นิยายเรื่อง แค้น นี้ สงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธ์ พ.ศ. 2537 ห้ามมิให้ผู้ใดนำไปเผยแพร่ในช่องทางต่าง ๆ ก่อนได้รับอนุญาต
บุคคลซึ่งอ้างตัวว่าเป็นอารยะชน พึงมีจิตสำนึก มิควรนำผลงานของผู้อื่นไปดัดแปลง คัดลอก หรือเผยแพร่โดยไม่ได้รับการยินยอมจากผู้เขียน
คำนำ
นิยายเรื่องนี้เกิดขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน ชื่อตัวละครและสถานที่อาจอ้างอิงเอาจากสถานที่จริง การกระทำและคำพูดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเรื่องสมมุติ ผู้เขียนมิได้มีใจหมายจะดูหมิ่นอาชีพใด คาถาอาคมบางบทเป็นสิ่งที่ผู้เขียนคิดขึ้นมาเอง เพื่ออรรถรสและความสนุก หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้
ตรัยโศก ณ ริมน่าน
ตอนที่2. สู่สามพราน
วันเวลาล่วงผ่านไปอย่างรวดเร็วปานถูกเร่ง ที่สุด วันที่สองลูกชายต้องเดินทางไกลไปทำงานเสี่ยงอันตรายก็มาถึง ทั้งสำอางและนางเนียมต่างก็ยืนหน้าละห้อยน้ำตารื้น เครื่องแบบเต็มยศที่ลูกชายทั้งสองสวมใหญ่ยืนด้วยความสง่าอยู่เบื้องหน้า หากเป็นเวลาอื่น หรือปลายทางของจิรายุ และจิระเดช ที่นางทั้งสองยังเห็นเป็นเด็กน้อยอยู่จนปัจจุบันไม่ใช่อำเภอสามพราน สถานที่อันตรายที่ข่าวถูกกระจายไปทั่วว่า ถูกกลุ่มโจรร้ายแผ่อำนาจบารมีจนแทบไม่เหลือพื้นที่ปลอดภัย ทั้งคู่คงดีใจกว่านี้
“ขอ...ขอเขาอีกครั้งไม่ได้รึลูก? หรือถ้าไม่ได้ ตำหร่งตำรวจก็ไม่ต้องเป็น เงินทองของมีค่าบ้านเราก็มีอยู่มากโข ต่อให้หางานเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำบ้านเราก็ไม่อดตายหรอก นะลูกนะ...”
“พอเถอะจ้ะพี่เนียม” สำอางเอ่ยขัดขึ้นเสียงอ่อย ขอบตาแดงช้ำ เห็นได้ชัดว่านางแทบไม่ได้หลับได้นอน และยังผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักก่อนหน้านี้ เดินเนิบช้าก้มหน้าเช็ดน้ำมูกน้ำตา เงยหน้ามองลูกชายทั้งสองนิ่งโดยไม่พูดจาใด ๆ ครู่ใหญ่
“ยุ เดช...ตั้งแต่เล็กจนโตหน้าของพ่อลูกไม่เคยเห็น รูปถ่ายรูปวาดก็ไม่มีทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า แต่ในความทรงจำของแม่ พ่อของพวกลูกหน้าตาเป็นยังไง รายละเอียดทุกอย่างแม่จำได้ไม่มีเลือนรางหายไปแม้แต่น้อย”
พูดไปก็ปากสั่นระริก ดวงตาที่เริ่มมีฝ้าจับหลั่งรินน้ำใส ๆ ออกมาอาบแก้ม แต่ยังพยายามอดกลั้นเอาไว้ให้ถึงที่สุด มือเหี่ยวย่นและสั่นเทาตามวัยทั้งสองข้าง ยกขึ้นลูบไล้ไปตามแก้มของลูกทั้งสองด้วยอาการแผ่วเบา
“ลูกทั้งคู่ช่างเหมือนพ่อเหลือเกิน ทั้งหน้าตา นิสัย และความมุ่งมั่น...ฮือ...” แต่แล้ว...ก็สุดจะกลั้นไหว นางร่ำไห้ปานจะขาดใจ นางเนียมโอบกอดนางไว้เพื่อปลอบประโลม สองลูกชายทรุดตัวลงกราบแทบเท้าแม่และแม่บุญธรรม เงยหน้ามองดวงตาแดงเรื่อเช่นกัน
“แม่จ๋า แม่เนียม ลูกไปครั้งนี้เป็นด้วยหน้าที่อันสมควรที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคม นี่เป็นคำสัญญาของลูกทั้งสอง ลูกจะรักษาตัว ปลอดภัยกลับมา ขอให้แม่ไม่ต้องห่วง”
“ลูกเอ้ย...ตลอดหลายปีมานี้แม่มีบางอย่างที่ผิดต่อลูกและพ่อของลูก ก่อนไป พ่อเขามอบของต่างหน้าเอาไว้ให้ แต่แม่...แต่แม่กลัวลูกจะทิ้งแม่ไปอีกจึงซ่อนเอาไว้ แต่วันนี้แม่รู้แล้วว่าโชคชะตาคนเราไม่อาจฝืน”
“แหวนพิรอดนี้..พ่อเขาให้ลูกไว้ ชื่อจิรายุของลูกพ่อเขาก็เป็นคนตั้งให้เหมือนกัน” สำอางวางแหวนพิรอดลงในมือลูกชายคนโต
“ส่วนตะกรุดนี้ พ่อเขาให้ลูก ชื่อจิระเดชพ่อเขาก็เป็นคนตั้งให้เช่นกัน แม่เก็บสองอย่างนี้ให้ห่างจากพวกลูกมานานเกินไป เวลานี้แม่คิดได้แล้ว เก็บรักษาเอาไว้ให้ดี ทั้งของต่างหน้านี้และชีวิตของลูก กลับมาหาแม่อย่างปลอดภัยนะ แม่...กับแม่เนียมขอให้ลูกโชคดีและปลอดภัย” สำอางบอกยิ้มทั้งน้ำตา
จิรายุสวมแหวนพอรอดที่นิ้วชี้ขวา รู้สึกถึงพลังงานบางอย่างที่ล้นเอ่อ มันเป็นพลังงานลึกลับแบบเดียวกันกับที่เขามักรู้สึกได้จากดงกล้วยข้างบ้าน
ฝ่ายจิระเดชน้องชาย คล้องตะกรุดหน้าผากเสือสวมคอและรู้สึกแบบเดียวกันกับพี่ชาย การกระทำของทั้งคู่ทำให้สำอางน้ำตารื้นอีกครั้ง ไม่มีใครบอกกล่าว แต่เขาทั้งสองกลับรู้ว่ามันเคยอยู่ตำแหน่งใดบนร่างกายของผู้เป็นพ่อ นี่กระมังที่เรียกว่าสายสัมพันธ์ของความเป็นพ่อลูก
แผ่นหลังของลูกชายทั้งสองค่อย ๆ ห่างออกไปซ้ำยังถูกม่านน้ำตาทำให้พร่าเลือนจนมองไม่ชัด ที่สุดทั้งคู่ก็หายลับไปจากสายตา จากคราแรกสำอางคิดว่านางคงทนไม่ไหว ต้องวิ่งตามลูกไปเพื่อรั้งไว้ต่อให้ต้องยอมทำให้บาปตกแก่ลูกด้วยการก้มกราบก็ยอม
ทว่า...เมื่อย้อนนึกถึงคำพูดและสายตาอันมุ่งมั่นของจิรายุแล้ว นางกลับเปลี่ยนความเสียใจเป็นเชื่อมั่น แม้จะไม่รู้อะไรมากนักแต่นางก็มั่นใจว่านายมิ่งผัวรักผู้จากไปไม่รู้ตายหรือเป็น เก่งกาจไม่น้อย ฉะนั้น ลูกชายทั้งสองที่สืบเชื้อสายมาจากเขา ยังไงก็ต้องเก่งกาจไม่แพ้กัน
บนรถเมล์ประจำทาง ผู้คนค่อนข้างแน่นแต่ยังพอมีที่ว่าง เพื่อความสะดวกในการเดินทางและเพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตา ทั้งคู่จึงเปลี่ยนเป็นชุดลำลองดั่งวัยรุ่นธรรมดาใส่กัน
เบาะหลังซึ่งเป็นเบาะยาวคือจุดที่ทั้งคู่เลือกนั่ง แต่ก็มีเหตุจำเป็นให้ต้องแยกกัน เพราะตรงกลางมีชายผู้หนึ่งแต่งตัวกึ่งมอซอสวมหมวกปีกกว้างขาด ๆ ซ้ำยังดึงปีกหมวกลงต่ำ จังหวะค้อมหัวคอตกเป็นระยะชี้ชัดว่าชายผู้นั้นกำลังหลับ ฉะนั้นคงเป็นการเสียมารยาทแน่หากจะปลุกให้เขาตื่นขึ้นเพียงเพื่อขยับที่นั่ง
ผ่านไปราว ๆ สองชั่วโมงเศษ หลังรถแล่น ๆ หยุด ๆ เพื่อรับส่งผู้โดยสารรายทาง บัดนี้เข้าเขตอำเภอสามพรานมาสักระยะแล้ว จังหวะที่สองฟากถนนเป็นป่าทึบเขียวขจีสลับทุ่งนา จู่ ๆ เสียงระเบิดก็ดังลั่นพร้อมกับอาการโคลงเพราะรถเสียหลัก เบนขวางลากยาวไปกับถนนครู่ใหญ่จึงหยุดสนิท
ยางระเบิด!
สองพี่น้องเหลียวสบตากัน ต่างคนต่างรู้ใจ ปืนพกประจำกายปลดจากซองหนังกระชับมั่นไว้ในมือเป็นการเตรียมพร้อม ทั้งคู่ได้ยินชัดถนัดหูถึงเสียงยางระเบิด และเสียงก่อนหน้านั้นเพียงเสี้ยววิ
เสียงปืน!!
ผู้โดยสารวี้ดว้ายกรีดร้องด้วยอาการตกใจกลัว ยังไม่ทันได้สงบดีก็ต้องหมอบต่ำหวีดร้องอีกเป็นคำรบสอง เมื่อด้านนอกสองฝั่งรถ มีกลุ่มคนแต่งกายมิดชิดยิงอาวุธสงครามจนลั่นสนั่นไปทั่วทั้งพื้นที่
“สวัสดีครับท่านผู้โดยสารทั้งหลาย...พวกเรากลุ่มโจรเสือแผน ใครไม่อยากตาย...กรุณาถอดของมีค่ายัดใส่ในถุงด้วยนะครับ!”
หนึ่งในสี่ห้าคนที่ว่าขึ้นมาบนรถพร้อมอาวุธที่สามารถประหัตประหารใครก็ได้ที่ขัดขวางประกาศก้อง ขณะเดียวกันอีกคนก็เปิดถุงดำยื่นไปตรงหน้าผู้โดยสารคนนั้นคนนี้ ไม่มีใครเลยจะคิดขัดขืน ด้วยอาวุธที่พวกมันถืออยู่ดูอันตรายเกินไป ทั้งด้านนอกยังมีพวกเดียวกันคุมเชิงอยู่อีกเรือนสิบ เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่คนฉลาดจะกระทำกันคือรักษาชีวิตไว้ก่อน ทรัพย์สินมีค่าค่อยว่ากัน
สองพี่น้องรอจังหวะ ดูว่าจะมีกำลังของพวกมันขึ้นมาอีกไหม แต่แล้วเสียงเอะอะโวยวายก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราผู้หนึ่งซึ่งคงอยู่มานานเกินกว่าจะเสียดายชีวิตลุกพรวดขึ้นจังหวะที่ไอ้โจรถ่อยถือถุงผ้าเข้ามาในระยะ
ชายชราเงื้อไม้เท้าอันเป็นสิ่งเดียวที่ค้ำให้ตนไม่ล้มลงกับพื้นเพื่อทำร้ายโจรถ่อยคนนั้น ทว่า...มันเชื่องช้าเกินไป ซ้ำช่วงของไม้เท้ายังยาวจนไปขัดกับพัดลมเพดานรถ ในหัวใจของชายชราคงตระหนักได้แล้วว่า วาระสุดท้ายของตนคงมาถึงแล้ว
“ไอ้แก่หน้าโง่! กูอุตส่าห์พูดดี ๆ แล้วนะ ฮ่า ๆ ในที่สุดก็จะได้เห็นเลือดคนสักทีโว้ย! การปล้นมันต้องฆ่าด้วยสิวะถึงจะถูก!!!” ไอ้โจรคนแรกที่ประกาศตัวเองตวาดว่าพร้อมยิ้มเหี้ยม ชักปืนขึ้นมาจ่อชิดกลางอกชายชราและเหนี่ยวไกทันที
“อะอัดนะ นัดมัดอัด อุทธะอุตตัมปิ อุตตะรัง อุสุอัสสะปะปิภะคะวา อิติผิดนะ อุทธัง อัทโธ โมโทอัดธังอุด พุทอุทธัง อัทโธ ชาโธอุทธัง อัดยะมิให้ออก!”
แต่ยังช้ากว่าจิระเดชไปเสี้ยววิ ผลของการพากเพียรร่ำเรียนเขียนอ่านพระคาถาเป็นผลให้การใช้งานไม่มีติดขัด เขาว่าพระคาถาอุดปืนเร็วปรื๋อ ถูกต้องทุกอักขระทุกประโยคไม่มีตกหล่น ที่สำคัญจิตใจขณะนี้ตั้งมั่นไม่มีแส่ส่าย สิ้นสุดวรรคสุดท้ายของพระคาถา อำนาจแห่งพระเวทย์ก็แผ่ไปจนทั่วทั้งคันรถ
ชายชรารอดตาย ปืนที่จ่ออยู่นั้นนกมิอาจสับลงได้ เจ้าของมีอันตะลึงงัน รู้ดีว่าเหตุการณ์นี้เกิดจากพระคาถาอันเข้มขลังของใครคนใดคนหนึ่ง เพียงแค่คิดไม่ถึงว่าจะมีคนแบบนั้นอยู่บนรถคันนี้ด้วย
“เอาเลยพี่ยุ!”
“เออ!” ขาดคำ สองพี่น้องก็โผล่พรวดจากที่กำบัง ส่ายปากกระบอกปืนไปหาบรรดาโจรแล้วเหนี่ยวไก พวกมันต้องคมกระสุนล้มลงทีละคน มีจังหวะหนึ่งจิรายุซึ่งขยับมายืนอยู่ตรงกลางถูกยิงสวน ผู้ที่เหนี่ยวไกใส่นั้นเป็นหนึ่งในคณะโจรด้านล่างที่ขึ้นมาช่วย และดูท่าจะไม่ธรรมดาเสียด้วย สามารถทลายอำนาจพระคาถายิงสวนมาได้ไม่มีติดขัด จิรายุเองก็ฝึกมาดี เอี้ยวตัวหลบได้ทันควัน พร้อมกับที่น้องชายยิงใส่โจรคนนั้นสี่นัดซ้อน ไม่มีพลาดเป้าเลยสักนัด โจรชั่วหงายท้องร้องคำรามในลำคอ ทว่าสิ่งที่ทะลุมีเพียงเสื้อผ้า เนื้อหนังไม่ได้รับอันตรายใด ๆ เลย
พอมันลุกขึ้นมาได้ สองพี่น้องก็เหนี่ยวไกใส่พร้อมกัน กระสุนพุ่งไปยังจุดเดียวกันราวกับนัดไว้ก่อนหน้า โจรหนังเหนียวถูกแรงปะทะของกระสุนเข้ากลางหน้าผาก หงายท้องกลิ้งหล่นไหลไปตามบันไดรถสู่ถนนเบื้องล่าง
“ตาม!” จิรายุร้องบอกน้องชายก่อนจะหุนหันพลันแล่นวิ่งตามไปหมายจะยิงซ้ำให้ตายอย่างทรมาน ฝ่ายน้องชายกลับรู้สึกถึงอำนาจบางอย่างที่ร้ายกาจกว่า ร้องห้ามเสียงหลงแต่ช้าไปเสียแล้ว
ทันทีที่ผู้หมู่คนพี่ถึงประตูรถ กลุ่มคนอีกกลุ่มซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นพวกเดียวกันหรือไม่ ยืนอยู่ในพงรกซ้ำยังแต่งตัวมิดชิดกว่ากัน ในห้วงนั้นแม้เวลาจะผ่านไปเพียงเสี้ยววิ แต่จิรายุกลับรู้สึกว่ามันนานชั่วกัปแสนกัลป์ และไอ้หนึ่งในกลุ่มคนที่ว่าก็ซัดโป้งด้วยลูกเก้าเข้าเต็มอก จิรายุถึงกับกระเด็นชนโครมใส่ทั้งคนทั้งเบาะด้านหลัง ทั่วทั้งหน้าอกเจ็บร้าวราวกระดูกแหลกลานป่นปี้ไม่มีเหลือ
“พี่ยุ!” จิระเดชพุ่งตัวเข้ามาและรับลูกปืนเข้าไปอีกคน สภาพสองพี่น้องนอนจุกเจ็บไม่ต่างกัน กลุ่มคนลึกลับนั้นค่อย ๆ กลืนหายไปกับความเขียวรกครึ้มของป่าด้านหลัง ก่อนที่สมุนของโจรกลุ่มแรกจะตะโกนลั่นและแบกร่างของลูกพี่ที่นอนเจ็บจุกขาพาดอยู่กับบันไดรถหนีไป
“ไอ้เสือ! ถอย!!!”
“ยะ...อย่าปล่อยให้มันรอดไปได้! ตามมันไปเร็ว...แค่ก ๆ”
จิรายุพยายามพลิกตัวยันกายลุกขึ้น ในใจมีเพียงต้องตามล่าไอ้พวกโจรกลุ่มนั้นไปให้ได้ จับเป็นสักคนก็ยังดีเผื่อจะบังคับให้คายเบาะแส ทว่าร่างกายกลับไม่ทำตามคำสั่งอีกทั้งน้องชายยังมีสภาพย่ำแย่พอกัน
กระสุนทั้งเก้าเม็ดตะกั่วเมื่อครู่ไม่เพียงทำให้บาดเจ็บภายใน ซ้ำยังทำลายอาคมที่คุ้มกันจนสลายราวกับไม่เคยมีมันอยู่ไปชั่วครู่ จริงอยู่ว่าตนมุทะลุ แต่ทุกขณะจิตเขาตั้งมั่นบริกรรมพระคาถาอยู่ตลอด ไม่มีทางที่อาคมของตนจะถูกเอาชนะได้เพราะจิตใจแส่ส่าย มันชี้ชัดไปได้เพียงประเด็นเดียว อีกกลุ่มโจรลึกลับนั่นมีอาคมที่แข็งแกร่งกว่า เป็นอย่างอื่นไปได้
“อย่าใจร้อนไปนักเลย...พวกนั้นไม่ธรรมดา ไม่ใช่โจรขี้ครอกที่เอาแต่บอกว่าเป็นกลุ่มเสือแผน อาศัยเอาแต่บารมีของลูกพี่ มีคาถานิดหน่อยก็เที่ยวกร่าง ทุกอย่างมีเวลาของมัน คนเราจะได้เจอกันต่อให้ไกลสุดล่าฟ้าเขียวหรือคนละซีกโลก สุดท้ายก็ต้องได้พบกันอยู่ดี ตอนนี้เจ็บก็ต้องพักให้หายเจ็บ นั่นถึงจะถูก...” จิรายุเหลือบมองผู้พูด ไม่ใช่ใคร ชายปริศนาที่นั่งหลับอยู่ตรงกลางเบาะหลังนั่นเอง
(มีต่อครับ)
แค้น ตอนที่.2 โดยตรัยโศก ณ ริมน่าน
“ขอ...ขอเขาอีกครั้งไม่ได้รึลูก? หรือถ้าไม่ได้ ตำหร่งตำรวจก็ไม่ต้องเป็น เงินทองของมีค่าบ้านเราก็มีอยู่มากโข ต่อให้หางานเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำบ้านเราก็ไม่อดตายหรอก นะลูกนะ...”
“พอเถอะจ้ะพี่เนียม” สำอางเอ่ยขัดขึ้นเสียงอ่อย ขอบตาแดงช้ำ เห็นได้ชัดว่านางแทบไม่ได้หลับได้นอน และยังผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักก่อนหน้านี้ เดินเนิบช้าก้มหน้าเช็ดน้ำมูกน้ำตา เงยหน้ามองลูกชายทั้งสองนิ่งโดยไม่พูดจาใด ๆ ครู่ใหญ่
“ยุ เดช...ตั้งแต่เล็กจนโตหน้าของพ่อลูกไม่เคยเห็น รูปถ่ายรูปวาดก็ไม่มีทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า แต่ในความทรงจำของแม่ พ่อของพวกลูกหน้าตาเป็นยังไง รายละเอียดทุกอย่างแม่จำได้ไม่มีเลือนรางหายไปแม้แต่น้อย”
พูดไปก็ปากสั่นระริก ดวงตาที่เริ่มมีฝ้าจับหลั่งรินน้ำใส ๆ ออกมาอาบแก้ม แต่ยังพยายามอดกลั้นเอาไว้ให้ถึงที่สุด มือเหี่ยวย่นและสั่นเทาตามวัยทั้งสองข้าง ยกขึ้นลูบไล้ไปตามแก้มของลูกทั้งสองด้วยอาการแผ่วเบา
“ลูกทั้งคู่ช่างเหมือนพ่อเหลือเกิน ทั้งหน้าตา นิสัย และความมุ่งมั่น...ฮือ...” แต่แล้ว...ก็สุดจะกลั้นไหว นางร่ำไห้ปานจะขาดใจ นางเนียมโอบกอดนางไว้เพื่อปลอบประโลม สองลูกชายทรุดตัวลงกราบแทบเท้าแม่และแม่บุญธรรม เงยหน้ามองดวงตาแดงเรื่อเช่นกัน
“แม่จ๋า แม่เนียม ลูกไปครั้งนี้เป็นด้วยหน้าที่อันสมควรที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคม นี่เป็นคำสัญญาของลูกทั้งสอง ลูกจะรักษาตัว ปลอดภัยกลับมา ขอให้แม่ไม่ต้องห่วง”
“ลูกเอ้ย...ตลอดหลายปีมานี้แม่มีบางอย่างที่ผิดต่อลูกและพ่อของลูก ก่อนไป พ่อเขามอบของต่างหน้าเอาไว้ให้ แต่แม่...แต่แม่กลัวลูกจะทิ้งแม่ไปอีกจึงซ่อนเอาไว้ แต่วันนี้แม่รู้แล้วว่าโชคชะตาคนเราไม่อาจฝืน”
“แหวนพิรอดนี้..พ่อเขาให้ลูกไว้ ชื่อจิรายุของลูกพ่อเขาก็เป็นคนตั้งให้เหมือนกัน” สำอางวางแหวนพิรอดลงในมือลูกชายคนโต
“ส่วนตะกรุดนี้ พ่อเขาให้ลูก ชื่อจิระเดชพ่อเขาก็เป็นคนตั้งให้เช่นกัน แม่เก็บสองอย่างนี้ให้ห่างจากพวกลูกมานานเกินไป เวลานี้แม่คิดได้แล้ว เก็บรักษาเอาไว้ให้ดี ทั้งของต่างหน้านี้และชีวิตของลูก กลับมาหาแม่อย่างปลอดภัยนะ แม่...กับแม่เนียมขอให้ลูกโชคดีและปลอดภัย” สำอางบอกยิ้มทั้งน้ำตา
จิรายุสวมแหวนพอรอดที่นิ้วชี้ขวา รู้สึกถึงพลังงานบางอย่างที่ล้นเอ่อ มันเป็นพลังงานลึกลับแบบเดียวกันกับที่เขามักรู้สึกได้จากดงกล้วยข้างบ้าน
ฝ่ายจิระเดชน้องชาย คล้องตะกรุดหน้าผากเสือสวมคอและรู้สึกแบบเดียวกันกับพี่ชาย การกระทำของทั้งคู่ทำให้สำอางน้ำตารื้นอีกครั้ง ไม่มีใครบอกกล่าว แต่เขาทั้งสองกลับรู้ว่ามันเคยอยู่ตำแหน่งใดบนร่างกายของผู้เป็นพ่อ นี่กระมังที่เรียกว่าสายสัมพันธ์ของความเป็นพ่อลูก
แผ่นหลังของลูกชายทั้งสองค่อย ๆ ห่างออกไปซ้ำยังถูกม่านน้ำตาทำให้พร่าเลือนจนมองไม่ชัด ที่สุดทั้งคู่ก็หายลับไปจากสายตา จากคราแรกสำอางคิดว่านางคงทนไม่ไหว ต้องวิ่งตามลูกไปเพื่อรั้งไว้ต่อให้ต้องยอมทำให้บาปตกแก่ลูกด้วยการก้มกราบก็ยอม
ทว่า...เมื่อย้อนนึกถึงคำพูดและสายตาอันมุ่งมั่นของจิรายุแล้ว นางกลับเปลี่ยนความเสียใจเป็นเชื่อมั่น แม้จะไม่รู้อะไรมากนักแต่นางก็มั่นใจว่านายมิ่งผัวรักผู้จากไปไม่รู้ตายหรือเป็น เก่งกาจไม่น้อย ฉะนั้น ลูกชายทั้งสองที่สืบเชื้อสายมาจากเขา ยังไงก็ต้องเก่งกาจไม่แพ้กัน
บนรถเมล์ประจำทาง ผู้คนค่อนข้างแน่นแต่ยังพอมีที่ว่าง เพื่อความสะดวกในการเดินทางและเพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตา ทั้งคู่จึงเปลี่ยนเป็นชุดลำลองดั่งวัยรุ่นธรรมดาใส่กัน
เบาะหลังซึ่งเป็นเบาะยาวคือจุดที่ทั้งคู่เลือกนั่ง แต่ก็มีเหตุจำเป็นให้ต้องแยกกัน เพราะตรงกลางมีชายผู้หนึ่งแต่งตัวกึ่งมอซอสวมหมวกปีกกว้างขาด ๆ ซ้ำยังดึงปีกหมวกลงต่ำ จังหวะค้อมหัวคอตกเป็นระยะชี้ชัดว่าชายผู้นั้นกำลังหลับ ฉะนั้นคงเป็นการเสียมารยาทแน่หากจะปลุกให้เขาตื่นขึ้นเพียงเพื่อขยับที่นั่ง
ผ่านไปราว ๆ สองชั่วโมงเศษ หลังรถแล่น ๆ หยุด ๆ เพื่อรับส่งผู้โดยสารรายทาง บัดนี้เข้าเขตอำเภอสามพรานมาสักระยะแล้ว จังหวะที่สองฟากถนนเป็นป่าทึบเขียวขจีสลับทุ่งนา จู่ ๆ เสียงระเบิดก็ดังลั่นพร้อมกับอาการโคลงเพราะรถเสียหลัก เบนขวางลากยาวไปกับถนนครู่ใหญ่จึงหยุดสนิท ยางระเบิด!
สองพี่น้องเหลียวสบตากัน ต่างคนต่างรู้ใจ ปืนพกประจำกายปลดจากซองหนังกระชับมั่นไว้ในมือเป็นการเตรียมพร้อม ทั้งคู่ได้ยินชัดถนัดหูถึงเสียงยางระเบิด และเสียงก่อนหน้านั้นเพียงเสี้ยววิ เสียงปืน!!
ผู้โดยสารวี้ดว้ายกรีดร้องด้วยอาการตกใจกลัว ยังไม่ทันได้สงบดีก็ต้องหมอบต่ำหวีดร้องอีกเป็นคำรบสอง เมื่อด้านนอกสองฝั่งรถ มีกลุ่มคนแต่งกายมิดชิดยิงอาวุธสงครามจนลั่นสนั่นไปทั่วทั้งพื้นที่
“สวัสดีครับท่านผู้โดยสารทั้งหลาย...พวกเรากลุ่มโจรเสือแผน ใครไม่อยากตาย...กรุณาถอดของมีค่ายัดใส่ในถุงด้วยนะครับ!”
หนึ่งในสี่ห้าคนที่ว่าขึ้นมาบนรถพร้อมอาวุธที่สามารถประหัตประหารใครก็ได้ที่ขัดขวางประกาศก้อง ขณะเดียวกันอีกคนก็เปิดถุงดำยื่นไปตรงหน้าผู้โดยสารคนนั้นคนนี้ ไม่มีใครเลยจะคิดขัดขืน ด้วยอาวุธที่พวกมันถืออยู่ดูอันตรายเกินไป ทั้งด้านนอกยังมีพวกเดียวกันคุมเชิงอยู่อีกเรือนสิบ เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่คนฉลาดจะกระทำกันคือรักษาชีวิตไว้ก่อน ทรัพย์สินมีค่าค่อยว่ากัน
สองพี่น้องรอจังหวะ ดูว่าจะมีกำลังของพวกมันขึ้นมาอีกไหม แต่แล้วเสียงเอะอะโวยวายก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราผู้หนึ่งซึ่งคงอยู่มานานเกินกว่าจะเสียดายชีวิตลุกพรวดขึ้นจังหวะที่ไอ้โจรถ่อยถือถุงผ้าเข้ามาในระยะ
ชายชราเงื้อไม้เท้าอันเป็นสิ่งเดียวที่ค้ำให้ตนไม่ล้มลงกับพื้นเพื่อทำร้ายโจรถ่อยคนนั้น ทว่า...มันเชื่องช้าเกินไป ซ้ำช่วงของไม้เท้ายังยาวจนไปขัดกับพัดลมเพดานรถ ในหัวใจของชายชราคงตระหนักได้แล้วว่า วาระสุดท้ายของตนคงมาถึงแล้ว
“ไอ้แก่หน้าโง่! กูอุตส่าห์พูดดี ๆ แล้วนะ ฮ่า ๆ ในที่สุดก็จะได้เห็นเลือดคนสักทีโว้ย! การปล้นมันต้องฆ่าด้วยสิวะถึงจะถูก!!!” ไอ้โจรคนแรกที่ประกาศตัวเองตวาดว่าพร้อมยิ้มเหี้ยม ชักปืนขึ้นมาจ่อชิดกลางอกชายชราและเหนี่ยวไกทันที
“อะอัดนะ นัดมัดอัด อุทธะอุตตัมปิ อุตตะรัง อุสุอัสสะปะปิภะคะวา อิติผิดนะ อุทธัง อัทโธ โมโทอัดธังอุด พุทอุทธัง อัทโธ ชาโธอุทธัง อัดยะมิให้ออก!”
แต่ยังช้ากว่าจิระเดชไปเสี้ยววิ ผลของการพากเพียรร่ำเรียนเขียนอ่านพระคาถาเป็นผลให้การใช้งานไม่มีติดขัด เขาว่าพระคาถาอุดปืนเร็วปรื๋อ ถูกต้องทุกอักขระทุกประโยคไม่มีตกหล่น ที่สำคัญจิตใจขณะนี้ตั้งมั่นไม่มีแส่ส่าย สิ้นสุดวรรคสุดท้ายของพระคาถา อำนาจแห่งพระเวทย์ก็แผ่ไปจนทั่วทั้งคันรถ
ชายชรารอดตาย ปืนที่จ่ออยู่นั้นนกมิอาจสับลงได้ เจ้าของมีอันตะลึงงัน รู้ดีว่าเหตุการณ์นี้เกิดจากพระคาถาอันเข้มขลังของใครคนใดคนหนึ่ง เพียงแค่คิดไม่ถึงว่าจะมีคนแบบนั้นอยู่บนรถคันนี้ด้วย
“เอาเลยพี่ยุ!”
“เออ!” ขาดคำ สองพี่น้องก็โผล่พรวดจากที่กำบัง ส่ายปากกระบอกปืนไปหาบรรดาโจรแล้วเหนี่ยวไก พวกมันต้องคมกระสุนล้มลงทีละคน มีจังหวะหนึ่งจิรายุซึ่งขยับมายืนอยู่ตรงกลางถูกยิงสวน ผู้ที่เหนี่ยวไกใส่นั้นเป็นหนึ่งในคณะโจรด้านล่างที่ขึ้นมาช่วย และดูท่าจะไม่ธรรมดาเสียด้วย สามารถทลายอำนาจพระคาถายิงสวนมาได้ไม่มีติดขัด จิรายุเองก็ฝึกมาดี เอี้ยวตัวหลบได้ทันควัน พร้อมกับที่น้องชายยิงใส่โจรคนนั้นสี่นัดซ้อน ไม่มีพลาดเป้าเลยสักนัด โจรชั่วหงายท้องร้องคำรามในลำคอ ทว่าสิ่งที่ทะลุมีเพียงเสื้อผ้า เนื้อหนังไม่ได้รับอันตรายใด ๆ เลย
พอมันลุกขึ้นมาได้ สองพี่น้องก็เหนี่ยวไกใส่พร้อมกัน กระสุนพุ่งไปยังจุดเดียวกันราวกับนัดไว้ก่อนหน้า โจรหนังเหนียวถูกแรงปะทะของกระสุนเข้ากลางหน้าผาก หงายท้องกลิ้งหล่นไหลไปตามบันไดรถสู่ถนนเบื้องล่าง
“ตาม!” จิรายุร้องบอกน้องชายก่อนจะหุนหันพลันแล่นวิ่งตามไปหมายจะยิงซ้ำให้ตายอย่างทรมาน ฝ่ายน้องชายกลับรู้สึกถึงอำนาจบางอย่างที่ร้ายกาจกว่า ร้องห้ามเสียงหลงแต่ช้าไปเสียแล้ว
ทันทีที่ผู้หมู่คนพี่ถึงประตูรถ กลุ่มคนอีกกลุ่มซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นพวกเดียวกันหรือไม่ ยืนอยู่ในพงรกซ้ำยังแต่งตัวมิดชิดกว่ากัน ในห้วงนั้นแม้เวลาจะผ่านไปเพียงเสี้ยววิ แต่จิรายุกลับรู้สึกว่ามันนานชั่วกัปแสนกัลป์ และไอ้หนึ่งในกลุ่มคนที่ว่าก็ซัดโป้งด้วยลูกเก้าเข้าเต็มอก จิรายุถึงกับกระเด็นชนโครมใส่ทั้งคนทั้งเบาะด้านหลัง ทั่วทั้งหน้าอกเจ็บร้าวราวกระดูกแหลกลานป่นปี้ไม่มีเหลือ
“พี่ยุ!” จิระเดชพุ่งตัวเข้ามาและรับลูกปืนเข้าไปอีกคน สภาพสองพี่น้องนอนจุกเจ็บไม่ต่างกัน กลุ่มคนลึกลับนั้นค่อย ๆ กลืนหายไปกับความเขียวรกครึ้มของป่าด้านหลัง ก่อนที่สมุนของโจรกลุ่มแรกจะตะโกนลั่นและแบกร่างของลูกพี่ที่นอนเจ็บจุกขาพาดอยู่กับบันไดรถหนีไป
“ไอ้เสือ! ถอย!!!”
“ยะ...อย่าปล่อยให้มันรอดไปได้! ตามมันไปเร็ว...แค่ก ๆ”
จิรายุพยายามพลิกตัวยันกายลุกขึ้น ในใจมีเพียงต้องตามล่าไอ้พวกโจรกลุ่มนั้นไปให้ได้ จับเป็นสักคนก็ยังดีเผื่อจะบังคับให้คายเบาะแส ทว่าร่างกายกลับไม่ทำตามคำสั่งอีกทั้งน้องชายยังมีสภาพย่ำแย่พอกัน
กระสุนทั้งเก้าเม็ดตะกั่วเมื่อครู่ไม่เพียงทำให้บาดเจ็บภายใน ซ้ำยังทำลายอาคมที่คุ้มกันจนสลายราวกับไม่เคยมีมันอยู่ไปชั่วครู่ จริงอยู่ว่าตนมุทะลุ แต่ทุกขณะจิตเขาตั้งมั่นบริกรรมพระคาถาอยู่ตลอด ไม่มีทางที่อาคมของตนจะถูกเอาชนะได้เพราะจิตใจแส่ส่าย มันชี้ชัดไปได้เพียงประเด็นเดียว อีกกลุ่มโจรลึกลับนั่นมีอาคมที่แข็งแกร่งกว่า เป็นอย่างอื่นไปได้
“อย่าใจร้อนไปนักเลย...พวกนั้นไม่ธรรมดา ไม่ใช่โจรขี้ครอกที่เอาแต่บอกว่าเป็นกลุ่มเสือแผน อาศัยเอาแต่บารมีของลูกพี่ มีคาถานิดหน่อยก็เที่ยวกร่าง ทุกอย่างมีเวลาของมัน คนเราจะได้เจอกันต่อให้ไกลสุดล่าฟ้าเขียวหรือคนละซีกโลก สุดท้ายก็ต้องได้พบกันอยู่ดี ตอนนี้เจ็บก็ต้องพักให้หายเจ็บ นั่นถึงจะถูก...” จิรายุเหลือบมองผู้พูด ไม่ใช่ใคร ชายปริศนาที่นั่งหลับอยู่ตรงกลางเบาะหลังนั่นเอง
(มีต่อครับ)