แค้น ตรัยโศก ณ ริมน่าน

กระทู้สนทนา
โดย : ตรัยโศก ณ  ริมน่าน


นิยายเรื่อง แค้น นี้ สงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธ์ พ.ศ.  2537  ห้ามมิให้ผู้ใดนำไปเผยแพร่ในช่องทางต่าง ๆ ก่อนได้รับอนุญาต  
บุคคลซึ่งอ้างตัวว่าเป็นอารยะชน  พึงมีจิตสำนึก  มิควรนำผลงานของผู้อื่นไปดัดแปลง  คัดลอก หรือเผยแพร่โดยไม่ได้รับการยินยอมจากผู้เขียน
คำนำ
นิยายเรื่องนี้เกิดขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน  ชื่อตัวละครและสถานที่อาจอ้างอิงเอาจากสถานที่จริง  การกระทำและคำพูดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเรื่องสมมุติ ผู้เขียนมิได้มีใจหมายจะดูหมิ่นอาชีพใด  คาถาอาคมบางบทเป็นสิ่งที่ผู้เขียนคิดขึ้นมาเอง  เพื่ออรรถรสและความสนุก 
หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา   ณ   ที่นี้

ตรัยโศก   ณ   ริมน่าน



เกริ่นเรื่อง
ช่วงระหว่างรอยต่อของปลายปีพุทธศักราช  2488  และต้น  2489  หลังจากวีรกรรมอันอุกอาจโจ่งแจ้งของขบวนการไทยถีบ ที่ทำการปล้นสะดมขบวนรถไฟญี่ปุ่นระหว่างผ่านสถานีบางน้ำจืดสู่ท่าฉาง  เหตุการณ์นั้นเป็นที่อึกทึกครึกโครม  โด่งดังพอ ๆ กับการที่สงครามเริ่มสงบลงแล้ว  ชาวบ้านร้านตลาดไม่ว่าจะแห่งหนตำบลใดต่างก็คิดว่าจากนี้  ประเทศไทยเราคงไม่มีเรื่องใดที่จะร้ายแรงไปกว่ายุคสงครามเกิดขึ้นอีก  ทว่า...ความหวังนั้นกลับพังทลาย  เมื่อสงครามอันระอุร้อนมานานปีสงบลงและถูกแทนที่ด้วยการปรากฏตัวของโจรร้ายเสือปล้นมากมาย  

ทุกหัวระแหงต่างเดือดร้อนจากทรชนเหล่านั้น  ต่างว่าเป็นโจรกระจอกธรรมดา ๆ ก็ดีไป  ปราบง่าย  บางทีไม่ต้องถึงมือตำรวจ  เพียงเจ้าบ้านก็สามารถจัดการได้  แต่เรื่องราวมันหาได้ง่ายเช่นนั้นทุกครั้งไป  

ในกลุ่มโจรมากมาย  มีหลายก๊กหลายเหล่าที่ยิงไม่เข้า  ฟันไม่ถูก  มองไม่เห็นตัว  เพราะคณะของโจรที่เรียกตัวเองว่าเสือต่าง ๆ เหล่านั้น  ต่างก็มีของดี  มีอาคม  เจ้าบ้านที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว  ยิงใส่โดยไม่รู้ว่าผู้ที่นำคณะปล้นบ้านของตนเป็นใคร  สุดท้าย...ก็ตายอนาถยกบ้าน  เรียกได้ว่ายุคสมัยนั้น  ความโหดร้ายป่าเถื่อนรวมถึงวุ่นวาย  เกิดขึ้นจนคนทั้งชาติน้ำตาตก  ทางการเองก็พยายามอย่างเต็มที่  แต่ยังไม่มีทีท่าจะดีขึ้นเลย...

ปีพุทธศักราช  2499 ณ อำเภอโคกสำโรง  จังหวัดลพบุรี  เรือนหลังหนึ่งซึ่งอยู่ในเขตปกครองของบ้านหัวสระ  เสียงร้องโอดโอยของหญิงสาวแว่วมากจากด้านใน  ด้านนอกเองก็กำลังอลหม่าน  ก่อไฟตั้งหม้อต้มน้ำตามคำสั่งหมอตำแยที่ถูกเรียกมาทำคลอดเฉพาะกิจ  

เนื่องด้วยยังไม่ทันถึงกำหนดคลอดตามหมอนัด  แต่เด็กในท้องดึงดันจะออกมาสู่โลกกว้างก่อนกำหนดไปร่วมเดือนเศษ  เหตุนั้นเองครอบครัวจึงไม่ทันตั้งรับ  รถรามิได้ว่าจ้างไว้อีกทั้งยังเป็นช่วงกลางดึกที่ลมพัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ  เพราะกำลังจะเกิดพายุ   อาชีพหมอตำแยซึ่งยังมีผู้สืบทอดอยู่จึงถูกขอร้องให้วิ่งฝ่าลมแรงมาทำคลอด  หากรอจนกว่าจะถึงโรงหมอ  คงได้ตายพร้อมกันทั้งแม่ทั้งลูก

“โอ๊ย...พี่มิ่ง!  ฉันไม่ไหวแล้ว...!!!”  

สำอาง  เมียสาวของ นายมิ่งร้องหา  ฝ่ายเจ้าตัวกำลังกุลีกุจอทั้งเป่าทั้งพัดให้ไฟลุกโหมรุนแรง  น้ำในหม้อต้องเดือดพร้อมใช้ให้ไวที่สุด  แต่เมื่อได้ยินเสียงร้องจากคนท้องซึ่งแสดงอาการทรมานสุดกลั้น  นายมิ่งเองก็หันรีหันขวางทำอะไรไม่ถูก

ในบ้านก็ร้องโอดโอย  นอกบ้านก็อื้ออึงไปด้วยเสียงลมโหมฟ้าคำราม  ไม่นาน  พายุก็หอบเอาฝนห่าใหญ่มาถึง  มันเทลงมาราวกับฟ้ารั่ว  นายมิ่งต้องหาแผ่นไม้ที่ใหญ่พอมาบังทั้งลมและฝนสาดใส่เตาไฟจนเจียนดับ  จังหวะนั้นเองความรู้สึกบางอย่างก็แล่นปราดเข้ามาจนชะงักนิ่งค้าง  มันเป็นสัญญาณเตือนเมื่อมีภัยมาถึง  เป็นการบอกกล่าวแก่นายเมื่อสิ่งเลวร้ายกำลังคืบคลานเข้ามา  เสียงกระซิบของโหงพราย

‘พวกนั้นมาถึงแล้ว...นาย...’

นายมิ่งเย็นวาบไปทั้งแผ่นหลัง  หนีมานานหลายปีทั้ง ๆ ที่รู้ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางพ้น ต่อให้เปลี่ยนชื่อแซ่ปกปิดตัวตนยังไง  กรรมเก่าที่มาในรูปลักษณ์อดีตพวกพ้อง  ย่อมตามมาพบเข้าจนได้  เพียงแต่ไม่คิดว่าจะเป็นวันนี้  เวลานี้

“มืงไปเถอะ  นับแต่นี้กูจะปล่อยมืงเป็นอิสระ...ไม่ต้องอยู่รับใช้กูอีกแล้ว”  

นายมิ่ง กล่าวกับตนเอง  พลังงานเย็นวูบอันเกิดจากอิทธิฤทธิ์ของโหงพรายค่อย ๆ มลายหายไป  เป็นการบอกให้รู้ว่า โหงพรายที่ตนเลี้ยงไว้ใช้งาน  จากไปแล้ว  มันเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับเสียงเด็กแรกเกิดที่แผดร้องระงมลั่นพร้อมกัน   พร้อมกันงั้นรึ?  นายมิ่งครวญในใจ  กำลังจะเข้าไปดู  นางเนียม  หมอตำแยที่มีอายุมากกว่านายมิ่งไม่กี่ปีก็ก้าวพรวดสวนออกมาใบหน้ายิ้มแย้ม  แม้ทั่วลานผากจะเต็มไปด้วยเหงื่อ

“เอ็งได้ลูกชายนะไอ้มิ่งเอ๊ย...เป็นลูกแฝดเสียด้วย  เมียเอ็งก็แข็งแรงปลอดภัยดี  เข้าไปดูเสียก่อนไป๊  ประเดี๋ยวข้าจะจัดการเช็ดเนื้อเช็ดตัวอีกรอบ”

“จะ...จ๊ะพี่เนียม!”   นายมิ่งตอบน้ำตารื้น  หัวอกคนเป็นพ่ออึกทึกโครมครามด้วยความดีใจ  ไม่นึกว่าสวรรค์จะเมตตาเขา  ให้ได้ลูกชายซ้ำยังได้ทีเดียวถึงสองคนอีก

“พะ...พี่มิ่ง  ลูกของเราเหมือนพี่เหลือเกินจ้ะ”

“ไม่หรอกสำอางเอ้ย  ที่พี่ดูเหมือนเอ็งมากกว่า  ดีแล้วล่ะที่เป็นแบบนั้น  โบราณว่า  ลูกชายหน้าเหมือนพ่อต่อไปจะอาภัพ  ต่อแต่นี้เอ็งดูแลลูกของเราให้ดี  ทรัพย์สินมากมายที่พี่เก็บไว้  มีพอให้เอ็งกับลูกอยู่ได้สบายไปอีกหลายสิบปี”

สำอางได้ยินเช่นนั้นก็คิ้วขมวดไม่เข้าใจ  เหตุใดผัวรักจึงบอกกล่าวปานจะลาตายเช่นนี้เล่า  ยังไม่ทันได้ถาม  นายมิ่งก็จัดแจงปลดตะกรุดหน้าผากเสือจากคอ  และถอดแหวนพิรอดจากนิ้วชี้ขวาออก  สองสิ่งนี้ติดตัวนายมิ่งมาตลอดไม่เคยห่าง  นั่นยิ่งทำให้นางใจเสีย

“นี่...พ่อให้เอ็งนะ  ชื่อของเอ็งคือจิรายุ(แปลว่าผู้มีอายุยืน)  พ่อตั้งให้  เอ็งเป็นพี่...รัก  ดูแลแม่และน้องให้ดี”  นายมิ่งกล่าวเสียงเครือ  วางแหวนพิรอดลงเหนือหัวนอนของลูกชายวัยแรกเกิดคนซ้าย

“ส่วนนี่...พ่อให้เอ็ง  ชื่อของเอ็งคือจิระเดช(แปลว่า มีอำนาจตลอดกาล)  พ่อตั้งให้  เอ็งเป็นน้อง  รัก เชื่อฟังพี่  และดูแลแม่ของเอ็งให้ดี ๆ”  กล่าวจบก็วางตะกรุดหน้าผากเสือลงยังตำแหน่งเดียวกันของลูกชายอีกคน  บรรจงจูบหน้าผากเด็กน้อยทั้งคู่ด้วยอาการแผ่วเบา  เกรงว่าตอหนวดเคราจะทิ่มให้รู้สึกระคาย

“ส่วนเอ็ง  สำอางเอ้ย...พี่ให้เอ็งหมดทุกอย่างแล้วทั้งกาย  ใจ  และสมบัติมากมาย เอ็งรู้ว่าอยู่ที่ไหน  อย่าบอกใคร มันเป็นของพี่  มันเป็นของเรา...พี่รักเอ็งกับลูกสุดหัวใจ  รู้ไหมสำอางเอ้ย...?”  ต่อจากคำกล่าวลาอ่อนหวานระคนสะอื้นน้อย ๆ นายมิ่งก็ผละออกจากห้องตรงไปหานางเนียม  ยื่นถุงกำมะหยี่ขนาดกำปั้นให้

“พี่เนียม...จากนี้ลูกเมียฉันคงต้องฝากเป็นธุระของพี่แล้ว  นี่เป็นสินน้ำใจจากฉัน  ที่ผ่านมาตั้งแต่วันแรกจนฉันได้อยู่กับสำอางมัน  พี่ดูแลฉันมาราวพี่สาวในไส้  เรื่องเงินทองไม่ต้องกลัว  ขาดเหลืออะไรพี่บอกสำอางมันได้เลย”  นางเนียมมองหน้านายมิ่งครู่หนึ่ง ผลักมือที่ถือห่อผ้ากำมะหยี่คืนเจ้าของส่ายหน้าน้อย ๆ 

“ไอ้มิ่ง  แต่แรกข้ามองปราดเดียวก็รู้ว่าทุกอย่างที่บอกข้ามาไม่ใช่เรื่องจริง ก่อนนั้นเอ็งจะเป็นอะไรก็ช่าง  แต่เวลานี้ เอ็งเป็นดั่งน้องชายข้า  สำอางมันก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล  ที่เอ็งมาบอกข้าแบบนี้แสดงว่าต้องไปแล้วสินะ  ไกลไหมล่ะ  นานรึเปล่า?”

เห็นอาการนิ่งเงียบก้มหน้าของนายมิ่ง  นางเนียมเกิดสะท้อนใจ  

“ไม่เป็นไร  ไม่ต้องห่วง  ข้าจะดูแลเมียกับลูกของเอ็งเอง...จะดูแลพวกมันจนกว่าข้าจะหมดลมนั่นล่ะ  ไปเถอะ  ไปตามทางของเอ็งเสีย...”

นายมิ่งก้มลงกราบแทบเท้านางเนียมน้ำตาหยดแหมะ  ก่อนจะหันลังลงเรือนอ้อมไปยังตุ่มน้ำใบใหญ่มากมายที่วางเรียงรายเพื่อเก็บกักน้ำฝน  ก้มลงใช้มือคุ้ยดินพลางบ่นพึมพำกับตนเอง  ภายในหลุมปรากฏหีบไม้ยาวร่วมสองเมตรตรงหน้า  นายมิ่งยกมือประนมไหว้ก่อนเปิดหีบแล้วหยิบเอาของในหีบออกมา  
มันเป็นปืนยาวคาบศิลาสมัยโบราณ  บรรจงเปิดแขนงกรอกดินขับยัดตะกั่วขนาดเท่าหัวแม่มือลงไป  เสร็จแล้วฉวยเอาลูกโม่ขนาด 9 มม.ขึ้นมาถือไว้คู่กันเป่าพระคาถากำกับเป็นคาบสุดท้าย  ก่อนลุกพรวดจ้ำอ้าวตรงไปยังทิศทางที่โหงพรายบอกไว้  

เป็นเวลาเดียวกันกับคนกลุ่มหนึ่งเดินสวนมาพอดี  การมาของคนกลุ่มนั้นราวกับปีศาจร้ายที่มีอำนาจสูงส่ง  สามารถขับไล่ลมฝนให้หายเงียบไปได้อย่างน่าอัศจรรย์

“ไม่พบกันนานนะไอ้ทด  ไม่สิ  สิบปีที่ผ่านมาใช่ชื่อว่ามิ่งสินะ  สิบปี!  หลังจากที่มืงหักหลังกู...”

“พี่แผน...คิดไปคิดมาที่ว่าฉันหักหลังน่ะใช่รึ?  หากฉันจำไม่ผิด  ไม่ใช่พี่หรอกรึที่สั่งให้ไอ้นอมและไอ้ใบ้ลอบฆ่าฉัน  สุดท้ายมันทั้งคู่ก็กลายเป็นผีเสียเอง  และพี่...ก็ได้แผลที่หน้าอกนั่นไปเป็นของตอบแทน  คนที่หักหลัง  คนทรยศ  มันพี่ต่างหาก!”  นายมิ่ง หรือแท้จริงมีนามว่าทดกล่าวเสียงเครียดขึ้งแค้น  อีกฝ่ายขบกรามยิ้มเย้ยหยัน

“กูอยากรู้นักว่ามืงจะยังเป็นมืงอยู่อีกไหม?”  นายมิ่งเครียดเขม็งหันมองเรือนตนเอง  ไม่โต้ตอบใด ๆ กระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยขึ้น

“ไม่ต้องห่วง  กูมาที่นี่เพราะมืงเท่านั้น  ใครก็ตามที่อยู่ในเรือนนั่นกูไม่ยุ่ง  สิ่งที่กูต้องการคือชีวิตของมืง เพียงคนเดียว...ไอ้เสือทดน้องรัก”

นายมิ่งหรือนายทด  หรือก็คืออดีตเสือทดรู้ดีว่าวาจาจากอดีตหัวหน้าชุมโจรที่ตนเคยสังกัดนั้นเชื่อถือได้  แม้เสือแผนจะเจ้าเล่ห์เพทุบายพร้อมจะหักหลังใครก็ได้หากคิดว่าคนผู้นั้นกระด้างกระเดื่อง  แต่คำสัตว์ที่ลั่นออกมาจากปากหัวหน้าโจรผู้นี้  หนักแน่นดั่งขุนเขา

“ขอบคุณพี่แผน...”

“เออ! ถือว่าเป็นของขวัญก่อนตายที่กูมอบให้มืงก็แล้วกัน!!”  
(มีต่อครับ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่