ออกญาจักรีที่คราแรกจะร่วมแผนแสร้งไปแจ้งออกญากลาโหมเรื่องเข้าวังมาเข้าเฝ้า แต่เมื่อทหารของตนจับสิงห์ไม่ได้ ออกญาจักรีจึงกลับมาที่พระราชวังและร่วมสู้รบกับพระเชษฐาธิราชจนใกล้จะรุ่งสาง แต่เมื่อออกญาจักรีเห็นท่าไม่ดีจึงหาหนทางหลบหนีออกจากพระราชวัง และเมื่อหนีพ้นก็เกิดโกรธแค้นสิงห์ยิ่งนักที่เป็นคนมาทำลายแผนการทั้งหมด และเป็นเหตุให้ญาติสนิทมิตรสหายถูกคนของออกญากลาโหมฆ่าตายจนหมดสิ้น ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นใจ ออกญาจักรีจึงมุ่งหน้าไปยังเรือนจมื่นสรรเพชญ์ภักดีเพื่อล้างแค้นให้แก่บรรดาพวกพ้องของตนที่ต้องล้มหายตายจากไปด้วยความหุนหัน
ขณะนั้นทับทิมและลูกน้อยกำลังหลับสนิท ส่วนสิงห์กับจมื่นสรรเพชญ์ภักดีก็ยังคงวุ่นวายอยู่ในพระราชวังกับออกญากลาโหม มีเพียงคุณหญิงชื่นที่ตื่นมาสั่งบ่าวไพร่เคี่ยวยาบำรุงให้ทับทิมด้วยตนเองเพราะความเห่อหลาน ขณะนั้นออกญาจักรีบุกขึ้นเรือนและได้ปะดาบกับบ่าวในบ้าน เมื่อทับทิมได้ยินเสียงดาบกระทบกันก็ฝืนยันตัวลุกไปเปิดประตูปลุกจุกที่นอนเฝ้าอยู่หน้าห้อง เมื่อเห็นออกญาจักรีนำคนบุกรุกจนจะขึ้นเรือน จึงรีบเอาลูกมาฝากจุกไว้ จุกรีบอุ้มหลานที่นอนหลับสนิทไว้ในอ้อมแขน ทับทิมฝืนลุกเดินไปหยิบดาบ แม้ว่าบาดแผลจากการคลอดลูกจะยังคงไม่ทุเลาความเจ็บปวด แต่เมื่อภัยมาถึงตัว เป็นตายร้ายดีก็ต้องจับดาบเข้าสู้
ออกญาจักรีเดินถือดาบเข้าหาคุณหญิงชื่นเงื้อมือจะฟาดฟันลงบนร่างนั้น ทับทิมรีบพุ่งมางัดดาบนั้นไว้ ทั้งคู่ต่อสู้กันสักพัก แต่ด้วยเรี่ยวแรงของทับทิมที่ฝืนบาดแผลมาจับดาบปกป้องคนในบ้านไม่อาจต้านทานแรงแค้นของออกญาจักรีได้ ดาบของทับทิมถูกออกญาจักรีงัดจนหลุดมือไป ทับทิมทรุดลงกับพื้น คุณหญิงชื่นวิ่งมากอดทับทิมไว้
“รักใคร่กันนัก ฉันก็จะสงเคราะห์ให้ตายตกตามกันไป” ออกญาจักรีตวาดเสียงดังลั่น ทารกน้อยในอ้อมกอดของจุกตกใจเสียขวัญจึงส่งเสียงร้องออกมาไม่ยอมหยุด ออกญาจักกรีได้ยินเสียงเด็กร้องจึงคิดการชั่วในทันที
“นั่นคงเป็นหลานของคุณหญิง ลูกของไอ้สิงห์กับนังลูกสะใภ้ชาติไพร่นี้ล่ะสิ” ออกญาจักรีตะคอกเน้นว่าทับทิมเป็นชาติไพร่ต่ำสกุลเพราะยังแค้นเคืองแทนอังกาบบุตรีของตน
“อย่าทำกระไรหลานฉันนะ ฉันขอล่ะ หากอยากจะฆ่าใครเพื่อแก้แค้นก็ฆ่าฉันเถิด แต่ปล่อยหลานฉันไปเถิดนะ”
คุณหญิงชื่นร้องไห้อ้อนวอนขอออกญาจักรี แต่เขาจักรีหาได้ฟังไม่ คุณหญิงชื่นร้องตะโกนให้จุกพาหลานตนหนีไป จุกรีบหอบหลานจะวิ่งหนีไป แต่ก็โดนออกญาจักรีวิ่งมาดักหน้า ทับทิมฝืนร่างกายวิ่งตามไป ออกญาจักรีสะแหยะยิ้มก่อนจะเงื้อดาบแทงลงไปที่ร่างของทารกน้อย
เลือดพุ่งกระฉูด...เลือดสีแดงข้นเปรอะเต็มหน้าทารกน้อย เสียงร้องของเด็กยังคงดังลั่นไปทั่วทั้งบริเวณบ้าน ร่างของจุกทรุดลงกับพื้น ในมือยังคงกอดหลานไว้แน่น ดาบที่เสียบคาอยู่ที่ท้องจนทะลุออกมาอีกข้างทำให้จุกเจ็บปวดจนน้ำตาไหลนองหน้า แต่จุกก็ไม่คิดเสียใจที่ตัดสินใจหันหลังรับคมดาบแทนทารกน้อยในอ้อมกอด
สิงห์พร้อมทหารอีกจำนวนหนึ่งมาถึงเรือนและเห็นเหตุการณ์สลดนั้นพอดี สิงห์รีบเข้าจับกุมออกญาจักรี ออกญาจักรีจึงชักดาบที่ปักคาร่างจุกออก เลือดยิ่งพุ่งทะลักหนักขึ้น จุกเข่าทรุดลงกับพื้น ทับทิมรีบวิ่งเข้าไปดูใจจุกที่กำลังนั่งกอดหลานไว้ในอ้อมอกทั้งที่ตนกำลังจะสิ้นใจ
“หลานฉันปลอดภัยดีนะพี่ หลานไม่เป็นกระไร จุกก้มมองหลานน้อยในอ้อมกอด แล้วยื่นคืนให้ทับทิม ทับทิมรับลูกน้อยมามือไม้สั่น
“ไอ้จุกแข็งใจไว้ก่อน บุษย์ไปตามหมอมาสิ ไปตามหมอมา ...” จุกเลือดไหลไม่หยุด เลือดทะลักไหลพุ่งออกทางปาก ทับทิมยิ่งตกใจกรีดร้องเสียงหลง
“ ฉันทนความเจ็บปวดไม่ไหวแล้ว” และนั่นคือคำล่ำลาสุดท้ายที่ออกจากปากของของจุกผู้เป็นดั่งน้องชายของทับทิม ทับทิมกรีดร้องปลุกให้จุกฟื้นคืนมา แต่ก็ไม่มีเสียงคุ้นหูตอบสนองมาเหมือนเคย เสียงร้องไห้ของทับทิมไม่ว่าจะโศกเศร้าสักเพียงใด คงไม่สามารถปลุกชีวิตของจุกขึ้นมาได้ดังที่ต้องการ...
00000000
ออกญาจักรีถูกทหารล้อมจับไว้ได้ และถูกจับคุมขังไว้ที่คุกมืดเพื่อรอลงอาญาต่อไป อังกาบเมื่อรู้ข่าวก็อาละวาดคลุ้มคลั่งจนเสียสติ ทางด้านเรื่องในพระราชวัง หลังจากกำจัดพระเชษฐาธิราชไปแล้ว บรรดาเสนาพฤฒามาตย์ราชปุโรหิตก็นำเครื่องราชกกุธภัณฑ์มาถวาย แต่เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ตอบว่า
“เราทำการครั้งนี้จะชิงราชสมบัติหามิได้ เพราะภัยมาถึงตัวแล้วก็จำเป็น พระอาทิตย์วงศ์ซึ่งเป็นราชบุตรพระมหากษัตริย์นั้นยังมีอยู่ ควรจะยกพระอาทิตย์วงศ์ขึ้นผ่านสมบัติโดยราชประเพณีจึงจะชอบ”
ด้วยเหตุนี้ พระอาทิตย์วงศ์ โอรสของพระเจ้าทรงธรรมซึ่งมีพระชนมายุเพียง ๙ พรรษาจึงได้รับการอัญเชิญขึ้นครองราชย์
๐๐๐๐๐๐๐๐
ทับทิมอุ้มลูกน้อยมาเฝ้าจุกที่บัดนี้หมอได้ทำแผลให้จุกอย่างเรียบร้อย ไม่ว่าใครจะบอกให้ทับทิมตัดใจเลิกหวังลมแล้งว่าจุกจะรอดชีวิต แต่ลมหายใจอ่อนแรงของจุกทำให้ทับทิมไม่อาจตัดใจเลิกหวังได้ หมอบอกว่าอาการของจุกคงไม่รอดราตรีนี้เป็นแน่ สิงห์เข้ามากล่อมให้ทับทิมปล่อยให้จุกจากไปอย่างสบาย อย่ายื้อให้จุกทรมานต่อไปอีกเลย แต่ทับทิมไม่ฟังคำของใครทั้งนั้น สิงห์จึงมาอุ้มลูกน้อยของตนไปเข้านอน ยอมปล่อยให้ทับทิมเฝ้าร่างไร้วิญญาณของจุกตามลำพัง
ทับทิมนั่งฟุบหลับไป รู้สึกตัวอีกทีเมื่อรุ่งสาง ลืมตาขึ้นมายังคงเห็นจุกนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง หยาดน้ำตาของความสิ้นหวังหลั่งไหลมาราวกับหยาดฝน ทับทิมเขย่าตัวจุกไปมา ร่ำร้องให้น้องชายสุดรักฟื้นคืนมา อย่าทิ้งตนไว้เช่นนี้ ใครที่พบเห็นภาพสลดนี้ต่างก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาตามกันไป
“ฉันจะตายเพราะพี่นี่แหละ โอ๊ยย...”
ทับทิมตกใจกับเสียงคุ้นเคย เมื่อมองเห็นดวงตาสุกใสของจุกทับทิมก็หยุดเขย่าร่างของคนเจ็บทันที และค่อยๆวางลงอย่างนุ่มนวล มือก็ปาดน้ำตาปากก็ยิ้มอย่างดีใจเป็นที่สุด
“เอ็งรอด...เอ็งไม่ตายแล้ว...จริงๆรึไอ้จุก...หรือว่าข้าฝันไป...บอกข้าสิไอ้จุกว่าเอ็งฟื้นแล้วจริงๆ”
“ก็น่าจะรอดแหละพี่ ก็น่าจะยังไม่ตายกระมัง” จุกยังติดนิสัยพูดติดตลก แต่ทับทิมยิ้มทั้งน้ำตาที่ได้ยินประโยคนี้จากน้องชาย
“ฟื้นแล้วรึ เสียงหมอฝรั่งพูดทักทายจุกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม”
“หมอฝาหรั่ง มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อใดกันขอรับ” สิงห์เอ่ยถามเมื่อเห็นหมอฝรั่งมาปรากฏกายที่เรือนตน
“พ่อไปขอร้องให้ท่านมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วพ่อสิงห์ เห็นแม่ทับทิมร้องไห้คร่ำครวญแล้วพ่อสงสารยิ่งนัก เห็นว่าแผลถูกแทงทะลุเช่นนี้หมอธรรมดาคงยากที่จะรักษา แต่แผลเช่นนี้ทหารผ่านศึกเคยมีแบบนี้มามากนัก แลพ่อเคยเห็นหมอฝาหรั่งรักษาได้ชะงัดนัด จึงไปตามตัวท่านมารักษาไอ้จุกตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
สิงห์กราบขอบคุณพ่อแทนทับทิมและจุก...
“มิเป็นไรดอก ไอ้จุกมันยอมรับคมดาบแทนหลานของพ่อ มันไม่สมควรจะต้องตาย” จมื่นสรรเพชญ์ภักดีมองจุกด้วยแววตาชื่นชม
“แต่เมื่อคืนทับทิมก็นอนเฝ้าจุกอยู่ หมอฝาหรั่งมารักษาจุกเหตุใดไม่รู้สึกตัวเลยเล่าเจ้าคะ” ทับทิมเอ่ยถาม
“หมอมาถึงกลางดึก เห็นว่าแม่ทับทิมหลับอยู่ จึงไม่ได้ปลุกขึ้นมา เพราะเห็นว่าแม่ทับทิมไม่ได้พักมาทั้งวันแล้ว”
ทับทิมกราบขอบคุณจมื่นสรรเพชญ์อีกครั้ง ทุกคนในเรือนต่างเริ่มมีรอยยิ้มติดใบหน้าเมื่อจุกรอดตาย บุษย์จอมโม้ไปคุยโวถึงฝีมือของหมอฝาหรั่งให้บ่าวในเรือนฟังอย่างออกรสอีกเช่นเคย...
00000000
จากนั้นเพียงหกเดือน ทว่าพระอาทิตยวงศ์ยังทรงพระเยาว์นักจึงได้แต่ทรงเล่นสนุกจนไปล่วงเกินขุนนางผู้ใหญ่หลายครั้ง สุดท้ายขุนนางทั้งปวงจึงไปข้อร้องให้เจ้าพระกลาโหมสุริยวงศ์ขึ้นครองบัลลังก์แทนเพื่อเห็นแก่บ้านเมือง เจ้าพระกลาโหมสุริยวงศ์จึงถอดพระอาทิตยวงศ์ลงจากราชสมบัติ แล้วจึงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ใน พ.ศ. 2173 เมื่อมีพระชนมายุได้สามสิบห้าพรรษา โดยทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
00000000
8 ปีผ่านไป... ณ ลานกว้างเรือนหลังเก่าของครูเที่ยง...
ทับทิมกับสิงห์หอบลูกน้อยกลับมาเยี่ยมเยียนเพลิงกับอบเชยที่วิเศษชัยชาญ ซึ่งบัดนี้สิงห์ได้เป็นถึงหลวงสุรสิงห์ และเพลิงก็เป็นครูมวยชื่อดังของวิเศษชัยชาญ มีลูกศิษย์ลูกหานับหน้าถือตามากมาย
ในลานมวย... เด็กหญิงแก่นกะโหลกกำลังหัดเตะต่อย โดยมีพี่ชายคอยฝึกซ้อมให้ ทับทิมมองตามเด็กทั้งคู่แล้วเหมือนเห็นตนเองในอดีต
“พ่อ
เพชร พาน้องมากินขนมเร็วลูก พักกันก่อน แม่ทำของชอบมาให้หลายอย่างเชียวนะ”
เพชรลูกชายของอบเชยกับเพลิงเดินจูงมือน้องสาวจอมแก่นมาหาทุกคน
“คุณหนู
พลอยจะรับกระไรก่อนดีเจ้าค่ะ” เพลินที่ติดตามมารับใช้คุณหนูน้อยเอ่ยถาม
“น้าจุก พลอยอยากไปปีนมะม่วงตาจั่นเหมือนแม่ พาพลอยไปหน่อยสิจ๊ะ”
“นี่เอ็งเล่าเรื่องนี้ให้หลานฟังด้วยรึ” ทับทิมดุจุกที่เล่าเรื่องของตนให้ลูกฟัง จุกยิ้มหน้าเจื่อนรีบอุ้มหลานน้อยขึ้นขี่คอแล้ววิ่งหนีไป
“ต้นมะม่วงตาจั่นอยู่ตั้งไกล ปีนต้นมะม่วงหลังบ้านไปก่อนนะคุณหนูพลอยหลานรัก” สองอาหลานเล่นสนุกกัน หลานน้อยก็แสนจะติดหนึบและเพลิดเพลินเมื่อได้อยู่บนอ้อมกอดของจุก
เพลิงมองตามสองน้าหลานไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม...
“ลูกเอ็งทำตัวติดหนึบกับไอ้จุก เหมือนกับเอ็งไม่มีผิด เห็นทีคุณหลวงสุรสิงห์คงต้องกลุ้มใจเหมือนที่ครูเที่ยงเคยเป็น”
“กลุ้มใจกระไรรึพี่เพลิง” สิงห์เอ่ยถาม
“กลุ้มใจเรื่องจะขายไม่ออกกระไรเล่า” เพลิงกล่าวเพราะเห็นแววหลานสาวที่มีนิสัยเหมือนแม่ไม่มีผิด อบเชยตีแขนเพลิงเบาๆให้หยุดล้อพี่สาวกับหลานสาวของตน
จุกพาหลานขี่หลังกลับมา คุณหนูพลอยวิ่งมาจูงมือเพชรไปซ้อมมวยอีกครั้ง ทุกคนมองดูเด็กทั้งคู่ผู้ที่กำลังสืบสานศิลปะแม่ไม้มวยไทยอย่างยิ้มแย้มยินดี...
00000000
จบบริบูรณ์
ตอนจบแล้วเจ้าค่าาาา
ขณะนั้นทับทิมและลูกน้อยกำลังหลับสนิท ส่วนสิงห์กับจมื่นสรรเพชญ์ภักดีก็ยังคงวุ่นวายอยู่ในพระราชวังกับออกญากลาโหม มีเพียงคุณหญิงชื่นที่ตื่นมาสั่งบ่าวไพร่เคี่ยวยาบำรุงให้ทับทิมด้วยตนเองเพราะความเห่อหลาน ขณะนั้นออกญาจักรีบุกขึ้นเรือนและได้ปะดาบกับบ่าวในบ้าน เมื่อทับทิมได้ยินเสียงดาบกระทบกันก็ฝืนยันตัวลุกไปเปิดประตูปลุกจุกที่นอนเฝ้าอยู่หน้าห้อง เมื่อเห็นออกญาจักรีนำคนบุกรุกจนจะขึ้นเรือน จึงรีบเอาลูกมาฝากจุกไว้ จุกรีบอุ้มหลานที่นอนหลับสนิทไว้ในอ้อมแขน ทับทิมฝืนลุกเดินไปหยิบดาบ แม้ว่าบาดแผลจากการคลอดลูกจะยังคงไม่ทุเลาความเจ็บปวด แต่เมื่อภัยมาถึงตัว เป็นตายร้ายดีก็ต้องจับดาบเข้าสู้
ออกญาจักรีเดินถือดาบเข้าหาคุณหญิงชื่นเงื้อมือจะฟาดฟันลงบนร่างนั้น ทับทิมรีบพุ่งมางัดดาบนั้นไว้ ทั้งคู่ต่อสู้กันสักพัก แต่ด้วยเรี่ยวแรงของทับทิมที่ฝืนบาดแผลมาจับดาบปกป้องคนในบ้านไม่อาจต้านทานแรงแค้นของออกญาจักรีได้ ดาบของทับทิมถูกออกญาจักรีงัดจนหลุดมือไป ทับทิมทรุดลงกับพื้น คุณหญิงชื่นวิ่งมากอดทับทิมไว้
“รักใคร่กันนัก ฉันก็จะสงเคราะห์ให้ตายตกตามกันไป” ออกญาจักรีตวาดเสียงดังลั่น ทารกน้อยในอ้อมกอดของจุกตกใจเสียขวัญจึงส่งเสียงร้องออกมาไม่ยอมหยุด ออกญาจักกรีได้ยินเสียงเด็กร้องจึงคิดการชั่วในทันที
“นั่นคงเป็นหลานของคุณหญิง ลูกของไอ้สิงห์กับนังลูกสะใภ้ชาติไพร่นี้ล่ะสิ” ออกญาจักรีตะคอกเน้นว่าทับทิมเป็นชาติไพร่ต่ำสกุลเพราะยังแค้นเคืองแทนอังกาบบุตรีของตน
“อย่าทำกระไรหลานฉันนะ ฉันขอล่ะ หากอยากจะฆ่าใครเพื่อแก้แค้นก็ฆ่าฉันเถิด แต่ปล่อยหลานฉันไปเถิดนะ”
คุณหญิงชื่นร้องไห้อ้อนวอนขอออกญาจักรี แต่เขาจักรีหาได้ฟังไม่ คุณหญิงชื่นร้องตะโกนให้จุกพาหลานตนหนีไป จุกรีบหอบหลานจะวิ่งหนีไป แต่ก็โดนออกญาจักรีวิ่งมาดักหน้า ทับทิมฝืนร่างกายวิ่งตามไป ออกญาจักรีสะแหยะยิ้มก่อนจะเงื้อดาบแทงลงไปที่ร่างของทารกน้อย
เลือดพุ่งกระฉูด...เลือดสีแดงข้นเปรอะเต็มหน้าทารกน้อย เสียงร้องของเด็กยังคงดังลั่นไปทั่วทั้งบริเวณบ้าน ร่างของจุกทรุดลงกับพื้น ในมือยังคงกอดหลานไว้แน่น ดาบที่เสียบคาอยู่ที่ท้องจนทะลุออกมาอีกข้างทำให้จุกเจ็บปวดจนน้ำตาไหลนองหน้า แต่จุกก็ไม่คิดเสียใจที่ตัดสินใจหันหลังรับคมดาบแทนทารกน้อยในอ้อมกอด
สิงห์พร้อมทหารอีกจำนวนหนึ่งมาถึงเรือนและเห็นเหตุการณ์สลดนั้นพอดี สิงห์รีบเข้าจับกุมออกญาจักรี ออกญาจักรีจึงชักดาบที่ปักคาร่างจุกออก เลือดยิ่งพุ่งทะลักหนักขึ้น จุกเข่าทรุดลงกับพื้น ทับทิมรีบวิ่งเข้าไปดูใจจุกที่กำลังนั่งกอดหลานไว้ในอ้อมอกทั้งที่ตนกำลังจะสิ้นใจ
“หลานฉันปลอดภัยดีนะพี่ หลานไม่เป็นกระไร จุกก้มมองหลานน้อยในอ้อมกอด แล้วยื่นคืนให้ทับทิม ทับทิมรับลูกน้อยมามือไม้สั่น
“ไอ้จุกแข็งใจไว้ก่อน บุษย์ไปตามหมอมาสิ ไปตามหมอมา ...” จุกเลือดไหลไม่หยุด เลือดทะลักไหลพุ่งออกทางปาก ทับทิมยิ่งตกใจกรีดร้องเสียงหลง
“ ฉันทนความเจ็บปวดไม่ไหวแล้ว” และนั่นคือคำล่ำลาสุดท้ายที่ออกจากปากของของจุกผู้เป็นดั่งน้องชายของทับทิม ทับทิมกรีดร้องปลุกให้จุกฟื้นคืนมา แต่ก็ไม่มีเสียงคุ้นหูตอบสนองมาเหมือนเคย เสียงร้องไห้ของทับทิมไม่ว่าจะโศกเศร้าสักเพียงใด คงไม่สามารถปลุกชีวิตของจุกขึ้นมาได้ดังที่ต้องการ...
ออกญาจักรีถูกทหารล้อมจับไว้ได้ และถูกจับคุมขังไว้ที่คุกมืดเพื่อรอลงอาญาต่อไป อังกาบเมื่อรู้ข่าวก็อาละวาดคลุ้มคลั่งจนเสียสติ ทางด้านเรื่องในพระราชวัง หลังจากกำจัดพระเชษฐาธิราชไปแล้ว บรรดาเสนาพฤฒามาตย์ราชปุโรหิตก็นำเครื่องราชกกุธภัณฑ์มาถวาย แต่เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ตอบว่า
“เราทำการครั้งนี้จะชิงราชสมบัติหามิได้ เพราะภัยมาถึงตัวแล้วก็จำเป็น พระอาทิตย์วงศ์ซึ่งเป็นราชบุตรพระมหากษัตริย์นั้นยังมีอยู่ ควรจะยกพระอาทิตย์วงศ์ขึ้นผ่านสมบัติโดยราชประเพณีจึงจะชอบ”
ทับทิมอุ้มลูกน้อยมาเฝ้าจุกที่บัดนี้หมอได้ทำแผลให้จุกอย่างเรียบร้อย ไม่ว่าใครจะบอกให้ทับทิมตัดใจเลิกหวังลมแล้งว่าจุกจะรอดชีวิต แต่ลมหายใจอ่อนแรงของจุกทำให้ทับทิมไม่อาจตัดใจเลิกหวังได้ หมอบอกว่าอาการของจุกคงไม่รอดราตรีนี้เป็นแน่ สิงห์เข้ามากล่อมให้ทับทิมปล่อยให้จุกจากไปอย่างสบาย อย่ายื้อให้จุกทรมานต่อไปอีกเลย แต่ทับทิมไม่ฟังคำของใครทั้งนั้น สิงห์จึงมาอุ้มลูกน้อยของตนไปเข้านอน ยอมปล่อยให้ทับทิมเฝ้าร่างไร้วิญญาณของจุกตามลำพัง
ทับทิมนั่งฟุบหลับไป รู้สึกตัวอีกทีเมื่อรุ่งสาง ลืมตาขึ้นมายังคงเห็นจุกนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง หยาดน้ำตาของความสิ้นหวังหลั่งไหลมาราวกับหยาดฝน ทับทิมเขย่าตัวจุกไปมา ร่ำร้องให้น้องชายสุดรักฟื้นคืนมา อย่าทิ้งตนไว้เช่นนี้ ใครที่พบเห็นภาพสลดนี้ต่างก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาตามกันไป
“ฉันจะตายเพราะพี่นี่แหละ โอ๊ยย...”
ทับทิมตกใจกับเสียงคุ้นเคย เมื่อมองเห็นดวงตาสุกใสของจุกทับทิมก็หยุดเขย่าร่างของคนเจ็บทันที และค่อยๆวางลงอย่างนุ่มนวล มือก็ปาดน้ำตาปากก็ยิ้มอย่างดีใจเป็นที่สุด
“เอ็งรอด...เอ็งไม่ตายแล้ว...จริงๆรึไอ้จุก...หรือว่าข้าฝันไป...บอกข้าสิไอ้จุกว่าเอ็งฟื้นแล้วจริงๆ”
“ก็น่าจะรอดแหละพี่ ก็น่าจะยังไม่ตายกระมัง” จุกยังติดนิสัยพูดติดตลก แต่ทับทิมยิ้มทั้งน้ำตาที่ได้ยินประโยคนี้จากน้องชาย
“ฟื้นแล้วรึ เสียงหมอฝรั่งพูดทักทายจุกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม”
“หมอฝาหรั่ง มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อใดกันขอรับ” สิงห์เอ่ยถามเมื่อเห็นหมอฝรั่งมาปรากฏกายที่เรือนตน
“พ่อไปขอร้องให้ท่านมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วพ่อสิงห์ เห็นแม่ทับทิมร้องไห้คร่ำครวญแล้วพ่อสงสารยิ่งนัก เห็นว่าแผลถูกแทงทะลุเช่นนี้หมอธรรมดาคงยากที่จะรักษา แต่แผลเช่นนี้ทหารผ่านศึกเคยมีแบบนี้มามากนัก แลพ่อเคยเห็นหมอฝาหรั่งรักษาได้ชะงัดนัด จึงไปตามตัวท่านมารักษาไอ้จุกตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
สิงห์กราบขอบคุณพ่อแทนทับทิมและจุก...
“มิเป็นไรดอก ไอ้จุกมันยอมรับคมดาบแทนหลานของพ่อ มันไม่สมควรจะต้องตาย” จมื่นสรรเพชญ์ภักดีมองจุกด้วยแววตาชื่นชม
“แต่เมื่อคืนทับทิมก็นอนเฝ้าจุกอยู่ หมอฝาหรั่งมารักษาจุกเหตุใดไม่รู้สึกตัวเลยเล่าเจ้าคะ” ทับทิมเอ่ยถาม
“หมอมาถึงกลางดึก เห็นว่าแม่ทับทิมหลับอยู่ จึงไม่ได้ปลุกขึ้นมา เพราะเห็นว่าแม่ทับทิมไม่ได้พักมาทั้งวันแล้ว”
ทับทิมกราบขอบคุณจมื่นสรรเพชญ์อีกครั้ง ทุกคนในเรือนต่างเริ่มมีรอยยิ้มติดใบหน้าเมื่อจุกรอดตาย บุษย์จอมโม้ไปคุยโวถึงฝีมือของหมอฝาหรั่งให้บ่าวในเรือนฟังอย่างออกรสอีกเช่นเคย...
จากนั้นเพียงหกเดือน ทว่าพระอาทิตยวงศ์ยังทรงพระเยาว์นักจึงได้แต่ทรงเล่นสนุกจนไปล่วงเกินขุนนางผู้ใหญ่หลายครั้ง สุดท้ายขุนนางทั้งปวงจึงไปข้อร้องให้เจ้าพระกลาโหมสุริยวงศ์ขึ้นครองบัลลังก์แทนเพื่อเห็นแก่บ้านเมือง เจ้าพระกลาโหมสุริยวงศ์จึงถอดพระอาทิตยวงศ์ลงจากราชสมบัติ แล้วจึงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ใน พ.ศ. 2173 เมื่อมีพระชนมายุได้สามสิบห้าพรรษา โดยทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
8 ปีผ่านไป... ณ ลานกว้างเรือนหลังเก่าของครูเที่ยง...
ทับทิมกับสิงห์หอบลูกน้อยกลับมาเยี่ยมเยียนเพลิงกับอบเชยที่วิเศษชัยชาญ ซึ่งบัดนี้สิงห์ได้เป็นถึงหลวงสุรสิงห์ และเพลิงก็เป็นครูมวยชื่อดังของวิเศษชัยชาญ มีลูกศิษย์ลูกหานับหน้าถือตามากมาย
ในลานมวย... เด็กหญิงแก่นกะโหลกกำลังหัดเตะต่อย โดยมีพี่ชายคอยฝึกซ้อมให้ ทับทิมมองตามเด็กทั้งคู่แล้วเหมือนเห็นตนเองในอดีต
“พ่อเพชร พาน้องมากินขนมเร็วลูก พักกันก่อน แม่ทำของชอบมาให้หลายอย่างเชียวนะ”
เพชรลูกชายของอบเชยกับเพลิงเดินจูงมือน้องสาวจอมแก่นมาหาทุกคน
“คุณหนูพลอยจะรับกระไรก่อนดีเจ้าค่ะ” เพลินที่ติดตามมารับใช้คุณหนูน้อยเอ่ยถาม
“น้าจุก พลอยอยากไปปีนมะม่วงตาจั่นเหมือนแม่ พาพลอยไปหน่อยสิจ๊ะ”
“นี่เอ็งเล่าเรื่องนี้ให้หลานฟังด้วยรึ” ทับทิมดุจุกที่เล่าเรื่องของตนให้ลูกฟัง จุกยิ้มหน้าเจื่อนรีบอุ้มหลานน้อยขึ้นขี่คอแล้ววิ่งหนีไป
“ต้นมะม่วงตาจั่นอยู่ตั้งไกล ปีนต้นมะม่วงหลังบ้านไปก่อนนะคุณหนูพลอยหลานรัก” สองอาหลานเล่นสนุกกัน หลานน้อยก็แสนจะติดหนึบและเพลิดเพลินเมื่อได้อยู่บนอ้อมกอดของจุก
เพลิงมองตามสองน้าหลานไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม...
“ลูกเอ็งทำตัวติดหนึบกับไอ้จุก เหมือนกับเอ็งไม่มีผิด เห็นทีคุณหลวงสุรสิงห์คงต้องกลุ้มใจเหมือนที่ครูเที่ยงเคยเป็น”
“กลุ้มใจกระไรรึพี่เพลิง” สิงห์เอ่ยถาม
“กลุ้มใจเรื่องจะขายไม่ออกกระไรเล่า” เพลิงกล่าวเพราะเห็นแววหลานสาวที่มีนิสัยเหมือนแม่ไม่มีผิด อบเชยตีแขนเพลิงเบาๆให้หยุดล้อพี่สาวกับหลานสาวของตน
จุกพาหลานขี่หลังกลับมา คุณหนูพลอยวิ่งมาจูงมือเพชรไปซ้อมมวยอีกครั้ง ทุกคนมองดูเด็กทั้งคู่ผู้ที่กำลังสืบสานศิลปะแม่ไม้มวยไทยอย่างยิ้มแย้มยินดี...
จบบริบูรณ์