมันดอก มันอยากแกล้งกระไรก็ปล่อยมันแกล้งไป”
ครูเที่ยงยิ้มแล้วมองดูสถานการณ์อย่างสุขุม ก่อนจะเดินขึ้นเรือนไป ปล่อยให้เพลิงกับอบเชยงงในท่าที ทางด้านสิงห์หาบน้ำเดินผ่านทับทิมก็ถูกแกล้งให้สะดุดขาล้มจนน้ำกระเด็น
“ อ้าว น้ำหกจนหมดเสียแล้ว ซุ่มซ่ามจริงนะเอ็ง แล้วเมื่อใดน้ำจะเต็มตุ่มกันเล่า “ สิงห์เหนื่อยหอบจนไม่มีแรงจะเถียง แต่ก็ฝืนลุกขึ้นยืน และเดินไปตักน้ำมาใหม่ อบเชยทนไม่ได้จึงวิ่งขึ้นเรือนไปอ้อนวอนให้พ่อมาห้ามทับทิมให้เลิกกลั่นแกล้งสิงห์เสียที
“พ่อช่วยไปห้ามพี่ทับทิมทีเถิด ฉันสงสารพี่สิงห์นัก ถ้าพ่อไม่ห้ามพี่สิงห์ต้องหมดเรี่ยวหมดแรงเป็นแน่ พ่อไม่สงสารพี่สิงห์หรือจ๊ะ”
“อบเชย กว่าพ่อจะฝึกมวยจนชำนาญ ครูของพ่อก็ให้พ่อผ่าฟืน หาบน้ำทุกวัน ยามฤดูทำไร่ทำนาพ่อก็ต้องทำ มันเป็นกุศโลบายของครูฝึก เพื่อให้นักมวยได้ออกกำลังในแต่ละวัน ที่ทับทิมมันทำก็ถูกของมันแล้ว ไปบอกไอ้เพลิงด้วยว่าไม่ต้องเข้าไปยุ่ง ปล่อยให้ทับทิมมันฝึกไอ้สิงห์ตามวิธีของมันไป เรารอดูอยู่ห่างๆก็พอ”
อบเชยเมื่อเข้าใจในเจตนาของพ่อก็ทำตาม คือเฝ้ามองดูสิงห์อยู่ห่างๆอย่างเป็นห่วง
00000000
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ลูกไม้มวยไทย ตอนที่ ๔ เกิดเป็นลูกข้า...กล้าทำต้องกล้ารับ
“พ่อพึ่งสั่งสอนนังทับทิมพี่เอ็งไปเมื่อวันก่อน ว่าไม่ให้ไปยุ่งกับสวนมะม่วงตาจั่น วันนี้เอ็งก็ไปตามรอยนังทับทิมมันรึ เอ็งสองคนนี่มันกระไรกัน มะม่วงสวนเราก็มี รู้ทั้งรู้ว่าตาจั่นเขาหวงนักหวงหนายังจะเทียวไปขโมยของของเขา วันก่อนเขามาด่าถึงบ้านว่าอยากกินก็ให้ปลูกกินเอง ไม่ได้ยินดอกรึ”ครูเที่ยงเหล่มองลูกสาวที่กำลังทำหน้าสำนึกผิด
“อยู่ดีไม่ว่าดี อยากไปเป็นลิงตกต้นไม้ เอ็งอยู่บ้านเป็นแม่บ้านแม่เรือนก็ดีอยู่แล้ว จะไปเป็นลิงทะโมนตามรอยนังทัมทิมมันทำไมอบเชยเอ๊ย”
“ฉันขอโทษจ้ะพ่อ “ ครูเที่ยงลูบหัวด้วยความเอ็นดูอบเชย ทับทิมที่แอบฟังอยู่มองมาด้วยแววตาน้อยใจ
“ดูสิไอ้จุก ทีกับข้าโดนไล่เตะจนรอบบ้าน ทีกับนังอบเชย...” จุกได้แต่ตบไหล่ปลอบใจทับทิม
ครูเที่ยงหันมามองเพ่งพินิจดูลักษณะหน่วยก้านของสิงห์
“ข้าขอบใจเอ็งนักที่ช่วยเหลือนังอบเชยลูกข้า แต่ข้าไม่คุ้นหน้าเอ็ง เอ็งคงเป็นคนต่างถิ่นล่ะสิ ”
สิงห์กลัวครูเที่ยงจับได้ว่าตนไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาสามัญ แต่ก็ต้องทำใจดีสู้เสือ
“ฉันเป็นลูกพ่อค้ามาจากกรุงศรีจ้ะ เผอิญวันงานวัดได้ไปดูเขาเปรียบมวยกัน ฉันจึงรู้จักสำนักมวยครูเที่ยง จึงดั้นด้นมา อยากมาขอเป็นศิษย์ครูเที่ยงสักคน”
“อบเชยมันบอกว่าเอ็งมาตามหาบ้านข้า แต่หลงทิศหลงทาง บ้านข้ามันก็ไม่ได้หายากเย็นกระไร ถามใครเขาก็รู้จัก เหตุใดเอ็งถึงหลงทางกันเล่า” ครูเที่ยงสงสัยจึงถามให้ความกระจ่าง
“พอดีมีคนแกล้งบอกทางฉันวกวน ก็เลยหลงไปเลยเถิด ดีที่ไปเจออบเชยเข้า”
“ใครมันมาเล่นพิเรนทร์กลั่นแกล้งคนไม่รู้จักเวล่ำเวลา เอ็งรู้ชื่อเสียงเรียงนามมันหรือไม่เล่า ข้าจะได้ไปสั่งสอนให้หลาบให้จำ อยากรู้นักว่าลูกหลานบ้านไหนที่พ่อแม่มันไม่สั่งไม่สอน”
สิงห์กำลังจะอ้าปากตอบคำถาม แต่ไม่ทันจะได้พูดอะไร ก้อนหินลูกพอดีมือถูกเหวี่ยงมาเต็มแรงตรงกลางหน้าผากของสิงห์ สิงห์เร้องตามสัญชาตญาณ ครูเที่ยงเห็นพิรุธจึงแน่ใจในตัวผู้ก่อเหตุ
“ไอ้จุก”
“จ๋า...” จุกลืมตัวจึงขานรับทันที
“เอ็งจะขานรับทำกระไรวะไอ้จุก” ทับทิมหัวเสียกับไอ้จุกอีกครั้ง
“พาลูกพี่เอ็งออกมานี่ซิ “ ครูเที่ยงพูดอย่างรู้ทัน จุกลากแขนทับทิมออกมาจากที่ซ่อน
“เอ็งไปแกล้งเขาทำไมนังทับทิม ข้าเลี้ยงเอ็งให้เป็นอันธพาลรึ “
“ไอ้สิงห์ ใช่ไอ้สองตัวนี่ไหมที่บอกทางเอ็ง” สิงห์พยักหน้าตอบรับ ทับทิมจ้องหน้าสิงห์ส่งสายตาพิฆาตแทบจะกินเลือดกินเนื้อ
“เอ็งสองคนก่อเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน ข้าจะจัดการกับพวกเอ็งอย่างไรดีถึงจะหลาบจำ แต่เด็กว่าดื้อด้านแล้ว โตมายิ่งหนักข้อขึ้นทุกวี่ทุกวัน ไอ้สิงห์มันดั้นด้นอยากมาขอเรียนมวย ไปกลั่นแกล้งมันทำไมกัน ตอบข้ามาประเดี๋ยวนี้นังทับทิม”
“โธ่พ่อ...ก็มันโง่เง่าเยี่ยงนี้ไงเล่าถึงโดนฉันหลอก เป็นนักมวยใช่ว่าอาศัยแต่กำลัง มันต้องมีมันสมอง มีไหวพริบ ฉันก็ทดสอบมันให้พ่อเห็นอย่างไรเล่า ว่ามันไม่เหมาะสมจะมาเป็นศิษย์สำนักเราสักนิด สำนักมวยครูเที่ยงต้องคัดคนมีฝีมือ ต้องเป็นให้ได้อย่างพี่เพลิง ไอ้สิงห์นี่น่ะรึ...หน่วยก้านไม่ได้ครึ่งไอ้เข้มด้วยซ้ำ แถมมันยังโง่เง่า รับเข้ามารังแต่จะขายหน้าสำนักของเรา พ่อไม่ต้องรับมันดอก นะพ่อ”
ทับทิมเถียงหัวชนฝา ในใจคิดแต่เพียงว่า จะไม่ยอมเห็นหน้าสิงห์อยู่ในบ้านของตนเด็ดขาด
“เอ็งยอมรับออกมาก็ดีแล้วนังทับทิม เกิดเป็นลูกข้า กล้าทำต้องกล้ารับ ต้องมีความรับผิดชอบ ข้าจะให้เอ็งรับผิดชอบในสิ่งที่เอ็งกระทำลงไป” ครูเที่ยงมองทับทิมด้วยสายตาเอาจริงเอาจังจนทับทิมเริ่มหวาดกลัว
“พ่อหมายความว่าเยี่ยงไร ฉันไม่เข้าใจ”
“เอ็งจะต้องเป็นครูพี่เลี้ยงฝึกซ้อมมวยให้ไอ้สิงห์มัน ให้มันรู้พื้นฐานและชำนาญในแต่ละท่วงท่า พอมันชำนาญขึ้นค่อยส่งต่อหน้าที่ให้ไอ้เพลิง”
ทับทิมจุกอกกับคำสั่งของพ่อ แต่ไม่ทันจะเถียงอะไร ครูเที่ยงก็ปล่อยไม้ตายในการกำหลาบลูกสาวแสนพยศ
“ข้าให้เอ็งชดใช้ในสิ่งที่เอ็งทำ แต่ถ้าเอ็งขัดคำข้า ก็ไม่ต้องนับพ่อนับลูกกัน ข้าเป็นพ่อเอ็ง ถ้าสั่งสอนเอ็งไม่ได้ ก็ไม่รู้จะเป็นพ่อลูกกันไปทำไม” ทับทิมน้ำตาคลอโกรธที่ทำอะไรไม่ได้ จึงวิ่งหนีออกไป จุกจะตามไปแต่เพลิงรั้งไว้
“ปล่อยให้ทับทิมมันได้คิดทบทวนอะไรบ้างเถิดไอ้จุก เอ็งทำตัวติดทับทิมมามากพอละ”
จุกกับเพลิงมองตามทับทิมด้วยความเป็นห่วง สิงห์เองก็รู้สึกผิดที่ทำให้ทับทิมโดนครูเที่ยงดุ แต่อีกใจก็ดีใจเพราะนั่นหมายความว่าตนจะได้ใกล้ชิดกับทับทิมมากขึ้น
ทับทิมทั้งโกรธและเจ็บใจที่ทำอะไรไม่ได้ จึงหนีมาระเบิดอารมณ์ใส่ต้นกล้วยหลังบ้าน เพลิงเป็นห่วงจึงตามมาดู เห็นทับทิมเตะต้นกล้วยจนก้านหักไป เพลิงจึงค่อยๆเดินเข้าไปหาทับทิม
“พอเถิดทับทิม ต้นกล้วยจะหมดสวนแล้ว” ทับทิมหยุดชะงัก ปาดน้ำตาแล้วหันมาหาเพลิง
“พี่เพลิง ฉันไม่ชอบขี้หน้าไอ้สิงห์ แล้วเหตุใดพ่อมาสั่งฉันแบบนี้ ฉันก็บอกอยู่ว่าไม่ชอบขี้หน้ามัน ทำไมพ่อถึงไม่ฟังฉัน”
ทับทิมระเบิดอารมณ์ใส่เพลิง ก่อนจะปล่อยโฮร้องไห้ออกมา เหมือนตอนเด็กๆทุกครั้งที่มีปัญหากับคนในบ้านทับทิมก็จะหนีมาร้องไห้อยู่ตรงนี้ แล้วก็จะมีเพลิงอยู่ข้างๆเสมอ เพลิงเข้าไปลูบหัวทับทิมเหมือนอย่างทุกครั้ง
“พี่เห็นใจเอ็งนะทับทิม แต่เอ็งต้องใจเย็นๆก่อน หยุดร้องไห้เป็นเด็กๆได้แล้ว” เพลิงเอามือปาดน้ำตาให้ทับทิม ก่อนจะลูบหัวอย่างเอ็นดู ทับทิมเชื่อฟังยอมปาดน้ำตาแล้วกลั้นสะอื้น
“เอ็งฟังคำพี่ก่อน...ที่ครูเที่ยงทำไปเช่นนั้นเพราะมีเหตุผล เอ็งอย่าพึ่งพาลโกรธครูเลยทับทิม” เพลิงเอ่ย
“เหตุผลรึ เหตุผลอันใดกัน” ทับทิมแย้งเพราะตนมองไม่เห็นเหตุผลที่เพลิงว่า
“ก็เอ็งเองไม่ใช่รึ ที่ยอมรับออกมาหน้าตาเฉย ว่ากลั่นแกล้งไอ้สิงห์มัน คนได้ยินกันทั้งลาน หากครูเที่ยงไม่ตัดสินให้ความยุติธรรมแก่ไอ้สิงห์มัน จะมีศิษย์คนใดนับถือครูกันเล่าทับทิม เอ็งลองตรองดูเถิด” ทับทิมคิดทบทวนตามคำเพลิง แล้วก็เห็นว่าเป็นจริงตามนั้น
“ฉันมันปัญญาน้อย คิดตื้นเขินนัก ฉันเข้าใจแล้ว แต่...ฉันก็ไม่อยากฝึกมวยให้มันอยู่ดี”
“แล้วเอ็งไม่อยากรู้รึ ว่าเอ็งมีความสามารถเพียงใด”
“ความสามารถของฉัน เกี่ยวกระไรกับฝึกมวยให้ไอ้สิงห์รึ”
“เอ็งลองตรองดู ที่พี่เป็นมวยได้อย่างทุกวันนี้ ล้วนเป็นความสามารถในการฝึกฝนพี่อย่างจริงจังของครู และที่เอ็งเป็นมวยก็เพราะพี่คอยฝึกให้ พี่ยังภูมิใจเลยทับทิมที่เอ็งเก่งเชิงมวยถึงเพียงนี้ ครูเที่ยงก็คงภูมิใจที่สอนทั้งพี่กับเอ็งและศิษย์ทุกคนจนชำนาญเชิงมวยกันถึงเพียงนี้ แล้วเอ็งเล่า ไม่อยากภูมิใจรึ ที่สามารถฝึกคนให้เป็นมวยได้ ไอ้สิงห์มันไม่เป็นมวยสักนิด หากเอ็งฝึกฝนมันได้ เอ็งจะไม่ยิ่งภูมิใจรึทับทิม ”
ทับทิมครุ่นคิดและคล้อยตามคำพูดของเพลิง แต่พอนึกถึงหน้าสิงห์ขึ้นมา ก็ยังคงกวนใจอยู่
“ฉันก็อยากจะเป็นครูมวยแบบพ่อ...แต่ให้ฉันฝึกซ้อมให้ไอ้จุกยังจะดีกว่า” ทับทิมยังทำใจไม่ได้ที่จะต้องทนเห็นหน้าสิงห์แต่ก็พยายามทำใจ เพราะก็รู้ดีแก่ใจว่า คงเลี่ยงคำสั่งของผู้เป็นพ่อไม่ได้แล้ว
เมื่อใจเย็นลงแล้วทับทิมจึงยอมออกมาที่หน้าบ้านกับเพลิง ได้ยินครูเที่ยงถามไถ่สิงห์เรื่องที่พัก ทับทิมจึงรีบพูดแทรกทันที
“ข้ายอมฝึกมวยให้เอ็ง แต่ข้าไม่ยอมให้เอ็งมาซุกหัวนอนที่เรือนข้า เอ็งจะไปขอนอนที่วัดไหนก็ไป แต่ต้องไม่ใช่เรือนข้า”
“ให้ไอ้สิงห์มันไปพักกับฉันก็ได้ครู ตั้งแต่แม่เสียไป ฉันก็อยู่เรือนคนเดียว ไปพักบ้านข้า เอ็งขัดข้องกระไรไหมไอ้สิงห์” เพลิงเอ่ย
“ขอบใจจ้ะพี่เพลิง ที่เมตตาฉัน ฉันก็นึกว่าจะได้ไปอาศัยนอนวัดเสียแล้ว”
“ดีแล้ว อย่างนั้นวันพรุ่งเอ็งก็มาเริ่มฝึกมวยได้เลย เอ็งพร้อมหรือไม่ไอ้สิงห์” ครูเที่ยงเอ่ย
สิงห์ตอบรับพร้อมกับฉายแววตามุ่งมั่น
เช้าวันใหม่...
ทับทิมกับจุกเตรียมพร้อมฝึกซ้อมให้สิงห์ เมื่อเพลิงพาสิงห์มาถึงลานมวย ทับทิมก็ไล่เพลิงให้ไปที่อื่น อ้างคำสั่งครูเที่ยงว่ามอบหมายหน้าที่ฝึกสิงห์ให้กับตน เพลิงไม่เกี่ยว เพลิงจึงเดินออกมามองดูห่างๆ
“ฉันพร้อมแล้วจ้ะ จะให้ฉันทำกระไร สั่งฉันมาได้เลย” สิงห์ตื่นเต้นที่จะได้ฝึกมวยเป็นครั้งแรก
“ดี...พร้อมก็ดี ดีแล้วไอ้สิงห์” ทับทิมยิ้มนัยน์ตาเจ้าเล่ห์ พลันหันไปสบตากับจุกราวกับมีแผนการร้าย จุกเดินออกไปหอบฟืนกองใหญ่มาวางลงตรงหน้าสิงห์ สิงห์ทำหน้างุนงง
“เอ้านี่ ผ่าฟืนกองนี้ให้เสร็จ ไม่เสร็จไม่ต้องพัก” ทับทิมออกคำสั่งด้วยท่าทีดุดัน
“ผ่าฟืน เกี่ยวกระไรกับฝึกมวยกันเล่า นี่กลั่นแกล้งฉันอีกแล้วรึ”
“อย่ามากล่าวหาข้านะไอ้สิงห์ เป็นศิษย์ข้า ข้าสั่งกระไรเอ็งก็ต้องทำ แต่หากเอ็งไม่อยากผ่าฟืนก็ไม่เป็นกระไร ข้าจะไม่ฝืนใจเอ็ง”
“อย่างนั้นฉันไม่ทำ ฉันมาที่นี่เพื่อฝึกมวย ไม่ได้มาผ่าฟืน!”
“เอ็งจะฝึกมวยที่ไหนก็ไปเถิด แต่ไม่ใช่ที่นี่! หากอยากฝึกที่นี่ก็ผ่าฟืนซะ อย่ามาทำตัวกระด้างกระเดื่องกับข้า ไม่เช่นนั้นก็ไสหัวกลับกรุงศรีบ้านเอ็งไป” ทับทิมยื่นคำขาดก่อนจะเดินไปนั่งดูที่แคร่หน้าบ้าน
“แล้วไม่ใช่แค่กองนี้ดอกนะไอ้สิงห์ ยังมีอีกกองใหญ่อยู่หลังบ้าน...ใหญ่กว่านี้อีก แต่เอ็งไปแบกมาเองเถอะ ข้าแบกกองนี้มาก็ปวดหลังจะแย่ “ จุกสาธยายให้สิงห์รับรู้ สิงห์กัดฟันแน่นที่โดนกลั่นแกล้งอีกครา
“เออ พี่ทับทิมสั่งไว้ ไม่เสร็จไม่ต้องพัก แล้วคราวหน้าลูกพี่ข้าสั่งกระไร เอ็งห้ามถาม ห้ามเถียง ทำตามอย่างเดียว จำใส่หัวไว้ด้วยถ้าไม่อยากมีปัญหา” จุกขู่สิงห์เสร็จก็หัวเราะเสียงดัง แล้วเดินไปหาทับทิมที่ยิ้มสะใจอยู่ สิงห์ได้แต่กัดฟันแน่น ก่อนจะตัดสินใจนั่งลงไปผ่าฟืนอย่างจำยอม
เมื่อสิงห์ผ่าฟืนเสร็จเรียบร้อย ทับทิมก็สั่งให้หาบน้ำขึ้นเรือนต่อทันทีโดยที่สิงห์ไม่ทันได้พัก ต่อด้วยสั่งให้ตักน้ำขึ้นเรือนให้เต็มทั้งสองตุ่ม ยิ่งเห็นสิงห์เหนื่อยหอบก็ยิ่งเป็นที่สะใจของทั้งทับทิมและจุก อบเชยเฝ้ามองสิงห์ด้วยความสงสารแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพลิงเห็นท่าไม่ดีจึงจะเข้าไปช่วยสิงห์
“เพลิง ไม่ต้องเข้าไปช่วยไอ้สิงห์” ครูเที่ยงขัดเพลิงไว้
“แต่ครูก็เห็นว่าทับทิมแกล้งไอ้สิงห์มัน ครูช่วยไปห้ามปรามทีเถิด”
“ไม่ต้องไปห้ามมันดอก มันอยากแกล้งกระไรก็ปล่อยมันแกล้งไป”
ครูเที่ยงยิ้มแล้วมองดูสถานการณ์อย่างสุขุม ก่อนจะเดินขึ้นเรือนไป ปล่อยให้เพลิงกับอบเชยงงในท่าที ทางด้านสิงห์หาบน้ำเดินผ่านทับทิมก็ถูกแกล้งให้สะดุดขาล้มจนน้ำกระเด็น
“ อ้าว น้ำหกจนหมดเสียแล้ว ซุ่มซ่ามจริงนะเอ็ง แล้วเมื่อใดน้ำจะเต็มตุ่มกันเล่า “ สิงห์เหนื่อยหอบจนไม่มีแรงจะเถียง แต่ก็ฝืนลุกขึ้นยืน และเดินไปตักน้ำมาใหม่ อบเชยทนไม่ได้จึงวิ่งขึ้นเรือนไปอ้อนวอนให้พ่อมาห้ามทับทิมให้เลิกกลั่นแกล้งสิงห์เสียที
“พ่อช่วยไปห้ามพี่ทับทิมทีเถิด ฉันสงสารพี่สิงห์นัก ถ้าพ่อไม่ห้ามพี่สิงห์ต้องหมดเรี่ยวหมดแรงเป็นแน่ พ่อไม่สงสารพี่สิงห์หรือจ๊ะ”
“อบเชย กว่าพ่อจะฝึกมวยจนชำนาญ ครูของพ่อก็ให้พ่อผ่าฟืน หาบน้ำทุกวัน ยามฤดูทำไร่ทำนาพ่อก็ต้องทำ มันเป็นกุศโลบายของครูฝึก เพื่อให้นักมวยได้ออกกำลังในแต่ละวัน ที่ทับทิมมันทำก็ถูกของมันแล้ว ไปบอกไอ้เพลิงด้วยว่าไม่ต้องเข้าไปยุ่ง ปล่อยให้ทับทิมมันฝึกไอ้สิงห์ตามวิธีของมันไป เรารอดูอยู่ห่างๆก็พอ”
อบเชยเมื่อเข้าใจในเจตนาของพ่อก็ทำตาม คือเฝ้ามองดูสิงห์อยู่ห่างๆอย่างเป็นห่วง
(โปรดติดตามตอนต่อไป)