ศรีลังกาเดินทางไม่ยาก แค่อึดนิดหน่อย ตอน 4 Dambulla - Sigiriya

กระทู้สนทนา
ตอน 1    https://ppantip.com/topic/36150781
ตอน 2    Sri Pada   https://ppantip.com/topic/36151502
ตอน 3    Kandy https://ppantip.com/topic/36180251
ตอน 4   Dambulla - Sigiriya  https://ppantip.com/topic/36207776
ตอน 5   Polonnaruwa  https://ppantip.com/topic/36240013
ตอน 6-1 Anuradhpurah  https://ppantip.com/topic/36268829
ตอน 6-2 Anuradhpurah https://ppantip.com/topic/36268970
ตอน 7-1 Colombo  https://ppantip.com/topic/36302037
ตอน 7-2 Colombo-Thailand https://ppantip.com/topic/36302217


พอรถขับมาได้ชั่วโมงครึ่ง เราเริ่มเห็นป้ายตามร้านตั้งอยู่ในเมือง Dambulla และพี่สาวเราก็บอกว่าเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่เพิ่งผ่านไป เราเลยลุกไปถามกระเป๋ารถ ดีนะไม่งั้นเลยไปอีกไกลแน่ ปลายทางของรถคันนี้คือเมืองอนุราธปุระ ซึ่งต้องนั่งไปอีกเกือบ 2 ชั่วโมง สงสารผู้โดยสารที่จะเดินทางไปจนสุดปลายทางจังเพราะอากาศในรถอึดอัดมาก

เรารีบลงและเรียกรถตุ๊กตุ๊กมาส่งที่พัก วันนี้เราพักที่ Lark Lodge ข้อดีคือ อยู่ใกล้วัดถ้ำ Dambulla สถานที่ประดิษฐานขององค์พระใหญ่ แค่เดินประมาณ 10 นาที ที่พักแห่งนี้มีลักษณะแบบ Guesthouse แต่มีห้องน้ำในตัวนะคะ สะอาดพอใช้ มีแอร์และพัดลม แต่ผ้าห่มมีกลิ่นตุตุ อากาศที่นี่กลางคืนเย็นๆ ห่มผ้าก็ไม่ได้เพราะตุตุ เลยนอนกันแบบหนาวๆ

ตอนเราไปถึงเจอคุณลุงเจ้าของเกสต์เฮาส์ต้อนรับ แต่ลุงพูดภาษาอังกฤษแบบมั่วมาก เราเลยไม่ถามอะไรกับลุงมากเพราะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง พี่สาวเราถามลุงเรื่องรถตุ๊กตุ๊กที่มาส่งเราและเสนอตัวจะพาเราสองคนไป Sigiriya ที่อยู่ห่างออกไป 30 นาที ในวันรุ่งขึ้นในราคาเหมา 300 บาท แพงมั้ย ลุงบอกว่าราคาไม่แพงแต่ไม่ควรจ้างตุ๊กตุ๊กข้างนอกเอง ไม่ปลอดภัย ลุงจะจ้างให้ แต่พี่สาวเราก็ตกลงใช้บริการกับน้องคนขับตุ๊กตุ๊กเพราะดูอัธยาศัยดี และน้องคนขับตุ๊กตุ๊กก็เป็นคนเสนอให้เราตรวจสอบราคาค่าจ้างกับเกสต์เฮาส์ก่อนได้ และยังอดทนรอคอยคำตอบจากเราด้วย ตอนหลังเราถึงได้รู้สาเหตุที่ลุงไม่ค่อยยินดีให้เราจ้างตุ๊กตุ๊กเท่าไร เพราะลุงเองก็มีรถตุ๊กตุ๊กเหมือนกัน คงอยากให้เราจ้างกับแกมากกว่าเพื่อเพิ่มรายได้นอกจากค่าห้องพัก เจ้าของเกสต์เฮาส์แบบนี้มักผูกขาดการหารายได้เพิ่มกับนักท่องเที่ยว เราเองได้เจอเหตุการณ์คล้ายๆ กันแบบนี้ในเมืองต่อไปคือ Polonnararuwa

วันนี้เราไม่ได้ออกไปเที่ยวไหนกัน ซักผ้า แล้วเดินสำรวจรอบๆ บริเวณที่พัก เมืองนี้ไม่ค่อยมีที่พักให้เลือกมากนัก เป็นลักษณะเกสต์เฮาส์ ถนนยังเป็นดินแดงอยู่เลย หมาจรจัดและลิงอยู่เยอะมาก และที่นี่เราสองคนก็มีคู่อริคือหมาจรจัดสีดำ เราเดินออกมาหาข้าวกินกัน พอเจ้าถิ่นมันเห็นเราเท่านั้น มันเห่าขู่กรรโชก เดินไปก็เสียวน่องและเสียวหัวกลัวลิงบนต้นไม้ตกมาใส่ เรานึกขึ้นมาได้ว่านอกจากเราจะแปลกหน้าสำหรับพวกมันแล้ว เรายังแต่งตัวแปลกคือใส่แว่นดำและสวมหมวก เลยบอกให้พี่สาวถอดออกทั้ง 2 อย่าง แต่มันยังผูกใจเจ็บเพราะตอนเดินกลับมามันก็ยังจำเราสองคนได้ วันรุ่งขึ้นก็ยังจำได้อีก เราเลยเปลี่ยนเส้นทางเดินกันหลังจากเห็นประตูรั้วที่สามารถเดินทะลุไปวัดถ้ำ Dambulla อยู่ใกล้ๆ กับที่พัก

เมืองนี้มีร้านอาหารน้อยมาก 2-3 ร้านเท่านั้นเอง มีอยู่ในวัดถ้ำ 1 ร้านซึ่งราคาแพงมากและเราสั่งข้าวผัดอินโดกินกันตอนกลางวันวันรุ่งขึ้น และมื้อที่เหลือเป็นร้านอาหารของโรงแรมอีกแห่งหนึ่งที่เราแวะเวียนไปกินข้าว เครื่องดื่ม Lassie กับไอศกรีม ไม่ได้อร่อยหรอกแต่ไม่มีตัวเลือก แต่หากใครจะไป Sigiriya เราแนะนำว่าให้พักที่ Dambulla ดีที่สุดค่ะ เพราะ Sigiriya ยิ่งเงียบและไม่เห็นร้านอาหารเลย การเดินทางก็ลำบากกว่า

เราพักที่นี่กัน 2 คืน หลับๆ ตื่น ๆ เพราะจะได้ยินเสียงตุ๊บ ๆ บนหลังคาดังมาก ตอนเช้าถึงเห็นว่าลิงมันกระโดดไปมาอยู่บนหลังคานี่เอง มื้อเช้าของวันแรกเป็นขนมปังปิ้ง แยม เนย ผลไม้เหมือนโรงแรมอื่นๆ แต่เช้าวันถัดไปเป็นอาหารศรีลังกา เนื่องจากพี่สาวเราบ่นกับลุงว่าเบื่อ ลุงก็เลยบอกให้ป้าเตรียมอาหารเช้าแบบศรีลังกาให้โดยอธิบายว่าเป็นข้าวสวยหุงกับกะทินะ เราสองคนก็สนใจสิคะเพราะเบื่อขนมปังปิ้ง พี่สาวเราสั่งไข่เจียวด้วย อาหารเช้าเลยมีข้าวสวยแบบข้าวหุงกะทิ เคียงมากับผัดผัก หน้าตาดูดีค่ะ แต่รสชาติแปลกๆ เค็มๆ ส่วนไข่เจียวเจียวได้เหมือนบ้านเราเปี๊ยบเลยแต่จืดๆ เราสองคนก็พยายามกินให้มากที่สุดเพื่อไม่ให้ลุงกับป้าเสียใจ แต่สงสารฝรั่งข้างหลังที่ต้องกินอาหารเช้าศรีลังกาแบบเราสองคน พี่สาวเราบอกว่าเค้ากินกันไปนิดเดียวเอง เป็นความผิดของเราสองคนจริงๆ ค่ะ ไม่งั้นฝรั่งก็ได้กินขนมปังปิ้งเหมือนเราในวันแรกไปแล้ว

อาหารเช้าวันแรกของเกสต์เฮาส์ เป็นขนมปัง ไข่ดาวแบบธรรมดา
แยมค่ะ

อาหารเช้าวันที่ 2 ข้าวสวยหุงกับกะทิกับผัดผักของเกสต์เฮาส์

ไอศครีมฟรุ๊ตสลัดจากร้านคาเฟ่ริมถนนของอีกโรงแรมแห่งหนึ่ง ไม่อร่อย แค่พอหายอยากขนม

เครื่องดื่มลาสซี่ของร้านคาเฟ่ข้างบน เติมน้ำแข็งให้นิดหน่อย น้ำแข็งเป็นของหายากในต่างแดนนะคะ เท่าที่เคยเดินทางไปหลายๆ ประเทศ มีแต่เมืองไทยบ้านเราที่สั่งเครื่องดื่มต้องใส่น้ำแข็ง เพราะอากาศบ้านเราร้อนตลอดปีมั้ง
พี่สาวเราสั่ง pineapple แต่กลายเป็น papaya แก้วซ้ายมือ เธอเซ็งเลย ขนาดทวนเมนูกันแล้วนะ

ข้าวผัดซีฟู๊ดนาซิโกเร็ง (หาซีฟู๊ดไม่เจอเลยในจานแต่รสชาติกินได้) ของร้านอาหารในวัดถ้ำ Dambulla มีอยู่ร้านเดียว ข้างล่างขายอาหารตามสั่ง ข้างบนเป็นบุฟเฟต์ ข้าวผัดจานนี้ 200 กว่าบาท แพงทั้งร้านค่ะ ถ้าบุฟเฟต์หัวละ 400 กว่าบาท ไม่มีอะไรน่าสนใจ มีแต่ผัดผักบุ้งกับอาหาร 3-4 อย่าง เราไม่กิน เห็นแต่ไกด์พาลูกทัวร์คนจีน 3 คน มานั่งกิน

เมืองนี้หาของกินยากมาก ซุปเปอร์มาเก็ตก็ไม่มี ไม่มีมาม่าคัพขายนะคะ มีอะไรให้กินก็ต้องกินค่ะ ขนมมีขายในร้านคาเฟ่ที่เราไปกิน ส่วนมากจะเป็นขนมทอดๆ ของศรีลังกา ขนมปังแข็งๆ แล้วก็มีรถสามล้อพ่วงขายขนมปังตั้งแต่เช้า

เช้าวันที่ 4 ตื่นมากินขนมปังปิ้งเสร็จ นัดน้องคนขับตุ๊กตุ๊กไว้เจ็ดโมงครึ่งจะได้ไม่ร้อนเกินไป วันนี้เราจะไป Sigiriya กันค่ะ เป็นทริปที่พี่สาวเราใฝ่ฝันจะมาที่นี่ตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเรียนมัธยมเพราะเธออ่านนิยายของคุณโสภาค สุวรรณ แล้วเธอก็อินสุดๆ  ขอรีวิวด้วยภาพแล้วกันค่ะ เพราะข้อมูลมีคนเขียนกันไว้เยอะมาก เสียดายที่เราไม่เห็นภาพเหล่าอัปสรปูนเปียก fresco พยายามเดินหากันแล้วก็ไม่เจอ เข้าใจว่าอยู่อีกด้านหนึ่งของบันไดวนที่ปิดซ่อมแซมอยู่ แต่ตอนลงมาเห็นคนเดินลงมาทางนั้นด้วย ไม่รู้ไปเดินมาจากทางไหนกัน ทางเดินขึ้นสู่พระราชวังด้านบนเป็นทางเดินสร้างใหม่ เดินไม่ยากนะคะ ไม่หวาดเสียว เราสองคนก็เดินขึ้นไปจนถึงพระราชวังข้างบน เป็นทางเดินใหม่ที่เจ้าหน้าที่ให้เดินไปทางนี้และตอนขาลงด้วย
เราใช้เวลาอยู่ที่นี่กันไม่ถึงสองชั่วโมง กลับลงมาน้องคนขับตุ๊กตุ๊กบอกจะพาไปดู Sigiriya อีกมุมหนึ่ง แล้วก็ขับรถตุ๊กตุ๊กพาไปตรงด้านหลังที่เป็นจุดไปนั่งช้างค่ะ จะเห็นภูเขา Sigiriya ทั้งลูก แต่เราก็ลืมไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ Sigiriya ค่ะ

ภูเขาสิคิริยาด้านหน้าถนนใหญ่
ภูเขาอีกลูกหนึ่งมองจากฝั่งของสิคิริยา
ภูเขาสิคิริยาด้านหลัง

ออกจาก Sigiriya เพื่อกลับเข้าเมือง Dambulla เพื่อไปเที่ยววัดถ้ำค่ะ พี่สาวเราอยากกิน King coconut น้องคนขับตุ๊กตุ๊กเลยแวะให้เราอุดหนุนป้าข้างทาง ไม่อร่อยค่ะ ออกเปรี้ยวๆ สู้มะพร้าวน้ำหอมบ้านเราไม่ได้ ผลไม้ที่นั่นก็ออกจืดๆ เปรี้ยวๆ ไม่ว่าจะเป็นแตงโม มะละกอ พี่สาวเราวิเคราะห์ว่าคงเป็นเพราะดิน ผลไม้บ้านเราก็หว๊านๆ หวานจนเป็นเบาหวานกันถ้วนหน้า แต่ยังไงเราก็ชอบผลไม้บ้านเราค่ะ กินแล้วชื่นใจ

ก่อนโบกมือลากับน้องคนขับตุ๊กตุ๊ก น้องเสนอตัวว่าจะไปส่งเราที่เมือง Polonnaruwa เพราะเค้าเคยเป็นไกด์พานักท่องเที่ยวไปแบบเช้า เย็นกลับ อยู่ห่างออกไป 2 ชั่วโมงกว่าๆ แต่เราปฏิเสธค่ะ เพราะจะนั่งรถบัสไม่กี่สิบบาทไปกันเอง ขืนไปกับน้องคงคิดเราเป็นพัน

เราหาข้าวกินกันในวัดแล้วก็เดินปีนบันไดไปวัดถ้ำด้านบน ระหว่างทางต้องคอยระวังน้องลิงที่อยู่กันเป็นครอบครัว ลิงที่นี่ไม่กลัวคนเลย เดินเข้ามาเฉียดใกล้จนถึงขั้นกระโดดใส่แหม่มคนนึงเพราะเธอถืออะไรไม่รู้ในมือ เธอร้องกรี๊ดลั่นเลย ที่นี่เดินไม่ยากแต่ร้อนมากโดยเฉพาะพอจะเข้าเขตวัดวัดถ้ำด้านบนต้องถอดรองเท้า พอทริปเมืองอื่นๆ เราเริ่มฉลาดกันจึงสวมถุงเท้ากันเท้าพองค่ะ ใช้เวลาอยู่ที่นี่ไม่นานก็เดินไปหาขนมกินและซื้อข้าวที่ร้านคาเฟ่เดิมเพื่อกลับมากินที่พักตอนเย็น

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่