เรื่องสั้นขวัญผวา โดยตรัยโศก ณ ริมน่าน ตอน. ปากดีจนได้เรื่อง

สงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธ์ พ.ศ.  2537  ห้ามมิให้ผู้ใดนำไปเผยแพร่ในช่องทางต่าง ๆ ก่อนได้รับอณุญาต  
บุคคลซึ่งอ้างตัวว่าเป็นอารยะชน  พึงมีจิตสำนึก  มิควรนำผลงานของผู้อื่นไปดัดแปลง  คัดลอก หรือเผยแพร่โดยไม่ได้รับการยินยอมจากผู้เขียน


เรื่อง : ปากดีจนได้เรื่อง
โดย :  ตรัยโศก  ณ  ริมน่าน

เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสัจธรรมที่ต้องพบเจอของมนุษย์และสัตว์ทั่วทุกมุมโลก  ไม่มีมนุษย์ผู้ใดหรือสัตว์ตัวไหนหนีพ้นไปได้  ขนาดต้นไม้ยังมีวันเหี่ยวเฉาแห้งตายไม่ก็ถูกโค่นเอาไปแปรรูป  แล้วไฉนเลยคนถึงกลัวความตายกันนัก  ทั้ง ๆ ที่เข้าวัดทำบุญฟังธรรมกันออกบ่อย  คำสอนของพุทธองค์ท่านก็กล่าวเอาไว้แล้วแท้ ๆ ว่าอย่ายึดติด  

แต่ถึงเวลาที่จะต้องตายจริง ๆ ในกรณีที่รู้ตัวเช่นป่วยนอนติดเตียงหรือถูกระบุว่าเป็นโรคร้ายรักษาไม่หายรอวันตายอย่างเดียว  กลับเฝ้าภาวนาต่อฟ้าต่อเทพเทวาว่าขอให้อยู่ได้อีกสักปี  อีกสักเดือน  อีกสักวัน  หรืออีกสักชั่วโมงก็ยังดี หรือแม้กระทั่งหลังหมดลมและล่องลอยอยู่ในเมืองผีก็ยังไม่ยอมปล่อยวาง  ยึดติดในสิ่งที่ตัวเคยเป็น เคยทำ  ยึดติดในศักดิ์ศรี  สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นผีที่ทนทุกข์  เป็นสัมภเวสีที่ไปเกิดไม่ได้เพราะมีบ่วงรั้งไว้ปานโซ่ที่ไม่มีวันขาด  ปานตรวนที่ไม่มีวันคลาย

ผมก็ทำปากดีพูดเท่ ๆ ไปอย่างนั้นล่ะครับ ถึงเวลาเข้าจริงตัวผมเองก็คงไม่ต่างจากคนอื่น  เมื่อรู้ว่าจะต้องตายก็เผลออ้อนวอนต่ออะไรก็ตามที่พอจะช่วยได้  ขอให้ผมรอดพ้นจากความตายที่ทะมึนถทึงอยู่ตรงหน้าเหมือนกัน

เมื่อราว ๆ ต้นปีที่ผ่านมา ผมต้องลาหยุดตั้งแต่เริ่มพุทธศักราชใหม่  เพื่อขับรถข้ามจังหวัดข้ามภาคไปร่วมงานขาวดำของญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง  ที่จริงผมกับผู้วายชนม์หาได้สนิทสนมกันเท่าใดนัก  เจอกันบ้างแต่ทักทายพูดคุยนับครั้งได้   สาเหตุที่มิอาจปฏิเสธไม่ไปร่วมงานขอส่งแต่เงินทำบุญไปไม่ได้นั้น  ก็ด้วยตัวผู้วายชนม์เองนั่นล่ะ  เป็นญาติฝ่ายพ่อ  

ฉะนั้นตามธรรมเนียมปฏิบัติซึ่งก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนคิด  เมื่อมีคนหนึ่งคนใดในตระกูลหรือนามสกุลเดียวกันแล้วเรารู้จักแม้จะเพียงผิวเผินลาลับดับขันธ์ไป  ลูกหลานญาติพี่น้องจะอยู่ใกล้ไกลจำต้องไปร่วมงาน  นี่ล่ะครับที่ทำให้ผมขัดใจ  

วันลาอุตส่าห์จะเก็บไว้ใช้ช่วงปลายปีหรือในวาระพิเศษเช่นอยากนอนเอกเขนกตีพุงอยู่ห้อง  กลับต้องเอามาใช้ไปนั่งตาลอยทำหน้าเบื่อโลกในงานศพของคนที่เรารู้ข้อมูลแค่ชื่อ  เห็นหน้า  และใช้นามสกุลเดียวกันเท่านั้น  โคตรน่าเบื่อเลยล่ะครับสำหรับผม

“นี่...มาถึงแล้วก็ไปจุดธูปไหว้ศพเสียหน่อยสิ ลุงภพเขาจะได้รู้ว่าเรามา  ทำอย่างที่คนอื่นเขาทำกันมั่ง  นี่อะไร ลงรถได้ก็นั่งแหมะหน้ามุ่ย เกรงใจญาติคนตายเขาบ้าง”

“อ้าว! ก็พวกเราไม่ใช่รึไงแม่ญาติคนตาย?  แค่นั่งอยู่ตรงนี้เขาก็รู้แล้วม้าง...จำเป็นต้องไปจุดธูปจุดเทิบทำไม?  คนแน่น วุ่นวาย  ไม่เอาอ่ะ  อีกอย่างนี่เพิ่งตั้งศพสวดวันแรก  ผมต้องอยู่ช่วยตั้งแต่วันนี้ไปจนวันเผา  แค่ไม่จุดธูปไหว้แกคงไม่ถือสาหรอกมั้งแม่  คนอุตส่าห์ลางานมาช่วยตั้งไม่รู้กี่วัน  ขับรถไม่รู้ตั้งกี่ร้อยกิโลฯ  น้ำใจนะเนี่ย!  น้ำใจ!!”  

ได้ยินแบบนั้นแม่ผมถึงกับคิ้วย่นถอนใจส่ายหน้าดิก  บ่นอุบอิบประมาณว่าไม่ได้เรื่องเลยลูกชายคนนี้  หันไปทางโลงเย็นที่ติดไฟวิบวับประดับดอกไม้หลากสี  ยกมือประนมไหว้  

“อย่าไปใส่ใจคำพูดเจ้าเดชมันเลยนะพี่ภพ  ลูกชายฉันมันก็ปากเสียแบบนี้แหละ  ยังไงมันก็มาแล้ว  ถือว่าเป็นลูกหลานอย่าโกรธอย่าเคืองมันเลย...”  

ผมนี่หันขวับเลยครับนาทีนั้น ตะโกนลั่นในใจ วอทเดอะเฮลล์!? อะไรครับเนี่ย? นี่แม่สนทนากับคนตายที่นอนตัวแข็งในโลงเย็นขอขมาให้ผมเนี่ยนะ? เพื่อ...!?  อยากจะเพื่อให้ถึงดาวพลูโต  ผมไปทำอะไรให้?  มาก็มาแล้ว  และอีกอย่าง  คนตายครับผมคนตาย  คนตายคือคนที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้ว 
ข้าวปลาอาหารของหวานน้ำดื่มในถาดข้างโลงยังไม่มีปัญญาลุกมากิน  แล้วเขาจะไปรับรู้อะไร?  เขาจะทำอะไรผม?  ลองมาโกรธมาเคืองสิพ่อจะด่าให้ลืมตัวเลยว่าซี้ม่องเท่งไปแล้ว  ทั้งหมดนี่คือลั่นอยู่ในใจนะครับ  ถ้าพูดออกเสียงรับรองปากแตกแบบไม่ต้องสืบ 

อีกร่วมชั่วโมงกว่าเหล่าสมมุติสงฆ์จะลงศาลามาสวดพระอภิธรรม  ผมยังมีเวลาให้ไปนั่งเผาปอดยาว ๆ คิดได้แบบนั้นก็ลุกพรวดเดินดุ่มลงศาลาไปยังมุมสลัวใต้ต้นไทร  ตรงนั้นมีฐานปูนใหญ่และหนาก่อเป็นวงกลมสำหรับนั่งใจลอยถอยหนีจากความอื้ออึงในงานศพ  

มวน...สองมวน...สามมวน...ครับ  สามมวนติดที่ผมจุด  สูบ  และจุดอีกครั้ง  ก็มันไม่มีอะไรทำ  จะเล่นโทรศัพท์ก็ลืมไว้ในรถอีก  ต้องเดินเกือบสองร้อยเมตรเพื่อไปเอา เสียเวลา  เหนื่อยเปล่า  เมื่อยปลีน่อง

“เดชใช่มัย?”  

ผมสะดุ้งโหยงเลยครับ อยู่ดี ๆ มีคนเอ่ยทักจากด้านหลัง  หันขวับไปก็เห็นเป็นชายผู้หนึ่งอายุอานามไม่น่าห่างจากผมนัก  ที่สำคัญผมรู้จักเขา  เราเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน  โตและเล่นมาด้วยกันก่อนที่ต่างคนจะแยกย้ายไปทำตามหน้าที่ความรับผิดชอบ  ในฐานะลูกผู้ชายที่โตแล้วพึงกระทำ

“พี่ยศ!?  ปัดโธ่!...มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง  ไอ้ผมก็นึกว่า”

“ผี”  พี่ยศต่อท้ายให้ราวกับรู้ใจเล่นเอาผมขนลุกวาบ  “กลัวด้วยรึ? หึหึ...จะกลัวทำไม?  คนที่นอนอยู่ในโลงนั่นก็ญาติเรา  ผีญาติคงไม่เคืองลูกหลานจนมาหลอกมาทำร้ายให้ต้องเจ็บใจขวัญเสียหรอกมัง”

เย็นครับ  เย็นไปทั้งไขสันหลัง  ทั้งที่เห็นทนโท่ว่าผู้ที่เอ่ยประโยคนั้นออกมาเป็นรุ่นพี่ที่เราเคยสนิท  ซ้ำเขาก็ไม่ใช่ผีสางมาในรูปลักษณ์น่าสยดสยอง  เพราะแกยังไม่ตาย  แต่ไหงผมถึงหนาวยะเยือกขนลุกวาบ ๆ ก็ไม่รู้

“กะ...ก็...”

“ขอสักมวนสิ  ได้มั้ย?”  พี่ยศตัดบทพยักพเยิดให้ผมรู้ว่าเขาเองก็ต้องการนิโคตินเช่นกัน  บุหรี่มวนสองมวนทำไมจะให้กันไม่ได้  ขอกันกินมากกว่านี้หลายเท่า  
ผมยื่นซองบุหรี่ให้พร้อมไฟแช็ค  พี่ยศรับไป เคาะกับอุ้งมือสองสามครั้งเพื่อดีดสิ่งที่ต้องการออกมา  คาบไว้ในปากแต่ยังไม่จุดสูบ  แกนิ่งมองไปทางศาลาซึ่งเวลานี้คนเริ่มพลุกพล่านกว่าเดิม  เงียบอยู่นานกว่าที่พี่แกจะเอ่ยขึ้นอีก

“ลุงภพน่ะ  แกเป็นคนดุ  เป็นคนจริง  ใครพูดไม่เข้าหูต่างว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเป็นเจอด่าสวน  หนักหน่อยก็ลงไม้ลงมือ  พี่เห็นบ่อย  แกไม่เคยทำร้ายใครก่อน  แกไม่เคยไปว่าให้ใครก่อน  แต่ใครอย่าได้มาทำให้แกโมโหด้วยเรื่องที่แกไม่ผิด  แกเอาตาย”

“อ่อ...ครับ”  ผมตอบสั้น ๆ ไม่รู้จะพูดอะไรเพราะไม่ได้สนใจใคร่รู้เรื่องราวในอดีตของลุงภพ  ก็อย่างที่บอกไว้ตอนต้นนั่นล่ะครับ  ผมกับลุงแกไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไรกันเลย  แต่ก็ไม่ใช่ว่าเรื่องราวการดำเนินชีวิตของลุงภพ ผมจะไม่รับรู้  ถ้าว่ากันแบบนั้นก็ไม่ถูกนัก  มีบ้างเวลาผมโทรกลับบ้านแม่บ่นลอย ๆ ว่าญาติฝ่ายพ่อผู้นี้ทะเลาะกับลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งของผมอีกแล้ว

บางครั้งก็เพียงปะทะคารม  แต่บางทีก็ถึงขั้นลงไม้ลงมือ  และลูกพี่ลูกน้องที่ว่า  ก็คือ...พี่ยศที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผมนี่เอง  ทั้งคู่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน  สาเหตุก็เป็นเพราะเรื่องที่ดินอะไรสักอย่างนี่แหละ

“แต่ที่ว่าเอาตายน่ะ  ก็ไม่ใช่แกไปฆ่าใครเขาจริง ๆ ถึงภายนอกจะดูร้าย  ดูดุ  เจ้าอารมณ์ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมขอแค่มันถูกต้อง  แต่ลุงภพแกก็เป็นผู้ใหญ่  ลงไม้ลงมือกับใครก็เอาแค่หอมปากหอมคอไม่ถึงกับตาย  จนวันหนึ่งนั่นล่ะ ที่แกฆ่าคนจริง ๆ ฆ่าคนที่คิดจะฆ่าแก”

การอัดควันจนแก้มตอบของผมชะงักลงทันที  เหตุใดกันคำพูดและน้ำเสียงของพี่ยศจึงชักจูงให้ใจหายแบบนี้?  ทั้งที่ความจริงรูปประโยคมันก็ไม่ได้ต่างจากการที่เราเสพข่าวฆาตกรรมหรือทะเลาะวิวาทตามหน้าสื่อ  แต่นี่...เสียงของพี่ยศมันเจือปนระคนกันไปด้วยความเศร้า  ความโกรธ  เสียใจ ไม่ยอมรับ  สำนึกผิด  ผมอธิบายไม่ถูกครับ  เพียงแต่มันทำให้ผมรู้สึกเพียงอย่างเดียวคือ  กลัว!  

ผมไม่อยากฟังต่อเลยกะชิ่งหนี  จังหวะที่ขยับก้นหมายจะลุก พี่ยศคว้าหมับกำข้อมือผมแน่น  มันเย็นมากครับ  มือของพี่ยศเย็นราวกับแช่ในตู้และเอาออกมาหมาด ๆ 

“ฟังก่อนสิ  ฟังให้จบ”  คราวนี้รูปประโยคและน้ำเสียงเป็นไปในทิศทางเดียว  บังคับ

“คะ...ครับ  ผะ...ผมแค่เมื่อย  นั่งนาน  เหน็บกินก้น”

แกเล่าว่า  เมื่อวานช่วงบ่าย  ณ บ้านลุงภพซึ่งแกอาศัยอยู่กับเมียคู่ทุกข์คู่ยากแค่สองคน  วัยรุ่นตอนปลายคนหนึ่งบุกไปหาเรื่องเพราะได้ยินว่าไม่กี่วันก่อนลุงภพมีปากเสียงกับแม่ของตน  จุดเริ่มต้นก็เป็นปัญหาที่คาราคาซังมานานปี เรื่องที่ดินซึ่งหมุดที่ทางเขตเขาปักไว้มันซ้อนทับกัน  อันนี้ผมก็ไม่รู้นะครับว่าหมายความว่ายังไงและมันไปซ้อนทับกันอีท่าไหน  แต่ที่แน่ ๆ คือหมุดอันเดียวทำให้ครอบครัวพี่น้องญาติมิตรที่เคยรักใคร่กลมเกลียว  เกลียดชังกันปานจะขบคอเมื่อเจอหน้า

วัยรุ่นตอนปลายคนนั้นไม่บุกไปเปล่า ๆ ลากเอาลูกซองไปด้วย  ไปถึงก็ตะโกนด่าทออยู่หน้าบ้าน  ประมาณว่าหัวหมอนิด ๆ ถึงกูจะถือปืนแต่ไม่ได้รุกเข้าเขตบ้านโว้ย  มืงเอาผิดกูไม่ได้ ถึงได้ความผิดก็ไม่ร้ายแรง  ผู้ใหญ่บ้านมาเคลียร์ก็จบ  แต่มันไม่เป็นแบบนั้นน่ะสิครับ  เพราะคนที่ตนบุกไปด่าทอถือปืนขู่ดันเป็นลุงภพ  แกกลัวที่ไหน  อะไรที่มืงมีกูก็มีว่างั้นเถอะ

“มืงนี่มันแก่กะโหลกกะลาจริง ๆ หน้าตัวเ-ีย-ิบหาย  แน่จริงมืงมาเจอกับกูนี่ ไม่ต้องไปทะเลาะกับแม่กู!”  ผมสะดุ้งโหยงรอบที่ล้านแปดแล้วมั้งครับ  เพราะอยู่ไม่อยู่ดันมีเสียงคนตะโกนใส่กันดังมาจากด้านหลัง  ระยะห่างไม่ต้องคำนวณให้ปวดขมอง  อีกฝั่งของต้นไทรนี่เอง
(มีต่อครับ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่