ลูกไม้มวยไทย ตอนที่ ๒ (คุณสิงห์ขอรับ)

ในเย็นวันนั้น ทับทิมขังตัวเองอยู่ในห้องไม่เปิดประตูให้ผู้ใด ไม่ยอมออกไปกินข้าวปลาและไม่ยอมทายารักษาแผลที่ถูกเฆี่ยน ครูเที่ยงจึงยอมจำนนด้วยความห่วงลูก มาเคาะประตูห้องทับทิม

         “ทับทิมเอ๊ย ออกมากินข้าวกินปลาเถิดลูก เอ็งไม่หิวรึ “  ทับทิมยังคงเงียบกริบไม่ยอมตอบโต้กลับไป

         “ออกมากินข้าวแล้วทายาเถิด พ่อจะพอกยาให้ แผลจะได้หายเร็วไงลูก”

         “ตบหัวแล้วลูบหลังรึ ผู้ใดกันเฆี่ยนตีฉัน มิใช้พ่อดอกรึ แลจะมาทายาให้ทำกระไร

         "ออกมาทายาเอ็งจะได้หายเร็วๆไงลูก แผลหายวันใด เอ็งจะได้ไปซ้อมมวยกับไอ้เพลิงมัน พ่อจะสอนให้เอง ไม่ต้องไปแอบซ้อมดอก”

         ทับทิมตกใจและรีบเปิดประตูออกมาหาพ่อ ชัยชนะครั้งนี้เป็นของทับทิมแล้ว ที่ดีใจไปกว่านั้นคือพ่อยังรักทับทิม ไม่ได้รักแต่เพียงลูกใหม่ดังที่ทับทิมคิด


00000000



เทศการงานวัดประจำปี….

         ในงานมีข้าวของวางขายมากมายหลายหลากตามประสาเมืองอุดมสมบูรณ์ มีการประชันเพลงพื้นบ้าน ร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน และที่ขาดไปไม่ได้เลย คือ การเปรียบมวยวัด การเปรียบมวยจะแล้วแต่ความสมัครใจ

         สิงห์ ชายหนุ่มรูปทอง ตื่นตาตื่นใจกับเทศกาลงานวัด กวาดสายตามองไปทั่วทุกมุม ได้ยินเสียงเชียร์มวยดังสนั่น จึงรีบมุ่งหน้าไปยังต้นเหตุของเสียงนั้น

         “คุณสิงห์ขอรับ กระผมหาซะทั่ววัด มาอยู่นี่เอง คราวหน้าจะไปไหนสะกิดบอกกันบ้างสิขอรับ”  บุษย์ คนสนิทของสิงห์พูดด้วยความเหนื่อยหอบ เนื่องจากตามหานายจนเหนื่อย

         “เอ็งพิรี้พิไรนัก มัวแต่ทำตาเจ้าชู้ใส่สาวๆ หากมัวแต่รอเอ็ง ข้าคงไม่ได้ดูได้เห็นกระไรดอกไอ้บุษย์”

         “ก็สาวๆที่นี้สวยงามหมดจรดทั้งตัวนี่ขอรับ “

         
         ก่อนที่สิงห์จะเอือมระอาความเจ้าชู้ของบุษย์ไปมากกว่านี้ ก็มีเสียงประกาศชื่อเพลิงกับเชิดมวยคู่เอก  เมื่อระฆังดังเชิดเข้าจู่โจมหมายประกาศชื่อ เพลิงตั้งรับหวังดูชั้นเชิง ทำให้เชิดได้ใจ คิดว่าเพลิงสู้ไม่ได้จึงร่ายเพลงมวยรุกเพลิงอย่างหนักหน่วง ครั้นเพลิงอ่านทางออกแล้ว จึงสวนกลับและเป็นฝ่ายรุกจนเชิดเกือบสิ้นลาย ความดุเดือดของสมรภูมิการเปรียบมวยนี้ทำให้สิงห์สนอกสนใจเป็นอย่างยิ่ง


         “นี่ชกมวยรึจะเอาชีวิตกันนี่ขอรับ ดุเดือดแท้” บุษย์พูดกับสิงห์พร้อมกับส่งเสียงเชียร์มวยตามชาวบ้าน

         “ไอ้บุษย์ ข้าอยากรู้ชื่อนักมวยที่เก่งกาจคนนี้นัก เอ็งไปถามมาให้ข้าเร็ว” บุษย์สะกิดลุงคนข้างหน้า

         “ลุง ไอ้นักมวยหน่วยก้านดีที่กำลังรุกอยู่นั้น ชื่ออะไรจ๊ะ เก่งกาจนักฉันอยากรู้ชื่อเสียงเรียงนาม”

         “อ๋อ ไอ้หนุ่มหมัดหนักนั่นรึ มันชื่อไอ้เพลิง ศิษย์ครูเที่ยง”


         แล้วการชกก็สิ้นสุดเมื่อเพลิงซัดหมัดเสยปลายคางจนเชิดสลบไป เพลิงชนะเป็นไปตามการคาดการณ์ของครูเที่ยง ชาวบ้านโห่เฮชื่อเพลิงดังไปทั้งลาน

          “มวยสิ้นแล้ว รีบกลับเถิดขอรับคุณสิงห์ ประเดี๋ยวมืดค่ำคุณหญิงถามหาไม่เจอคุณสิงห์ เป็นเรื่องแน่ขอรับ”


         สิงห์มองเพลิงด้วยความชื่นชม ก่อนจะตัดใจรีบกลับเพราะกลัวจะถึงบ้านค่ำมืด


00000000


ทางด้านทับทิมกับจุกก็กำลังเที่ยวเตร็ดเตร่ในงานวัด...

       “ทำไมเราไม่ไปดูพี่เพลิงชกมวยล่ะพี่ ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง จะแพ้หรือชนะก็ไม่รู้”
       “พี่เพลิงเคยแพ้ใครด้วยหรือวะไอ้จุก! ยังไงก็ชนะอยู่แล้ว เอ็งไม่ต้องห่วงดอก”
       “ก็ไม่แน่ดอกพี่ พี่เพลิงไม่เห็นหน้าฉัน อาจจะไม่มีกำลังใจซัดหมัดใส่ไอ้เชิดมันนะพี่”
       “สำคัญนักนะเอ็ง เอ็งอยากไปดูก็ไปเถิด ข้ากลัวข้าไปแล้วจะทนไม่ได้ คันไม้คันมือ อยากลงไปเปรียบมวยซะเอง พ่อได้ไล่เตะข้ารอบวัดแน่ไอ้จุกเอ๊ย”

ทับทิมกับจุกหัวเราะร่วนเพราะต่างก็เคยโดนครูเที่ยงไล่เตะกันมาแล้ว

ทันใดนั้น โจรขโมยอัดแม่ค้าก็วิ่งผ่านหน้าทับทิมไป

       “ช่วยด้วย โจรขโมยอัฐ ช่วยจับโจรด้วย” เสียงแม่ค้าตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ ทับทิมรีบวิ่งตามโจรไป จุกรีบวิ่งตามไปติดๆ โจรวิ่งไปทางสิงห์ สิงห์จึงรีบพุ่งไปขวางทางโจร

       “หลบไป”

ทับทิมวิ่งมาพร้อมกับตะโกนบอกสิงห์ แล้วกระโดดถีบกลางยอดอกของโจร ร่างฉกรรจ์เซถลาหัวฟาดพื้นสลบแน่นิ่งไป

       “ชะตาขาดแล้วเอ็ง” จุกพูดถึงความซวยของโจรที่มาเจอทับทิม ทับทิมก้มลงไปหยิบถุงอัฐในตัวโจรแล้วเอาไปคืนให้แม่ค้าที่เพิ่งวิ่งตามมาถึง

       “นี่อัฐป้า ตรวจดูว่าครบหรือไม่” แม่ค้ารีบคว้าถุงไปนับ
      
       “ครบจ้ะครบ ขอบใจเอ็งนัก ไม่ได้เอ็งป้าคงเดือดร้อนแน่”
      
       “ไม่เป็นไรจ้ะป้า ไอ้จุก เอาเชือกมามัดไอ้โจรกระจอกนี่แล้วเอาตัวมันไปให้หลวงตาเทศนา ให้มันรู้จักศีลข้อสองเสียบ้าง” จุกรีบหาเชือกไปมัดโจรตามคำสั่งทับทิม ทับทิมหันไปมองสิงห์ ที่มองตนไม่วางตา จึงเดินเข้าไปหา

       “ขอบใจเอ็งนักที่มาขวางโจรไว้ให้ข้า แต่คราวหน้าหากรู้ตัวว่าสู้มันไม่ได้ก็อย่าวิ่งทะเล่อทะล่าเข้าหาโจร หากมันมีมีดพร้า เอ็งจะตายไม่รู้ตัว” สิงห์ยังไม่ทันได้เอื้อนเอ่ยคำใด จุกก็ร้องเรียกทับทิม

           “พี่ทับทิมมาแบกไอ้โจรนี่ช่วยฉันที ตัวมันใหญ่ฉันแบกคนเดียวไม่ไหว”
          
        “มีกระไรที่เอ็งจะทำคนเดียวโดยไม่เรียกหาข้าบ้าง ไอ้จุกเอ๊ย”

สิงห์กำลังจะเดินไปช่วยแต่บุษย์ก็รั้งไว้ “รีบกลับเถิดขอรับ กระผมผูกม้าไว้ทางโน้น นี่ก็จะมืดค่ำเต็มทีแล้ว รีบไปเถิดขอรับ”

           “ทับทิม” สิงห์พึมพำเบาๆก่อนบุษย์จะลากให้ออกจากงานวัดไป


00000000



เรือนจมื่นสรรเพชญ์ภักดี...

คุณหญิงชื่น กวาดสายตามองหาลูกชาย

       “จะมืดจะค่ำแล้ว พ่อสิงห์ยังไม่กลับเรือนอีกรึ เดี๋ยวนี้ชักเถลไถลใหญ่แล้ว กลับมาเมื่อใดเห็นทีต้องได้เอ็ดให้หูชา”

       คุณหญิงชื่นพะว้าพะวง ชะเง้อแล้วชะเง้ออีกมองหาลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ท่าน้ำที่เคยโดดน้ำคลองแข่งกับทาสในเรือนก็เงียบเหงานัก ตะวันก็คล้อยลงต่ำไปทุกที ใจนั้นกลัวจะเกิดเหตุมิดีมิร้ายต่อลูกยิ่งนัก

       “นังพิศ ไม่มีผู้ใดเห็นลูกข้ารึว่าไปที่ใด บ่าวในเรือนออกมากมาย ลูกข้าหายไปทั้งคน พวกเอ็งไม่มีใครเห็นได้เยี่ยงไรกัน”
      
       “คุณหญิงเจ้าคะ คุณหญิง” เพลินบ่าวใช้วิ่งหน้าตั้งขึ้นมาบนเรือน
      
       “เอ็งมีกระไรนังเพลิน เสียงดังทำข้าตกอกตกใจหมดแล้ว”
      
       “คุณสิงห์กับไอ้บุษย์กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”  เพลินรีบพูดด้วยความดีใจเพราะหากยังไม่เห็นคุณสิงห์ คงได้หลังลายเป็นแน่แท้ คุณหญิงชื่นรีบออกไปดูหน้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ใจหนึ่งก็อยากจะด่าว่าให้หายซุกซน แต่ด้วยความห่วงที่มีมากกว่าจึงรีบถลาเข้าหาลูกชาย

       “พ่อสิงห์ กลับมาแล้วรึ แม่ชะเง้อแล้วชะเง้ออีก ไปเที่ยวเล่นที่ใดมาอีกเจ้า ถึงได้กลับมาเรือนมืดค่ำป่านฉะนี้”
      
       “ลูกไปเที่ยวขี่ม้าเล่นแถวๆนี้แหละขอรับ เพลิดเพลินไปหน่อยเลยกลับมามืดค่ำ คุณหญิงแม่อย่าโกรธลูกเลยนะขอรับ”  สิงห์เข้าไปกอดออดอ้อนคุณหญิงชื่นให้คลายความโกรธ”

       “ไม่อยากให้แม่โกรธ คราวหน้าอย่าเถลไถลแบบนี้อีกนะพ่อสิงห์ หายไปทั้งวันแบบนี้แม่ใจคอไม่ดีเลยรู้ไหมลูก”
      
       “เอ็งด้วยไอ้บุษย์ ดีนะที่ลูกข้ากลับมาปลอดภัย ไม่เช่นนั้นเอ็งได้ลิ้มรสหวายจนหลังลายเป็นแน่”
      
       “ขอรับคุณท่าน” บุษย์มือไม้สั่นกลัวจนตัวซีด


0000000



ในเย็นวันนั้น…

สิงห์เห็นพ่อนั่งอ่านตำราอยู่ จึงคลานเข่าเข้าไปหา เพื่อจะขอในสิ่งที่ตนประสงค์

         “เจ้าคุณพ่อว่างฟังลูกสักประเดี๋ยวไหมขอรับ” ผู้เป็นพ่อวางหนังสือลง แล้วมองมาที่ลูกชาย

         “พ่อสิงห์มีกระไรรึ”
      
         “ลูกมีเรื่องกังวลใจนัก ด้วยเป็นถึงบุตรชายคนเดียวของจมื่นสรรเพชญ์ภักดี แต่กลับไม่มีวิชาการต่อสู้ติดตัว เพื่อนวัยเด็กของลูกก็เป็นศิษย์มีสำนักกันไปมากมาย เมื่อมองย้อนมาดูตนก็รู้สึกอับอายยิ่งนักที่ไม่มีวิชาอย่างคนอื่นเขา”
      
         “ก็เพราะคุณหญิงชื่นแม่เจ้า ทั้งรักทั้งหวง กกเจ้าไว้ไม่ให้ไปจากอก พ่อก็ไม่อยากจะขัดใจ ด้วยเห็นว่ามีลูกชายเพียงคนเดียว ย่อมต้องรักมากห่วงมากเป็นธรรมดา แต่หากเจ้ากังวลใจถึงเพียงนี้ พ่อก็จะช่วยพูดกับคุณหญิงแม่ของเจ้าให้”

        สิงห์ยิ้มดีใจรีบเข้าไปออดอ้อนพ่อของตน และก้มกราบอย่างอ่อนน้อม “หากเจ้าคุณพ่อช่วยพูด คุณหญิงแม่ต้องยอมให้ลูกไปแน่ขอรับ”
      
        “หากเจ้าอยากร่ำเรียนจริงๆ พ่อจะพาเจ้าไปฝากที่สำนักพุธไธสวรรค์ดีหรือไม่ พ่อได้ยินชื่อเสียงสำนักนี้มานาน ว่ากันว่าฝีมือมีชื่อนัก”

       “เจ้าคุณพ่อขอรับ แต่ลูกมีที่หนึ่ง เป็นสำนักมวยมีชื่อของเมืองวิเศษชัยชาญ ลูกเห็นมากับตาว่ามวยที่นั่นมีชั้นเชิงยิ่งนัก ลูกอยากเรียนมวยมากกว่าเรียนดาบขอรับเจ้าคุณพ่อ”

       “วิเศษชัยชาญรึ หรือว่า...วันนี้ที่เจ้าหายไปทั้งวัน...ร้ายนักนะเจ้า หนีเที่ยวไกลถึงเมืองวิเศษชัยชาญ เอาล่ะ...พ่อจะตามใจเจ้า จะไปฝากฝังให้ก็แล้วกัน”

       “มิได้ขอรับเจ้าคุณพ่อ ที่นั่นมีแต่ชาวบ้าน ลูกกลัวพวกเขาจะตกใจที่ลูกขุนน้ำขุนนางมาร่ำเรียนด้วย ลูกอยากไปแบบธรรมดาสามัญขอรับ”
      
         จมื่นสรรเพชญ์ภักดีครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจอนุญาต เพราะอยากให้ลูกชายมีวิชาติดตัวเผื่อว่าวันข้างหน้าจะได้รับราชการ แต่ก็ลำบากใจนักว่าหากบอกคุณหญิงชื่นจะต้องไม่ราบรื่นเป็นแน่ เพราะคุณหญิงรักและหวงลูกชายยิ่งกว่าไข่ในหิน คงไม่ยอมให้พรากจากอกไปโดยง่าย แต่อย่างไรก็คงต้องถึงเวลาที่สิงห์จะต้องได้เติบโตสักที จมื่นสรรเพชญ์ภักดีมองคุณหญิงชื่นที่นอนหลับอยู่ด้วยความกังวลใจ


00000000


โปรดติดตามตอนต่อไป
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่