ณ ตลาดเมืองวิเศษชัยชาญ...
สิงห์ควบม้ามาถึงวิเศษชัยชาญ จึงเดินเข้าไปในตลาดเพื่อถามหาสำนักเรียนมวยของครูเที่ยง
“ป้ารู้จักเรือนครูเที่ยงไหมจ๊ะ บอกทางให้ฉันที ฉันไม่รู้ทาง”
“เรือนครูเที่ยง ครูมวยนั่นรึ “ พลันป้าแม่ค้าก็มองเห็นทับทิมกับจุกเดินอยู่แถวนั้น
“นั่นไง เอ็งไปถามนังหนูนั่น มันเป็นลูกสาวของครูเที่ยง” สิงห์เหลือบมองไปตามที่ป้าชี้ แล้วเดินตรงดิ่งเข้าไปหา เมื่อเห็นหน้าก็จำได้ทันที
“ทับทิม” ทับทิมหันมองตามเสียงเรียก
“เอ็งเรียกชื่อข้ารึ...รู้จักข้าด้วยรึ ” ทับทิมจ้องมองหน้าสิงห์ด้วยความงุนงง
“ฉันคุ้นหน้ามันอยู่นะพี่” จุกเพ่งพินิจมองสิงห์
“อ๋อ... ไอ้คนที่โดดขวางโจรกระจอกในงานวัด ใช่แน่ๆ”จุกหน้าระรื่นพอใจกับความจำของตน
“ใช่จ้ะ วันนั้นฉันยังมิได้บอกชื่อ ฉันชื่อสิงห์ จำฉันได้หรือไม่”
“เออ ข้าพอจำได้แล้วล่ะ ว่าแต่เอ็งมีธุระกงการกระไรกับข้ารึ”
“ฉันมาถามหาเรือนครูเที่ยง ที่เป็นครูมวยของเพลิงนักชกหมัดหนักของที่นี่ ฉันชื่นชมนัก อยากขอไปเป็นศิษย์ครูเที่ยงด้วยคน ฉันไปถามป้าแม่ค้าเขาชี้มาทางนี้ บอกว่าลูกสาวครูเที่ยงอยู่ทางนี้” สิงห์กวาดสายตามองซ้ายขวาแล้วมาหยุดอยู่ที่คนตรงหน้า
“ทับทิมเห็นลูกสาวครูเที่ยงหรือไม่จ๊ะ” จุกกำลังจะบอกว่าก็คนตรงหน้าสิงห์นี่อย่างไร แต่ทับทิมชิงปิดปากไว้ก่อน
“ข้าไม่ทันได้สังเกตดอกว่าลูกหลานใครจะไปจะมา ว่าแต่เอ็งคิดดีแล้วรึจะมาเป็นศิษย์ครูเที่ยง ได้ยินมาว่า...เขาไม่รับคนเข้าสำนักง่ายๆดอก ข้าว่าหน่วยก้านอย่างเอ็ง...” ทับทิมมองสิงห์ตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยท่ายียวน
“ผอมกะหร่องเยี่ยงนี้ เขาไม่รับดอกโว๊ย เอ็งอย่ามัวเสียเวลา รีบกลับบ้านเอ็งไปเถิด ไป๊!” ทับทิมกับจุกหัวเราะร่วน สิงห์โมโหที่โดนดูถูก
“มาว่าฉัน ไม่ดูตัวเองเล่า ร่างเล็กไม่สมเป็นชาย หากบอกว่าเป็นหญิงยังน่าเชื่อมากกว่า”
สิงห์ยังคงเข้าใจว่าทับทิมคือหนุ่มน้อย เพราะผ้าโพกหัวและการแต่งตัวที่ดูทะมัดทะแมงราวกับเด็กหนุ่ม จุกจะหลุดปากอีกตามเคย ทับทิมต้องชิงปิดปากเอาไว้อีกครั้ง
“เอ็งไม่ต้องมายุ่งกับรูปร่างข้าดอก เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะบอกทางไปเรือนครูเที่ยงให้ เอ็งเห็นกระท่อมที่อยู่ข้ามคลองนั่นหรือไม่ เอ็งข้ามสะพานไปที่นั่น จะมีสวนผลไม้ดกๆ แล้วเอ็งก็เลี้ยวขวาสองที ซ้ายอีกซักสามทีก็จะถึงที่หมายของเอ็ง” สิงห์ทวนคำพูดของทับทิมอย่างมึนงง
“เลี้ยวขวาสองที ซ้ายสามที เอ่อ...ฉันว่าพาฉันไปทีเถิด ไปเองต้องหลงทางเป็นแน่” สิงห์ส่งสายตาอ้อนวอน
“ข้าไม่ว่างดอก ข้ามีการมีงานมากมายรออยู่ ไป! ไอ้จุก รีบกลับบ้านกลับเรือนไปทำงานกันเถิด เสียเวลามามากนัก” ทับทิมกอดคอจุกออกไปโดยไม่สนใจเสียงเรียกของสิงห์
“เรามีการมีงานตั้งแต่เมื่อใดกันพี่ รึว่าวันนี้พี่จะไปขโมยมะม่วงตาจั่นอีกรึ”
“ช่วงนี้ต้องงดก่อน โดนจับได้คราวก่อน ตาจั่นมาฟ้องพ่อ ข้าโดนเอ็ดจนหูชา”
“อ้าว แล้วพี่บอกทางไอ้หนุ่มนั่นไปสวนตาจั่นทำไมเล่า”
“ก็ข้าแกล้งมัน ไม่รู้สิวะไอ้จุก ข้าไม่ชอบหน้ามันตั้งแต่วิ่งทะเล่อทะล่ามาขวางโจร แล้วมันยังมาว่ารูปร่างข้าอีก ข้าไม่บอกทางมันไปป่าช้าก็ดีแค่ไหนแล้ว”
ทับทิมนึกถึงหน้าสิงห์ขึ้นมาชวนให้หงุดหงิดในใจ
00000000
ในสวนมะม่วงตาจั่น...
ใบไม้และกิ่งก้านของต้นมะม่วงต้นที่ดกที่สุดในสวนตาจั่นกำลังไหวเอนไปมา มันหาได้ไหวเอนตามทิศทางแรงลมเหมือนต้นอื่น หากแต่เคลื่อนไหวตามแรงแขนขาของสาวน้อยที่กำลังปีนป่ายเก็บผลดกจากต้น สาวเจ้าเหลือบมองเห็นมะม่วงลูกอวบอิ่ม จึงเอื้อมมือไปคว้า แต่แขนยาวไม่พอจะเอื้อมเด็ดมันได้ สาวเจ้าเอื้อมมืออีกครั้งแขนขาเกร็ง และในที่สุดแรงโน้มถ่วงของโลกก็พาร่างบอบบางมานอนเกลือกดินอยู่ใต้ต้น สาวน้อยโอดครวญด้วยความเจ็บปวด
สิงห์ควบม้าสีหมอกมาตามทางที่ทับทิมบอก ได้มาเห็นหญิงสาวนอนร้องโอดครวญอยู่ จึงรีบลงจากม้ามาดูอาการ
“เป็นกระไรมากไหม เจ็บตรงไหนบ้าง”
“โอ๊ย ฉันเจ็บไปหมดทั้งตัว ดึงฉันลุกขึ้นนั่งที” หญิงสาวส่งมือมาให้สิงห์ สิงห์ฉุดให้เธอลุกขึ้นนั่ง ปัดใบไม้กับเศษดินบนหัวออกให้
“ปีนต้นไม้ไม่เป็นทำไมไม่เอาไม้สอยล่ะแม่ พลัดตกลงมาแขนขาหักจะทำเยี่ยงไร” หญิงสาวปัดฝุ่นบนแขนออก
“ไม่ถึงขนาดนั้นดอกจ้ะ ฉันว่าฉันดีขึ้นแล้วล่ะ ขอบใจนะจ๊ะ” หญิงสาวยันตัวจะลุกขึ้นยืน แต่ขาอ่อนแรงจึงจะล้ม สิงห์ก้าวเข้าไปรับไว้ในอ้อมแขน แล้วรีบวางลง
“ ฉันว่าแม่คงเดินไม่ไหวดอก ให้ฉันไปส่งเถิด ฉันชื่อสิงห์ แม่ชื่อกระไรจ๊ะ”
“ฉันชื่อ
อบเชย ขอบใจพี่สิงห์นัก ฉันเรียกพี่สิงห์นะจ๊ะ แต่ขอฉันเก็บมะม่วงก่อน” อบเชยอาห่อผ้าที่เตรียมมาไปเก็บมะม่วงที่ปลิดลงมาใต้ต้น สิงห์เดินไปเก็บช่วยพร้อมกับห่อผ้าให้ ก่อนจะอุ้มหญิงสาวขึ้นม้า ควบเจ้าสีหมอกไปตามทางที่อบเชยบอก
00000000
เรือนทรงไทยหลังเก่า...
“ถึงแล้วจ้ะ นี่แหละบ้านฉัน” อบเชยลงจากม้าไปตักน้ำใส่กระบวยมาให้สิงห์ สิงห์กวาดสายตามองไปรอบเรือน ก่อนจะรับน้ำจากอบเชย
“บ้านอบเชยทำไมมีเครื่องไม้เครื่องมือสำหรับซ้อมมวยครบครัน”
“พี่สิงห์คงเป็นคนต่างถิ่นล่ะสิ ถึงไม่รู้จักสำนักมวยครูเที่ยง”
“นี่บ้านครูเที่ยงรึ” สิงห์อุทานด้วยความตกใจระคนดีใจที่หาบ้านครูเที่ยงเจอโดยไม่ตั้งใจ หลังจากหลงทางตามคำบอกของทับทิมอยู่นานสองนาน
“ใช่จ้ะ บ้านครูเที่ยง ครูเที่ยงเป็นพ่อฉันเอง” อบเชยบอกเล่าใบหน้ายิ้มแย้มเพราะภูมิใจที่ได้เกิดเป็นลูกครูมวยผู้เก่งกาจ
“อบเชยรู้หรือไม่ พี่ตามหาบ้านครูเที่ยงอยู่ตั้งนานสองนาน พอจะเจอก็เจอโดยง่าย ประหลาดนัก” อบเชยส่งยิ้มให้สิงห์ก่อนจะเอามะม่วงไปล้างที่ตุ่มข้างแคร่
“อบเชยคงชอบกินมะม่วงมากสินะ ถึงได้ปีนป่ายจนเจ็บตัวขนาดนั้น” สิงห์มองอบเชยที่ตั้งหน้าตั้งตาปลอกเปลือกมะม่วงผลอวบอิ่ม
“ ฉันไปเอามาให้พี่สาวจ้ะ พี่สาวฉันชอบกินมากเลยนะจ๊ะ มะม่วงน้ำดอกไม้ต้นนี้ พี่สาวฉันชอบนัก “ อบเชยพูดถึงพี่สาวด้วยใบหน้าอมยิ้ม
“อ้อ...ในครัวมีขนมต้ม ฉันทำไว้ตั้งแต่เช้า ประเดี๋ยวฉันเข้าไปเอามาให้พี่สิงห์นะจ๊ะ”
“ขอบใจจ้ะ” สิงห์กล่าวขอบใจที่อบเชยให้การต้อนรับเป็นอย่างดี
อบเชยเดินเข้าครัวไปจัดหาของว่างมารับรองแขกบ้านแขกเรือน
00000000
จุกกับทับทิมหลังจากไปเที่ยวเตร็ดเตร่ยิงนกตกปลาเล่นจนหนำใจแล้วก็พากันกลับเรือน
“พี่ทับทิม นั่นมันไอ้หนุ่มคนเมื่อเช้านี่ พี่บอกทางมันมั่วมันยังมายืนหน้าเรือนพี่ได้ มันเก่งแท้” ทับทิมตบกบาลจุกเต็มแรง
“ไอ้จุก เอ็งจะชื่นชมมันทำกระไรวะ “ เสียงร้องของจุกทำให้สิงห์หันมามองที่ทั้งสองคน ทับทิมตกใจ แต่กลัวเสียฟอร์มเลยแสร้งเดินเข้าไปทักสิงห์
“อ้าว เอ็งนั่นเอง มาถูกด้วยนี่ ข้าว่าแล้วเชียว ก็ข้าบอกทางเอ็งะเอียดละยิบขนาดนั้น เอ็งต้องมาถูกเป็นแน่” ทับทิมตบบ่าสิงห์แล้วทำหน้ายียวน
“ในเมื่อทั้งสองคนก็จะมาที่นี่ เหตุใดไม่ให้ฉันมาด้วยเล่า คนเมืองวิเศษชัยชาญนี่แร้งน้ำใจนัก” สิงห์ตัดพ้อเพราะรู้ว่าทับทิมแกล้งบอกทางตนผิดๆ
“อ้าว...เฮ้ย! เอ็งจะด่าก็ด่าแต่พี่ทับทิมคนเดียวสิวะ ไม่เกี่ยวกับคนทั้งเมืองวิเศษชัยชาญสักหน่อย” จุกเถียงแทนทับทิม แต่ไม่ต่างจากการด่าซ้ำ สิงห์ขำตลกที่จุกปกป้องแต่เหมือนด่าทับทิมเสียเอง
“ไอ้จุก เอ็งหุบปากไปก่อนเถิดวะ พูดแต่ละอย่างมีแต่แย่ไปกว่าเดิม” ทับทิมตวาดจุกเสียงดัง
อบเชยเดินถือจานขนมต้มออกมาจากครัว “พี่ทับทิมกลับมาแล้วหรือจ๊ะ”
“นังอบเชยเอ๊ย ก็เห็นอยู่ว่าพี่ทับทิมยืมหัวโด่อยู่ตรงนี้ เอ็งยังจะถามทำกระไรวะ ก็ต้องกลับมาแล้วสิ ไม่งั้นจะเห็นรึ”
“เอ็งชื่อทับทิมรึไอ้จุก” อบเชยมองค้อนจนจุกหน้าเจื่อน
“พี่ทับทิม นี่จ้ะมะม่วงน้ำดอกไม้ของตาจั่น ต้นที่พี่ชอบเลยนะจ๊ะ” อบเชยยื่นจานมะม่วงที่ปลอกเปลือกเรียบร้อย จัดวางบนจานเรียงสวยให้ทับทิม ทับทิมมองอยู่สักพักก่อนจะรับมา
“ใครว่าข้าชอบ นี่ของชอบไอ้จุกมันต่างหาก เอาไปสิไอ้จุก” ทับทิมยื่นจานมะม่วงให้จุกก่อนจะเดินหายเข้าไปหลังเรือน
“ห้ะ ของชอบฉันรึ เอ้า ชอบก็ชอบวะ” จุกถือจานมะม่วงเดินจ้ำอ้าวตามหลังทับทิมไป
อบเชยหน้าเจื่อน แต่ก็ชินชากับท่าทีห่างเหินของพี่สาว และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่อบเชยโดนทับทิมเมินเฉยใส่ สิงห์เห็นสีหน้าอบเชยก็รู้สึกสงสาร
“นิสัยเสีย อบเชยอุตส่าห์ไปหามะม่วงมาให้จนเจ็บตัว แค่ขอบใจสักคำยังไม่มี” สิงห์รู้สึกฉุนและผิดหวังในตัวทับทิม เพราะแต่แรกที่เจอกันก็เผลอชื่นชมในใจไว้มากมาย แล้วสิงห์ก็เอะใจกับบางอย่าง...
“ประเดี๋ยวก่อน อบเชยบอกว่าจะเอามะม่วงมาให้พี่สาว ไหนเล่าพี่สาวของอบเชย” สิงห์มองอบเชยด้วยความงุนงง
“อ้าว...ก็พี่ทับทิมอย่างไรเล่า พี่สาวของฉัน พี่สิงห์นี่ถามแปลกจริง ก็เห็นยืนพูดคุยกันตั้งนานสองนาน ฉันก็นึกว่าจะรู้แล้วเสียอีก”
“ทับทิม...พี่สาว! เป็นผู้หญิงรึ” สิงห์นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มออกมานัยน์ตาเป็นประกาย
00000000
โปรดติดตามตอนต่อไป
ลูกไม้มวยไทย ตอนที่ ๓ เรือนครูเที่ยง
สิงห์ควบม้ามาถึงวิเศษชัยชาญ จึงเดินเข้าไปในตลาดเพื่อถามหาสำนักเรียนมวยของครูเที่ยง
“ป้ารู้จักเรือนครูเที่ยงไหมจ๊ะ บอกทางให้ฉันที ฉันไม่รู้ทาง”
“เรือนครูเที่ยง ครูมวยนั่นรึ “ พลันป้าแม่ค้าก็มองเห็นทับทิมกับจุกเดินอยู่แถวนั้น
“นั่นไง เอ็งไปถามนังหนูนั่น มันเป็นลูกสาวของครูเที่ยง” สิงห์เหลือบมองไปตามที่ป้าชี้ แล้วเดินตรงดิ่งเข้าไปหา เมื่อเห็นหน้าก็จำได้ทันที
“ทับทิม” ทับทิมหันมองตามเสียงเรียก
“เอ็งเรียกชื่อข้ารึ...รู้จักข้าด้วยรึ ” ทับทิมจ้องมองหน้าสิงห์ด้วยความงุนงง
“ฉันคุ้นหน้ามันอยู่นะพี่” จุกเพ่งพินิจมองสิงห์
“อ๋อ... ไอ้คนที่โดดขวางโจรกระจอกในงานวัด ใช่แน่ๆ”จุกหน้าระรื่นพอใจกับความจำของตน
“ใช่จ้ะ วันนั้นฉันยังมิได้บอกชื่อ ฉันชื่อสิงห์ จำฉันได้หรือไม่”
“เออ ข้าพอจำได้แล้วล่ะ ว่าแต่เอ็งมีธุระกงการกระไรกับข้ารึ”
“ฉันมาถามหาเรือนครูเที่ยง ที่เป็นครูมวยของเพลิงนักชกหมัดหนักของที่นี่ ฉันชื่นชมนัก อยากขอไปเป็นศิษย์ครูเที่ยงด้วยคน ฉันไปถามป้าแม่ค้าเขาชี้มาทางนี้ บอกว่าลูกสาวครูเที่ยงอยู่ทางนี้” สิงห์กวาดสายตามองซ้ายขวาแล้วมาหยุดอยู่ที่คนตรงหน้า
“ทับทิมเห็นลูกสาวครูเที่ยงหรือไม่จ๊ะ” จุกกำลังจะบอกว่าก็คนตรงหน้าสิงห์นี่อย่างไร แต่ทับทิมชิงปิดปากไว้ก่อน
“ข้าไม่ทันได้สังเกตดอกว่าลูกหลานใครจะไปจะมา ว่าแต่เอ็งคิดดีแล้วรึจะมาเป็นศิษย์ครูเที่ยง ได้ยินมาว่า...เขาไม่รับคนเข้าสำนักง่ายๆดอก ข้าว่าหน่วยก้านอย่างเอ็ง...” ทับทิมมองสิงห์ตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยท่ายียวน
“ผอมกะหร่องเยี่ยงนี้ เขาไม่รับดอกโว๊ย เอ็งอย่ามัวเสียเวลา รีบกลับบ้านเอ็งไปเถิด ไป๊!” ทับทิมกับจุกหัวเราะร่วน สิงห์โมโหที่โดนดูถูก
“มาว่าฉัน ไม่ดูตัวเองเล่า ร่างเล็กไม่สมเป็นชาย หากบอกว่าเป็นหญิงยังน่าเชื่อมากกว่า”
สิงห์ยังคงเข้าใจว่าทับทิมคือหนุ่มน้อย เพราะผ้าโพกหัวและการแต่งตัวที่ดูทะมัดทะแมงราวกับเด็กหนุ่ม จุกจะหลุดปากอีกตามเคย ทับทิมต้องชิงปิดปากเอาไว้อีกครั้ง
“เอ็งไม่ต้องมายุ่งกับรูปร่างข้าดอก เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะบอกทางไปเรือนครูเที่ยงให้ เอ็งเห็นกระท่อมที่อยู่ข้ามคลองนั่นหรือไม่ เอ็งข้ามสะพานไปที่นั่น จะมีสวนผลไม้ดกๆ แล้วเอ็งก็เลี้ยวขวาสองที ซ้ายอีกซักสามทีก็จะถึงที่หมายของเอ็ง” สิงห์ทวนคำพูดของทับทิมอย่างมึนงง
“เลี้ยวขวาสองที ซ้ายสามที เอ่อ...ฉันว่าพาฉันไปทีเถิด ไปเองต้องหลงทางเป็นแน่” สิงห์ส่งสายตาอ้อนวอน
“ข้าไม่ว่างดอก ข้ามีการมีงานมากมายรออยู่ ไป! ไอ้จุก รีบกลับบ้านกลับเรือนไปทำงานกันเถิด เสียเวลามามากนัก” ทับทิมกอดคอจุกออกไปโดยไม่สนใจเสียงเรียกของสิงห์
“เรามีการมีงานตั้งแต่เมื่อใดกันพี่ รึว่าวันนี้พี่จะไปขโมยมะม่วงตาจั่นอีกรึ”
“ช่วงนี้ต้องงดก่อน โดนจับได้คราวก่อน ตาจั่นมาฟ้องพ่อ ข้าโดนเอ็ดจนหูชา”
“อ้าว แล้วพี่บอกทางไอ้หนุ่มนั่นไปสวนตาจั่นทำไมเล่า”
“ก็ข้าแกล้งมัน ไม่รู้สิวะไอ้จุก ข้าไม่ชอบหน้ามันตั้งแต่วิ่งทะเล่อทะล่ามาขวางโจร แล้วมันยังมาว่ารูปร่างข้าอีก ข้าไม่บอกทางมันไปป่าช้าก็ดีแค่ไหนแล้ว”
ทับทิมนึกถึงหน้าสิงห์ขึ้นมาชวนให้หงุดหงิดในใจ
ในสวนมะม่วงตาจั่น...
ใบไม้และกิ่งก้านของต้นมะม่วงต้นที่ดกที่สุดในสวนตาจั่นกำลังไหวเอนไปมา มันหาได้ไหวเอนตามทิศทางแรงลมเหมือนต้นอื่น หากแต่เคลื่อนไหวตามแรงแขนขาของสาวน้อยที่กำลังปีนป่ายเก็บผลดกจากต้น สาวเจ้าเหลือบมองเห็นมะม่วงลูกอวบอิ่ม จึงเอื้อมมือไปคว้า แต่แขนยาวไม่พอจะเอื้อมเด็ดมันได้ สาวเจ้าเอื้อมมืออีกครั้งแขนขาเกร็ง และในที่สุดแรงโน้มถ่วงของโลกก็พาร่างบอบบางมานอนเกลือกดินอยู่ใต้ต้น สาวน้อยโอดครวญด้วยความเจ็บปวด
สิงห์ควบม้าสีหมอกมาตามทางที่ทับทิมบอก ได้มาเห็นหญิงสาวนอนร้องโอดครวญอยู่ จึงรีบลงจากม้ามาดูอาการ
“เป็นกระไรมากไหม เจ็บตรงไหนบ้าง”
“โอ๊ย ฉันเจ็บไปหมดทั้งตัว ดึงฉันลุกขึ้นนั่งที” หญิงสาวส่งมือมาให้สิงห์ สิงห์ฉุดให้เธอลุกขึ้นนั่ง ปัดใบไม้กับเศษดินบนหัวออกให้
“ปีนต้นไม้ไม่เป็นทำไมไม่เอาไม้สอยล่ะแม่ พลัดตกลงมาแขนขาหักจะทำเยี่ยงไร” หญิงสาวปัดฝุ่นบนแขนออก
“ไม่ถึงขนาดนั้นดอกจ้ะ ฉันว่าฉันดีขึ้นแล้วล่ะ ขอบใจนะจ๊ะ” หญิงสาวยันตัวจะลุกขึ้นยืน แต่ขาอ่อนแรงจึงจะล้ม สิงห์ก้าวเข้าไปรับไว้ในอ้อมแขน แล้วรีบวางลง
“ ฉันว่าแม่คงเดินไม่ไหวดอก ให้ฉันไปส่งเถิด ฉันชื่อสิงห์ แม่ชื่อกระไรจ๊ะ”
“ฉันชื่ออบเชย ขอบใจพี่สิงห์นัก ฉันเรียกพี่สิงห์นะจ๊ะ แต่ขอฉันเก็บมะม่วงก่อน” อบเชยอาห่อผ้าที่เตรียมมาไปเก็บมะม่วงที่ปลิดลงมาใต้ต้น สิงห์เดินไปเก็บช่วยพร้อมกับห่อผ้าให้ ก่อนจะอุ้มหญิงสาวขึ้นม้า ควบเจ้าสีหมอกไปตามทางที่อบเชยบอก
เรือนทรงไทยหลังเก่า...
“ถึงแล้วจ้ะ นี่แหละบ้านฉัน” อบเชยลงจากม้าไปตักน้ำใส่กระบวยมาให้สิงห์ สิงห์กวาดสายตามองไปรอบเรือน ก่อนจะรับน้ำจากอบเชย
“บ้านอบเชยทำไมมีเครื่องไม้เครื่องมือสำหรับซ้อมมวยครบครัน”
“พี่สิงห์คงเป็นคนต่างถิ่นล่ะสิ ถึงไม่รู้จักสำนักมวยครูเที่ยง”
“นี่บ้านครูเที่ยงรึ” สิงห์อุทานด้วยความตกใจระคนดีใจที่หาบ้านครูเที่ยงเจอโดยไม่ตั้งใจ หลังจากหลงทางตามคำบอกของทับทิมอยู่นานสองนาน
“ใช่จ้ะ บ้านครูเที่ยง ครูเที่ยงเป็นพ่อฉันเอง” อบเชยบอกเล่าใบหน้ายิ้มแย้มเพราะภูมิใจที่ได้เกิดเป็นลูกครูมวยผู้เก่งกาจ
“อบเชยรู้หรือไม่ พี่ตามหาบ้านครูเที่ยงอยู่ตั้งนานสองนาน พอจะเจอก็เจอโดยง่าย ประหลาดนัก” อบเชยส่งยิ้มให้สิงห์ก่อนจะเอามะม่วงไปล้างที่ตุ่มข้างแคร่
“อบเชยคงชอบกินมะม่วงมากสินะ ถึงได้ปีนป่ายจนเจ็บตัวขนาดนั้น” สิงห์มองอบเชยที่ตั้งหน้าตั้งตาปลอกเปลือกมะม่วงผลอวบอิ่ม
“ ฉันไปเอามาให้พี่สาวจ้ะ พี่สาวฉันชอบกินมากเลยนะจ๊ะ มะม่วงน้ำดอกไม้ต้นนี้ พี่สาวฉันชอบนัก “ อบเชยพูดถึงพี่สาวด้วยใบหน้าอมยิ้ม
“อ้อ...ในครัวมีขนมต้ม ฉันทำไว้ตั้งแต่เช้า ประเดี๋ยวฉันเข้าไปเอามาให้พี่สิงห์นะจ๊ะ”
“ขอบใจจ้ะ” สิงห์กล่าวขอบใจที่อบเชยให้การต้อนรับเป็นอย่างดี
อบเชยเดินเข้าครัวไปจัดหาของว่างมารับรองแขกบ้านแขกเรือน
จุกกับทับทิมหลังจากไปเที่ยวเตร็ดเตร่ยิงนกตกปลาเล่นจนหนำใจแล้วก็พากันกลับเรือน
“พี่ทับทิม นั่นมันไอ้หนุ่มคนเมื่อเช้านี่ พี่บอกทางมันมั่วมันยังมายืนหน้าเรือนพี่ได้ มันเก่งแท้” ทับทิมตบกบาลจุกเต็มแรง
“ไอ้จุก เอ็งจะชื่นชมมันทำกระไรวะ “ เสียงร้องของจุกทำให้สิงห์หันมามองที่ทั้งสองคน ทับทิมตกใจ แต่กลัวเสียฟอร์มเลยแสร้งเดินเข้าไปทักสิงห์
“อ้าว เอ็งนั่นเอง มาถูกด้วยนี่ ข้าว่าแล้วเชียว ก็ข้าบอกทางเอ็งะเอียดละยิบขนาดนั้น เอ็งต้องมาถูกเป็นแน่” ทับทิมตบบ่าสิงห์แล้วทำหน้ายียวน
“ในเมื่อทั้งสองคนก็จะมาที่นี่ เหตุใดไม่ให้ฉันมาด้วยเล่า คนเมืองวิเศษชัยชาญนี่แร้งน้ำใจนัก” สิงห์ตัดพ้อเพราะรู้ว่าทับทิมแกล้งบอกทางตนผิดๆ
“อ้าว...เฮ้ย! เอ็งจะด่าก็ด่าแต่พี่ทับทิมคนเดียวสิวะ ไม่เกี่ยวกับคนทั้งเมืองวิเศษชัยชาญสักหน่อย” จุกเถียงแทนทับทิม แต่ไม่ต่างจากการด่าซ้ำ สิงห์ขำตลกที่จุกปกป้องแต่เหมือนด่าทับทิมเสียเอง
“ไอ้จุก เอ็งหุบปากไปก่อนเถิดวะ พูดแต่ละอย่างมีแต่แย่ไปกว่าเดิม” ทับทิมตวาดจุกเสียงดัง
อบเชยเดินถือจานขนมต้มออกมาจากครัว “พี่ทับทิมกลับมาแล้วหรือจ๊ะ”
“นังอบเชยเอ๊ย ก็เห็นอยู่ว่าพี่ทับทิมยืมหัวโด่อยู่ตรงนี้ เอ็งยังจะถามทำกระไรวะ ก็ต้องกลับมาแล้วสิ ไม่งั้นจะเห็นรึ”
“เอ็งชื่อทับทิมรึไอ้จุก” อบเชยมองค้อนจนจุกหน้าเจื่อน
“พี่ทับทิม นี่จ้ะมะม่วงน้ำดอกไม้ของตาจั่น ต้นที่พี่ชอบเลยนะจ๊ะ” อบเชยยื่นจานมะม่วงที่ปลอกเปลือกเรียบร้อย จัดวางบนจานเรียงสวยให้ทับทิม ทับทิมมองอยู่สักพักก่อนจะรับมา
“ใครว่าข้าชอบ นี่ของชอบไอ้จุกมันต่างหาก เอาไปสิไอ้จุก” ทับทิมยื่นจานมะม่วงให้จุกก่อนจะเดินหายเข้าไปหลังเรือน
“ห้ะ ของชอบฉันรึ เอ้า ชอบก็ชอบวะ” จุกถือจานมะม่วงเดินจ้ำอ้าวตามหลังทับทิมไป
อบเชยหน้าเจื่อน แต่ก็ชินชากับท่าทีห่างเหินของพี่สาว และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่อบเชยโดนทับทิมเมินเฉยใส่ สิงห์เห็นสีหน้าอบเชยก็รู้สึกสงสาร
“นิสัยเสีย อบเชยอุตส่าห์ไปหามะม่วงมาให้จนเจ็บตัว แค่ขอบใจสักคำยังไม่มี” สิงห์รู้สึกฉุนและผิดหวังในตัวทับทิม เพราะแต่แรกที่เจอกันก็เผลอชื่นชมในใจไว้มากมาย แล้วสิงห์ก็เอะใจกับบางอย่าง...
“ประเดี๋ยวก่อน อบเชยบอกว่าจะเอามะม่วงมาให้พี่สาว ไหนเล่าพี่สาวของอบเชย” สิงห์มองอบเชยด้วยความงุนงง
“อ้าว...ก็พี่ทับทิมอย่างไรเล่า พี่สาวของฉัน พี่สิงห์นี่ถามแปลกจริง ก็เห็นยืนพูดคุยกันตั้งนานสองนาน ฉันก็นึกว่าจะรู้แล้วเสียอีก”
“ทับทิม...พี่สาว! เป็นผู้หญิงรึ” สิงห์นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มออกมานัยน์ตาเป็นประกาย