จดหมายแช่ง
ล. วิลิศมาหรา
ผ่องศรีเป็นลูกสาวคนเดียวของยายเอิบ สมัยยังสาวเธอมีรูปร่างหน้าตาที่สะสวยมาก หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่มาขายขนมจีบกันมากหน้าหลายตา เรียกว่าหัวบันไดบ้านไม่เคยแห้งกันเลยทีเดียว แต่ความที่ยายเอิบแกเป็นแม่ม่ายผัวตาย ฐานะทางบ้านค่อนข้างยากจน แกเลี้ยงลูกสาวมาคนเดียว จึงเป็นคนหวงลูกสาวมาก ไม่ยอมตกลงปลงใจยกลูกสาวให้ใครง่าย ๆ
ชายหนุ่มทั้งในและนอกหมู่บ้านต่างพากันมาเที่ยวหาผ่องศรีไม่เว้นแต่ละวัน รวมถึงถาวรไอ้หนุ่มคนบ้านเดียวกัน ที่รุ่นราวคราวเดียวกับผ่องศรี เป็นเพื่อนซี้เล่นกันมาตั้งแต่ยังเล็ก ฐานะทางบ้านของถาวรดีกว่า จึงมักให้ความช่วยเหลือด้านเงินทอง หรือเรื่องการงานแก่ทางบ้านของผ่องศรีอยู่เป็นประจำ จนโตเป็นหนุ่ม ถาวรก็ยังเสมอต้นเสมอปลาย เคยช่วยยังไงก็ยังช่วยอยู่อย่างนั้น คนทั้งสองสนิทกันมาก เรียกว่าเห็นผ่องศรีที่ไหนก็มักเห็นถาวรที่นั่น
ถาวรคิดเกินเลยกับเพื่อน แต่ผ่องศรีกลับมองเห็นไอ้หนุ่มข้างบ้านเป็นเพียงเพื่อนสนิทเท่านั้น ไม่เคยมีใจให้ถาวรมากกว่าคำว่าเพื่อนเลย แถมคิดยังไงก็พูดออกไปอย่างนั้นอีก จนบางคำพูดของเธอก็เผลอไปทำร้ายจิตใจของถาวรเข้า
ต่อมาผ่องศรีไปรู้จักกับหนุ่มคนหนึ่งเป็นคนกรุงเทพ ชื่อสมเกียรติ ผ่องศรีมีใจให้กับผู้ชายคนนี้ สมัยนั้นหนุ่มสาวเขาติดต่อกันทางคอลัมน์หาคู่ในนิตยสารฉบับหนึ่ง จีบกันอยู่พักใหญ่ ต่อมาคนทั้งคู่ก็ตกลงปลงใจจะแต่งงานกัน ยายเอิบเห็นชายหนุ่มมีหน้าที่การงานดี ฐานะร่ำรวย ลูกสาวของตัวเองก็ชอบพอกัน แกเลยตกลงใจจะยกให้ ข่าวหนุ่มชาวกรุงจะแต่งงานกับสาวงามประจำหมู่บ้าน ได้แพร่สะพัดออกไปในเวลาอันรวดเร็ว
วันที่สมเกียรติยกขบวนรถบัสพาพ่อแม่ตัวเองมาเจรจาค่าสินสอด ผ่องศรีมีแต่ความดีใจ ผิดกับเพื่อนชายของเธอที่มีอาการเหมือนคนหัวใจสลาย ถาวรมีสีหน้าที่เศร้าหมอง แยกตัวออกมา ไม่ค่อยพูดจากับใคร ไม่ยอมกินข้าวกินปลา เวลาทำงานก็เอาแต่เหม่อลอย ถาวรกับผ่องศรีห่างกันอย่างอัตโนมัติ ทั้งที่เมื่อก่อนสองคนแทบจะตัวติดกัน
ก่อนวันที่สมเกียรติจะยกขันหมากมา คืนนั้นถาวรได้มาหาผ่องศรีถึงที่บ้าน แต่หญิงสาวรู้สึกรำคาญเพื่อนชาย และไม่ชอบใจที่เห็นเขาเข้ามาจุ้นจ้านกับชีวิตส่วนตัวของเธอ จึงปฏิเสธไม่ยอมออกมาพบหน้า ตกหนักที่ยายเอิบต้องเข้ามาช่วยพูด แกบอกกับลูกสาวว่า
"ออกไปคุยกับไอวรมันดี ๆ เถอะผ่องเอ้ย บอกเขาว่าเราไม่ใช่เนื้อคู่กัน ถาวรมันคงเข้าใจ"
“ไม่อยากออกไปอ่ะแม่ วรมันพูดไม่รู้เรื่อง บอกหลายครั้งแล้วว่าเราเป็นแค่เพื่อนกัน มันก็ยังเซ้าซี้ให้ฉันเลิกกับพี่สมเกียรติอยู่นั่นแหละ ใครมันจะไปเลิก คนเขาจะแต่งงานกันอยู่แล้ว”
เธอตอบแม่ทำหน้ามุ่ย บ่นพึมอย่างเบื่อหน่าย
“ก็ไปบอกมันดี ๆ แบบที่พูดกับแม่เมื่อกี้นั่นแหละ บอกว่าเอ็งคิดกับมันเป็นเพื่อน แล้วก็กำลังจะแต่งงานอยู่แล้ว เพื่อนควรแสดงความดีใจกับเพื่อนถึงจะถูก เอ็งไม่ออกไปคุยกับมันให้รู้เรื่อง มันก็คงไม่ยอมกลับไปบ้านง่าย ๆ ไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันพอดี มันร้องเรียกอยู่แบบนี้อายข้างบ้านเขาจะว่าเอา”
ในที่สุดผ่องศรีก็ใจอ่อน ยอมออกมาพบกับถาวรที่หน้าบ้าน แต่หญิงสาวไม่ได้ทำตามที่แม่บอก พอออกมาพบก็ทำหน้าบึ้งใส่ ถามเพื่อนเสียงห้วนว่า
"เอ็งมาทำไมอีกไอ้วร ข้ากำลังจะเข้านอนอยู่แล้วนะ"
"ข้าจะมาถามเอ็งให้หายข้องใจ เอ็งตกลงจะแต่งงานกับสมเกียรติจริงเหรอ"
"เออ" ผ่องศรีตอบเสียงห้วนสั้น แต่ได้ใจความชัดเจน
"ผ่อง...ข้าขอถามเอ็งสักคำ เอ็งไม่เคยรักข้าเลยใช่ไหม"
คราวนี้ผ่องศรียกมือเกาหัวอย่างรำคาญ
"ข้ารักเอ็งเหมือนเพื่อน เข้าใจไหม ไม่ได้รักแบบแฟน บอกครั้งที่ล้านแล้วนะ"
"ก็แล้วข้ามันเป็นยังไง เอ็งถึงรักข้าแบบแฟนไม่ได้ ไหนเอ็งเคยบอกว่ามีข้าเป็นคนรู้ใจเอ็งที่สุดไง"
ถาวรไม่ยอมรับฟัง ยังทวงถามถึงความหลังอยู่อีก โดยมีท่าทีหงุดหงิดใจของผ่องศรีเป็นคำตอบ
"เอ็งนี่ทำไมมันเข้าใจอะไรยากแบบนี้นะ ก็ข้าบอกไปแล้ว ข้ารักเอ็งเหมือนเพื่อน ไม่ได้รักแบบแฟน จะให้บอกอีกกี่ครั้งกัน ฟังให้ชัด ๆ อีกครั้งนะ ชาตินี้ข้าก็ไม่รักเอ็ง ชาติหน้าข้าก็ไม่รักเอ็ง ต่อให้ทั้งโลกเหลือเอ็งคนเดียวข้าก็ไม่รักเอ็งเป็นแฟน ได้ยินชัดหรือยัง"
ผ่องศรีเห็นถาวรผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ดวงตาของเขาที่จ้องหน้าเธอแดงก่ำ อย่างคนที่เจ็บช้ำน้ำใจเป็นที่สุด
"เอ็งจำคำของเอ็งไว้ให้ดีว่าชาติไหน ๆ เอ็งก็จะไม่รักข้า"
"เออ คำพูดของข้า ทำไมข้าจะไม่จำ เอ็งก็จำเอาไว้ว่าอย่ามายุ่งวุ่นวายกับข้าอีก ข้ากำลังจะแต่งงานแล้ว"
ถาวรไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเดินคอตกกลับบ้านไป ผ่องศรีเองก็กลับเข้าบ้าน โดยไม่นึกสนใจถาวรอะไรมากมายนัก ใครจะไปนึกว่าถาวรจะรักแรงแค้นแรง ถึงขนาดยอมตาย!!!
(มีต่อ)
จดหมายแช่ง!!!
ล. วิลิศมาหรา
ผ่องศรีเป็นลูกสาวคนเดียวของยายเอิบ สมัยยังสาวเธอมีรูปร่างหน้าตาที่สะสวยมาก หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่มาขายขนมจีบกันมากหน้าหลายตา เรียกว่าหัวบันไดบ้านไม่เคยแห้งกันเลยทีเดียว แต่ความที่ยายเอิบแกเป็นแม่ม่ายผัวตาย ฐานะทางบ้านค่อนข้างยากจน แกเลี้ยงลูกสาวมาคนเดียว จึงเป็นคนหวงลูกสาวมาก ไม่ยอมตกลงปลงใจยกลูกสาวให้ใครง่าย ๆ
ชายหนุ่มทั้งในและนอกหมู่บ้านต่างพากันมาเที่ยวหาผ่องศรีไม่เว้นแต่ละวัน รวมถึงถาวรไอ้หนุ่มคนบ้านเดียวกัน ที่รุ่นราวคราวเดียวกับผ่องศรี เป็นเพื่อนซี้เล่นกันมาตั้งแต่ยังเล็ก ฐานะทางบ้านของถาวรดีกว่า จึงมักให้ความช่วยเหลือด้านเงินทอง หรือเรื่องการงานแก่ทางบ้านของผ่องศรีอยู่เป็นประจำ จนโตเป็นหนุ่ม ถาวรก็ยังเสมอต้นเสมอปลาย เคยช่วยยังไงก็ยังช่วยอยู่อย่างนั้น คนทั้งสองสนิทกันมาก เรียกว่าเห็นผ่องศรีที่ไหนก็มักเห็นถาวรที่นั่น
ถาวรคิดเกินเลยกับเพื่อน แต่ผ่องศรีกลับมองเห็นไอ้หนุ่มข้างบ้านเป็นเพียงเพื่อนสนิทเท่านั้น ไม่เคยมีใจให้ถาวรมากกว่าคำว่าเพื่อนเลย แถมคิดยังไงก็พูดออกไปอย่างนั้นอีก จนบางคำพูดของเธอก็เผลอไปทำร้ายจิตใจของถาวรเข้า
ต่อมาผ่องศรีไปรู้จักกับหนุ่มคนหนึ่งเป็นคนกรุงเทพ ชื่อสมเกียรติ ผ่องศรีมีใจให้กับผู้ชายคนนี้ สมัยนั้นหนุ่มสาวเขาติดต่อกันทางคอลัมน์หาคู่ในนิตยสารฉบับหนึ่ง จีบกันอยู่พักใหญ่ ต่อมาคนทั้งคู่ก็ตกลงปลงใจจะแต่งงานกัน ยายเอิบเห็นชายหนุ่มมีหน้าที่การงานดี ฐานะร่ำรวย ลูกสาวของตัวเองก็ชอบพอกัน แกเลยตกลงใจจะยกให้ ข่าวหนุ่มชาวกรุงจะแต่งงานกับสาวงามประจำหมู่บ้าน ได้แพร่สะพัดออกไปในเวลาอันรวดเร็ว
วันที่สมเกียรติยกขบวนรถบัสพาพ่อแม่ตัวเองมาเจรจาค่าสินสอด ผ่องศรีมีแต่ความดีใจ ผิดกับเพื่อนชายของเธอที่มีอาการเหมือนคนหัวใจสลาย ถาวรมีสีหน้าที่เศร้าหมอง แยกตัวออกมา ไม่ค่อยพูดจากับใคร ไม่ยอมกินข้าวกินปลา เวลาทำงานก็เอาแต่เหม่อลอย ถาวรกับผ่องศรีห่างกันอย่างอัตโนมัติ ทั้งที่เมื่อก่อนสองคนแทบจะตัวติดกัน
ก่อนวันที่สมเกียรติจะยกขันหมากมา คืนนั้นถาวรได้มาหาผ่องศรีถึงที่บ้าน แต่หญิงสาวรู้สึกรำคาญเพื่อนชาย และไม่ชอบใจที่เห็นเขาเข้ามาจุ้นจ้านกับชีวิตส่วนตัวของเธอ จึงปฏิเสธไม่ยอมออกมาพบหน้า ตกหนักที่ยายเอิบต้องเข้ามาช่วยพูด แกบอกกับลูกสาวว่า
"ออกไปคุยกับไอวรมันดี ๆ เถอะผ่องเอ้ย บอกเขาว่าเราไม่ใช่เนื้อคู่กัน ถาวรมันคงเข้าใจ"
“ไม่อยากออกไปอ่ะแม่ วรมันพูดไม่รู้เรื่อง บอกหลายครั้งแล้วว่าเราเป็นแค่เพื่อนกัน มันก็ยังเซ้าซี้ให้ฉันเลิกกับพี่สมเกียรติอยู่นั่นแหละ ใครมันจะไปเลิก คนเขาจะแต่งงานกันอยู่แล้ว”
เธอตอบแม่ทำหน้ามุ่ย บ่นพึมอย่างเบื่อหน่าย
“ก็ไปบอกมันดี ๆ แบบที่พูดกับแม่เมื่อกี้นั่นแหละ บอกว่าเอ็งคิดกับมันเป็นเพื่อน แล้วก็กำลังจะแต่งงานอยู่แล้ว เพื่อนควรแสดงความดีใจกับเพื่อนถึงจะถูก เอ็งไม่ออกไปคุยกับมันให้รู้เรื่อง มันก็คงไม่ยอมกลับไปบ้านง่าย ๆ ไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันพอดี มันร้องเรียกอยู่แบบนี้อายข้างบ้านเขาจะว่าเอา”
ในที่สุดผ่องศรีก็ใจอ่อน ยอมออกมาพบกับถาวรที่หน้าบ้าน แต่หญิงสาวไม่ได้ทำตามที่แม่บอก พอออกมาพบก็ทำหน้าบึ้งใส่ ถามเพื่อนเสียงห้วนว่า
"เอ็งมาทำไมอีกไอ้วร ข้ากำลังจะเข้านอนอยู่แล้วนะ"
"ข้าจะมาถามเอ็งให้หายข้องใจ เอ็งตกลงจะแต่งงานกับสมเกียรติจริงเหรอ"
"เออ" ผ่องศรีตอบเสียงห้วนสั้น แต่ได้ใจความชัดเจน
"ผ่อง...ข้าขอถามเอ็งสักคำ เอ็งไม่เคยรักข้าเลยใช่ไหม"
คราวนี้ผ่องศรียกมือเกาหัวอย่างรำคาญ
"ข้ารักเอ็งเหมือนเพื่อน เข้าใจไหม ไม่ได้รักแบบแฟน บอกครั้งที่ล้านแล้วนะ"
"ก็แล้วข้ามันเป็นยังไง เอ็งถึงรักข้าแบบแฟนไม่ได้ ไหนเอ็งเคยบอกว่ามีข้าเป็นคนรู้ใจเอ็งที่สุดไง"
ถาวรไม่ยอมรับฟัง ยังทวงถามถึงความหลังอยู่อีก โดยมีท่าทีหงุดหงิดใจของผ่องศรีเป็นคำตอบ
"เอ็งนี่ทำไมมันเข้าใจอะไรยากแบบนี้นะ ก็ข้าบอกไปแล้ว ข้ารักเอ็งเหมือนเพื่อน ไม่ได้รักแบบแฟน จะให้บอกอีกกี่ครั้งกัน ฟังให้ชัด ๆ อีกครั้งนะ ชาตินี้ข้าก็ไม่รักเอ็ง ชาติหน้าข้าก็ไม่รักเอ็ง ต่อให้ทั้งโลกเหลือเอ็งคนเดียวข้าก็ไม่รักเอ็งเป็นแฟน ได้ยินชัดหรือยัง"
ผ่องศรีเห็นถาวรผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ดวงตาของเขาที่จ้องหน้าเธอแดงก่ำ อย่างคนที่เจ็บช้ำน้ำใจเป็นที่สุด
"เอ็งจำคำของเอ็งไว้ให้ดีว่าชาติไหน ๆ เอ็งก็จะไม่รักข้า"
"เออ คำพูดของข้า ทำไมข้าจะไม่จำ เอ็งก็จำเอาไว้ว่าอย่ามายุ่งวุ่นวายกับข้าอีก ข้ากำลังจะแต่งงานแล้ว"
ถาวรไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเดินคอตกกลับบ้านไป ผ่องศรีเองก็กลับเข้าบ้าน โดยไม่นึกสนใจถาวรอะไรมากมายนัก ใครจะไปนึกว่าถาวรจะรักแรงแค้นแรง ถึงขนาดยอมตาย!!!
(มีต่อ)