เจนนี่...คนซ่อนผี 1/2

กระทู้สนทนา


.

 
               ชีวิตคนเรา เต็มไปด้วยความเจ็บปวด และความทุกข์ เพียงบางทีเรามองว่าทุกข์น้อยคือความสุข ไม่ผิดที่คิดแบบนั้น อย่างน้อยเป็นการปลอบประโลมใจตัวเอง

               ความทุกข์อย่างหนึ่ง คือ การสูญเสีย

               โดยเฉพาะการสูญเสียที่ทำให้คิดได้ว่า อยากย้อนเวลาไปแก้ไข แต่เป็นไปไม่ได้

               บางคนเห็นคุณค่าของสิ่งที่สูญเสีย เมื่อสูญเสียไปแล้ว

               ในขณะที่มีสิ่งนั้นอยู่ กลับมองข้าม ไม่เคยเห็นคุณค่าสิ่งที่มีอยู่เลยสักนิด

               สายเกินไป...

               ความเจ็บปวดอย่างหนึ่ง คือการสำนึกผิดที่ไม่มีทางแก้ไข จ่อมจมอยู่กับความทุกข์ ความรู้สึกผิด ความเสียดาย ความขมขื่นตลอดไป ราวกับอยู่ในนรกบนดิน
 
               ผมเฝ้าครุ่นคะนึงเรื่องนี้มานาน

               แม้แต่ในคืนนี้

               เจนนี่...ชื่อของเธอ
 
 
 
               ตอนแรกผมไม่ได้สงสัยอะไร เกี่ยวกับการเห็นผู้หญิงสวมชุดขาวทั้งตัวคนหนึ่ง ซึ่งไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน ปรากฏตัวอยู่ในรัศมีสายตาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน ตามถนนหนทาง บนรถเมล์ และสถานที่ต่าง ๆ ราวกับเธอกำลังติดตามความเคลื่อนไหวของผมตลอดเวลา เหมือนภูตพรายคอยหลอกหลอน แต่ผมไม่เคยคิดหวาดกลัว นอกจากความสงสัยเท่านั้น

 
               ผมคิดว่าจะมากจะน้อย ต้องรู้จัก หรือไม่ก็เคยพบเห็น มีข้อมูล ของบรรดาผู้คนทุกคนในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ดีเพราะผมทำงานมานาน  ส่วนนานเท่าไรผมเองก็จำไม่ค่อยได้  เพราะพักหลังรู้สึกเหมือนเป็นคนล้มละลายทางความจำชอบกล 

               หมอบอกว่าอาจเป็นเพราะโลหะหนักปะปนมากับอาหาร ฝุ่น 2.5  หรือไม่ก็เป็นผลจากรังสีคอสมิก  สสารมืด พลังงานมืด ความบิดโค้งของกาลอวกาศ แต่ผมเองก็ไม่แน่ใจในเรื่องนี้เท่าไร
 
               ผู้หญิงชุดขาวคนนั้นต่างหาก ที่ผมสนใจให้ความสำคัญ 
 
              ผมแน่ใจว่าเธอไม่ใช่คนเมืองนี้แน่นอน ผมกล้าพนันเรื่องนี้ คุณว่ามันน่าแปลกไหมล่ะที่ผมพบเธอทุกวัน วันละหลาย ๆ ครั้ง แบบไม่มีเหตุผล อย่างไรก็ตามเธอก็ไม่มีทีท่าคุกคามอะไร นอกจากทำให้รู้สึกอึดอัดรำคาญ บางครั้งผมเคยเดินแหวกผู้คน เพื่อจะเข้าไปถามเธอว่า เธอติดตามผมมาหาหอกอะไร แต่เธอก็ถูกกลืนหายไปกับฝูงชนมากมายตามถนนอย่างไม่น่าเชื่อ  โดยไม่ได้เอ่ยปากคุยกันอย่างเป็นทางการสักครั้ง
 
              ไม่ใช่ภาพหลอน ผมแน่ใจ แต่ไม่เข้าใจ
 
              บางครั้งเห็นหลังเธออยู่หัวมุมถนน พอวิ่งตามไป ก็พบว่าเธอหายลับไปกับมุมตึก ราวกับกลายเป็นอากาศธาตุ บางครั้งผมนั่งรับประทานอาหารอยู่ในร้านอาหาร เห็นเธอยืนมองผ่านกระจกร้านเข้ามาด้วยท่าทางสงบนิ่ง  สายตาของเธอจ้องมองไปตรง ๆ ทว่าไม่ได้จับจ้องมาที่ผม   ให้ความรู้สึกว่างเปล่าเฉยเมยอย่างน่าขนลุก   แต่ผมกลับรู้สึกว่าเธอกำลังจ้องมองด้วยสายตาที่ไม่อาจทายถูกว่า ใบหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึกกำลังคิดอะไรอยู่  เธอต้องการอะไรกันแน่
 
 
              ผมเคยเล่าเรื่องนี้ให้ภรรยาฟัง แต่เธอกลับหัวเราะเหมือนเห็นเป็นเรื่องตลกเสียเต็มประดา
 
               “คุณคงคิดมากไปเอง”   เธอบอกด้วยสีหน้าท่าทางไม่วิตกทุกข์ร้อนอะไร กับปัญหาของสามีตัวเอง

               “มันคงเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า ไม่แปลกหรอกว่า คุณจะเจอใครคนหนึ่งโดยบังเอิญ คุณไม่ต้องไปสนใจอะไรแค่นั้นก็จบเรื่อง เธอไม่มายุ่งอะไรกับคุณหรอกเชื่อเถอะค่ะ”
 
                ผมอยากเชื่อแบบนั้นเหมือนกัน

               ถ้าไม่เพราะ เวลานั้น...ผมมองข้ามไหล่ของภรรยาออกไป   บ้าชัด ๆ ! ผมเห็น ‘เธอ’  กำลังยืนนิ่งอยู่สนามหญ้าหน้าบ้าน และเดินหลบหายไปอย่างรวดเร็ว ก่อนผมจะมีโอกาสชี้มือให้ภรรยาดู แบบนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน หญิงสาวลึกลับคนนั้นถึงขั้นบุกเข้ามาหาผมที่บ้าน ให้ตายสิ...มันเรื่องนรกแตกอะไรกัน
 
 
               เสียงหมาหน้าบ้านเห่ากระโชกดุเดือดครู่หนึ่ง เหมือนเห็นคนบุกรุกเข้ามา นั่นทำให้รู้ว่าไม่ได้ตาฝาด  หมาต้องมีสัญชาตญาณรับรู้  ผมไม่ได้คิดไปเอง
 
               การปรากฏตัวของเธอบ่อยมากขึ้น และระยะทางก็ใกล้เข้ามาทุกที 

              ผมคิดว่าแบบนี้อีกไม่นาน เธอคงจะเข้ามาใกล้ ครอบครัวของผมมากขึ้น จนวันหนึ่ง ผมคงสามารถจับตัวมาเค้นคอซักถามหาความจริงได้  นั่นคือสิ่งที่ผมอยากกระทำ  แต่ขณะเดียวกันผมรู้สึกขนลุกอย่างไม่มีเหตุผล  นี่ผมกำลังหวาดกลัวหรืออย่างไร ทั้งที่เธอยังไม่มีทีท่าคุกคามทำร้ายอะไรผมเลย
 
               บางครั้ง...การนิ่งเฉยไร้ความรู้สึก สีหน้าท่าทางว่างเปล่า น่ากลัวกว่าการมีทีท่าคุกคามทำร้ายเสียอีก  ผมคิดว่าบางทีอาจต้องไปพบจิตแพทย์ แต่ก็ควรจะตรวจสอบทดลองอะไรบางอย่างให้แน่ใจเสียก่อน ดังนั้นผมจึงพกกล้องถ่ายภาพขนาดเล็กติดตัวเสมอไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือที่ทำงาน ถ้ามีเวลาว่างผมมักจะหัด ‘ชักกล้องถ่ายรูป’  ออกมาจากกระเป๋า ให้รวดเร็วฉับไว ในทำนองเดียวกันกับการฝึกชักปืนของพวกมือปืนตะวันตก สมัยนิยมดวลปืนกันสนั่นเมือง ต่างกันตรงผมที่ใช้กล้องแทนปืนเท่านั้น
 
               ดึงกล้องออกจากกระเป๋า – 
               สะบัดกล้องจับภาพ – 
               กดชัตเตอร์ –
 
               ทั้งสามขั้นตอนต้องรวดเร็ว แม่นยำ เด็ดขาด

               บางครั้งผมถึงกับหัดถ่ายรูปในขณะกำลังพุ่งตัวเฉียงเอียงไปด้านข้าง ราวกับมือปืนพุ่งกายหลบวิถีกระสุนและยิงสวนออกไป ผมลงทุนทำถึงเพื่อความมั่นใจว่าจะไม่พลาด 

               แล้วโอกาสก็เป็นของผมในคืนหนึ่ง ที่อากาศเย็นสบาย ฝนเพิ่งหยุดตกไปได้ไม่นาน แต่ยังคงมีเสียงฟ้าคำรามกระหึ่มเป็นระยะและมีฝนพรำบางช่วง ผมเปิดหน้าต่างรับลมปนไอเย็น ส่วนภรรยาของผมนอนหลับไม่สนโลก

               ในขณะเคลิ้ม ๆ เธอก็ปรากฏตัวขึ้นนอกหน้าต่าง 
 
              อะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน ทำให้ผมมองเห็นเธอทั้งที่เกือบจะหลับอยู่แล้ว  ด้านนอกไม่มีกันสาด และเป็นชั้นสองของบ้าน เธอปรากฏกายได้อย่างไร ไม่มีที่ให้ยืนนอกหน้าต่าง ผมรู้ว่าเป็นเธออย่างแน่นอน ใบหน้าซ่อนในความมืด เส้นผมเผ้าปลิวสยาย ราวภาพในฝันร้าย วินาทีแรกผมตัวเย็นเฉียบโลกทั้งโลกเหมือนหยุดนิ่งไปชั่วขณะ เป็นความรู้สึกบอกไม่ถูกว่ากลัวหรือตื่นเต้นกันแน่  
 
               แต่พอได้สติผมก็สะบัดผ้าห่ม  พลิ้วหมุนคว้างออกจากร่างอย่างสวยงาม คว้ากล้องออกมาจากใต้หมอน พลิกตัวลงจากเตียง วาดท่วงท่า นั่งคุกเข่าข้างเดียวสุดเท่ สะบัดหน้ากล้องไปยังเป้าหมายอย่างรวดเร็วคล่องแคล่วชำนาญ เพราะฝึกมานับครั้งไม่ถ้วน

               แช้ะ!
 
               เสียงฟ้ากัมปนาทกึกก้อง จังหวะผมกดชัตเตอร์พอดี ราวกับกำลังลั่นปืนใหญ่ออกไป

               ไฟแฟลชสว่างวาบ จับภาพที่ต้องการแม่นยำปานจับวาง  
 
               ผีก็ผีเถอะ ...คงนึกไม่ถึงว่าจะมีมนุษย์หน้าไหน ฝึกถ่ายรูป ได้รวดเร็วราวสายฟ้าได้ขนาดนี้ 
 
               เมื่อสายฟ้าด้านนอกสว่างวาบอีกครั้ง เธอก็หายไปแล้ว แต่ผมสามารถถ่ายภาพของเธอไว้ทัน นี่คือชัยชนะ

              ผมนั่งคุกเข่าข้างเตียง มือถือกล้องแน่นิ่ง ถ้าถ่ายรูปตัวเองได้จะเห็นว่าท่าสุดเท่มาก   จนไม่อยากเปลี่ยนอิริยาบถ ในความรู้สึกเดียวกับยอดมือปืน ผู้เพิ่งลั่นกระสุน สอยศัตรูร่วงลงไปจากหน้าต่าง ทั้งอิ่มเอมใจ  ทั้งเท่ ทั้งสะใจ จนไม่อยากลุกจากท่าร่างความเท่ของตัวเอง
 

               “ที่รัก...คุณทำบ้าอะไรอยู่ข้างล่าง”

               ภรรยาของผมร้องอย่างตกใจ จังหวะที่ผมเผ่นลงจากเตียง สะบัดผ้าห่มออกจากตัวสะบัดกล้องในมือ  คงทำให้เธอสะดุ้งตื่น และยังคงเห็นผมนั่งในท่าเท่ไม่ยอมลุก 
 
              ผมยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะก่อนหันไปบอกเธอว่า
 
              “ผมทำสำเร็จแล้ว ที่รัก ผมเพิ่งถ่ายรูปเธอได้ตรงหน้าต่างเมื่อครู่  รอพรุ่งนี้แล้วคุณจะรู้ว่าเรื่องที่ผมเคยเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องจริง  เธอมีตัวตนจริง เธอมาถึงในห้องเรา  ผมไม่ได้ตาฝาดและคิดไปเอง...พรุ่งนี้เราจะรู้กันเมื่อผมเอาฟิล์มไปล้างมาให้คุณดู”

               ภรรยาของผมส่ายหน้า กลับไปนอนต่อ ไม่พูดจาอะไรอีก ไม่เป็นไร ผมรอได้ พรุ่งนี้จะพิสูจน์ให้ภรรยาสุดที่รัก ว่าผมไม่ได้บ้า

               พรุ่งนี้เรื่องราวจะกระจ่าง
 
 
              วันต่อมา เมื่อส่งฟิล์มไปร้านถ่ายรูปให้ทำการล้างฟิล์ม จัดการออกมาจนเป็นภาพ แต่ความคาดหวังของผมก็ล่มสลายไม่มีชิ้นดี นอกจากภาพถ่ายสัพเพเหระแล้ว ไม่มีภาพผู้หญิงคนนั้นเลย มีเพียงภาพถ่ายหน้าต่างว่างเปล่า
 
                ล้อเล่น  ไม่ใช่

               ไม่หรอก...ถ้าคุณคิดแบบนี้คุณคิดผิดแน่นอน เพราะความจริงแล้ว มีภาพใบหนึ่ง แสดงถึงความมีตัวตนของเธอ ภาพผู้หญิงโผล่ครึ่งร่าง อยู่บริเวณหน้าต่าง ชัดเจนพอสมควร เธอนั่นเอง  เธอเป็นคนเดียวกับคนที่คอยปรากฏกายให้เห็นอย่างน่ากลัวและน่าพิศวงคนนั้น  ผมกำชัยชนะในมือแนบแน่น จนเดินทางมาถึงบ้าน แล้วโลดแล่นเอาไปให้ภรรยาผู้กำลังทำกับข้าวอยู่ห้องครัว ดูหลักฐานสำคัญ ประกาศชัยชนะด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
 
             “ดูสิที่รัก...นี่ไง เป็นภาพที่ผมถ่ายได้เมื่อคืน เชื่อแล้วใช่ไหมว่าผมไม่ได้บ้า”
 
               ภรรยาหันมามองภาพถ่ายในมือของผมแล้วหัวเราะก่อนบอกว่า

               “คุณเข้าใจเล่นตลก นี่คงไปให้ร้านถ่ายรูปตัดต่อรูป เอามาหลอกฉันล่ะสิ”
 
               ให้ตาย...ชัยชนะงดงามของผมลาลับดับหายไป ณ บัดนั้น อะไรกัน... เธอไม่ได้สนใจให้ความสำคัญกับผลงานของผมเลย ยังหาว่าเป็นเรื่องล้อเล่นอีก เป็นภรรยาแบบไหน...

               “ทำไมคุณไม่ยอมฟังผมบ้างล่ะครับ”   ผมพยายามอธิบายอย่างอดทน แม้ว่าความเชื่อมั่นในมนุษยชาติกำลังลดฮวบราวหุ้นดิ่งนรก
“มันเป็นภาพที่ผมถ่ายได้จริง ๆ เมื่อคืน  โธ่...ที่รัก...ผมจะหลอกคุณไปทำไม เห็นไหมว่าผู้หญิงคนนี้มีตัวตนจริง ๆ”
 
               “แล้วเธอออกไปอยู่นอกหน้าต่างได้ยังไงล่ะคะ”   เธอถามแล้วหันไปหั่นผักต่อ ดูเหมือนถามพอเป็นพิธีมากกว่าจะสนใจถามอย่างจริงจัง แล้วจะตอบอย่างไรดีล่ะ เธอยืนอยู่นอกหน้าต่างได้อย่างไร นั่นเป็นปัญหาของผี  ไม่ใช่ปัญหาของผม
 
               “เธอเป็นผี”
 
               ผมตอนสั้น ๆ อย่างสิ้นหวัง ได้ยินเสียงภรรยาหัวเราะก่อนไล่ให้ผมไปกินยาแก้บ้า จนต้องเดินคอตกออกจากห้องครัวอย่างรันทดหดหู่ 

               พวกผู้หญิง...บางทีทำไมไม่ยอมคิดยอมฟังเหตุผลกันเลย ถ้าขืนคุยต่อไป ผมคงกลายเป็นคนบ้าเต็มขั้นรักษาไม่หายในสายตาของเธอแน่ ๆ ผมถอนลมหายใจอย่างเศร้าซึม  หมดแล้วซึ่งความเชื่อมั่นต่าง ๆ นานา

               ทันใดนั้นผมรู้สึกตัวเย็นเฉียบ เมื่อมองเห็น ผีผู้หญิงเจ้าปัญหา ยืนอยู่บนชั้นสอง สายตาไร้ความรู้สึกจ้องมองตรงมา แต่เป็นการจ้องมองแบบเวิ้งว้างว่างเปล่าเย็นยะเยือก จนแทบทำให้เลือดจับตัวเป็นก้อน 
 
               นี่เธอถึงขั้นบุกรุกเข้ามาในบ้าน ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัวของครอบครัวผมเข้าให้แล้วหรืออย่างไร จะมากเกินไปแล้วนะ
 
              ผีก็ผีเถอะ! บังอาจมากเกินไป ผมลืมกลัวลืมตาย วิ่งโครมครามขึ้นบันได พุ่งเข้าไปหาผู้หญิงลึกลับอย่างขุ่นเคือง

....
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่