สงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธ์ พ.ศ. 2537 ห้ามมิให้ผู้ใดนำไปเผยแพร่ในช่องทางต่าง ๆ ก่อนได้รับอณุญาต
บุคคลซึ่งอ้างตัวว่าเป็นอารยะชน พึงมีจิตสำนึก มิควรนำผลงานของผู้อื่นไปดัดแปลง คัดลอก หรือเผยแพร่โดยไม่ได้รับการยินยอมจากผู้เขียน
เรื่อง : ปากดีจนได้เรื่อง
โดย : ตรัยโศก ณ ริมน่าน
เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสัจธรรมที่ต้องพบเจอของมนุษย์และสัตว์ทั่วทุกมุมโลก ไม่มีมนุษย์ผู้ใดหรือสัตว์ตัวไหนหนีพ้นไปได้ ขนาดต้นไม้ยังมีวันเหี่ยวเฉาแห้งตายไม่ก็ถูกโค่นเอาไปแปรรูป แล้วไฉนเลยคนถึงกลัวความตายกันนัก ทั้ง ๆ ที่เข้าวัดทำบุญฟังธรรมกันออกบ่อย คำสอนของพุทธองค์ท่านก็กล่าวเอาไว้แล้วแท้ ๆ ว่าอย่ายึดติด
แต่ถึงเวลาที่จะต้องตายจริง ๆ ในกรณีที่รู้ตัวเช่นป่วยนอนติดเตียงหรือถูกระบุว่าเป็นโรคร้ายรักษาไม่หายรอวันตายอย่างเดียว กลับเฝ้าภาวนาต่อฟ้าต่อเทพเทวาว่าขอให้อยู่ได้อีกสักปี อีกสักเดือน อีกสักวัน หรืออีกสักชั่วโมงก็ยังดี หรือแม้กระทั่งหลังหมดลมและล่องลอยอยู่ในเมืองผีก็ยังไม่ยอมปล่อยวาง ยึดติดในสิ่งที่ตัวเคยเป็น เคยทำ ยึดติดในศักดิ์ศรี สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นผีที่ทนทุกข์ เป็นสัมภเวสีที่ไปเกิดไม่ได้เพราะมีบ่วงรั้งไว้ปานโซ่ที่ไม่มีวันขาด ปานตรวนที่ไม่มีวันคลาย
ผมก็ทำปากดีพูดเท่ ๆ ไปอย่างนั้นล่ะครับ ถึงเวลาเข้าจริงตัวผมเองก็คงไม่ต่างจากคนอื่น เมื่อรู้ว่าจะต้องตายก็เผลออ้อนวอนต่ออะไรก็ตามที่พอจะช่วยได้ ขอให้ผมรอดพ้นจากความตายที่ทะมึนถทึงอยู่ตรงหน้าเหมือนกัน
เมื่อราว ๆ ต้นปีที่ผ่านมา ผมต้องลาหยุดตั้งแต่เริ่มพุทธศักราชใหม่ เพื่อขับรถข้ามจังหวัดข้ามภาคไปร่วมงานขาวดำของญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ที่จริงผมกับผู้วายชนม์หาได้สนิทสนมกันเท่าใดนัก เจอกันบ้างแต่ทักทายพูดคุยนับครั้งได้ สาเหตุที่มิอาจปฏิเสธไม่ไปร่วมงานขอส่งแต่เงินทำบุญไปไม่ได้นั้น ก็ด้วยตัวผู้วายชนม์เองนั่นล่ะ เป็นญาติฝ่ายพ่อ
ฉะนั้นตามธรรมเนียมปฏิบัติซึ่งก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนคิด เมื่อมีคนหนึ่งคนใดในตระกูลหรือนามสกุลเดียวกันแล้วเรารู้จักแม้จะเพียงผิวเผินลาลับดับขันธ์ไป ลูกหลานญาติพี่น้องจะอยู่ใกล้ไกลจำต้องไปร่วมงาน นี่ล่ะครับที่ทำให้ผมขัดใจ
วันลาอุตส่าห์จะเก็บไว้ใช้ช่วงปลายปีหรือในวาระพิเศษเช่นอยากนอนเอกเขนกตีพุงอยู่ห้อง กลับต้องเอามาใช้ไปนั่งตาลอยทำหน้าเบื่อโลกในงานศพของคนที่เรารู้ข้อมูลแค่ชื่อ เห็นหน้า และใช้นามสกุลเดียวกันเท่านั้น โคตรน่าเบื่อเลยล่ะครับสำหรับผม
“นี่...มาถึงแล้วก็ไปจุดธูปไหว้ศพเสียหน่อยสิ ลุงภพเขาจะได้รู้ว่าเรามา ทำอย่างที่คนอื่นเขาทำกันมั่ง นี่อะไร ลงรถได้ก็นั่งแหมะหน้ามุ่ย เกรงใจญาติคนตายเขาบ้าง”
“อ้าว! ก็พวกเราไม่ใช่รึไงแม่ญาติคนตาย? แค่นั่งอยู่ตรงนี้เขาก็รู้แล้วม้าง...จำเป็นต้องไปจุดธูปจุดเทิบทำไม? คนแน่น วุ่นวาย ไม่เอาอ่ะ อีกอย่างนี่เพิ่งตั้งศพสวดวันแรก ผมต้องอยู่ช่วยตั้งแต่วันนี้ไปจนวันเผา แค่ไม่จุดธูปไหว้แกคงไม่ถือสาหรอกมั้งแม่ คนอุตส่าห์ลางานมาช่วยตั้งไม่รู้กี่วัน ขับรถไม่รู้ตั้งกี่ร้อยกิโลฯ น้ำใจนะเนี่ย! น้ำใจ!!”
ได้ยินแบบนั้นแม่ผมถึงกับคิ้วย่นถอนใจส่ายหน้าดิก บ่นอุบอิบประมาณว่าไม่ได้เรื่องเลยลูกชายคนนี้ หันไปทางโลงเย็นที่ติดไฟวิบวับประดับดอกไม้หลากสี ยกมือประนมไหว้
“อย่าไปใส่ใจคำพูดเจ้าเดชมันเลยนะพี่ภพ ลูกชายฉันมันก็ปากเสียแบบนี้แหละ ยังไงมันก็มาแล้ว ถือว่าเป็นลูกหลานอย่าโกรธอย่าเคืองมันเลย...”
ผมนี่หันขวับเลยครับนาทีนั้น ตะโกนลั่นในใจ วอทเดอะเฮลล์!? อะไรครับเนี่ย? นี่แม่สนทนากับคนตายที่นอนตัวแข็งในโลงเย็นขอขมาให้ผมเนี่ยนะ? เพื่อ...!? อยากจะเพื่อให้ถึงดาวพลูโต ผมไปทำอะไรให้? มาก็มาแล้ว และอีกอย่าง คนตายครับผมคนตาย คนตายคือคนที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้ว
ข้าวปลาอาหารของหวานน้ำดื่มในถาดข้างโลงยังไม่มีปัญญาลุกมากิน แล้วเขาจะไปรับรู้อะไร? เขาจะทำอะไรผม? ลองมาโกรธมาเคืองสิพ่อจะด่าให้ลืมตัวเลยว่าซี้ม่องเท่งไปแล้ว ทั้งหมดนี่คือลั่นอยู่ในใจนะครับ ถ้าพูดออกเสียงรับรองปากแตกแบบไม่ต้องสืบ
อีกร่วมชั่วโมงกว่าเหล่าสมมุติสงฆ์จะลงศาลามาสวดพระอภิธรรม ผมยังมีเวลาให้ไปนั่งเผาปอดยาว ๆ คิดได้แบบนั้นก็ลุกพรวดเดินดุ่มลงศาลาไปยังมุมสลัวใต้ต้นไทร ตรงนั้นมีฐานปูนใหญ่และหนาก่อเป็นวงกลมสำหรับนั่งใจลอยถอยหนีจากความอื้ออึงในงานศพ
มวน...สองมวน...สามมวน...ครับ สามมวนติดที่ผมจุด สูบ และจุดอีกครั้ง ก็มันไม่มีอะไรทำ จะเล่นโทรศัพท์ก็ลืมไว้ในรถอีก ต้องเดินเกือบสองร้อยเมตรเพื่อไปเอา เสียเวลา เหนื่อยเปล่า เมื่อยปลีน่อง
“เดชใช่มัย?”
ผมสะดุ้งโหยงเลยครับ อยู่ดี ๆ มีคนเอ่ยทักจากด้านหลัง หันขวับไปก็เห็นเป็นชายผู้หนึ่งอายุอานามไม่น่าห่างจากผมนัก ที่สำคัญผมรู้จักเขา เราเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน โตและเล่นมาด้วยกันก่อนที่ต่างคนจะแยกย้ายไปทำตามหน้าที่ความรับผิดชอบ ในฐานะลูกผู้ชายที่โตแล้วพึงกระทำ
“พี่ยศ!? ปัดโธ่!...มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง ไอ้ผมก็นึกว่า”
“ผี” พี่ยศต่อท้ายให้ราวกับรู้ใจเล่นเอาผมขนลุกวาบ “กลัวด้วยรึ? หึหึ...จะกลัวทำไม? คนที่นอนอยู่ในโลงนั่นก็ญาติเรา ผีญาติคงไม่เคืองลูกหลานจนมาหลอกมาทำร้ายให้ต้องเจ็บใจขวัญเสียหรอกมัง”
เย็นครับ เย็นไปทั้งไขสันหลัง ทั้งที่เห็นทนโท่ว่าผู้ที่เอ่ยประโยคนั้นออกมาเป็นรุ่นพี่ที่เราเคยสนิท ซ้ำเขาก็ไม่ใช่ผีสางมาในรูปลักษณ์น่าสยดสยอง เพราะแกยังไม่ตาย แต่ไหงผมถึงหนาวยะเยือกขนลุกวาบ ๆ ก็ไม่รู้
“กะ...ก็...”
“ขอสักมวนสิ ได้มั้ย?” พี่ยศตัดบทพยักพเยิดให้ผมรู้ว่าเขาเองก็ต้องการนิโคตินเช่นกัน บุหรี่มวนสองมวนทำไมจะให้กันไม่ได้ ขอกันกินมากกว่านี้หลายเท่า
ผมยื่นซองบุหรี่ให้พร้อมไฟแช็ค พี่ยศรับไป เคาะกับอุ้งมือสองสามครั้งเพื่อดีดสิ่งที่ต้องการออกมา คาบไว้ในปากแต่ยังไม่จุดสูบ แกนิ่งมองไปทางศาลาซึ่งเวลานี้คนเริ่มพลุกพล่านกว่าเดิม เงียบอยู่นานกว่าที่พี่แกจะเอ่ยขึ้นอีก
“ลุงภพน่ะ แกเป็นคนดุ เป็นคนจริง ใครพูดไม่เข้าหูต่างว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเป็นเจอด่าสวน หนักหน่อยก็ลงไม้ลงมือ พี่เห็นบ่อย แกไม่เคยทำร้ายใครก่อน แกไม่เคยไปว่าให้ใครก่อน แต่ใครอย่าได้มาทำให้แกโมโหด้วยเรื่องที่แกไม่ผิด แกเอาตาย”
“อ่อ...ครับ” ผมตอบสั้น ๆ ไม่รู้จะพูดอะไรเพราะไม่ได้สนใจใคร่รู้เรื่องราวในอดีตของลุงภพ ก็อย่างที่บอกไว้ตอนต้นนั่นล่ะครับ ผมกับลุงแกไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไรกันเลย แต่ก็ไม่ใช่ว่าเรื่องราวการดำเนินชีวิตของลุงภพ ผมจะไม่รับรู้ ถ้าว่ากันแบบนั้นก็ไม่ถูกนัก มีบ้างเวลาผมโทรกลับบ้านแม่บ่นลอย ๆ ว่าญาติฝ่ายพ่อผู้นี้ทะเลาะกับลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งของผมอีกแล้ว
บางครั้งก็เพียงปะทะคารม แต่บางทีก็ถึงขั้นลงไม้ลงมือ และลูกพี่ลูกน้องที่ว่า ก็คือ...พี่ยศที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผมนี่เอง ทั้งคู่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน สาเหตุก็เป็นเพราะเรื่องที่ดินอะไรสักอย่างนี่แหละ
“แต่ที่ว่าเอาตายน่ะ ก็ไม่ใช่แกไปฆ่าใครเขาจริง ๆ ถึงภายนอกจะดูร้าย ดูดุ เจ้าอารมณ์ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมขอแค่มันถูกต้อง แต่ลุงภพแกก็เป็นผู้ใหญ่ ลงไม้ลงมือกับใครก็เอาแค่หอมปากหอมคอไม่ถึงกับตาย จนวันหนึ่งนั่นล่ะ ที่แกฆ่าคนจริง ๆ ฆ่าคนที่คิดจะฆ่าแก”
การอัดควันจนแก้มตอบของผมชะงักลงทันที เหตุใดกันคำพูดและน้ำเสียงของพี่ยศจึงชักจูงให้ใจหายแบบนี้? ทั้งที่ความจริงรูปประโยคมันก็ไม่ได้ต่างจากการที่เราเสพข่าวฆาตกรรมหรือทะเลาะวิวาทตามหน้าสื่อ แต่นี่...เสียงของพี่ยศมันเจือปนระคนกันไปด้วยความเศร้า ความโกรธ เสียใจ ไม่ยอมรับ สำนึกผิด ผมอธิบายไม่ถูกครับ เพียงแต่มันทำให้ผมรู้สึกเพียงอย่างเดียวคือ
กลัว!
ผมไม่อยากฟังต่อเลยกะชิ่งหนี จังหวะที่ขยับก้นหมายจะลุก พี่ยศคว้าหมับกำข้อมือผมแน่น มันเย็นมากครับ มือของพี่ยศเย็นราวกับแช่ในตู้และเอาออกมาหมาด ๆ
“ฟังก่อนสิ ฟังให้จบ” คราวนี้รูปประโยคและน้ำเสียงเป็นไปในทิศทางเดียว บังคับ
“คะ...ครับ ผะ...ผมแค่เมื่อย นั่งนาน เหน็บกินก้น”
แกเล่าว่า เมื่อวานช่วงบ่าย ณ บ้านลุงภพซึ่งแกอาศัยอยู่กับเมียคู่ทุกข์คู่ยากแค่สองคน วัยรุ่นตอนปลายคนหนึ่งบุกไปหาเรื่องเพราะได้ยินว่าไม่กี่วันก่อนลุงภพมีปากเสียงกับแม่ของตน จุดเริ่มต้นก็เป็นปัญหาที่คาราคาซังมานานปี เรื่องที่ดินซึ่งหมุดที่ทางเขตเขาปักไว้มันซ้อนทับกัน อันนี้ผมก็ไม่รู้นะครับว่าหมายความว่ายังไงและมันไปซ้อนทับกันอีท่าไหน แต่ที่แน่ ๆ คือหมุดอันเดียวทำให้ครอบครัวพี่น้องญาติมิตรที่เคยรักใคร่กลมเกลียว เกลียดชังกันปานจะขบคอเมื่อเจอหน้า
วัยรุ่นตอนปลายคนนั้นไม่บุกไปเปล่า ๆ ลากเอาลูกซองไปด้วย ไปถึงก็ตะโกนด่าทออยู่หน้าบ้าน ประมาณว่าหัวหมอนิด ๆ ถึงกูจะถือปืนแต่ไม่ได้รุกเข้าเขตบ้านโว้ย มืงเอาผิดกูไม่ได้ ถึงได้ความผิดก็ไม่ร้ายแรง ผู้ใหญ่บ้านมาเคลียร์ก็จบ แต่มันไม่เป็นแบบนั้นน่ะสิครับ เพราะคนที่ตนบุกไปด่าทอถือปืนขู่ดันเป็นลุงภพ แกกลัวที่ไหน อะไรที่มืงมีกูก็มีว่างั้นเถอะ
“มืงนี่มันแก่กะโหลกกะลาจริง ๆ หน้าตัวเ-ีย-ิบหาย แน่จริงมืงมาเจอกับกูนี่ ไม่ต้องไปทะเลาะกับแม่กู!” ผมสะดุ้งโหยงรอบที่ล้านแปดแล้วมั้งครับ เพราะอยู่ไม่อยู่ดันมีเสียงคนตะโกนใส่กันดังมาจากด้านหลัง ระยะห่างไม่ต้องคำนวณให้ปวดขมอง อีกฝั่งของต้นไทรนี่เอง
(มีต่อครับ)
เรื่องสั้นขวัญผวา โดยตรัยโศก ณ ริมน่าน ตอน. ปากดีจนได้เรื่อง
แต่ถึงเวลาที่จะต้องตายจริง ๆ ในกรณีที่รู้ตัวเช่นป่วยนอนติดเตียงหรือถูกระบุว่าเป็นโรคร้ายรักษาไม่หายรอวันตายอย่างเดียว กลับเฝ้าภาวนาต่อฟ้าต่อเทพเทวาว่าขอให้อยู่ได้อีกสักปี อีกสักเดือน อีกสักวัน หรืออีกสักชั่วโมงก็ยังดี หรือแม้กระทั่งหลังหมดลมและล่องลอยอยู่ในเมืองผีก็ยังไม่ยอมปล่อยวาง ยึดติดในสิ่งที่ตัวเคยเป็น เคยทำ ยึดติดในศักดิ์ศรี สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นผีที่ทนทุกข์ เป็นสัมภเวสีที่ไปเกิดไม่ได้เพราะมีบ่วงรั้งไว้ปานโซ่ที่ไม่มีวันขาด ปานตรวนที่ไม่มีวันคลาย
ผมก็ทำปากดีพูดเท่ ๆ ไปอย่างนั้นล่ะครับ ถึงเวลาเข้าจริงตัวผมเองก็คงไม่ต่างจากคนอื่น เมื่อรู้ว่าจะต้องตายก็เผลออ้อนวอนต่ออะไรก็ตามที่พอจะช่วยได้ ขอให้ผมรอดพ้นจากความตายที่ทะมึนถทึงอยู่ตรงหน้าเหมือนกัน
เมื่อราว ๆ ต้นปีที่ผ่านมา ผมต้องลาหยุดตั้งแต่เริ่มพุทธศักราชใหม่ เพื่อขับรถข้ามจังหวัดข้ามภาคไปร่วมงานขาวดำของญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ที่จริงผมกับผู้วายชนม์หาได้สนิทสนมกันเท่าใดนัก เจอกันบ้างแต่ทักทายพูดคุยนับครั้งได้ สาเหตุที่มิอาจปฏิเสธไม่ไปร่วมงานขอส่งแต่เงินทำบุญไปไม่ได้นั้น ก็ด้วยตัวผู้วายชนม์เองนั่นล่ะ เป็นญาติฝ่ายพ่อ
ฉะนั้นตามธรรมเนียมปฏิบัติซึ่งก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนคิด เมื่อมีคนหนึ่งคนใดในตระกูลหรือนามสกุลเดียวกันแล้วเรารู้จักแม้จะเพียงผิวเผินลาลับดับขันธ์ไป ลูกหลานญาติพี่น้องจะอยู่ใกล้ไกลจำต้องไปร่วมงาน นี่ล่ะครับที่ทำให้ผมขัดใจ
วันลาอุตส่าห์จะเก็บไว้ใช้ช่วงปลายปีหรือในวาระพิเศษเช่นอยากนอนเอกเขนกตีพุงอยู่ห้อง กลับต้องเอามาใช้ไปนั่งตาลอยทำหน้าเบื่อโลกในงานศพของคนที่เรารู้ข้อมูลแค่ชื่อ เห็นหน้า และใช้นามสกุลเดียวกันเท่านั้น โคตรน่าเบื่อเลยล่ะครับสำหรับผม
“นี่...มาถึงแล้วก็ไปจุดธูปไหว้ศพเสียหน่อยสิ ลุงภพเขาจะได้รู้ว่าเรามา ทำอย่างที่คนอื่นเขาทำกันมั่ง นี่อะไร ลงรถได้ก็นั่งแหมะหน้ามุ่ย เกรงใจญาติคนตายเขาบ้าง”
“อ้าว! ก็พวกเราไม่ใช่รึไงแม่ญาติคนตาย? แค่นั่งอยู่ตรงนี้เขาก็รู้แล้วม้าง...จำเป็นต้องไปจุดธูปจุดเทิบทำไม? คนแน่น วุ่นวาย ไม่เอาอ่ะ อีกอย่างนี่เพิ่งตั้งศพสวดวันแรก ผมต้องอยู่ช่วยตั้งแต่วันนี้ไปจนวันเผา แค่ไม่จุดธูปไหว้แกคงไม่ถือสาหรอกมั้งแม่ คนอุตส่าห์ลางานมาช่วยตั้งไม่รู้กี่วัน ขับรถไม่รู้ตั้งกี่ร้อยกิโลฯ น้ำใจนะเนี่ย! น้ำใจ!!”
ได้ยินแบบนั้นแม่ผมถึงกับคิ้วย่นถอนใจส่ายหน้าดิก บ่นอุบอิบประมาณว่าไม่ได้เรื่องเลยลูกชายคนนี้ หันไปทางโลงเย็นที่ติดไฟวิบวับประดับดอกไม้หลากสี ยกมือประนมไหว้
“อย่าไปใส่ใจคำพูดเจ้าเดชมันเลยนะพี่ภพ ลูกชายฉันมันก็ปากเสียแบบนี้แหละ ยังไงมันก็มาแล้ว ถือว่าเป็นลูกหลานอย่าโกรธอย่าเคืองมันเลย...”
ผมนี่หันขวับเลยครับนาทีนั้น ตะโกนลั่นในใจ วอทเดอะเฮลล์!? อะไรครับเนี่ย? นี่แม่สนทนากับคนตายที่นอนตัวแข็งในโลงเย็นขอขมาให้ผมเนี่ยนะ? เพื่อ...!? อยากจะเพื่อให้ถึงดาวพลูโต ผมไปทำอะไรให้? มาก็มาแล้ว และอีกอย่าง คนตายครับผมคนตาย คนตายคือคนที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้ว
ข้าวปลาอาหารของหวานน้ำดื่มในถาดข้างโลงยังไม่มีปัญญาลุกมากิน แล้วเขาจะไปรับรู้อะไร? เขาจะทำอะไรผม? ลองมาโกรธมาเคืองสิพ่อจะด่าให้ลืมตัวเลยว่าซี้ม่องเท่งไปแล้ว ทั้งหมดนี่คือลั่นอยู่ในใจนะครับ ถ้าพูดออกเสียงรับรองปากแตกแบบไม่ต้องสืบ
อีกร่วมชั่วโมงกว่าเหล่าสมมุติสงฆ์จะลงศาลามาสวดพระอภิธรรม ผมยังมีเวลาให้ไปนั่งเผาปอดยาว ๆ คิดได้แบบนั้นก็ลุกพรวดเดินดุ่มลงศาลาไปยังมุมสลัวใต้ต้นไทร ตรงนั้นมีฐานปูนใหญ่และหนาก่อเป็นวงกลมสำหรับนั่งใจลอยถอยหนีจากความอื้ออึงในงานศพ
มวน...สองมวน...สามมวน...ครับ สามมวนติดที่ผมจุด สูบ และจุดอีกครั้ง ก็มันไม่มีอะไรทำ จะเล่นโทรศัพท์ก็ลืมไว้ในรถอีก ต้องเดินเกือบสองร้อยเมตรเพื่อไปเอา เสียเวลา เหนื่อยเปล่า เมื่อยปลีน่อง
“เดชใช่มัย?”
ผมสะดุ้งโหยงเลยครับ อยู่ดี ๆ มีคนเอ่ยทักจากด้านหลัง หันขวับไปก็เห็นเป็นชายผู้หนึ่งอายุอานามไม่น่าห่างจากผมนัก ที่สำคัญผมรู้จักเขา เราเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน โตและเล่นมาด้วยกันก่อนที่ต่างคนจะแยกย้ายไปทำตามหน้าที่ความรับผิดชอบ ในฐานะลูกผู้ชายที่โตแล้วพึงกระทำ
“พี่ยศ!? ปัดโธ่!...มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง ไอ้ผมก็นึกว่า”
“ผี” พี่ยศต่อท้ายให้ราวกับรู้ใจเล่นเอาผมขนลุกวาบ “กลัวด้วยรึ? หึหึ...จะกลัวทำไม? คนที่นอนอยู่ในโลงนั่นก็ญาติเรา ผีญาติคงไม่เคืองลูกหลานจนมาหลอกมาทำร้ายให้ต้องเจ็บใจขวัญเสียหรอกมัง”
เย็นครับ เย็นไปทั้งไขสันหลัง ทั้งที่เห็นทนโท่ว่าผู้ที่เอ่ยประโยคนั้นออกมาเป็นรุ่นพี่ที่เราเคยสนิท ซ้ำเขาก็ไม่ใช่ผีสางมาในรูปลักษณ์น่าสยดสยอง เพราะแกยังไม่ตาย แต่ไหงผมถึงหนาวยะเยือกขนลุกวาบ ๆ ก็ไม่รู้
“กะ...ก็...”
“ขอสักมวนสิ ได้มั้ย?” พี่ยศตัดบทพยักพเยิดให้ผมรู้ว่าเขาเองก็ต้องการนิโคตินเช่นกัน บุหรี่มวนสองมวนทำไมจะให้กันไม่ได้ ขอกันกินมากกว่านี้หลายเท่า
ผมยื่นซองบุหรี่ให้พร้อมไฟแช็ค พี่ยศรับไป เคาะกับอุ้งมือสองสามครั้งเพื่อดีดสิ่งที่ต้องการออกมา คาบไว้ในปากแต่ยังไม่จุดสูบ แกนิ่งมองไปทางศาลาซึ่งเวลานี้คนเริ่มพลุกพล่านกว่าเดิม เงียบอยู่นานกว่าที่พี่แกจะเอ่ยขึ้นอีก
“ลุงภพน่ะ แกเป็นคนดุ เป็นคนจริง ใครพูดไม่เข้าหูต่างว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเป็นเจอด่าสวน หนักหน่อยก็ลงไม้ลงมือ พี่เห็นบ่อย แกไม่เคยทำร้ายใครก่อน แกไม่เคยไปว่าให้ใครก่อน แต่ใครอย่าได้มาทำให้แกโมโหด้วยเรื่องที่แกไม่ผิด แกเอาตาย”
“อ่อ...ครับ” ผมตอบสั้น ๆ ไม่รู้จะพูดอะไรเพราะไม่ได้สนใจใคร่รู้เรื่องราวในอดีตของลุงภพ ก็อย่างที่บอกไว้ตอนต้นนั่นล่ะครับ ผมกับลุงแกไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไรกันเลย แต่ก็ไม่ใช่ว่าเรื่องราวการดำเนินชีวิตของลุงภพ ผมจะไม่รับรู้ ถ้าว่ากันแบบนั้นก็ไม่ถูกนัก มีบ้างเวลาผมโทรกลับบ้านแม่บ่นลอย ๆ ว่าญาติฝ่ายพ่อผู้นี้ทะเลาะกับลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งของผมอีกแล้ว
บางครั้งก็เพียงปะทะคารม แต่บางทีก็ถึงขั้นลงไม้ลงมือ และลูกพี่ลูกน้องที่ว่า ก็คือ...พี่ยศที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผมนี่เอง ทั้งคู่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน สาเหตุก็เป็นเพราะเรื่องที่ดินอะไรสักอย่างนี่แหละ
“แต่ที่ว่าเอาตายน่ะ ก็ไม่ใช่แกไปฆ่าใครเขาจริง ๆ ถึงภายนอกจะดูร้าย ดูดุ เจ้าอารมณ์ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมขอแค่มันถูกต้อง แต่ลุงภพแกก็เป็นผู้ใหญ่ ลงไม้ลงมือกับใครก็เอาแค่หอมปากหอมคอไม่ถึงกับตาย จนวันหนึ่งนั่นล่ะ ที่แกฆ่าคนจริง ๆ ฆ่าคนที่คิดจะฆ่าแก”
การอัดควันจนแก้มตอบของผมชะงักลงทันที เหตุใดกันคำพูดและน้ำเสียงของพี่ยศจึงชักจูงให้ใจหายแบบนี้? ทั้งที่ความจริงรูปประโยคมันก็ไม่ได้ต่างจากการที่เราเสพข่าวฆาตกรรมหรือทะเลาะวิวาทตามหน้าสื่อ แต่นี่...เสียงของพี่ยศมันเจือปนระคนกันไปด้วยความเศร้า ความโกรธ เสียใจ ไม่ยอมรับ สำนึกผิด ผมอธิบายไม่ถูกครับ เพียงแต่มันทำให้ผมรู้สึกเพียงอย่างเดียวคือ กลัว!
ผมไม่อยากฟังต่อเลยกะชิ่งหนี จังหวะที่ขยับก้นหมายจะลุก พี่ยศคว้าหมับกำข้อมือผมแน่น มันเย็นมากครับ มือของพี่ยศเย็นราวกับแช่ในตู้และเอาออกมาหมาด ๆ
“ฟังก่อนสิ ฟังให้จบ” คราวนี้รูปประโยคและน้ำเสียงเป็นไปในทิศทางเดียว บังคับ
“คะ...ครับ ผะ...ผมแค่เมื่อย นั่งนาน เหน็บกินก้น”
แกเล่าว่า เมื่อวานช่วงบ่าย ณ บ้านลุงภพซึ่งแกอาศัยอยู่กับเมียคู่ทุกข์คู่ยากแค่สองคน วัยรุ่นตอนปลายคนหนึ่งบุกไปหาเรื่องเพราะได้ยินว่าไม่กี่วันก่อนลุงภพมีปากเสียงกับแม่ของตน จุดเริ่มต้นก็เป็นปัญหาที่คาราคาซังมานานปี เรื่องที่ดินซึ่งหมุดที่ทางเขตเขาปักไว้มันซ้อนทับกัน อันนี้ผมก็ไม่รู้นะครับว่าหมายความว่ายังไงและมันไปซ้อนทับกันอีท่าไหน แต่ที่แน่ ๆ คือหมุดอันเดียวทำให้ครอบครัวพี่น้องญาติมิตรที่เคยรักใคร่กลมเกลียว เกลียดชังกันปานจะขบคอเมื่อเจอหน้า
วัยรุ่นตอนปลายคนนั้นไม่บุกไปเปล่า ๆ ลากเอาลูกซองไปด้วย ไปถึงก็ตะโกนด่าทออยู่หน้าบ้าน ประมาณว่าหัวหมอนิด ๆ ถึงกูจะถือปืนแต่ไม่ได้รุกเข้าเขตบ้านโว้ย มืงเอาผิดกูไม่ได้ ถึงได้ความผิดก็ไม่ร้ายแรง ผู้ใหญ่บ้านมาเคลียร์ก็จบ แต่มันไม่เป็นแบบนั้นน่ะสิครับ เพราะคนที่ตนบุกไปด่าทอถือปืนขู่ดันเป็นลุงภพ แกกลัวที่ไหน อะไรที่มืงมีกูก็มีว่างั้นเถอะ
“มืงนี่มันแก่กะโหลกกะลาจริง ๆ หน้าตัวเ-ีย-ิบหาย แน่จริงมืงมาเจอกับกูนี่ ไม่ต้องไปทะเลาะกับแม่กู!” ผมสะดุ้งโหยงรอบที่ล้านแปดแล้วมั้งครับ เพราะอยู่ไม่อยู่ดันมีเสียงคนตะโกนใส่กันดังมาจากด้านหลัง ระยะห่างไม่ต้องคำนวณให้ปวดขมอง อีกฝั่งของต้นไทรนี่เอง
(มีต่อครับ)