เรื่อง : สังเวียน ป.4
โดย : ละเว้
แม้คอยปัดป้อง แต่สองแขนของเด็กปอสี่มันล้าเกินทน แทบไม่อาจสู้แรงปะทะใดได้อีกแล้ว
ยังคงกัดฟันตั้งรับ แม้แทบไม่มีแรงหลบหรือป้องกันหมัดเท้าจากอีกฝ่าย
เสียงปี่กลองยังคงดังเร้าใจใครหลายฅน แต่สำหรับเขานั้น ความฮึกเหิมต่าง ๆ ไม่เหลือแล้ว มีเพียงเสียงกระซิบแผ่วเบาสั่งให้สู้จากในหัวเท่านั้น
ต้องสู้ ต้องทนความเจ็บปวดอ่อนล้า และต้องยืนอยู่ให้ได้จนกว่าเสียงระฆังจะดัง แม้น้ำตาจะไหลอาบแก้มแล้วก็ตาม
ในที่สุดก็เกินทน เรี่ยวแรงที่คงอยู่เพียงน้อยนิดไม่อาจต้านทานแข้งคงพลังของอีกฝ่ายได้ ร่างทรุดลงตามแรงเหวี่ยงปะทะในที่สุด
อยากปล่อยกายเหยียดตรงหลับตานิ่งให้ทุกสิ่งจบลงแค่นี้ แต่เสียงจากนอกสังเวียนเชือกไม่ปล่อยให้เขาทำเช่นนั้นได้
“ลุกขึ้นมาสิวะ ไอ้ขี้แยเอ๊ย”
เด็กชายฝืนทรงตัวก่อนเสียงนับสิบจะดัง กัดฟันปาดน้ำตาพยักหน้า
.
มีคำพูดที่ว่า โลกของเด็กนั้นสดใสเสมอ แต่ก็มีบางคำพูดบอกว่า ชีวิตคือการต่อสู้อยู่เช่นกัน และบางชีวิตนั้น อาจต้องรู้จักต่อสู้ตั้งแต่ลืมตาดูโลก
.
“ข้าจะชกมวย” อยู่ ๆ ไอ้กบก็หันมาบอกขณะเตรียมตัวไปเรียนกันในเช้าวันนั้น
เด็กชายหันมองเพื่อน อดคิดไม่ได้ว่าเป็นนักมวยนี่มันโก้เป็นบ้าเลย
“งานวัดรึไอ้กบ” ถามกลับทั้งที่รู้คำตอบ
“อือ แม่ข้าให้ชก” ไอ้กบตอบ แววตาของมันทำให้อิจฉาได้อีก ไอ้กบมันช่างเก่งไปเสียทุกเรื่อง มันไม่อ่อนแอเหมือนเรา เด็กชายอดเปรียบเทียบกับตัวเองไม่ได้
“เอ็งชกกับข้าสิไอ้พี”
หันมองเพื่อนอีกครั้งจากคำชวนนั้น แสดงสายตาลังเลก่อนตอบออกไป
“พ่อข้าไม่ให้ชกหรอก”
ที่ห่วงจริง ๆ คือกลัวทำไม่ได้มากกว่า อย่างไรเขาก็ไม่เก่งเหมือนไอ้กบ
“เอ็งขอพ่อสิ เงินรางวัลพันหนึ่งเลยนะโว้ย ไปซ้อมกับข้า บ้านตาวี”
ก้มหน้าครุ่นคิด เหลือบมองเพื่อนที่พยายามหว่านล้อม
“พ่อข้าไม่เคยมาบ้านเลย”
.
นานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้เห็นหน้าพ่อ พ่อวัยรุ่นของเขาต้องออกทำงานนอกบ้าน แม่เลิกกับพ่อตั้งแต่เขายังเล็กมาก
‘วัยรุ่นมันอยู่กันไม่ทนหรอก’
ปู่ของเขาชอบพูดแบบนี้เป็นประจำ เขาอยู่กับปู่ แต่ปู่ก็มีย่าใหม่ ย่าใหม่ไม่ชอบเขานัก นั่นทำให้เขาไม่ชอบอยู่บ้าน แม้จะมีวัยแค่ปอสี่ แต่หลังจากมานอนค้างบ้านไอ้กบบ่อยครั้งเขาก็ไม่กลับบ้านมันเสียเลย พ่อไม่ได้ว่าอะไรเมื่อรู้เรื่อง ดูจะสบายใจมากกว่าด้วย อย่างน้อยก็ไม่ต้องคอยห่วง เพราะบ่อยครั้งเขาต้องอยู่บ้านฅนเดียวเมื่อปู่กับย่ามีธุระของท่าน
แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังอยากเจอพ่อ อยากให้พ่อมานอนด้วยมากกว่า แต่พ่อไม่ค่อยกลับบ้านเลย แม้ที่ทำงานจะอยู่ห่างแค่ตัวจังหวัดเท่านั้นก็ตาม
.
“พ่อจะมาดูหนูชกไหม เงินรางวัลพันหนึ่งเลยนะพ่อ” เด็กชายกรอกเสียงลิงโลดผ่านโทรศัพท์มือถือ หลังจากในที่สุดไอ้กบก็ทำให้เขาเกิดความมั่นใจจนได้
“หนูชนะแน่พ่อ คู่ชกตัวเล็กกว่าหนูอีก พ่อต้องมานะ” เด็กชายไม่ลืมย้ำ ยิ้มกว้างออกมาเมื่อพ่อรับคำ
แต่พ่อก็ไม่มา มีเพียงตาชัยเพื่อนของตาวีครูสอนมวยให้เขาเท่านั้นมาคอยดูแล
‘พ่อมีธุระพ่อไปไม่ได้ แต่พรุ่งนี้พ่อกลับบ้านนะ’
นั่นคือคำอธิบายผ่านมือถือ
.
“สู้ให้เต็มที่ ข้าเล่นเอ็งไว้เยอะนะโว้ย” ตาชัยตะโกนไล่หลังเมื่อเขาปีนขึ้นเวที
เสียงปี่เสียงกลองสร้างความฮึกเหิมได้ไม่น้อยทีเดียวในตอนนั้น แต่ตอนนี้เขาแทบไม่ได้สนใจอะไรแล้ว
“ไอ้ห่ เอ๊ย ใจเสาะฉิ หายเลย” เสียงนั้นต่างหากที่ทำให้เขาต้องพยายามลุกขึ้น ปาดน้ำตาพยักหน้า แม้จะล้าจนเกินทนแล้วก็ตาม
.
เสียงระฆังจบยกสุดท้ายดังขึ้นในที่สุด การต่อสู้บนเวทีผ้าใบของเขาจบลงได้เสียที
“ทำไมใจเสาะนักวะ ชกมวยมัวแต่กลัวมันก็แพ้สิโว้ย” ตาชัยยังคงเสียงดังโวยวาย เขาอดรู้สึกอับอายทั้งเจ็บใจตัวเองไม่ได้
“เด็กมันเจอมวยค่ายด้วย เราก็ไม่รู้ว่ามวยซุ่ม” ตาวีเอ่ยเชิงปรามเพื่อน แต่นั่นไม่ทำให้ตาชัยเงียบเสียงลงได้เลย
“มันกลัวเขาเกินไปด้วย ขี้แยอีกต่างหาก”
น้ำตาที่เพิ่งเหือดแห้งดูจะรื้นออกมาได้อีก เราไม่น่าเป็นเด็กขี้แยเลย เรามันขี้แพ้ ดีแต่ทำให้ใครต่อใครผิดหวัง ไม่ว่าพ่อ ปู่ หรือใครก็ตาม เด็กชายคิดพลางพยายามฝืนน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
.
เสียงพากย์มวยยังคงดังลั่น เสียงผู้ฅนยังคงสนุกเฮฮาที่ได้ดูเด็กต่อสู้กัน เขากำแบงก์ร้อยสี่ใบไว้ในมือ แม้จะแพ้ แต่ไม่ว่าอย่างไรพรุ่งนี้เขาก็มีเงินอวดพ่อ เงินรางวัลของฅนแพ้
ตาชัยหันไปส่งเสียงเชียร์ไอ้กบบนเวทีแล้ว มันไม่เคยทำให้แกผิดหวังเลย
.
เด็กชายล้วงโทรศัพท์ที่ไอ้กบฝากไว้ออกจากกระเป๋า เปิดหน้าจอเข้าหน้าสังคมออนไลน์ พ่อยังไม่นอน ยังอัปเดตสถานะอยู่เลย
'อยู่ร้านเหล้า ใครว่างตามมาได้’
อดไม่ได้ที่จะต้องเป็นเด็กขี้แย อดไม่ได้ที่น้ำตาจะไหลออกมาอีก เด็กชายกลั้นสะอื้นจ้องจอ บนสังเวียนนี้ เขาเกิดมาเพื่อพ่ายแพ้จริง ๆ
สังเวียนปอสี่
โดย : ละเว้
แม้คอยปัดป้อง แต่สองแขนของเด็กปอสี่มันล้าเกินทน แทบไม่อาจสู้แรงปะทะใดได้อีกแล้ว
ยังคงกัดฟันตั้งรับ แม้แทบไม่มีแรงหลบหรือป้องกันหมัดเท้าจากอีกฝ่าย
เสียงปี่กลองยังคงดังเร้าใจใครหลายฅน แต่สำหรับเขานั้น ความฮึกเหิมต่าง ๆ ไม่เหลือแล้ว มีเพียงเสียงกระซิบแผ่วเบาสั่งให้สู้จากในหัวเท่านั้น
ต้องสู้ ต้องทนความเจ็บปวดอ่อนล้า และต้องยืนอยู่ให้ได้จนกว่าเสียงระฆังจะดัง แม้น้ำตาจะไหลอาบแก้มแล้วก็ตาม
ในที่สุดก็เกินทน เรี่ยวแรงที่คงอยู่เพียงน้อยนิดไม่อาจต้านทานแข้งคงพลังของอีกฝ่ายได้ ร่างทรุดลงตามแรงเหวี่ยงปะทะในที่สุด
อยากปล่อยกายเหยียดตรงหลับตานิ่งให้ทุกสิ่งจบลงแค่นี้ แต่เสียงจากนอกสังเวียนเชือกไม่ปล่อยให้เขาทำเช่นนั้นได้
“ลุกขึ้นมาสิวะ ไอ้ขี้แยเอ๊ย”
เด็กชายฝืนทรงตัวก่อนเสียงนับสิบจะดัง กัดฟันปาดน้ำตาพยักหน้า
.
มีคำพูดที่ว่า โลกของเด็กนั้นสดใสเสมอ แต่ก็มีบางคำพูดบอกว่า ชีวิตคือการต่อสู้อยู่เช่นกัน และบางชีวิตนั้น อาจต้องรู้จักต่อสู้ตั้งแต่ลืมตาดูโลก
.
“ข้าจะชกมวย” อยู่ ๆ ไอ้กบก็หันมาบอกขณะเตรียมตัวไปเรียนกันในเช้าวันนั้น
เด็กชายหันมองเพื่อน อดคิดไม่ได้ว่าเป็นนักมวยนี่มันโก้เป็นบ้าเลย
“งานวัดรึไอ้กบ” ถามกลับทั้งที่รู้คำตอบ
“อือ แม่ข้าให้ชก” ไอ้กบตอบ แววตาของมันทำให้อิจฉาได้อีก ไอ้กบมันช่างเก่งไปเสียทุกเรื่อง มันไม่อ่อนแอเหมือนเรา เด็กชายอดเปรียบเทียบกับตัวเองไม่ได้
“เอ็งชกกับข้าสิไอ้พี”
หันมองเพื่อนอีกครั้งจากคำชวนนั้น แสดงสายตาลังเลก่อนตอบออกไป
“พ่อข้าไม่ให้ชกหรอก”
ที่ห่วงจริง ๆ คือกลัวทำไม่ได้มากกว่า อย่างไรเขาก็ไม่เก่งเหมือนไอ้กบ
“เอ็งขอพ่อสิ เงินรางวัลพันหนึ่งเลยนะโว้ย ไปซ้อมกับข้า บ้านตาวี”
ก้มหน้าครุ่นคิด เหลือบมองเพื่อนที่พยายามหว่านล้อม
“พ่อข้าไม่เคยมาบ้านเลย”
.
นานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้เห็นหน้าพ่อ พ่อวัยรุ่นของเขาต้องออกทำงานนอกบ้าน แม่เลิกกับพ่อตั้งแต่เขายังเล็กมาก
‘วัยรุ่นมันอยู่กันไม่ทนหรอก’
ปู่ของเขาชอบพูดแบบนี้เป็นประจำ เขาอยู่กับปู่ แต่ปู่ก็มีย่าใหม่ ย่าใหม่ไม่ชอบเขานัก นั่นทำให้เขาไม่ชอบอยู่บ้าน แม้จะมีวัยแค่ปอสี่ แต่หลังจากมานอนค้างบ้านไอ้กบบ่อยครั้งเขาก็ไม่กลับบ้านมันเสียเลย พ่อไม่ได้ว่าอะไรเมื่อรู้เรื่อง ดูจะสบายใจมากกว่าด้วย อย่างน้อยก็ไม่ต้องคอยห่วง เพราะบ่อยครั้งเขาต้องอยู่บ้านฅนเดียวเมื่อปู่กับย่ามีธุระของท่าน
แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังอยากเจอพ่อ อยากให้พ่อมานอนด้วยมากกว่า แต่พ่อไม่ค่อยกลับบ้านเลย แม้ที่ทำงานจะอยู่ห่างแค่ตัวจังหวัดเท่านั้นก็ตาม
.
“พ่อจะมาดูหนูชกไหม เงินรางวัลพันหนึ่งเลยนะพ่อ” เด็กชายกรอกเสียงลิงโลดผ่านโทรศัพท์มือถือ หลังจากในที่สุดไอ้กบก็ทำให้เขาเกิดความมั่นใจจนได้
“หนูชนะแน่พ่อ คู่ชกตัวเล็กกว่าหนูอีก พ่อต้องมานะ” เด็กชายไม่ลืมย้ำ ยิ้มกว้างออกมาเมื่อพ่อรับคำ
แต่พ่อก็ไม่มา มีเพียงตาชัยเพื่อนของตาวีครูสอนมวยให้เขาเท่านั้นมาคอยดูแล
‘พ่อมีธุระพ่อไปไม่ได้ แต่พรุ่งนี้พ่อกลับบ้านนะ’
นั่นคือคำอธิบายผ่านมือถือ
.
“สู้ให้เต็มที่ ข้าเล่นเอ็งไว้เยอะนะโว้ย” ตาชัยตะโกนไล่หลังเมื่อเขาปีนขึ้นเวที
เสียงปี่เสียงกลองสร้างความฮึกเหิมได้ไม่น้อยทีเดียวในตอนนั้น แต่ตอนนี้เขาแทบไม่ได้สนใจอะไรแล้ว
“ไอ้ห่ เอ๊ย ใจเสาะฉิ หายเลย” เสียงนั้นต่างหากที่ทำให้เขาต้องพยายามลุกขึ้น ปาดน้ำตาพยักหน้า แม้จะล้าจนเกินทนแล้วก็ตาม
.
เสียงระฆังจบยกสุดท้ายดังขึ้นในที่สุด การต่อสู้บนเวทีผ้าใบของเขาจบลงได้เสียที
“ทำไมใจเสาะนักวะ ชกมวยมัวแต่กลัวมันก็แพ้สิโว้ย” ตาชัยยังคงเสียงดังโวยวาย เขาอดรู้สึกอับอายทั้งเจ็บใจตัวเองไม่ได้
“เด็กมันเจอมวยค่ายด้วย เราก็ไม่รู้ว่ามวยซุ่ม” ตาวีเอ่ยเชิงปรามเพื่อน แต่นั่นไม่ทำให้ตาชัยเงียบเสียงลงได้เลย
“มันกลัวเขาเกินไปด้วย ขี้แยอีกต่างหาก”
น้ำตาที่เพิ่งเหือดแห้งดูจะรื้นออกมาได้อีก เราไม่น่าเป็นเด็กขี้แยเลย เรามันขี้แพ้ ดีแต่ทำให้ใครต่อใครผิดหวัง ไม่ว่าพ่อ ปู่ หรือใครก็ตาม เด็กชายคิดพลางพยายามฝืนน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
.
เสียงพากย์มวยยังคงดังลั่น เสียงผู้ฅนยังคงสนุกเฮฮาที่ได้ดูเด็กต่อสู้กัน เขากำแบงก์ร้อยสี่ใบไว้ในมือ แม้จะแพ้ แต่ไม่ว่าอย่างไรพรุ่งนี้เขาก็มีเงินอวดพ่อ เงินรางวัลของฅนแพ้
ตาชัยหันไปส่งเสียงเชียร์ไอ้กบบนเวทีแล้ว มันไม่เคยทำให้แกผิดหวังเลย
.
เด็กชายล้วงโทรศัพท์ที่ไอ้กบฝากไว้ออกจากกระเป๋า เปิดหน้าจอเข้าหน้าสังคมออนไลน์ พ่อยังไม่นอน ยังอัปเดตสถานะอยู่เลย
'อยู่ร้านเหล้า ใครว่างตามมาได้’
อดไม่ได้ที่จะต้องเป็นเด็กขี้แย อดไม่ได้ที่น้ำตาจะไหลออกมาอีก เด็กชายกลั้นสะอื้นจ้องจอ บนสังเวียนนี้ เขาเกิดมาเพื่อพ่ายแพ้จริง ๆ