ตอน 1
https://ppantip.com/topic/36150781
ตอน 2 Sri Pada
https://ppantip.com/topic/36151502
ตอน 3 Kandy
https://ppantip.com/topic/36180251
ตอน 4 Dambulla - Sigiriya
https://ppantip.com/topic/36207776
ตอน 5 Polonnaruwa
https://ppantip.com/topic/36240013
ตอน 6-1 Anuradhpurah
https://ppantip.com/topic/36268829
ตอน 6-2 Anuradhpurah
https://ppantip.com/topic/36268970
ตอน 7-1 Colombo
https://ppantip.com/topic/36302037
ตอน 7-2 Colombo-Thailand
https://ppantip.com/topic/36302217
รถไฟจากโคลอมโบมายังเมือง Hatton
โรงงานผลิตชาถุงในเมือง Hatton
เช้าวันที่ 2 หลังจากกินอาหารเช้าที่โรงแรมเรียบร้อย เรากับพี่สาวก็เดินย้อนขึ้นไปทางภูเขาศรีบาทาเพื่อไปขึ้นรถบัสที่ท่ารถซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมแค่ 5 นาที เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเพราะพอรถบัสขับผ่านตามโรงแรมรายทาง จะมีนักท่องเที่ยวขึ้นเป็นระยะจนรถเริ่มแน่น ส่วนมากจะเป็นพวกฝรั่งแต่ไม่รู้ชาติไหน จากที่เราเดินทางในศรีลังกาเกือบสิบวัน เราไม่ค่อยชอบพวกฝรั่งเท่าไร ดูไม่ค่อยเป็นมิตรกับคนเอเชีย หยิ่งๆ เต๊ะๆ มองไม่เห็นศรีษะใคร ฝรั่งพวกนี้จะต่างกับฝรั่งที่เราเคยเจอตอนปีนเขาในประเทศต่างๆ ซึ่งมีความเป็นมิตร เวลาอยู่บนพื้นราบ ดูหยิ่งๆ เต๊ะๆ น่าเตะ พวกนี้จะเป็นกลุ่มหนุ่มสาว วางฟอร์มกันน่าดู บางคนนั่งอยู่คนเดียวก็กันไม่ให้คนอื่นมานั่งคู่ด้วย จนรถแน่นนั่นแหละถึงยอม ฝรั่งกันเองนั่นแหละแต่คนละชาติ ฟังจากภาษาเป็นพวกยุโรป แต่เราก็ฟังไม่ออกแหละ ไม่รู้ชาติไหน เพราะไม่ใช่ภาษาอังกฤษ
อยู่บนรถบัสที่ขับได้หวาดเสียวมาก ซิ่งไปตามโค้งของภูเขา จนถึงท่ารถเมือง Hatton หนุ่มศรีลังกาที่นั่งข้างๆ พี่สาวเรารู้ว่าเราจะต่อรถไป Kandy รีบบอกให้เราสองคนลงก่อนที่รถจะไปจอดที่สถานีรถไฟเมือง Hatton เราสองคนเลือกเดินทางโดยรถบัสไปเมือง Kandy แต่ถ้าใครจะไปรถไฟก็ได้ค่ะ ระยะเวลาเดินทางพอๆ กัน 3 ชั่วโมง แต่เราไม่อยากเดินทางด้วยรถไฟแล้ว รถบัสเร็วและมีที่นั่งแน่นอนกว่า
ลงไปแล้วก็ถามคนที่เดินผ่านตรงท่ารถบัสว่าคันไหนไป Kandy เพราะรถบัสพวกนี้จะไม่ได้จอดเข้าชานชลาเหมือนรถบัสในบ้านเรานะคะ ค่อนข้างจะวุ่นวายค่ะ ต้องระวังรถบัสเข้าๆ ออกๆ ด้วย ขึ้นไปก็ได้ที่นั่ง ค่ารถไม่กี่สิบบาท แรกๆ ก็ขับได้นิ่มนวลเพื่อรับคนไปตามทาง พอออกห่างจากเมืองไปแล้ว คราวนี้คนขับรถบัสกลายเป็นตีนผี ซิ่งสุดๆ ยิ่งกว่ารถบัสที่เรานั่งมาสองคันแรก ซิ่งขนาดรถที่ใช้ร่วมเส้นทางบีบแตรด่า ศรีลังกาจะต่างกับอินเดียคือคนขับที่นี่ไม่ค่อยบีบแตรนะคะ พวกที่ชอบบีบแตรจะเป็นรถบัสกับตุ๊กตุ๊กค่ะ เพื่อไล่รถคันอื่นให้หลบไป คันที่เรานั่งจะพยายามแซงรถที่อยู่ด้านหน้าตลอด นั่งหวาดเสียวไปจนถึงท่ารถที่เมือง Kandy ไม่ยอมจะจอดให้ผู้โดยสารลงด้วย พี่สาวเราลงตามหลังมาอย่างทุลักทุเลเล่าให้ฟังว่า คนขับไม่ยอมจอดให้สนิท ฝรั่งผู้ชายที่อยู่ข้างหลังพี่สาวเรา ก็ไล่ให้พี่สาวเรารีบลงมาเร็วๆ ตอนลงรถไฟก็ไม่ได้ดีไปกว่ารถบัสนะคะ เพราะบันไดอยู่สูงกว่าตัวชานชลามาก จนคนศรีลังกาที่จะขึ้นต้องช่วยเราขนกระเป๋าและจับมือเราให้ปีนบันไดลงมา ถ้าเราลงไม่ได้ พวกเขาก็ไม่ได้ขึ้น แต่สรุปว่าพวกเขามีน้ำใจ ยินดีช่วยค่ะ
ท่ารถบัส Kandy สุดแสนจะโกลาหลวุ่นวายเหมือนกับ Colombo เราไม่มีเวลาจะถ่ายรูปมาให้ดูค่ะ เพราะต้องระวังรถและผู้คนมากมาย เรียกตุ๊กตุ๊กไปที่พัก เราพักที่โรงแรม Sevana City Hotel อยู่ติดถนนเลยค่ะ ตลอดทั้งทริปชอบที่นี่มากที่สุด ห้องพักกว้าง เตียงใหญ่ ผ้าห่มหนา ทุกอย่างสะอาดสะอ้าน ห้องน้ำก็ใหญ่ สะอาด ได้ยินเสียงรถวิ่งผ่านไปมาไม่ดังมาก พนักงานอัธยาศัยดี ตอนเช็คอินอธิบายทางไปวัดพระเขี้ยวแก้ว ร้านอาหาร และห้างสรรพสินค้า แต่เราสองคนไม่ได้ไปไหนทั้งนั้น หลังจากกินบะหมี่ผัดที่ให้ทาง Daddy’s Guest Home ที่ศรีบาทาใส่กล่องมาให้ เราก็เริ่มต้นนอนกันจากบ่ายสามโมงจนถึงเช้าเลย เพราะอดนอนตั้งแต่นั่งเครื่องบินจากสุวรรณภูมิ พูดถึงบะหมี่ผัด เรายังได้กินอีก 2-3 ร้านในเมืองต่างๆ ข้างหน้า ทำเราแปลกใจว่าคนศรีลังกาทำบะหมี่ไข่เก่งมาก เส้นเหนียวนุ่ม ผัดได้อร่อยไม่แฉะเลย
เช้าวันที่ 3 หลังจากได้นอนเต็มอิ่ม ตื่นมากินอาหารเช้าของโรงแรมที่รวมกับค่าห้องพักแล้ว เราสองคนก็ออกเดินไปวัดพระเขี้ยวแก้ว ดูจากแผนที่ที่โรงแรมให้มาเหมือนจะเดินไม่ยาก แต่พอเดินไปได้สักพัก หลงค่ะ เลยถามทางคนศรีลังกาที่เดินผ่านมา สรุปว่าต้องเดินไปถนนอีกเส้น ต้องจำชื่อวัดเป็นภาษาสิงหลนะคะ Sri Dalada Maligawa เพราะบอก Tooth Relics Temple ไม่มีใครรู้จักค่ะ แต่เขาพอจะเดาได้ว่าเราจะไปวัดพุทธ Buddhism ค่ะ ประเทศนี้มีทั้งวัดพุทธและฮินดูค่ะ
ถึงวัดพระเขี้ยวแก้วแล้ว ตอนแรกเราสองคนก็ไปต่อแถวด้านในหอพระธาตุที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว เพื่อรอเข้าไปสักการะพระเขี้ยวแก้ว แต่มันไม่เป็นแถวหรอกค่ะ มันเบียดกันไปเบียดกันมา พี่สาวเราเบียดเข้าไปต่อแถวด้านในได้ แต่เรายังอยู่ข้างนอก จนมีผู้ชายศรีลังกาคนนึงสะกิดและพยายามบอกเราว่า เราต้องเอากระจาดดอกไม้ไปวางถวายด้านหน้า เราเลยตะโกนเรียกพี่สาว อีกอย่างหนึ่งคือเราหมดความอดทนในการเบียดกันแล้ว ถวายดอกไม้เสร็จเราก็ไม่ได้ไปต่อแถวใหม่เพราะกลัวว่าเดี๋ยวจะมีการแซงคิวกันอีกตรงหน้าบันได เลยยืนรอดูผู้ทำพิธีสักการะพระเขี้ยวแก้วอยู่ห่างๆ พี่สาวเราเคยมาสักการะพระเขี้ยวแก้วที่นี่แล้วเมื่อเกือบยี่สิบปีที่แล้ว เธอบอกว่าจะไม่ได้เห็นพระเขี้ยวแก้วหรอกเพราะประดิษฐานอยู่ด้านใน เราเลยบอกว่าไม่เป็นไร ไม่รอดูแล้วกัน ได้มาสักการะอยู่ห่างๆ ก็ถือว่าเป็นบุญใหญ่หลวงแล้ว กลับมาบ้านเราก็มาเปิดในอินเตอร์เน็ตดูแทนค่ะ
ด้านหลังของวัดพระเขี้ยวแก้วจะมีพิพิธภัณฑ์นะคะ แอร์เย็นฉ่ำ ใช้ตั๋วที่เราซื้อเข้าสักการะพระเขี้ยวแก้วแสดงให้เจ้าหน้าที่ดูก็ไม่ต้องเสียเงินซื้อบัตรเพิ่มอีกค่ะ โบราณสถานแห่งอื่นที่นักท่องเที่ยวต่างชาติซื้อตั๋วแล้วก็จะรวมค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ด้วยเหมือนกัน ที่นี่จะจัดแสดงความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ เป็นห้องๆ ห้องของประเทศไทยจะอยู่ในโถงทางเข้าของประเทศพม่า ภายในพิพิธภัณฑ์ห้ามถ่ายรูปค่ะ นิทรรศการศาสนาพุทธในประเทศไทยแสดงให้เห็นว่าเจริญรุ่งเรืองมากเพราะพระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภกค่ะ เราสองคนยืนดูภาพแขวน จนพี่สาวเราสังเกตว่าด้านบนสุดของภาพเป็นรูปในหลวงทรงเสด็จพระราชดำเนินไปตามภูเขาป่าไม้เพื่อบำเพ็ญพระราชกรณียกิจช่วยเหลือราษฎร ต่อมาเป็นภาพพระองค์ทรงผนวช แล้วภาพกำแพงวัดพระแก้ว รายละเอียดของภาพมีเยอะค่ะ เป็นภาพวาดขนาดใหญ่ สวยมาก เสียดายที่ห้ามถ่ายภาพ เราถึงกับอุทานว่าจริงๆ ด้วย เป็นภาพของพระองค์ ความรู้สึกของเราเต็มไปด้วยปิติและอาลัยพระองค์ท่านมากจริงๆ
ออกจากพิพิธภัณฑ์เราสองคนก็หาข้าวกลางวันกินที่ร้านอาหารบนถนนด้านข้างวัดพระเขี้ยวแก้ว บรรยากาศร้านสะอาดสะอ้านและพนักงานต้อนรับดีมาก อาหารคือข้าวราดแกง พี่สาวเราชอบถามว่านี่คืออะไรๆๆ พนักงานก็ยินดีอธิบายให้ฟังด้วยความเต็มใจ เราก็เลือกมา 3 อย่าง เป็นดาลมันบด ผัดขนุน และเห็ดชุบแป้งทอด รสจะออกเผ็ดๆ แต่อร่อยถูกลิ้นคนไทยค่ะ จานเดียวแบ่งกันทานค่ะเพราะปริมาณข้าวเยอะมาก กินข้าวเที่ยงเสร็จรีบกลับไปเอากระเป๋าเช็คเอาท์เพื่อเดินทางต่อไปยังเมือง Dambulla
โบกตุ๊กตุ๊กกลับไปยังสถานีรถบัสในเมือง Kandy อีกครั้ง คราวนี้นั่งรถตู้ เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะภายในรถตู้มันมืดๆ อับๆ แต่ก็มีผู้โดยสารนั่งกันเต็มรถ แอร์ก็เย็นแบบแผ่วๆ หายใจแทบไม่ออก ดีที่ใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง พี่สาวเราบอกว่าคนขับใช้ลูกเหม็นแทนน้ำหอมปรับอากาศ เราบอกกระเป๋าว่าแวะจอดที่พักของเราด้วย และเราจำได้จากการหาข้อมูลว่าเมือง Dambulla มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ประดิษฐานเด่นชัดอยู่ติดถนน เป็นสถานที่ที่เราตั้งใจเดินทางมาเมืองนี้และเป็นมรดกโลกด้วย
ศรีลังกา เดินทางไม่ยาก แค่อึดนิดหน่อย ตอน 3 Kandy
ตอน 2 Sri Pada https://ppantip.com/topic/36151502
ตอน 3 Kandy https://ppantip.com/topic/36180251
ตอน 4 Dambulla - Sigiriya https://ppantip.com/topic/36207776
ตอน 5 Polonnaruwa https://ppantip.com/topic/36240013
ตอน 6-1 Anuradhpurah https://ppantip.com/topic/36268829
ตอน 6-2 Anuradhpurah https://ppantip.com/topic/36268970
ตอน 7-1 Colombo https://ppantip.com/topic/36302037
ตอน 7-2 Colombo-Thailand https://ppantip.com/topic/36302217
รถไฟจากโคลอมโบมายังเมือง Hatton
โรงงานผลิตชาถุงในเมือง Hatton
เช้าวันที่ 2 หลังจากกินอาหารเช้าที่โรงแรมเรียบร้อย เรากับพี่สาวก็เดินย้อนขึ้นไปทางภูเขาศรีบาทาเพื่อไปขึ้นรถบัสที่ท่ารถซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมแค่ 5 นาที เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเพราะพอรถบัสขับผ่านตามโรงแรมรายทาง จะมีนักท่องเที่ยวขึ้นเป็นระยะจนรถเริ่มแน่น ส่วนมากจะเป็นพวกฝรั่งแต่ไม่รู้ชาติไหน จากที่เราเดินทางในศรีลังกาเกือบสิบวัน เราไม่ค่อยชอบพวกฝรั่งเท่าไร ดูไม่ค่อยเป็นมิตรกับคนเอเชีย หยิ่งๆ เต๊ะๆ มองไม่เห็นศรีษะใคร ฝรั่งพวกนี้จะต่างกับฝรั่งที่เราเคยเจอตอนปีนเขาในประเทศต่างๆ ซึ่งมีความเป็นมิตร เวลาอยู่บนพื้นราบ ดูหยิ่งๆ เต๊ะๆ น่าเตะ พวกนี้จะเป็นกลุ่มหนุ่มสาว วางฟอร์มกันน่าดู บางคนนั่งอยู่คนเดียวก็กันไม่ให้คนอื่นมานั่งคู่ด้วย จนรถแน่นนั่นแหละถึงยอม ฝรั่งกันเองนั่นแหละแต่คนละชาติ ฟังจากภาษาเป็นพวกยุโรป แต่เราก็ฟังไม่ออกแหละ ไม่รู้ชาติไหน เพราะไม่ใช่ภาษาอังกฤษ
อยู่บนรถบัสที่ขับได้หวาดเสียวมาก ซิ่งไปตามโค้งของภูเขา จนถึงท่ารถเมือง Hatton หนุ่มศรีลังกาที่นั่งข้างๆ พี่สาวเรารู้ว่าเราจะต่อรถไป Kandy รีบบอกให้เราสองคนลงก่อนที่รถจะไปจอดที่สถานีรถไฟเมือง Hatton เราสองคนเลือกเดินทางโดยรถบัสไปเมือง Kandy แต่ถ้าใครจะไปรถไฟก็ได้ค่ะ ระยะเวลาเดินทางพอๆ กัน 3 ชั่วโมง แต่เราไม่อยากเดินทางด้วยรถไฟแล้ว รถบัสเร็วและมีที่นั่งแน่นอนกว่า
ลงไปแล้วก็ถามคนที่เดินผ่านตรงท่ารถบัสว่าคันไหนไป Kandy เพราะรถบัสพวกนี้จะไม่ได้จอดเข้าชานชลาเหมือนรถบัสในบ้านเรานะคะ ค่อนข้างจะวุ่นวายค่ะ ต้องระวังรถบัสเข้าๆ ออกๆ ด้วย ขึ้นไปก็ได้ที่นั่ง ค่ารถไม่กี่สิบบาท แรกๆ ก็ขับได้นิ่มนวลเพื่อรับคนไปตามทาง พอออกห่างจากเมืองไปแล้ว คราวนี้คนขับรถบัสกลายเป็นตีนผี ซิ่งสุดๆ ยิ่งกว่ารถบัสที่เรานั่งมาสองคันแรก ซิ่งขนาดรถที่ใช้ร่วมเส้นทางบีบแตรด่า ศรีลังกาจะต่างกับอินเดียคือคนขับที่นี่ไม่ค่อยบีบแตรนะคะ พวกที่ชอบบีบแตรจะเป็นรถบัสกับตุ๊กตุ๊กค่ะ เพื่อไล่รถคันอื่นให้หลบไป คันที่เรานั่งจะพยายามแซงรถที่อยู่ด้านหน้าตลอด นั่งหวาดเสียวไปจนถึงท่ารถที่เมือง Kandy ไม่ยอมจะจอดให้ผู้โดยสารลงด้วย พี่สาวเราลงตามหลังมาอย่างทุลักทุเลเล่าให้ฟังว่า คนขับไม่ยอมจอดให้สนิท ฝรั่งผู้ชายที่อยู่ข้างหลังพี่สาวเรา ก็ไล่ให้พี่สาวเรารีบลงมาเร็วๆ ตอนลงรถไฟก็ไม่ได้ดีไปกว่ารถบัสนะคะ เพราะบันไดอยู่สูงกว่าตัวชานชลามาก จนคนศรีลังกาที่จะขึ้นต้องช่วยเราขนกระเป๋าและจับมือเราให้ปีนบันไดลงมา ถ้าเราลงไม่ได้ พวกเขาก็ไม่ได้ขึ้น แต่สรุปว่าพวกเขามีน้ำใจ ยินดีช่วยค่ะ
ท่ารถบัส Kandy สุดแสนจะโกลาหลวุ่นวายเหมือนกับ Colombo เราไม่มีเวลาจะถ่ายรูปมาให้ดูค่ะ เพราะต้องระวังรถและผู้คนมากมาย เรียกตุ๊กตุ๊กไปที่พัก เราพักที่โรงแรม Sevana City Hotel อยู่ติดถนนเลยค่ะ ตลอดทั้งทริปชอบที่นี่มากที่สุด ห้องพักกว้าง เตียงใหญ่ ผ้าห่มหนา ทุกอย่างสะอาดสะอ้าน ห้องน้ำก็ใหญ่ สะอาด ได้ยินเสียงรถวิ่งผ่านไปมาไม่ดังมาก พนักงานอัธยาศัยดี ตอนเช็คอินอธิบายทางไปวัดพระเขี้ยวแก้ว ร้านอาหาร และห้างสรรพสินค้า แต่เราสองคนไม่ได้ไปไหนทั้งนั้น หลังจากกินบะหมี่ผัดที่ให้ทาง Daddy’s Guest Home ที่ศรีบาทาใส่กล่องมาให้ เราก็เริ่มต้นนอนกันจากบ่ายสามโมงจนถึงเช้าเลย เพราะอดนอนตั้งแต่นั่งเครื่องบินจากสุวรรณภูมิ พูดถึงบะหมี่ผัด เรายังได้กินอีก 2-3 ร้านในเมืองต่างๆ ข้างหน้า ทำเราแปลกใจว่าคนศรีลังกาทำบะหมี่ไข่เก่งมาก เส้นเหนียวนุ่ม ผัดได้อร่อยไม่แฉะเลย
เช้าวันที่ 3 หลังจากได้นอนเต็มอิ่ม ตื่นมากินอาหารเช้าของโรงแรมที่รวมกับค่าห้องพักแล้ว เราสองคนก็ออกเดินไปวัดพระเขี้ยวแก้ว ดูจากแผนที่ที่โรงแรมให้มาเหมือนจะเดินไม่ยาก แต่พอเดินไปได้สักพัก หลงค่ะ เลยถามทางคนศรีลังกาที่เดินผ่านมา สรุปว่าต้องเดินไปถนนอีกเส้น ต้องจำชื่อวัดเป็นภาษาสิงหลนะคะ Sri Dalada Maligawa เพราะบอก Tooth Relics Temple ไม่มีใครรู้จักค่ะ แต่เขาพอจะเดาได้ว่าเราจะไปวัดพุทธ Buddhism ค่ะ ประเทศนี้มีทั้งวัดพุทธและฮินดูค่ะ
ถึงวัดพระเขี้ยวแก้วแล้ว ตอนแรกเราสองคนก็ไปต่อแถวด้านในหอพระธาตุที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว เพื่อรอเข้าไปสักการะพระเขี้ยวแก้ว แต่มันไม่เป็นแถวหรอกค่ะ มันเบียดกันไปเบียดกันมา พี่สาวเราเบียดเข้าไปต่อแถวด้านในได้ แต่เรายังอยู่ข้างนอก จนมีผู้ชายศรีลังกาคนนึงสะกิดและพยายามบอกเราว่า เราต้องเอากระจาดดอกไม้ไปวางถวายด้านหน้า เราเลยตะโกนเรียกพี่สาว อีกอย่างหนึ่งคือเราหมดความอดทนในการเบียดกันแล้ว ถวายดอกไม้เสร็จเราก็ไม่ได้ไปต่อแถวใหม่เพราะกลัวว่าเดี๋ยวจะมีการแซงคิวกันอีกตรงหน้าบันได เลยยืนรอดูผู้ทำพิธีสักการะพระเขี้ยวแก้วอยู่ห่างๆ พี่สาวเราเคยมาสักการะพระเขี้ยวแก้วที่นี่แล้วเมื่อเกือบยี่สิบปีที่แล้ว เธอบอกว่าจะไม่ได้เห็นพระเขี้ยวแก้วหรอกเพราะประดิษฐานอยู่ด้านใน เราเลยบอกว่าไม่เป็นไร ไม่รอดูแล้วกัน ได้มาสักการะอยู่ห่างๆ ก็ถือว่าเป็นบุญใหญ่หลวงแล้ว กลับมาบ้านเราก็มาเปิดในอินเตอร์เน็ตดูแทนค่ะ
ด้านหลังของวัดพระเขี้ยวแก้วจะมีพิพิธภัณฑ์นะคะ แอร์เย็นฉ่ำ ใช้ตั๋วที่เราซื้อเข้าสักการะพระเขี้ยวแก้วแสดงให้เจ้าหน้าที่ดูก็ไม่ต้องเสียเงินซื้อบัตรเพิ่มอีกค่ะ โบราณสถานแห่งอื่นที่นักท่องเที่ยวต่างชาติซื้อตั๋วแล้วก็จะรวมค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ด้วยเหมือนกัน ที่นี่จะจัดแสดงความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ เป็นห้องๆ ห้องของประเทศไทยจะอยู่ในโถงทางเข้าของประเทศพม่า ภายในพิพิธภัณฑ์ห้ามถ่ายรูปค่ะ นิทรรศการศาสนาพุทธในประเทศไทยแสดงให้เห็นว่าเจริญรุ่งเรืองมากเพราะพระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภกค่ะ เราสองคนยืนดูภาพแขวน จนพี่สาวเราสังเกตว่าด้านบนสุดของภาพเป็นรูปในหลวงทรงเสด็จพระราชดำเนินไปตามภูเขาป่าไม้เพื่อบำเพ็ญพระราชกรณียกิจช่วยเหลือราษฎร ต่อมาเป็นภาพพระองค์ทรงผนวช แล้วภาพกำแพงวัดพระแก้ว รายละเอียดของภาพมีเยอะค่ะ เป็นภาพวาดขนาดใหญ่ สวยมาก เสียดายที่ห้ามถ่ายภาพ เราถึงกับอุทานว่าจริงๆ ด้วย เป็นภาพของพระองค์ ความรู้สึกของเราเต็มไปด้วยปิติและอาลัยพระองค์ท่านมากจริงๆ
ออกจากพิพิธภัณฑ์เราสองคนก็หาข้าวกลางวันกินที่ร้านอาหารบนถนนด้านข้างวัดพระเขี้ยวแก้ว บรรยากาศร้านสะอาดสะอ้านและพนักงานต้อนรับดีมาก อาหารคือข้าวราดแกง พี่สาวเราชอบถามว่านี่คืออะไรๆๆ พนักงานก็ยินดีอธิบายให้ฟังด้วยความเต็มใจ เราก็เลือกมา 3 อย่าง เป็นดาลมันบด ผัดขนุน และเห็ดชุบแป้งทอด รสจะออกเผ็ดๆ แต่อร่อยถูกลิ้นคนไทยค่ะ จานเดียวแบ่งกันทานค่ะเพราะปริมาณข้าวเยอะมาก กินข้าวเที่ยงเสร็จรีบกลับไปเอากระเป๋าเช็คเอาท์เพื่อเดินทางต่อไปยังเมือง Dambulla
โบกตุ๊กตุ๊กกลับไปยังสถานีรถบัสในเมือง Kandy อีกครั้ง คราวนี้นั่งรถตู้ เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะภายในรถตู้มันมืดๆ อับๆ แต่ก็มีผู้โดยสารนั่งกันเต็มรถ แอร์ก็เย็นแบบแผ่วๆ หายใจแทบไม่ออก ดีที่ใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง พี่สาวเราบอกว่าคนขับใช้ลูกเหม็นแทนน้ำหอมปรับอากาศ เราบอกกระเป๋าว่าแวะจอดที่พักของเราด้วย และเราจำได้จากการหาข้อมูลว่าเมือง Dambulla มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ประดิษฐานเด่นชัดอยู่ติดถนน เป็นสถานที่ที่เราตั้งใจเดินทางมาเมืองนี้และเป็นมรดกโลกด้วย