ตกเย็น...
ทับทิมใช้งานสิงห์จนตะวันตกดิน จึงยอมปล่อยให้กลับไปพัก สิงห์นั่งบีบนวดไหล่ให้ตนเองอยู่ที่แคร่หน้าบ้านของเพลิง สิงห์...บุตรชายจมื่นสรรเพชญ์ภักดีผู้ไม่เคยต้องทำงานหนักให้ระคายผิว แต่บัดนี่ไหล่ของเขาบวมช้ำ ระบมไปทั้งสองข้าง มือทั้งสองที่ไม่เคยต้องหยิบจับอะไรก็เริ่มจะหยาบกระด้างขึ้นเพราะฟืนกองใหญ่พวกนั้น สิงห์ได้แต่นั่งถอนหายใจ ยอมรับชะตากรรมที่เขาเป็นคนเลือกเอง
ด้วยความเป็นห่วง อบเชยจึงเอายามาให้ เมื่อเห็นสิงห์ทาไม่ถนัด จึงอาสาทายาให้เอง เมื่อเพลิงมาเห็นเข้าก็ไม่ชอบใจ เพลิงแย่งยามาจากมืออบเชย แล้วไล่ตะเพิดอบเชยให้กลับเรือนไป อ้างว่าจะมืดค่ำแล้วเดี๋ยวงูเงี้ยวเขี้ยวขอจะออกมาเพ่นพ่าน เมื่ออบเชยไปพ้นตาแล้ว เพลิงก็นั่งลงทายาให้สิงห์
“ทับทิมกับอบเชยนี่ เป็นพี่น้องกันจริงหรือพี่เพลิง”
“ก็จริงสิวะ เอ็งจะถามทำไมวะไอ้สิงห์”
“ฉันเห็นว่านิสัยต่างกันราวฟ้ากับดิน ไม่เห็นเหมือนกันสักนิด”
“พ่อเดียวกัน แต่คนละแม่ แม่ทับทิมตายจากไปตั้งแต่ยังเล็ก ขาดแม่ ทับทิมเลยเป็นคนแข็ง ไม่มีนิสัยอ่อนโยนเหมือนอบเชย”
“แล้วแม่อบเชยล่ะพี่ ฉันไม่เห็นอยู่ที่เรือน”
“น้าบังอรไปดูใจญาติที่เมืองเพชร ญาติแกป่วยหนัก ไปไม่กี่วันเอ็งก็มาที่นี่”
“เป็นอย่างนี้เองดอกรึ คนพี่ก็แข็งกร้าว แต่คนน้องอ่อนหวาน...อ่อนโยน แลมีน้ำใจกับฉันนัก” สิงห์พูดไปยิ้มไป ซาบซึ้งในน้ำใจของอบเชย เพลิงขัดหูขัดตาในท่าทีจึงกดมือลงบนบ่าสิงห์แรงขึ้น
“โอ๊ย...พี่ เบาๆก่อนเถิด มือหนักเหลือเกิน” สิงห์โอดครวญ
“เยี่ยงนั้นเอ็งก็เอาไปทาเองเถิดวะ” เพลิงโยนยาให้สิงห์ ก่อนจะเดินหนีขึ้นเรือนไปอย่างหงุดหงิด
“หงุดหงิดมาจากไหน เมื่อครู่ยังดีๆอยู่เลย” สิงห์บ่นงึมงำก่อนจะทายาให้ตัวเองอย่างทุลักทุเล
00000000
รุ่งเช้า...
สิงห์ตื่นแต่เช้ามืดมาผ่าฟืนและหาบน้ำจนเต็มโดยที่จุกและทับทิมยังไม่ทันได้สั่ง แล้วก็แย่งงานอบเชย กวาดถูบ้านจนเงาวับ ก่อนจะมากวาดใบไม้ที่ลานหน้าบ้าน
“เอาไงต่อดีพี่ จะเล่นงานกระไรมัน มันเล่นทำซะหมดทุกอย่างแล้ว” จุกเอ่ย
“ฟืนยังเหลือไหมวะไอ้จุก” ทับทิมหน้าเครียด
“ไม่เหลือแล้วพี่ เมื่อวานไอ้สิงห์มันผ่าหมดทุกท่อนแล้ว พี่จะเอาไงต่อล่ะ...เอาไงดีพี่” จุกเขย่าแขนทับทิมเร่งเร้า
“โอ๊ย.. อย่าเร่งสิวะ ข้ากำลังใช้ความคิด”
“ถ้าคิดไม่ได้ พวกเอ็งก็ไม่ต้องคิด เลิกคิดแกล้งไอ้สิงห์ แล้วฝึกมวยมันจริงจังได้แล้วนังทับทิม...ไอ้จุก!” ครูเที่ยงแทรกเข้ามาจากด้านหลัง ทับทิมกับจุกขนลุกด้วยความเกรงกลัว
“พ่อ” ทับทิมอุทานด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
“เอาไงดีพี่ ครูจับได้อีกแล้ว” จุกยังคงร้อนรนเป็นวัวสันหลังหวะ
“จะเอาไงล่ะไอ้จุก ไป! เอ็งไปเตรียมอุปกรณ์ซ้อมมวย หาผ้ามาพันมือพันเท้าให้ไอ้สิงห์มัน นังทับทิมมันพร้อมจะฝึกมวยให้ไอ้สิงห์แล้ว ใช่ไหมนังทับทิม” ครูเที่ยงย้ำถามลูกสาวด้วยแววตาดุดัน
“ยืนทำกระไรอยู่วะไอ้จุก พ่อข้าสั่งกระไรก็ไปทำสิวะ” จุกรีบเผ่นไปเตรียมข้าวของ ครูเที่ยงยิ้มมุมปากก่อนจะเดินไปนั่งรอดูสิงห์ซ้อมมวยที่แคร่หน้าบ้าน
00000000
ณ ลานมวย...
จุกจัดการพันข้อมือครึ่งแขนและพันคาดทับข้อเท้าให้สิงห์ ในขณะที่ทับทิมพันเองอย่างคล่องแคล่ว สิงห์ยิ่งประทับใจในความทะมัดทะแมงของทับทิม จนเหม่อลอยคิดย้อนไปถึงวันแรกที่เขาได้เจอกับสาวเจ้า
“ไอ้สิงห์ ไอ้สิงห์” จุกเรียกสิงห์ปลุกให้ตื่นจากภวังค์
“ข้าพันผ้าให้เอ็งเสร็จแล้ว ไป! พี่ทับทิมรออยู่โน่นแล้ว” สิงห์ลุกขึ้นเดินไปหาทับทิม
“ตั้งกาด” ทับทิมทำให้ดู สิงห์ทำตาม
“อย่างนี้ ให้มันดูทะมัดทะแมง” ทับทิมเข้าไปจัดท่าให้
“ก้าวขาออกมา” สิงห์ก้าวขาขวาออกมา
“เอ็งถนัดขวามิใช่รึ ก็ก้าวซ้ายออกมาสิวะ ขาขวาเอาไว้เตะคู่ต่อสู้ “ สิงห์เปลี่ยนเป็นก้าวซ้ายออกมาตามคำทับทิม
“ดูไอ้สิงห์สิครู ท่าทางเก้ๆกังๆ สงสารพี่ทับทิมนะครู ต้องมาสอนคนโง่เงอะงะอย่างมัน” จุกหันไปพูดกับครูเที่ยง แต่ครูกลับแจกมะเหงกให้กับไอ้จุกมาลูกใหญ่
00000000
“ครูเที่ยงมาจากสิงห์บุรี เรียนมวยสายลพบุรีมาตั้งแต่ยังเด็ก กระบวนท่าของมวยสายลพบุรี พบว่า มี ๑๖ กระบวนท่า ได้แก่ กระบวนท่ายอเขาพระสุเมรุ หักงวงไอยรา ขุนยักษ์จับลิง หักคอเอราวัณ เอราวัณเสยงา ขุนยักษ์พานาง พระรามน้าวศร กวางเหลียวหลัง หิรัญม้วนแผ่นดิน หนุมานถวายแหวน ล้มพลอยอาย ลิงชิงลูกไม้ คชสารถองหญ้า คชสารแทงงา ลิงพลิ้ว และหนุมานถอนตอ”
ทับทิมอธิบายในแต่ละท่วงท่า พร้อมกับเรียกเพลิงกับเข้มมาสาธิตแต่ละท่าให้สิงห์ดู สิงห์ตั้งใจฝึกซ้อมทุกกระบวนท่า จดจำเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ทุกคนถ่ายทอดให้ สิงห์ขยันฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ จนเริ่มมีพัฒนาการขึ้นเรื่อยๆ
00000000
1 เดือนผ่านไป...
ทับทิมทดสอบสิงห์โดยให้สิงห์ลองขึ้นสังเวียนกับตน พร้อมกับสอนไปในตัว
“ เริ่มต้นของมวยไทยสายลพบุรี มีปรมาจารย์สุกะทันตะฤๅษี เป็นผู้ก่อตั้งสำนักขึ้นที่เทือกเขาสมอคอน เมืองลพบุรี มีลูกศิษย์ชุดสุดท้ายคือ พ่อขุนรามคำแหง”
“เอกลักษณ์ของมวยสายลพบุรี เป็นมวยที่ชกฉลาด รุกรับคล่องแคล่วว่องไว ต่อยหมัดตรงได้แม่นยำ เรียกมวยแบบนี้ว่า มวยเกี้ยว หมายถึง มวยที่ใช้ชั้นเชิงเข้าทำคู่ต่อสู้โดยใช้กลลวงมากมาย จะเคลื่อนตัวอยู่เสมอ หลอกล่อหลบหลีกได้ดี สายตาดี รุกรับ และออกอาวุธหมัดเท้าเข่าศอกได้อย่างรวดเร็ว”
เมื่ออธิบายเสร็จ ทับทิมก็ออกหมัดใส่สิงห์ สิงห์หลบหลีกอย่างคล่องแคล่ว ทับทิมทดสอบสิงห์หลายท่วงท่า แต่สิงห์ก็ปัดป้องได้แทบทั้งหมด จนเข้าคลุกวงใน สิงห์ฉวยโอกาสกอดทับทิมไว้แน่น จนทับทิมแทบหายใจไม่ออก ยิ่งดิ้นก็ยิ่งรัดแน่น
“ไอ้สิงห์ ปล่อยสิวะ เป็นศิษย์คิดล้างครูรึ” สิงห์ยอมปล่อยแต่ใบหน้ายังคงยิ้มระรื่น เมื่อหลุดจากอ้อมแขนของสิงห์ ทับทิมก็เตะผ่าหมากสิงห์อย่างสุดแรงเกิด
“วันนี้ก็พอแค่นี้ละกัน เอ็งคงไม่มีเรี่ยวมีแรงฝึกซ้อมต่อแล้วกระมัง คราวหน้าเอ็งอย่าคิดฉวยโอกาสกับข้าอีก จำใส่หัวเอ็งไว้”ทับทิมขู่สิงห์ก่อนจะปลดผ้าพันมือออก ในขณะที่สิงห์จุกจนต้องล้มลงไปบิดตัวที่พื้น ใบหน้าซีดเซียว
00000000
วันนี้อบเชยตั้งหน้าตั้งตาทำขนมต้มแต่เช้า แล้วให้จุกเอาไปแจกจ่ายทุกคน ทับทิมเอาไปให้เพลิง ก่อนจะนั่งกินด้วยกัน
“ฝีมืออบเชย อร่อยไม่เปลี่ยนเลย เอ็งหัดทำไว้บ้างก็ดีนะทับทิม” ทับทิมหน้าหงิกเมื่อเพลิงเอ่ยชมอบเชย
“กินเลอะเป็นเด็กๆไปได้ โตแล้วนะทับทิม” เพลิงหยิบเศษขนมที่เลอะปากทับทิมออก
“มาว่าฉัน พี่ก็กินเลอะไม่ต่างกันดอก” ทับทิมเอื้อมมือไปหยิบเศษขนมออกให้เพลิงบ้าง สิงห์ที่นั่งอยู่กับอบเชยแต่สายตานั้นเฝ้ามองทับทิมกับเพลิงอยู่ตลอด
“พี่สิงห์ กินเยอะๆนะจ๊ะ จะได้มีแรงต่อยมวย” อบเชยยื่นขนมต้มที่แกะแล้วให้สิงห์
“หืมม ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยกินขนมต้มที่ใดอร่อยเท่าฝีมือของอบเชยเลย” สิงห์เคี้ยวไปชมไป อบเชยยิ้มดีใจที่สิงห์ชอบ
“พี่สิงห์ก็พูดยกยอฉันเกินไป ถ้าอร่อยก็กินเยอะๆนะจ๊ะ ยังมีเหลืออีกเยอะ”
“อบเชย กระไรติดผม” สิงห์เอื้อมมือไปหยิบเศษใบไม้ออกจากผมให้อบเชย
“ใบไม้ ไปบุกป่าที่ใดมาเล่า ”
“อ๋อ เมื่อเช้าฉันเข้าไปเอาใบตองมาห่อขนม สงสัยคงติดมาตอนนั้น ขอบใจนะจ๊ะ” สิงห์บอกว่าไม่เป็นไร แล้วก็กินขนมต้มต่อ เพลิงที่นั่งอยู่กับทับทิมแต่ก็เฝ้ามองดูสิงห์กับอบเชยด้วยความหึงหวง
“พี่ทับทิม เหลือขนมต้นให้ฉันไหมจ๊ะ” จุกเดินมาขอขนมกับทับทิม
“ไม่มี นี่ของพี่เพลิง”
“อีกแล้วรึ แล้วของฉันเล่า ไอ้จุกหิวโว๊ย!” จุกบ่นด้วยความน้อยใจ
“เหลือตั้งเยอะอยู่ในครัวน่ะจุก” อบเชยตะโกนบอกจุก จุกรีบวิ่งแจ้นเข้าครัว...
00000000
โปรดติดตามตอนต่อไป
ลูกไม้มวยไทย ตอนที่ ๕ ตั้งกาด
ทับทิมใช้งานสิงห์จนตะวันตกดิน จึงยอมปล่อยให้กลับไปพัก สิงห์นั่งบีบนวดไหล่ให้ตนเองอยู่ที่แคร่หน้าบ้านของเพลิง สิงห์...บุตรชายจมื่นสรรเพชญ์ภักดีผู้ไม่เคยต้องทำงานหนักให้ระคายผิว แต่บัดนี่ไหล่ของเขาบวมช้ำ ระบมไปทั้งสองข้าง มือทั้งสองที่ไม่เคยต้องหยิบจับอะไรก็เริ่มจะหยาบกระด้างขึ้นเพราะฟืนกองใหญ่พวกนั้น สิงห์ได้แต่นั่งถอนหายใจ ยอมรับชะตากรรมที่เขาเป็นคนเลือกเอง
ด้วยความเป็นห่วง อบเชยจึงเอายามาให้ เมื่อเห็นสิงห์ทาไม่ถนัด จึงอาสาทายาให้เอง เมื่อเพลิงมาเห็นเข้าก็ไม่ชอบใจ เพลิงแย่งยามาจากมืออบเชย แล้วไล่ตะเพิดอบเชยให้กลับเรือนไป อ้างว่าจะมืดค่ำแล้วเดี๋ยวงูเงี้ยวเขี้ยวขอจะออกมาเพ่นพ่าน เมื่ออบเชยไปพ้นตาแล้ว เพลิงก็นั่งลงทายาให้สิงห์
“ทับทิมกับอบเชยนี่ เป็นพี่น้องกันจริงหรือพี่เพลิง”
“ก็จริงสิวะ เอ็งจะถามทำไมวะไอ้สิงห์”
“ฉันเห็นว่านิสัยต่างกันราวฟ้ากับดิน ไม่เห็นเหมือนกันสักนิด”
“พ่อเดียวกัน แต่คนละแม่ แม่ทับทิมตายจากไปตั้งแต่ยังเล็ก ขาดแม่ ทับทิมเลยเป็นคนแข็ง ไม่มีนิสัยอ่อนโยนเหมือนอบเชย”
“แล้วแม่อบเชยล่ะพี่ ฉันไม่เห็นอยู่ที่เรือน”
“น้าบังอรไปดูใจญาติที่เมืองเพชร ญาติแกป่วยหนัก ไปไม่กี่วันเอ็งก็มาที่นี่”
“เป็นอย่างนี้เองดอกรึ คนพี่ก็แข็งกร้าว แต่คนน้องอ่อนหวาน...อ่อนโยน แลมีน้ำใจกับฉันนัก” สิงห์พูดไปยิ้มไป ซาบซึ้งในน้ำใจของอบเชย เพลิงขัดหูขัดตาในท่าทีจึงกดมือลงบนบ่าสิงห์แรงขึ้น
“โอ๊ย...พี่ เบาๆก่อนเถิด มือหนักเหลือเกิน” สิงห์โอดครวญ
“เยี่ยงนั้นเอ็งก็เอาไปทาเองเถิดวะ” เพลิงโยนยาให้สิงห์ ก่อนจะเดินหนีขึ้นเรือนไปอย่างหงุดหงิด
“หงุดหงิดมาจากไหน เมื่อครู่ยังดีๆอยู่เลย” สิงห์บ่นงึมงำก่อนจะทายาให้ตัวเองอย่างทุลักทุเล
รุ่งเช้า...
สิงห์ตื่นแต่เช้ามืดมาผ่าฟืนและหาบน้ำจนเต็มโดยที่จุกและทับทิมยังไม่ทันได้สั่ง แล้วก็แย่งงานอบเชย กวาดถูบ้านจนเงาวับ ก่อนจะมากวาดใบไม้ที่ลานหน้าบ้าน
“เอาไงต่อดีพี่ จะเล่นงานกระไรมัน มันเล่นทำซะหมดทุกอย่างแล้ว” จุกเอ่ย
“ฟืนยังเหลือไหมวะไอ้จุก” ทับทิมหน้าเครียด
“ไม่เหลือแล้วพี่ เมื่อวานไอ้สิงห์มันผ่าหมดทุกท่อนแล้ว พี่จะเอาไงต่อล่ะ...เอาไงดีพี่” จุกเขย่าแขนทับทิมเร่งเร้า
“โอ๊ย.. อย่าเร่งสิวะ ข้ากำลังใช้ความคิด”
“ถ้าคิดไม่ได้ พวกเอ็งก็ไม่ต้องคิด เลิกคิดแกล้งไอ้สิงห์ แล้วฝึกมวยมันจริงจังได้แล้วนังทับทิม...ไอ้จุก!” ครูเที่ยงแทรกเข้ามาจากด้านหลัง ทับทิมกับจุกขนลุกด้วยความเกรงกลัว
“พ่อ” ทับทิมอุทานด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
“เอาไงดีพี่ ครูจับได้อีกแล้ว” จุกยังคงร้อนรนเป็นวัวสันหลังหวะ
“จะเอาไงล่ะไอ้จุก ไป! เอ็งไปเตรียมอุปกรณ์ซ้อมมวย หาผ้ามาพันมือพันเท้าให้ไอ้สิงห์มัน นังทับทิมมันพร้อมจะฝึกมวยให้ไอ้สิงห์แล้ว ใช่ไหมนังทับทิม” ครูเที่ยงย้ำถามลูกสาวด้วยแววตาดุดัน
“ยืนทำกระไรอยู่วะไอ้จุก พ่อข้าสั่งกระไรก็ไปทำสิวะ” จุกรีบเผ่นไปเตรียมข้าวของ ครูเที่ยงยิ้มมุมปากก่อนจะเดินไปนั่งรอดูสิงห์ซ้อมมวยที่แคร่หน้าบ้าน
ณ ลานมวย...
จุกจัดการพันข้อมือครึ่งแขนและพันคาดทับข้อเท้าให้สิงห์ ในขณะที่ทับทิมพันเองอย่างคล่องแคล่ว สิงห์ยิ่งประทับใจในความทะมัดทะแมงของทับทิม จนเหม่อลอยคิดย้อนไปถึงวันแรกที่เขาได้เจอกับสาวเจ้า
“ไอ้สิงห์ ไอ้สิงห์” จุกเรียกสิงห์ปลุกให้ตื่นจากภวังค์
“ข้าพันผ้าให้เอ็งเสร็จแล้ว ไป! พี่ทับทิมรออยู่โน่นแล้ว” สิงห์ลุกขึ้นเดินไปหาทับทิม
“ตั้งกาด” ทับทิมทำให้ดู สิงห์ทำตาม
“อย่างนี้ ให้มันดูทะมัดทะแมง” ทับทิมเข้าไปจัดท่าให้
“ก้าวขาออกมา” สิงห์ก้าวขาขวาออกมา
“เอ็งถนัดขวามิใช่รึ ก็ก้าวซ้ายออกมาสิวะ ขาขวาเอาไว้เตะคู่ต่อสู้ “ สิงห์เปลี่ยนเป็นก้าวซ้ายออกมาตามคำทับทิม
“ดูไอ้สิงห์สิครู ท่าทางเก้ๆกังๆ สงสารพี่ทับทิมนะครู ต้องมาสอนคนโง่เงอะงะอย่างมัน” จุกหันไปพูดกับครูเที่ยง แต่ครูกลับแจกมะเหงกให้กับไอ้จุกมาลูกใหญ่
“ครูเที่ยงมาจากสิงห์บุรี เรียนมวยสายลพบุรีมาตั้งแต่ยังเด็ก กระบวนท่าของมวยสายลพบุรี พบว่า มี ๑๖ กระบวนท่า ได้แก่ กระบวนท่ายอเขาพระสุเมรุ หักงวงไอยรา ขุนยักษ์จับลิง หักคอเอราวัณ เอราวัณเสยงา ขุนยักษ์พานาง พระรามน้าวศร กวางเหลียวหลัง หิรัญม้วนแผ่นดิน หนุมานถวายแหวน ล้มพลอยอาย ลิงชิงลูกไม้ คชสารถองหญ้า คชสารแทงงา ลิงพลิ้ว และหนุมานถอนตอ”
ทับทิมอธิบายในแต่ละท่วงท่า พร้อมกับเรียกเพลิงกับเข้มมาสาธิตแต่ละท่าให้สิงห์ดู สิงห์ตั้งใจฝึกซ้อมทุกกระบวนท่า จดจำเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ทุกคนถ่ายทอดให้ สิงห์ขยันฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ จนเริ่มมีพัฒนาการขึ้นเรื่อยๆ
ทับทิมทดสอบสิงห์โดยให้สิงห์ลองขึ้นสังเวียนกับตน พร้อมกับสอนไปในตัว
“ เริ่มต้นของมวยไทยสายลพบุรี มีปรมาจารย์สุกะทันตะฤๅษี เป็นผู้ก่อตั้งสำนักขึ้นที่เทือกเขาสมอคอน เมืองลพบุรี มีลูกศิษย์ชุดสุดท้ายคือ พ่อขุนรามคำแหง”
“เอกลักษณ์ของมวยสายลพบุรี เป็นมวยที่ชกฉลาด รุกรับคล่องแคล่วว่องไว ต่อยหมัดตรงได้แม่นยำ เรียกมวยแบบนี้ว่า มวยเกี้ยว หมายถึง มวยที่ใช้ชั้นเชิงเข้าทำคู่ต่อสู้โดยใช้กลลวงมากมาย จะเคลื่อนตัวอยู่เสมอ หลอกล่อหลบหลีกได้ดี สายตาดี รุกรับ และออกอาวุธหมัดเท้าเข่าศอกได้อย่างรวดเร็ว”
เมื่ออธิบายเสร็จ ทับทิมก็ออกหมัดใส่สิงห์ สิงห์หลบหลีกอย่างคล่องแคล่ว ทับทิมทดสอบสิงห์หลายท่วงท่า แต่สิงห์ก็ปัดป้องได้แทบทั้งหมด จนเข้าคลุกวงใน สิงห์ฉวยโอกาสกอดทับทิมไว้แน่น จนทับทิมแทบหายใจไม่ออก ยิ่งดิ้นก็ยิ่งรัดแน่น
“ไอ้สิงห์ ปล่อยสิวะ เป็นศิษย์คิดล้างครูรึ” สิงห์ยอมปล่อยแต่ใบหน้ายังคงยิ้มระรื่น เมื่อหลุดจากอ้อมแขนของสิงห์ ทับทิมก็เตะผ่าหมากสิงห์อย่างสุดแรงเกิด
“วันนี้ก็พอแค่นี้ละกัน เอ็งคงไม่มีเรี่ยวมีแรงฝึกซ้อมต่อแล้วกระมัง คราวหน้าเอ็งอย่าคิดฉวยโอกาสกับข้าอีก จำใส่หัวเอ็งไว้”ทับทิมขู่สิงห์ก่อนจะปลดผ้าพันมือออก ในขณะที่สิงห์จุกจนต้องล้มลงไปบิดตัวที่พื้น ใบหน้าซีดเซียว
วันนี้อบเชยตั้งหน้าตั้งตาทำขนมต้มแต่เช้า แล้วให้จุกเอาไปแจกจ่ายทุกคน ทับทิมเอาไปให้เพลิง ก่อนจะนั่งกินด้วยกัน
“ฝีมืออบเชย อร่อยไม่เปลี่ยนเลย เอ็งหัดทำไว้บ้างก็ดีนะทับทิม” ทับทิมหน้าหงิกเมื่อเพลิงเอ่ยชมอบเชย
“กินเลอะเป็นเด็กๆไปได้ โตแล้วนะทับทิม” เพลิงหยิบเศษขนมที่เลอะปากทับทิมออก
“มาว่าฉัน พี่ก็กินเลอะไม่ต่างกันดอก” ทับทิมเอื้อมมือไปหยิบเศษขนมออกให้เพลิงบ้าง สิงห์ที่นั่งอยู่กับอบเชยแต่สายตานั้นเฝ้ามองทับทิมกับเพลิงอยู่ตลอด
“พี่สิงห์ กินเยอะๆนะจ๊ะ จะได้มีแรงต่อยมวย” อบเชยยื่นขนมต้มที่แกะแล้วให้สิงห์
“หืมม ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยกินขนมต้มที่ใดอร่อยเท่าฝีมือของอบเชยเลย” สิงห์เคี้ยวไปชมไป อบเชยยิ้มดีใจที่สิงห์ชอบ
“พี่สิงห์ก็พูดยกยอฉันเกินไป ถ้าอร่อยก็กินเยอะๆนะจ๊ะ ยังมีเหลืออีกเยอะ”
“อบเชย กระไรติดผม” สิงห์เอื้อมมือไปหยิบเศษใบไม้ออกจากผมให้อบเชย
“ใบไม้ ไปบุกป่าที่ใดมาเล่า ”
“อ๋อ เมื่อเช้าฉันเข้าไปเอาใบตองมาห่อขนม สงสัยคงติดมาตอนนั้น ขอบใจนะจ๊ะ” สิงห์บอกว่าไม่เป็นไร แล้วก็กินขนมต้มต่อ เพลิงที่นั่งอยู่กับทับทิมแต่ก็เฝ้ามองดูสิงห์กับอบเชยด้วยความหึงหวง
“พี่ทับทิม เหลือขนมต้นให้ฉันไหมจ๊ะ” จุกเดินมาขอขนมกับทับทิม
“ไม่มี นี่ของพี่เพลิง”
“อีกแล้วรึ แล้วของฉันเล่า ไอ้จุกหิวโว๊ย!” จุกบ่นด้วยความน้อยใจ
“เหลือตั้งเยอะอยู่ในครัวน่ะจุก” อบเชยตะโกนบอกจุก จุกรีบวิ่งแจ้นเข้าครัว...
โปรดติดตามตอนต่อไป