บันทึกหลอนที่ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริง นำไปสู่การไขปริศนาชวนขนลุกจากเหตุการณ์ลึกลับที่เกิดขึ้นต่างกรรมต่างวาระและต่างกาลเวลา แต่ทุกเรื่องราวมีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
จากอดีตสู่ปัจจุบัน จากบุคคลหนึ่งสู่บุคคลหนึ่ง จากสิ่งของบางสิ่งสู่อีกมิติภพข้ามผ่านกาลเวลา
และจากความรักสู่....ความตาย
บันทึกมีทั้งหมด 12 เหตุการณ์ เริ่มเลยละกัน.....
บันทึกหน้าแรก: "กริชเล่มนั้น"
EP.1
21:45 น. วันที่ 10 มีนาคม 2017 , กรุงเทพมหานคร
ภายในโกดังร้างที่ปิดตายปรากฏร่างสูงทะมึนของชายในชุดดำคนหนึ่ง เดินไปมาระหว่างโต๊ะทำงานเก่าขนาดใหญ่ กับโซฟาวินเทจเก่าคร่ำบอกอายุที่ผ่านกาลเวลามาไม่น้อย
แสงสลัวจากตะเกียงแก้วบนโต๊ะทำงานส่องแสงวับแวม...วูบไหว สังเกตได้ว่าบนโต๊ะนั้นมีสมุดบันทึกเล่มหนาเปิดหน้าค้างคาอยู่ ชายชุดดำเดินมาที่โต๊ะทำงานอีกครั้ง คราวนี้เขาหยิบบันทึกเล่มนั้นขึ้นมาอ่าน....และหากมีใครสักคนชะโงกหน้าแอบดูบันทึกเล่มนี้ ก็จะเห็นว่าที่หน้าด้านซ้ายเป็นภาพสเก็ตช์รูปกริชโบราณเล่มหนึ่งดูขรึมขลัง และอีกหน้าด้านขวาเป็นตัวอักษรที่ไล่เรียงเรื่องราวยาวพรืดเต็มหน้า
ชายชุดดำเดินอ่านบันทึกไปอย่างช้าๆ เขาเดินมาที่โซฟาเก่า และทรุดตัวลงนั่งและอ่านมันอย่างตั้งใจในท่ามกลางความมืดที่ปกคลุมรอบๆ โกดัง มีเพียงแสงนวลจากตะเกียงแก้วที่ให้ความสว่างพออ่านหนังสือได้ และสร้างเงารูปทรงประหลาดเคลื่อนไหวช้าๆ ตามมุมมืดภายในโกดังร้างแห่งนี้
พุทธศักราช ๒๓๖๒ , เกาะวาดัง
สิ้นเสียงสั่งประหารจากองค์รายาอิชา เพชรฆาตผู้ถือกริชเล่มงามก็เงื้อมือขึ้นและพุ่งคมกริชเล่มนั้นลงที่คอเรียวงามของรานีชามาล เสียงดัง "ขวับ!"
แต่สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาผู้คนที่มาดูการประหารรานีผู้น่าสงสารก็คือ เลือดที่หลั่งรินจากบาดแผลลึกที่คอของนางกลายเป็นหยาดน้ำใสไหลรินลงมาชะโลมร่างของรานี มิใช่สีเลือดแดงฉานดั่งคนทั่วไป เป็นดังคำกล่าวสาปแช่งของรานีชามาลที่กล่าวไว้ก่อนถูกประหารว่า
"หากข้าเป็นผู้บริสุทธิ์มิได้กระทำผิดดังคำกล่าวหานี้ ก็ขอให้เลือดที่ไหลออกมาจากการประหารข้าจงกลายเป็นสายน้ำใส และขอให้ผู้ใส่ร้ายป้ายสีอย่างไม่เป็นธรรมกับข้าจงประสบเคราะห์ร้ายต้องชดใช้กรรมไปในทุกชาติ ข้าขอให้ชายหาดบนเกาะแห่งนี้จงกลายเป็นสีดำชั่วกัปกัลป์"
นั่นจึงสร้างความตกตะลึงปนตื่นตระหนกจากทุกสายตาของทุกคนที่อยู่บนชายหาดของเกาะวาดังอันเป็นลานประหารรานีชามาลในวันนั้น!
เมื่อพระศพของรานีถูกฝังลงที่ชายหาด รายาอิชาก็หมดเสี้ยนหนามตำใจ ทิ้งไว้เพียงตราบาปอื้อฉาวที่พระนางประกาศว่า รานีชามาลต้องโทษประหารเพราะมีชู้กับนักรบคนหนึ่งที่ก็ถูกประหารจนตายตกตามกันไปเช่นกัน
นั่นคือเหตุผลที่รายาอิชา เจ้านายหญิงผู้ทรงอำนาจเหนือผู้ใดบนเกาะแห่งนี้สร้างเรื่องและตัวละครขึ้นมาเพื่อหาเหตุเอาชีวิตรานีต่างเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ที่พระนางรังเกียจเดียดฉันท์นักหนามานานแล้ว เพียงรอเวลาให้บุตรชายออกไปรบห่างหูห่างตาจึงสบโอกาสเหมาะในการกำจัดลูกสะใภ้จนสำเร็จในที่สุด
เมื่อเจ้าชายผู้เป็นบุตรคนเดียวของรายาอิชากลับมาจากสนามรบ จึงพบความจริงที่ว่า รานีผู้เป็นที่รักได้สิ้นชีวิตไปแล้วเหลือเพียงแต่หลุมฝังศพ เจ้าชายวาเด็มเศร้าโศกอย่างที่สุด ได้แต่นั่งซบหน้าคร่ำครวญอยู่กับหลุมศพของภรรยาสุดที่รักไม่ยอมไปไหน จนวันรุ่งจึงเกิดปรากฎการณ์ประหลาดที่ชายหาดทั้งเกาะวาดัง ได้กลายเป็นสีดำดังคำสาปแช่งของรานีชามาลนั่นเอง!!
พุทธศักราช ๒๕๑๙ , กระท่อมชายป่าฮาลาบาลา จ.ยะลา
"นายครับ....นาย....นายวายุครับ อยู่มั้ยครับนาย" เสียงตะโกนดังมาจากหน้ารั้วบ้าน
"อยู่.....พันเหรอ เข้ามาเลย เข้ามา" เสียงตอบรับจากชายหนุ่มเจ้าของบ้านที่ชะโงกหน้ามาดู เห็นหน้าคนคุ้นเคยเป็นชายร่างเล็กผิวคล้ำ เขาเป็นพรานป่าลูกน้องคนสนิทของวายุนั่นเอง
"ไง มีอะไรด่วน เสียงดังมาเชียวไอ้พัน"
"นายแม่บอกให้นายวายุไปหาที่บ้านในเมืองครับ แบอาลีเพิ่งแวะมาบอกผมเมื่อกี้ครับนาย"
"อ้าวหรอ แบอาลีไม่แวะเข้ามาที่นี่หน่อยล่ะ จะเอาของดีให้ซะหน่อย" นายพรานหนุ่มผู้เป็นนายกล่าวยิ้มๆ
"โอ๊ย นาย ของดีก็เอาให้ไอ้พันนี่ แบอาลีแกไม่เข้ามาในป่าหรอก รถกว่าจะขับเข้ามาล่ะ แล้วก็ต้องเดินเท้าต่ออีกเป็นกิโล แบแกคงเข้ามาหรอกนาย แก่ข้อเข่าเสื่อมขนาดนั้น ฮ่าๆๆ"
"ก็นี่แหละ เห็นเข่าแกไม่ดี เลยเอารากว่านช้างสารแช่น้ำผึ้งไว้ให้โหลนึง นี่ตำรับโบราณเลย สมัยก่อนไม่ใช่รักษาแค่กินนะ เขาให้แช่น้ำว่านด้วย" วายุบรรยายสรรพคุณตำรับยาพรานป่าของเขา ไอ้พันยิ่งดี๊ด๊าทำท่าอยากได้บ้าง รบเร้าให้เจ้านายหนุ่มช่วยทำพิธีแช่น้ำว่านให้หน่อย
"เอาไว้เข้าป่าอาทิตย์หน้า ไปเก็บรากว่านมาทำยา แล้วข้าจะทำน้ำว่านให้แช่ด้วย เอ็งรอไปก่อน ของดีต้องใช้เวลาเว้ย"
"ขอบคุณครับนาย เอ่อ....เกือบลืมบอกนาย คืนนี้ไอ้พันไม่ค้างที่นี่นะ นัดสาวไว้น่ะนาย นอนคนเดียวไปก่อนนะขอรับเจ้านาย..."
"เออๆ เอ็งจะไปไหนก็ไป ข้าจะได้อยู่สงบๆ ของข้า แต่ก่อนไปเอ็งมาช่วยเก็บข้าวของพวกนี้ก่อนเลย" ว่าแล้วพรานหนุ่มทั้งสองก็ช่วยกันคัดแยกของป่าจนเสร็จ
เย็นมากแล้ว....ไอ้พันลานายแล้วเร่งเดินเท้าออกจากป่า ระยะทางเกือบกิโลเป็นความคุ้นชินของคนเดินป่า ไม่นานไอ้พันก็มาถึงจุดที่จอดรถไว้เป็นเวลาฟ้าใกล้มืดเต็มที
ไอ้พันหันกลับไปมองเส้นทางคดเคี้ยวในป่าที่รถไม่สามารถขับฝ่าดงไม้เข้าไปได้ ตามเส้นทางที่เดินผ่านมาล้วนมีต้นไม้หลากพันธุ์ขึ้นปกคลุมจนรกครึ้ม มองดูมืดสนิทเหมือนแดนสนธยา นกป่าร้องเสียงแหลมผสานเสียงแมลงกลางคืนกรีดปีก ฟังดูวังเวงพิลึก
ถึงจะคุ้นเคยอยู่กับป่ามานาน แต่ไอ้พันก็อดประหวั่นพรั่นพรึงกับความลี้ลับและอาถรรพ์ของผืนป่าไม่ได้ พันอดคิดไม่ได้ว่า ทำไมนายวายุของมันถึงชอบอยู่แต่ในป่าได้เป็นเดือนๆ แทบไม่อยากออกมาข้างนอกเลย
รถโฟร์วีลของไอ้พันขับฝ่าความมืดออกไป หากมันสังเกตที่กระจกหลังสักนิด ไอ้พันอาจจะเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ชายป่าด้านหลัง....ตรงนั้นปรากฏเงาตะคุ่มของร่างคนที่กำลังค่อยๆ เคลื่อนไปทางกระท่อมน้อยกลางป่าอันเป็นที่พักของวายุ พรานหนุ่มวัยเบญจเพส ที่อยู่ลำพังในกระท่อมกลางป่าใหญ่
เงาตะคุ่มนั้นมาหยุดอยู่ตรงรั้วไม้เลื้อยหน้ากระท่อม
ภาพเงาค่อยๆ แจ่มชัดขึ้น มองเห็นเป็นรูปร่างของหญิงสาวงามละมุนละไมในชุดเสื้อลูกไม้ตัวยาวกับซิ่นปาเต๊ะพื้นเมืองมลายู แต่! ที่คอของหญิงสาวปรากฏบาดแผลเหวอะหวะมีน้ำใสๆ ไหลออกมาตลอดเวลา
ดวงตาของเธอเบิกโพลง และจ้องเขม็งมาที่กระท่อมด้วยสายตาเยือกเย็นชวนขนลุก!!
นิยายที่แต่งไม่จบ! ได้แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์จริง "ปริศนาลับ-ลวง-หลอน" กับบันทึก 12 เหตุการณ์
จากอดีตสู่ปัจจุบัน จากบุคคลหนึ่งสู่บุคคลหนึ่ง จากสิ่งของบางสิ่งสู่อีกมิติภพข้ามผ่านกาลเวลา
และจากความรักสู่....ความตาย
บันทึกมีทั้งหมด 12 เหตุการณ์ เริ่มเลยละกัน.....
21:45 น. วันที่ 10 มีนาคม 2017 , กรุงเทพมหานคร
ภายในโกดังร้างที่ปิดตายปรากฏร่างสูงทะมึนของชายในชุดดำคนหนึ่ง เดินไปมาระหว่างโต๊ะทำงานเก่าขนาดใหญ่ กับโซฟาวินเทจเก่าคร่ำบอกอายุที่ผ่านกาลเวลามาไม่น้อย
แสงสลัวจากตะเกียงแก้วบนโต๊ะทำงานส่องแสงวับแวม...วูบไหว สังเกตได้ว่าบนโต๊ะนั้นมีสมุดบันทึกเล่มหนาเปิดหน้าค้างคาอยู่ ชายชุดดำเดินมาที่โต๊ะทำงานอีกครั้ง คราวนี้เขาหยิบบันทึกเล่มนั้นขึ้นมาอ่าน....และหากมีใครสักคนชะโงกหน้าแอบดูบันทึกเล่มนี้ ก็จะเห็นว่าที่หน้าด้านซ้ายเป็นภาพสเก็ตช์รูปกริชโบราณเล่มหนึ่งดูขรึมขลัง และอีกหน้าด้านขวาเป็นตัวอักษรที่ไล่เรียงเรื่องราวยาวพรืดเต็มหน้า
ชายชุดดำเดินอ่านบันทึกไปอย่างช้าๆ เขาเดินมาที่โซฟาเก่า และทรุดตัวลงนั่งและอ่านมันอย่างตั้งใจในท่ามกลางความมืดที่ปกคลุมรอบๆ โกดัง มีเพียงแสงนวลจากตะเกียงแก้วที่ให้ความสว่างพออ่านหนังสือได้ และสร้างเงารูปทรงประหลาดเคลื่อนไหวช้าๆ ตามมุมมืดภายในโกดังร้างแห่งนี้
พุทธศักราช ๒๓๖๒ , เกาะวาดัง
สิ้นเสียงสั่งประหารจากองค์รายาอิชา เพชรฆาตผู้ถือกริชเล่มงามก็เงื้อมือขึ้นและพุ่งคมกริชเล่มนั้นลงที่คอเรียวงามของรานีชามาล เสียงดัง "ขวับ!"
แต่สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาผู้คนที่มาดูการประหารรานีผู้น่าสงสารก็คือ เลือดที่หลั่งรินจากบาดแผลลึกที่คอของนางกลายเป็นหยาดน้ำใสไหลรินลงมาชะโลมร่างของรานี มิใช่สีเลือดแดงฉานดั่งคนทั่วไป เป็นดังคำกล่าวสาปแช่งของรานีชามาลที่กล่าวไว้ก่อนถูกประหารว่า
"หากข้าเป็นผู้บริสุทธิ์มิได้กระทำผิดดังคำกล่าวหานี้ ก็ขอให้เลือดที่ไหลออกมาจากการประหารข้าจงกลายเป็นสายน้ำใส และขอให้ผู้ใส่ร้ายป้ายสีอย่างไม่เป็นธรรมกับข้าจงประสบเคราะห์ร้ายต้องชดใช้กรรมไปในทุกชาติ ข้าขอให้ชายหาดบนเกาะแห่งนี้จงกลายเป็นสีดำชั่วกัปกัลป์"
นั่นจึงสร้างความตกตะลึงปนตื่นตระหนกจากทุกสายตาของทุกคนที่อยู่บนชายหาดของเกาะวาดังอันเป็นลานประหารรานีชามาลในวันนั้น!
เมื่อพระศพของรานีถูกฝังลงที่ชายหาด รายาอิชาก็หมดเสี้ยนหนามตำใจ ทิ้งไว้เพียงตราบาปอื้อฉาวที่พระนางประกาศว่า รานีชามาลต้องโทษประหารเพราะมีชู้กับนักรบคนหนึ่งที่ก็ถูกประหารจนตายตกตามกันไปเช่นกัน
นั่นคือเหตุผลที่รายาอิชา เจ้านายหญิงผู้ทรงอำนาจเหนือผู้ใดบนเกาะแห่งนี้สร้างเรื่องและตัวละครขึ้นมาเพื่อหาเหตุเอาชีวิตรานีต่างเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ที่พระนางรังเกียจเดียดฉันท์นักหนามานานแล้ว เพียงรอเวลาให้บุตรชายออกไปรบห่างหูห่างตาจึงสบโอกาสเหมาะในการกำจัดลูกสะใภ้จนสำเร็จในที่สุด
เมื่อเจ้าชายผู้เป็นบุตรคนเดียวของรายาอิชากลับมาจากสนามรบ จึงพบความจริงที่ว่า รานีผู้เป็นที่รักได้สิ้นชีวิตไปแล้วเหลือเพียงแต่หลุมฝังศพ เจ้าชายวาเด็มเศร้าโศกอย่างที่สุด ได้แต่นั่งซบหน้าคร่ำครวญอยู่กับหลุมศพของภรรยาสุดที่รักไม่ยอมไปไหน จนวันรุ่งจึงเกิดปรากฎการณ์ประหลาดที่ชายหาดทั้งเกาะวาดัง ได้กลายเป็นสีดำดังคำสาปแช่งของรานีชามาลนั่นเอง!!
พุทธศักราช ๒๕๑๙ , กระท่อมชายป่าฮาลาบาลา จ.ยะลา
"นายครับ....นาย....นายวายุครับ อยู่มั้ยครับนาย" เสียงตะโกนดังมาจากหน้ารั้วบ้าน
"อยู่.....พันเหรอ เข้ามาเลย เข้ามา" เสียงตอบรับจากชายหนุ่มเจ้าของบ้านที่ชะโงกหน้ามาดู เห็นหน้าคนคุ้นเคยเป็นชายร่างเล็กผิวคล้ำ เขาเป็นพรานป่าลูกน้องคนสนิทของวายุนั่นเอง
"ไง มีอะไรด่วน เสียงดังมาเชียวไอ้พัน"
"นายแม่บอกให้นายวายุไปหาที่บ้านในเมืองครับ แบอาลีเพิ่งแวะมาบอกผมเมื่อกี้ครับนาย"
"อ้าวหรอ แบอาลีไม่แวะเข้ามาที่นี่หน่อยล่ะ จะเอาของดีให้ซะหน่อย" นายพรานหนุ่มผู้เป็นนายกล่าวยิ้มๆ
"โอ๊ย นาย ของดีก็เอาให้ไอ้พันนี่ แบอาลีแกไม่เข้ามาในป่าหรอก รถกว่าจะขับเข้ามาล่ะ แล้วก็ต้องเดินเท้าต่ออีกเป็นกิโล แบแกคงเข้ามาหรอกนาย แก่ข้อเข่าเสื่อมขนาดนั้น ฮ่าๆๆ"
"ก็นี่แหละ เห็นเข่าแกไม่ดี เลยเอารากว่านช้างสารแช่น้ำผึ้งไว้ให้โหลนึง นี่ตำรับโบราณเลย สมัยก่อนไม่ใช่รักษาแค่กินนะ เขาให้แช่น้ำว่านด้วย" วายุบรรยายสรรพคุณตำรับยาพรานป่าของเขา ไอ้พันยิ่งดี๊ด๊าทำท่าอยากได้บ้าง รบเร้าให้เจ้านายหนุ่มช่วยทำพิธีแช่น้ำว่านให้หน่อย
"เอาไว้เข้าป่าอาทิตย์หน้า ไปเก็บรากว่านมาทำยา แล้วข้าจะทำน้ำว่านให้แช่ด้วย เอ็งรอไปก่อน ของดีต้องใช้เวลาเว้ย"
"ขอบคุณครับนาย เอ่อ....เกือบลืมบอกนาย คืนนี้ไอ้พันไม่ค้างที่นี่นะ นัดสาวไว้น่ะนาย นอนคนเดียวไปก่อนนะขอรับเจ้านาย..."
"เออๆ เอ็งจะไปไหนก็ไป ข้าจะได้อยู่สงบๆ ของข้า แต่ก่อนไปเอ็งมาช่วยเก็บข้าวของพวกนี้ก่อนเลย" ว่าแล้วพรานหนุ่มทั้งสองก็ช่วยกันคัดแยกของป่าจนเสร็จ
เย็นมากแล้ว....ไอ้พันลานายแล้วเร่งเดินเท้าออกจากป่า ระยะทางเกือบกิโลเป็นความคุ้นชินของคนเดินป่า ไม่นานไอ้พันก็มาถึงจุดที่จอดรถไว้เป็นเวลาฟ้าใกล้มืดเต็มที
ไอ้พันหันกลับไปมองเส้นทางคดเคี้ยวในป่าที่รถไม่สามารถขับฝ่าดงไม้เข้าไปได้ ตามเส้นทางที่เดินผ่านมาล้วนมีต้นไม้หลากพันธุ์ขึ้นปกคลุมจนรกครึ้ม มองดูมืดสนิทเหมือนแดนสนธยา นกป่าร้องเสียงแหลมผสานเสียงแมลงกลางคืนกรีดปีก ฟังดูวังเวงพิลึก
ถึงจะคุ้นเคยอยู่กับป่ามานาน แต่ไอ้พันก็อดประหวั่นพรั่นพรึงกับความลี้ลับและอาถรรพ์ของผืนป่าไม่ได้ พันอดคิดไม่ได้ว่า ทำไมนายวายุของมันถึงชอบอยู่แต่ในป่าได้เป็นเดือนๆ แทบไม่อยากออกมาข้างนอกเลย
รถโฟร์วีลของไอ้พันขับฝ่าความมืดออกไป หากมันสังเกตที่กระจกหลังสักนิด ไอ้พันอาจจะเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ชายป่าด้านหลัง....ตรงนั้นปรากฏเงาตะคุ่มของร่างคนที่กำลังค่อยๆ เคลื่อนไปทางกระท่อมน้อยกลางป่าอันเป็นที่พักของวายุ พรานหนุ่มวัยเบญจเพส ที่อยู่ลำพังในกระท่อมกลางป่าใหญ่
เงาตะคุ่มนั้นมาหยุดอยู่ตรงรั้วไม้เลื้อยหน้ากระท่อม
ภาพเงาค่อยๆ แจ่มชัดขึ้น มองเห็นเป็นรูปร่างของหญิงสาวงามละมุนละไมในชุดเสื้อลูกไม้ตัวยาวกับซิ่นปาเต๊ะพื้นเมืองมลายู แต่! ที่คอของหญิงสาวปรากฏบาดแผลเหวอะหวะมีน้ำใสๆ ไหลออกมาตลอดเวลา
ดวงตาของเธอเบิกโพลง และจ้องเขม็งมาที่กระท่อมด้วยสายตาเยือกเย็นชวนขนลุก!!