แค้น ตอนที่.2 โดยตรัยโศก ณ ริมน่าน

กระทู้สนทนา

นิยายเรื่อง แค้น นี้ สงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธ์ พ.ศ.  2537  ห้ามมิให้ผู้ใดนำไปเผยแพร่ในช่องทางต่าง ๆ ก่อนได้รับอนุญาต  
บุคคลซึ่งอ้างตัวว่าเป็นอารยะชน  พึงมีจิตสำนึก  มิควรนำผลงานของผู้อื่นไปดัดแปลง  คัดลอก หรือเผยแพร่โดยไม่ได้รับการยินยอมจากผู้เขียน


คำนำ
นิยายเรื่องนี้เกิดขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน  ชื่อตัวละครและสถานที่อาจอ้างอิงเอาจากสถานที่จริง  การกระทำและคำพูดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเรื่องสมมุติ ผู้เขียนมิได้มีใจหมายจะดูหมิ่นอาชีพใด  คาถาอาคมบางบทเป็นสิ่งที่ผู้เขียนคิดขึ้นมาเอง  เพื่ออรรถรสและความสนุก หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา   ณ   ที่นี้
ตรัยโศก   ณ   ริมน่าน



ตอนที่2. สู่สามพราน

วันเวลาล่วงผ่านไปอย่างรวดเร็วปานถูกเร่ง  ที่สุด วันที่สองลูกชายต้องเดินทางไกลไปทำงานเสี่ยงอันตรายก็มาถึง  ทั้งสำอางและนางเนียมต่างก็ยืนหน้าละห้อยน้ำตารื้น  เครื่องแบบเต็มยศที่ลูกชายทั้งสองสวมใหญ่ยืนด้วยความสง่าอยู่เบื้องหน้า  หากเป็นเวลาอื่น  หรือปลายทางของจิรายุ  และจิระเดช ที่นางทั้งสองยังเห็นเป็นเด็กน้อยอยู่จนปัจจุบันไม่ใช่อำเภอสามพราน  สถานที่อันตรายที่ข่าวถูกกระจายไปทั่วว่า  ถูกกลุ่มโจรร้ายแผ่อำนาจบารมีจนแทบไม่เหลือพื้นที่ปลอดภัย  ทั้งคู่คงดีใจกว่านี้

“ขอ...ขอเขาอีกครั้งไม่ได้รึลูก?  หรือถ้าไม่ได้  ตำหร่งตำรวจก็ไม่ต้องเป็น  เงินทองของมีค่าบ้านเราก็มีอยู่มากโข  ต่อให้หางานเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำบ้านเราก็ไม่อดตายหรอก  นะลูกนะ...”

“พอเถอะจ้ะพี่เนียม”  สำอางเอ่ยขัดขึ้นเสียงอ่อย  ขอบตาแดงช้ำ เห็นได้ชัดว่านางแทบไม่ได้หลับได้นอน และยังผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักก่อนหน้านี้  เดินเนิบช้าก้มหน้าเช็ดน้ำมูกน้ำตา  เงยหน้ามองลูกชายทั้งสองนิ่งโดยไม่พูดจาใด ๆ ครู่ใหญ่

“ยุ  เดช...ตั้งแต่เล็กจนโตหน้าของพ่อลูกไม่เคยเห็น  รูปถ่ายรูปวาดก็ไม่มีทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า  แต่ในความทรงจำของแม่  พ่อของพวกลูกหน้าตาเป็นยังไง  รายละเอียดทุกอย่างแม่จำได้ไม่มีเลือนรางหายไปแม้แต่น้อย”  

พูดไปก็ปากสั่นระริก ดวงตาที่เริ่มมีฝ้าจับหลั่งรินน้ำใส ๆ ออกมาอาบแก้ม  แต่ยังพยายามอดกลั้นเอาไว้ให้ถึงที่สุด  มือเหี่ยวย่นและสั่นเทาตามวัยทั้งสองข้าง  ยกขึ้นลูบไล้ไปตามแก้มของลูกทั้งสองด้วยอาการแผ่วเบา   

“ลูกทั้งคู่ช่างเหมือนพ่อเหลือเกิน  ทั้งหน้าตา  นิสัย  และความมุ่งมั่น...ฮือ...”  แต่แล้ว...ก็สุดจะกลั้นไหว  นางร่ำไห้ปานจะขาดใจ  นางเนียมโอบกอดนางไว้เพื่อปลอบประโลม  สองลูกชายทรุดตัวลงกราบแทบเท้าแม่และแม่บุญธรรม  เงยหน้ามองดวงตาแดงเรื่อเช่นกัน

“แม่จ๋า  แม่เนียม  ลูกไปครั้งนี้เป็นด้วยหน้าที่อันสมควรที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคม  นี่เป็นคำสัญญาของลูกทั้งสอง  ลูกจะรักษาตัว  ปลอดภัยกลับมา  ขอให้แม่ไม่ต้องห่วง”

“ลูกเอ้ย...ตลอดหลายปีมานี้แม่มีบางอย่างที่ผิดต่อลูกและพ่อของลูก  ก่อนไป  พ่อเขามอบของต่างหน้าเอาไว้ให้  แต่แม่...แต่แม่กลัวลูกจะทิ้งแม่ไปอีกจึงซ่อนเอาไว้  แต่วันนี้แม่รู้แล้วว่าโชคชะตาคนเราไม่อาจฝืน”

“แหวนพิรอดนี้..พ่อเขาให้ลูกไว้ ชื่อจิรายุของลูกพ่อเขาก็เป็นคนตั้งให้เหมือนกัน”  สำอางวางแหวนพิรอดลงในมือลูกชายคนโต

“ส่วนตะกรุดนี้  พ่อเขาให้ลูก  ชื่อจิระเดชพ่อเขาก็เป็นคนตั้งให้เช่นกัน  แม่เก็บสองอย่างนี้ให้ห่างจากพวกลูกมานานเกินไป  เวลานี้แม่คิดได้แล้ว  เก็บรักษาเอาไว้ให้ดี  ทั้งของต่างหน้านี้และชีวิตของลูก  กลับมาหาแม่อย่างปลอดภัยนะ แม่...กับแม่เนียมขอให้ลูกโชคดีและปลอดภัย”  สำอางบอกยิ้มทั้งน้ำตา

จิรายุสวมแหวนพอรอดที่นิ้วชี้ขวา รู้สึกถึงพลังงานบางอย่างที่ล้นเอ่อ มันเป็นพลังงานลึกลับแบบเดียวกันกับที่เขามักรู้สึกได้จากดงกล้วยข้างบ้าน
ฝ่ายจิระเดชน้องชาย  คล้องตะกรุดหน้าผากเสือสวมคอและรู้สึกแบบเดียวกันกับพี่ชาย  การกระทำของทั้งคู่ทำให้สำอางน้ำตารื้นอีกครั้ง  ไม่มีใครบอกกล่าว  แต่เขาทั้งสองกลับรู้ว่ามันเคยอยู่ตำแหน่งใดบนร่างกายของผู้เป็นพ่อ  นี่กระมังที่เรียกว่าสายสัมพันธ์ของความเป็นพ่อลูก

แผ่นหลังของลูกชายทั้งสองค่อย ๆ ห่างออกไปซ้ำยังถูกม่านน้ำตาทำให้พร่าเลือนจนมองไม่ชัด  ที่สุดทั้งคู่ก็หายลับไปจากสายตา  จากคราแรกสำอางคิดว่านางคงทนไม่ไหว  ต้องวิ่งตามลูกไปเพื่อรั้งไว้ต่อให้ต้องยอมทำให้บาปตกแก่ลูกด้วยการก้มกราบก็ยอม  

ทว่า...เมื่อย้อนนึกถึงคำพูดและสายตาอันมุ่งมั่นของจิรายุแล้ว  นางกลับเปลี่ยนความเสียใจเป็นเชื่อมั่น  แม้จะไม่รู้อะไรมากนักแต่นางก็มั่นใจว่านายมิ่งผัวรักผู้จากไปไม่รู้ตายหรือเป็น  เก่งกาจไม่น้อย  ฉะนั้น  ลูกชายทั้งสองที่สืบเชื้อสายมาจากเขา  ยังไงก็ต้องเก่งกาจไม่แพ้กัน

บนรถเมล์ประจำทาง  ผู้คนค่อนข้างแน่นแต่ยังพอมีที่ว่าง  เพื่อความสะดวกในการเดินทางและเพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตา  ทั้งคู่จึงเปลี่ยนเป็นชุดลำลองดั่งวัยรุ่นธรรมดาใส่กัน  

เบาะหลังซึ่งเป็นเบาะยาวคือจุดที่ทั้งคู่เลือกนั่ง แต่ก็มีเหตุจำเป็นให้ต้องแยกกัน เพราะตรงกลางมีชายผู้หนึ่งแต่งตัวกึ่งมอซอสวมหมวกปีกกว้างขาด ๆ ซ้ำยังดึงปีกหมวกลงต่ำ  จังหวะค้อมหัวคอตกเป็นระยะชี้ชัดว่าชายผู้นั้นกำลังหลับ   ฉะนั้นคงเป็นการเสียมารยาทแน่หากจะปลุกให้เขาตื่นขึ้นเพียงเพื่อขยับที่นั่ง

ผ่านไปราว ๆ สองชั่วโมงเศษ  หลังรถแล่น ๆ หยุด ๆ เพื่อรับส่งผู้โดยสารรายทาง  บัดนี้เข้าเขตอำเภอสามพรานมาสักระยะแล้ว  จังหวะที่สองฟากถนนเป็นป่าทึบเขียวขจีสลับทุ่งนา  จู่ ๆ เสียงระเบิดก็ดังลั่นพร้อมกับอาการโคลงเพราะรถเสียหลัก  เบนขวางลากยาวไปกับถนนครู่ใหญ่จึงหยุดสนิท  ยางระเบิด!

สองพี่น้องเหลียวสบตากัน ต่างคนต่างรู้ใจ ปืนพกประจำกายปลดจากซองหนังกระชับมั่นไว้ในมือเป็นการเตรียมพร้อม  ทั้งคู่ได้ยินชัดถนัดหูถึงเสียงยางระเบิด และเสียงก่อนหน้านั้นเพียงเสี้ยววิ  เสียงปืน!! 

ผู้โดยสารวี้ดว้ายกรีดร้องด้วยอาการตกใจกลัว  ยังไม่ทันได้สงบดีก็ต้องหมอบต่ำหวีดร้องอีกเป็นคำรบสอง  เมื่อด้านนอกสองฝั่งรถ  มีกลุ่มคนแต่งกายมิดชิดยิงอาวุธสงครามจนลั่นสนั่นไปทั่วทั้งพื้นที่

“สวัสดีครับท่านผู้โดยสารทั้งหลาย...พวกเรากลุ่มโจรเสือแผน  ใครไม่อยากตาย...กรุณาถอดของมีค่ายัดใส่ในถุงด้วยนะครับ!”

หนึ่งในสี่ห้าคนที่ว่าขึ้นมาบนรถพร้อมอาวุธที่สามารถประหัตประหารใครก็ได้ที่ขัดขวางประกาศก้อง  ขณะเดียวกันอีกคนก็เปิดถุงดำยื่นไปตรงหน้าผู้โดยสารคนนั้นคนนี้  ไม่มีใครเลยจะคิดขัดขืน  ด้วยอาวุธที่พวกมันถืออยู่ดูอันตรายเกินไป  ทั้งด้านนอกยังมีพวกเดียวกันคุมเชิงอยู่อีกเรือนสิบ  เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่คนฉลาดจะกระทำกันคือรักษาชีวิตไว้ก่อน  ทรัพย์สินมีค่าค่อยว่ากัน

สองพี่น้องรอจังหวะ  ดูว่าจะมีกำลังของพวกมันขึ้นมาอีกไหม  แต่แล้วเสียงเอะอะโวยวายก็เกิดขึ้น  เมื่อชายชราผู้หนึ่งซึ่งคงอยู่มานานเกินกว่าจะเสียดายชีวิตลุกพรวดขึ้นจังหวะที่ไอ้โจรถ่อยถือถุงผ้าเข้ามาในระยะ  

ชายชราเงื้อไม้เท้าอันเป็นสิ่งเดียวที่ค้ำให้ตนไม่ล้มลงกับพื้นเพื่อทำร้ายโจรถ่อยคนนั้น  ทว่า...มันเชื่องช้าเกินไป  ซ้ำช่วงของไม้เท้ายังยาวจนไปขัดกับพัดลมเพดานรถ  ในหัวใจของชายชราคงตระหนักได้แล้วว่า  วาระสุดท้ายของตนคงมาถึงแล้ว

“ไอ้แก่หน้าโง่! กูอุตส่าห์พูดดี ๆ แล้วนะ  ฮ่า ๆ ในที่สุดก็จะได้เห็นเลือดคนสักทีโว้ย!  การปล้นมันต้องฆ่าด้วยสิวะถึงจะถูก!!!”  ไอ้โจรคนแรกที่ประกาศตัวเองตวาดว่าพร้อมยิ้มเหี้ยม  ชักปืนขึ้นมาจ่อชิดกลางอกชายชราและเหนี่ยวไกทันที

“อะอัดนะ นัดมัดอัด  อุทธะอุตตัมปิ  อุตตะรัง อุสุอัสสะปะปิภะคะวา  อิติผิดนะ อุทธัง  อัทโธ  โมโทอัดธังอุด  พุทอุทธัง  อัทโธ  ชาโธอุทธัง  อัดยะมิให้ออก!”  

แต่ยังช้ากว่าจิระเดชไปเสี้ยววิ  ผลของการพากเพียรร่ำเรียนเขียนอ่านพระคาถาเป็นผลให้การใช้งานไม่มีติดขัด  เขาว่าพระคาถาอุดปืนเร็วปรื๋อ ถูกต้องทุกอักขระทุกประโยคไม่มีตกหล่น  ที่สำคัญจิตใจขณะนี้ตั้งมั่นไม่มีแส่ส่าย  สิ้นสุดวรรคสุดท้ายของพระคาถา  อำนาจแห่งพระเวทย์ก็แผ่ไปจนทั่วทั้งคันรถ  
ชายชรารอดตาย  ปืนที่จ่ออยู่นั้นนกมิอาจสับลงได้  เจ้าของมีอันตะลึงงัน รู้ดีว่าเหตุการณ์นี้เกิดจากพระคาถาอันเข้มขลังของใครคนใดคนหนึ่ง  เพียงแค่คิดไม่ถึงว่าจะมีคนแบบนั้นอยู่บนรถคันนี้ด้วย

“เอาเลยพี่ยุ!”  

“เออ!”  ขาดคำ  สองพี่น้องก็โผล่พรวดจากที่กำบัง  ส่ายปากกระบอกปืนไปหาบรรดาโจรแล้วเหนี่ยวไก  พวกมันต้องคมกระสุนล้มลงทีละคน  มีจังหวะหนึ่งจิรายุซึ่งขยับมายืนอยู่ตรงกลางถูกยิงสวน  ผู้ที่เหนี่ยวไกใส่นั้นเป็นหนึ่งในคณะโจรด้านล่างที่ขึ้นมาช่วย และดูท่าจะไม่ธรรมดาเสียด้วย  สามารถทลายอำนาจพระคาถายิงสวนมาได้ไม่มีติดขัด  จิรายุเองก็ฝึกมาดี เอี้ยวตัวหลบได้ทันควัน  พร้อมกับที่น้องชายยิงใส่โจรคนนั้นสี่นัดซ้อน  ไม่มีพลาดเป้าเลยสักนัด โจรชั่วหงายท้องร้องคำรามในลำคอ  ทว่าสิ่งที่ทะลุมีเพียงเสื้อผ้า  เนื้อหนังไม่ได้รับอันตรายใด ๆ เลย

พอมันลุกขึ้นมาได้ สองพี่น้องก็เหนี่ยวไกใส่พร้อมกัน  กระสุนพุ่งไปยังจุดเดียวกันราวกับนัดไว้ก่อนหน้า  โจรหนังเหนียวถูกแรงปะทะของกระสุนเข้ากลางหน้าผาก  หงายท้องกลิ้งหล่นไหลไปตามบันไดรถสู่ถนนเบื้องล่าง

“ตาม!”  จิรายุร้องบอกน้องชายก่อนจะหุนหันพลันแล่นวิ่งตามไปหมายจะยิงซ้ำให้ตายอย่างทรมาน  ฝ่ายน้องชายกลับรู้สึกถึงอำนาจบางอย่างที่ร้ายกาจกว่า  ร้องห้ามเสียงหลงแต่ช้าไปเสียแล้ว  

ทันทีที่ผู้หมู่คนพี่ถึงประตูรถ กลุ่มคนอีกกลุ่มซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นพวกเดียวกันหรือไม่  ยืนอยู่ในพงรกซ้ำยังแต่งตัวมิดชิดกว่ากัน  ในห้วงนั้นแม้เวลาจะผ่านไปเพียงเสี้ยววิ แต่จิรายุกลับรู้สึกว่ามันนานชั่วกัปแสนกัลป์  และไอ้หนึ่งในกลุ่มคนที่ว่าก็ซัดโป้งด้วยลูกเก้าเข้าเต็มอก  จิรายุถึงกับกระเด็นชนโครมใส่ทั้งคนทั้งเบาะด้านหลัง ทั่วทั้งหน้าอกเจ็บร้าวราวกระดูกแหลกลานป่นปี้ไม่มีเหลือ

“พี่ยุ!”  จิระเดชพุ่งตัวเข้ามาและรับลูกปืนเข้าไปอีกคน  สภาพสองพี่น้องนอนจุกเจ็บไม่ต่างกัน  กลุ่มคนลึกลับนั้นค่อย ๆ กลืนหายไปกับความเขียวรกครึ้มของป่าด้านหลัง  ก่อนที่สมุนของโจรกลุ่มแรกจะตะโกนลั่นและแบกร่างของลูกพี่ที่นอนเจ็บจุกขาพาดอยู่กับบันไดรถหนีไป

“ไอ้เสือ!  ถอย!!!”    

“ยะ...อย่าปล่อยให้มันรอดไปได้!  ตามมันไปเร็ว...แค่ก ๆ”  

จิรายุพยายามพลิกตัวยันกายลุกขึ้น  ในใจมีเพียงต้องตามล่าไอ้พวกโจรกลุ่มนั้นไปให้ได้  จับเป็นสักคนก็ยังดีเผื่อจะบังคับให้คายเบาะแส  ทว่าร่างกายกลับไม่ทำตามคำสั่งอีกทั้งน้องชายยังมีสภาพย่ำแย่พอกัน  

กระสุนทั้งเก้าเม็ดตะกั่วเมื่อครู่ไม่เพียงทำให้บาดเจ็บภายใน  ซ้ำยังทำลายอาคมที่คุ้มกันจนสลายราวกับไม่เคยมีมันอยู่ไปชั่วครู่   จริงอยู่ว่าตนมุทะลุ  แต่ทุกขณะจิตเขาตั้งมั่นบริกรรมพระคาถาอยู่ตลอด  ไม่มีทางที่อาคมของตนจะถูกเอาชนะได้เพราะจิตใจแส่ส่าย  มันชี้ชัดไปได้เพียงประเด็นเดียว  อีกกลุ่มโจรลึกลับนั่นมีอาคมที่แข็งแกร่งกว่า  เป็นอย่างอื่นไปได้

“อย่าใจร้อนไปนักเลย...พวกนั้นไม่ธรรมดา  ไม่ใช่โจรขี้ครอกที่เอาแต่บอกว่าเป็นกลุ่มเสือแผน  อาศัยเอาแต่บารมีของลูกพี่ มีคาถานิดหน่อยก็เที่ยวกร่าง  ทุกอย่างมีเวลาของมัน  คนเราจะได้เจอกันต่อให้ไกลสุดล่าฟ้าเขียวหรือคนละซีกโลก  สุดท้ายก็ต้องได้พบกันอยู่ดี  ตอนนี้เจ็บก็ต้องพักให้หายเจ็บ  นั่นถึงจะถูก...”   จิรายุเหลือบมองผู้พูด  ไม่ใช่ใคร ชายปริศนาที่นั่งหลับอยู่ตรงกลางเบาะหลังนั่นเอง  
(มีต่อครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่