ตอน 1
https://ppantip.com/topic/36150781
ตอน 2 Sri Pada
https://ppantip.com/topic/36151502
ตอน 3 Kandy
https://ppantip.com/topic/36180251
ตอน 4 Dambulla - Sigiriya
https://ppantip.com/topic/36207776
ตอน 5 Polonnaruwa
https://ppantip.com/topic/36240013
ตอน 6-1 Anuradhpurah
https://ppantip.com/topic/36268829
ตอน 6-2 Anuradhpurah
https://ppantip.com/topic/36268970
ตอน 7-1 Colombo
https://ppantip.com/topic/36302037
ตอน 7-2 Colombo-Thailand
https://ppantip.com/topic/36302217
จากโคลอมโบนั่งรถไฟไป Hatton ตอนแปดโมงครึ่ง ถ้าใช้เวลาตามตารางรถไฟ 5 ชั่วโมง แต่ต้องรอสับรางทำให้ไปถึงช้าออกไปเกือบสองชั่วโมง พอถึงเมือง Hatton จะเป็นไร่ชาและหุบเขา ที่นี่เราต่อรถบัสไป Sri Pada หรืออีกชื่อหนึ่งของชาวต่างชาติว่า Adam's Peak รถจะออกทุกๆ 30 นาที ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เส้นทางจะเป็นโค้งภูเขาตลอด และคนขับก็ขับได้หวาดเสียวมาก
เราจองที่พักไว้ที่ Daddy's Guest Home สะอาดและใหม่พอใช้ อาหารเช้าก็ปริมาณเยอะจนเกินอิ่ม อยู่ใกล้ท่ารถบัสและจุดเริ่มต้นปีนเขาแค่ 10 นาที สิ่งรบกวนจิตใจอย่างเดียวคือนักท่องเที่ยวจีนไม่ว่าจะจีนหรือไต้หวันที่เราต้องประสบพบเจอตลอดทริปในศรีลังกา ปัญหาคือความไม่เกรงใจใครๆ ส่งเสียงรบกวน จนถึงขั้นแย่งห้องพัก จนเราต้องทวงสิทธิ์เอาห้องพักคืน และเราก็เสียใจมากเวลาคนศรีลังกามาทักว่าพวกเราเป็นคนจีน ต้องคอยบอกว่าไทยแลนด์ กิริยามารยาทการแต่งตัวเราไม่เหมือนคนจีนเลย ใช่เราเป็นลูกจีนแต่เราเกิดในไทยและเราก็เป็นคนไทยเต็มตัวและภูมิใจด้วย ตุ๊กตุ๊กคนนึงบอกเราว่าเพราะคนจีนมาเที่ยวเยอะมากเลยเหมาเป็นคนจีนหมด มีแค่คนขายของที่ Dambulla คนเดียวทายพี่สาวเราถูกว่าเป็นคนไทย นอกนั้นก็จีน ญี่ปุ่น เกาหลี คิดว่าคนไทยคงไปเที่ยวศรีลังกากันน้อย คนศรีลังกาเลยไม่รู้จักหน้าตา ท่าทางหรือการแต่งตัวของคนไทย หลายๆ ครั้งเราเจอคนศรีลังกาจ้องหน้าแบบแปลกใจว่าเรามาจากประเทศไหนกันแน่ เพราะเจอบางคนเดินเข้ามาถามเลยว่ามาจากประเทศไหน หลังจากจ้องหน้าอย่างสงสัยและซุบซิบกันแล้ว แต่พวกเค้าจะยิ้มให้เรา และเราก็ส่งยิ้มสยามกลับไป พอรู้เป็นคนไทย พวกเค้าจะดีใจมาก คงเพราะเป็นชาวพุทธเหมือนกัน ตลอดทั้งทริปเราก็ไม่เจอคนไทยเลยซึ่งต่างจากการไปเที่ยวประเทศอื่นๆ ปีนเขายังเจอเลย มาเจอกลุ่มคนไทยกลุ่มเล็กๆ ที่มากับพระคุณเจ้าที่สนามบินบันดาฯ ขากลับ
ไปถึงที่พักเกือบสี่โมงเย็น เอากระเป๋าไปเก็บ ออกมากินข้าวเย็นกับโรงแรม หกโมงครึ่ง (เย็น) เรากับพี่สาวพร้อมออกเดินทาง ตกลงกันว่าเราจะปีนกลางคืน ไม่ดูพระอาทิตย์ขึ้นเหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไปที่จะเริ่มปีนกันตอนตีสอง ส่วนเราตั้งใจมาสักการะรอยพระพุทธบาทซึ่งเป็นต้นกำเนิดรอยพระพุทธบาท สระบุรี
การตัดสินใจนี้ดีมาก เพราะเจอแต่ชาวศรีลังกาที่เดินขึ้นลงในช่วงเวลานั้นเหมือนกัน ไม่มีคนต่างชาติเลย พอรู้ว่าเราเป็นคนไทย เค้าจะยินดีมากเพราะเป็นชาวพุทธเช่นกัน มีทั้งพระสงฆ์ เด็กเล็กที่พ่ออุ้มมา ผู้ใหญ่ หนุ่มสาว ผู้เฒ่า มากันเป็นครอบครัว และกลุ่มเด็กวัยรุ่น บางคนมาหลายครั้งแล้ว บางคนเดินไม่ไหวก็ค่อยๆ ถัดตัวเองขึ้นไป เจอลุงคนนี้หอบเสียงดังมากจนเราอดเป็นห่วงไม่ได้ แต่ทุกคนปีนด้วยแรงศรัทธามากๆ นอกจากนี้ยังคอยให้กำลังใจชาวต่างชาติอย่างเราสองคนตลอดทาง โดยเฉพาะผู้ชายคนหนึ่งมาช่วยพยุงพี่สาวเราตอนเดินลงมาได้ครึ่งทางจนเกือบถึงด้านล่าง โดยไม่เอ่ยปากขออะไรจากเราสองคน ไม่เหมือนที่สิกิริยา มาช่วยพยุงไม่กี่ก้าว เรารู้ว่าต้องให้เงิน พอพี่สาวเราให้ไป บอกว่าไม่พอ แต่พวกเราก็ไม่สน เพราะเราไม่ได้ขอให้ช่วยตั้งแต่แรก การเริ่มต้นที่ Sri Pada นี้เป็นที่แรกดีมาก เพราะเราได้เห็นมิตรจิตมิตรใจของคนศรีลังกาโดยไม่ไปอคติพวกเค้า เพราะทริปต่อๆ ไป เราเจอชาวบ้านหรือเด็กนักเรียนขอเงินกันแบบดื้อๆ เลย
พี่สาวเราเจ็บขาซ้ายเนื่องจากตกที่สูงตอนปีนทำความสะอาดบ้านช่วงก่อนตรุษจีน เราก็ซื้อไม้เท้าจากร้านค้าด้านล่างก่อนจะขึ้นคนละอัน อันละ 50 บาท ไม้เท้าช่วยได้เยอะมาก เพราะเราต้องปีนขึ้นและลงบันไดกว่าหนึ่งหมื่นห้าพันขั้น ทางเดินเป็นบันไดเรียบกว้าง มีราวให้จับ แต่พออีก 2 ชั่วโมง บันไดจะเริ่มชันตรงดิ่งจนมองไม่เห็นทางข้างหน้า
ตลอดระยะทางจะมีร้านค้าเปิดไฟขายของสว่างไสว แต่ตอนขาลงร้านเหล่านี้ส่วนมากจะปิดพักผ่อนเพื่อรอเปิดขายนักท่องเที่ยวที่ปีนลงมาอีกครั้งตอนสว่างมากแล้ว ขาลงจึงมืดมาก เราเอาไฟฉายติดตัวไปด้วย อีกสิ่งหนึ่งที่เราโชคดีมากคือ เจอเจ้าหมาแม่ลูก 2 ตัว สีน้ำตาลอ่อนๆ รูปร่างเหมือนหมาไทย ตอนเรานั่งพักที่ร้านค้าแห่งหนึ่ง ร้านค้าที่นี่ถึงไม่กินหรือซื้ออะไร ส่วนมากก็จะเชิญให้นั่งพัก พอตอนเราจะลุกออกเดิน เจ้าสองตัวนี้ก็ตามมาเป็นเพื่อน เราหยุดพัก เค้าก็นั่งหยุดพัก ตอนแรกเราก็กลัวเพราะมันแปลกหน้ากัน แต่เจ้าสองตัวนี้แหละที่ช่วยชีวิตเราสองคน นอกจากเดินเป็นเพื่อนกันเกือบ 2 ชั่วโมงแล้ว พอเราแวะพักที่ร้านค้าอีกจุดหนึ่ง กำลังจะเริ่มเดินต่อ จู่ ๆ เจ้าตัวลูกก็เห่าขู่กรรโชกเสียงดัง ลุงเจ้าของร้านออกมาดูแล้วบอกเราว่ามันเจอหมูป่ามีทั้งหมด 4 ตัว พอเราเงยหน้ามองบันไดสูงๆ ขึ้นไปในความมืด เราก็เห็นหมูป่าตัวดำมะเมื่อมเดินผ่าน มันคงเดินออกมาหากิน นี่ถ้าเราไม่ได้เจ้าสองตัวนี้เป็นเพื่อน เราคงเดินไปชนหมูป่าจนโดนขวิดตกเขาแน่ๆ ในนาทีนั้นเรานึกถึงในหลวงกับคุณทองแดงเลย มิน่าล่ะพระองค์ท่านถึงรักคุณทองแดงมาก ขนาดเราสองคนไม่ได้รู้จักกับเจ้าสองตัวนี้มาก่อนเลย พวกเค้ายังเดินเป็นเพื่อนและช่วยชีวิตเราได้
เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปพวกเค้าไว้ ตั้งใจว่าเดี๋ยวเดินลงมาจะซื้ออะไรให้กินตอบแทนและขอบคุณในน้ำใจของเค้า เค้าเดินไปส่งเราจนถึงเส้นทางที่เริ่มสูงและชันมากๆ แล้วเค้าก็หายตัวไป ตอนเดินลงมาก็ไม่เจอวี่แววเค้าอีกเลย กลับมาเราจึงใส่บาตรและตั้งจิตอุทิศผลบุญให้เค้าสองตัวได้เกิดในสุคติภูมิและพบพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ เพราะชาตินี้พวกเค้าก็ได้เกิดมาอยู่บนศรีบาทาอันศักดิ์สิทธิ์แล้ว
นอกจากเจ้าสองตัวนี้ เรายังได้มิตรจิตมิตรใจจากกลุ่มนักเรียนชายศรีลังกา ม.ปลายด้วย พวกเค้ามากันเกือบสิบคน คอยเดินเป็นเพื่อนเรา นำเราบ้าง รอเราบ้าง โดยเฉพาะตอนเจอหมูป่า พวกเค้ารีบบอกให้เราเดินเร็วๆ เพราะเส้นนี้อันตรายมาก
เกือบห้าทุ่มเราสองคนก็ปีนขึ้นไปถึงยอดเขา ก่อนขึ้นจะมีชั้นวางรองเท้า และเดินเท้าเปล่าขึ้นไป ข้างบนลมแรงและหนาวมาก เราไม่สามารถถ่ายรูปรอยพระพุทธบาทได้เพราะเป็นข้อห้าม ชาวศรีลังกากลัวว่าจะเสื่อมความศักดิ์สิทธิ์ รอยพระพุทธบาทจะเหมือนกับรอยพระพุทธบาทในบ้านเรา มีรอยพิมพ์ชัดเจน เป็นสีทองสวย แต่ไม่ใหญ่ เราสามารถถ่ายรูปบริเวณรอบๆ ด้านนอกได้ และตีระฆังเป็นสัญญาณว่าเราเดินทางมาถึงยอด Sri Pada แล้ว ข้างบนมีชาวศรีลังกามานอนรอบ้างไม่ถึงสิบคน นับถือในความทรหดอดทนของพวกเค้ามาก เพราะลมเย็นหนาวจับใจ เราอยู่ได้แค่เกือบสิบนาทีก็ต้องรีบลงเพราะทนความหนาวไม่ไหว ขาลงก็จะมืดๆ เพราะร้านรวงปิดเกือบหมด กว่าจะเดินลงถึงที่พักก็ตีสี่ ถ่ายรูปไม่ถึงสิบใบเพราะก้มหน้าก้มตาเดินกันจริงๆ
นอนพักแค่ 2-3 ชั่วโมง เราก็ออกเดินทางต่อไปเมืองแคนดี้เพื่อไปสักการะพระเขี้ยวแก้ว แล้วจะมาเล่าการเดินทางต่อไปนะคะ
ศรีลังกาเดินทางไม่ยาก แค่อึดนิดหน่อย ตอน 2 Sri Pada
ตอน 2 Sri Pada https://ppantip.com/topic/36151502
ตอน 3 Kandy https://ppantip.com/topic/36180251
ตอน 4 Dambulla - Sigiriya https://ppantip.com/topic/36207776
ตอน 5 Polonnaruwa https://ppantip.com/topic/36240013
ตอน 6-1 Anuradhpurah https://ppantip.com/topic/36268829
ตอน 6-2 Anuradhpurah https://ppantip.com/topic/36268970
ตอน 7-1 Colombo https://ppantip.com/topic/36302037
ตอน 7-2 Colombo-Thailand https://ppantip.com/topic/36302217
จากโคลอมโบนั่งรถไฟไป Hatton ตอนแปดโมงครึ่ง ถ้าใช้เวลาตามตารางรถไฟ 5 ชั่วโมง แต่ต้องรอสับรางทำให้ไปถึงช้าออกไปเกือบสองชั่วโมง พอถึงเมือง Hatton จะเป็นไร่ชาและหุบเขา ที่นี่เราต่อรถบัสไป Sri Pada หรืออีกชื่อหนึ่งของชาวต่างชาติว่า Adam's Peak รถจะออกทุกๆ 30 นาที ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เส้นทางจะเป็นโค้งภูเขาตลอด และคนขับก็ขับได้หวาดเสียวมาก
เราจองที่พักไว้ที่ Daddy's Guest Home สะอาดและใหม่พอใช้ อาหารเช้าก็ปริมาณเยอะจนเกินอิ่ม อยู่ใกล้ท่ารถบัสและจุดเริ่มต้นปีนเขาแค่ 10 นาที สิ่งรบกวนจิตใจอย่างเดียวคือนักท่องเที่ยวจีนไม่ว่าจะจีนหรือไต้หวันที่เราต้องประสบพบเจอตลอดทริปในศรีลังกา ปัญหาคือความไม่เกรงใจใครๆ ส่งเสียงรบกวน จนถึงขั้นแย่งห้องพัก จนเราต้องทวงสิทธิ์เอาห้องพักคืน และเราก็เสียใจมากเวลาคนศรีลังกามาทักว่าพวกเราเป็นคนจีน ต้องคอยบอกว่าไทยแลนด์ กิริยามารยาทการแต่งตัวเราไม่เหมือนคนจีนเลย ใช่เราเป็นลูกจีนแต่เราเกิดในไทยและเราก็เป็นคนไทยเต็มตัวและภูมิใจด้วย ตุ๊กตุ๊กคนนึงบอกเราว่าเพราะคนจีนมาเที่ยวเยอะมากเลยเหมาเป็นคนจีนหมด มีแค่คนขายของที่ Dambulla คนเดียวทายพี่สาวเราถูกว่าเป็นคนไทย นอกนั้นก็จีน ญี่ปุ่น เกาหลี คิดว่าคนไทยคงไปเที่ยวศรีลังกากันน้อย คนศรีลังกาเลยไม่รู้จักหน้าตา ท่าทางหรือการแต่งตัวของคนไทย หลายๆ ครั้งเราเจอคนศรีลังกาจ้องหน้าแบบแปลกใจว่าเรามาจากประเทศไหนกันแน่ เพราะเจอบางคนเดินเข้ามาถามเลยว่ามาจากประเทศไหน หลังจากจ้องหน้าอย่างสงสัยและซุบซิบกันแล้ว แต่พวกเค้าจะยิ้มให้เรา และเราก็ส่งยิ้มสยามกลับไป พอรู้เป็นคนไทย พวกเค้าจะดีใจมาก คงเพราะเป็นชาวพุทธเหมือนกัน ตลอดทั้งทริปเราก็ไม่เจอคนไทยเลยซึ่งต่างจากการไปเที่ยวประเทศอื่นๆ ปีนเขายังเจอเลย มาเจอกลุ่มคนไทยกลุ่มเล็กๆ ที่มากับพระคุณเจ้าที่สนามบินบันดาฯ ขากลับ
ไปถึงที่พักเกือบสี่โมงเย็น เอากระเป๋าไปเก็บ ออกมากินข้าวเย็นกับโรงแรม หกโมงครึ่ง (เย็น) เรากับพี่สาวพร้อมออกเดินทาง ตกลงกันว่าเราจะปีนกลางคืน ไม่ดูพระอาทิตย์ขึ้นเหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไปที่จะเริ่มปีนกันตอนตีสอง ส่วนเราตั้งใจมาสักการะรอยพระพุทธบาทซึ่งเป็นต้นกำเนิดรอยพระพุทธบาท สระบุรี
การตัดสินใจนี้ดีมาก เพราะเจอแต่ชาวศรีลังกาที่เดินขึ้นลงในช่วงเวลานั้นเหมือนกัน ไม่มีคนต่างชาติเลย พอรู้ว่าเราเป็นคนไทย เค้าจะยินดีมากเพราะเป็นชาวพุทธเช่นกัน มีทั้งพระสงฆ์ เด็กเล็กที่พ่ออุ้มมา ผู้ใหญ่ หนุ่มสาว ผู้เฒ่า มากันเป็นครอบครัว และกลุ่มเด็กวัยรุ่น บางคนมาหลายครั้งแล้ว บางคนเดินไม่ไหวก็ค่อยๆ ถัดตัวเองขึ้นไป เจอลุงคนนี้หอบเสียงดังมากจนเราอดเป็นห่วงไม่ได้ แต่ทุกคนปีนด้วยแรงศรัทธามากๆ นอกจากนี้ยังคอยให้กำลังใจชาวต่างชาติอย่างเราสองคนตลอดทาง โดยเฉพาะผู้ชายคนหนึ่งมาช่วยพยุงพี่สาวเราตอนเดินลงมาได้ครึ่งทางจนเกือบถึงด้านล่าง โดยไม่เอ่ยปากขออะไรจากเราสองคน ไม่เหมือนที่สิกิริยา มาช่วยพยุงไม่กี่ก้าว เรารู้ว่าต้องให้เงิน พอพี่สาวเราให้ไป บอกว่าไม่พอ แต่พวกเราก็ไม่สน เพราะเราไม่ได้ขอให้ช่วยตั้งแต่แรก การเริ่มต้นที่ Sri Pada นี้เป็นที่แรกดีมาก เพราะเราได้เห็นมิตรจิตมิตรใจของคนศรีลังกาโดยไม่ไปอคติพวกเค้า เพราะทริปต่อๆ ไป เราเจอชาวบ้านหรือเด็กนักเรียนขอเงินกันแบบดื้อๆ เลย
พี่สาวเราเจ็บขาซ้ายเนื่องจากตกที่สูงตอนปีนทำความสะอาดบ้านช่วงก่อนตรุษจีน เราก็ซื้อไม้เท้าจากร้านค้าด้านล่างก่อนจะขึ้นคนละอัน อันละ 50 บาท ไม้เท้าช่วยได้เยอะมาก เพราะเราต้องปีนขึ้นและลงบันไดกว่าหนึ่งหมื่นห้าพันขั้น ทางเดินเป็นบันไดเรียบกว้าง มีราวให้จับ แต่พออีก 2 ชั่วโมง บันไดจะเริ่มชันตรงดิ่งจนมองไม่เห็นทางข้างหน้า
ตลอดระยะทางจะมีร้านค้าเปิดไฟขายของสว่างไสว แต่ตอนขาลงร้านเหล่านี้ส่วนมากจะปิดพักผ่อนเพื่อรอเปิดขายนักท่องเที่ยวที่ปีนลงมาอีกครั้งตอนสว่างมากแล้ว ขาลงจึงมืดมาก เราเอาไฟฉายติดตัวไปด้วย อีกสิ่งหนึ่งที่เราโชคดีมากคือ เจอเจ้าหมาแม่ลูก 2 ตัว สีน้ำตาลอ่อนๆ รูปร่างเหมือนหมาไทย ตอนเรานั่งพักที่ร้านค้าแห่งหนึ่ง ร้านค้าที่นี่ถึงไม่กินหรือซื้ออะไร ส่วนมากก็จะเชิญให้นั่งพัก พอตอนเราจะลุกออกเดิน เจ้าสองตัวนี้ก็ตามมาเป็นเพื่อน เราหยุดพัก เค้าก็นั่งหยุดพัก ตอนแรกเราก็กลัวเพราะมันแปลกหน้ากัน แต่เจ้าสองตัวนี้แหละที่ช่วยชีวิตเราสองคน นอกจากเดินเป็นเพื่อนกันเกือบ 2 ชั่วโมงแล้ว พอเราแวะพักที่ร้านค้าอีกจุดหนึ่ง กำลังจะเริ่มเดินต่อ จู่ ๆ เจ้าตัวลูกก็เห่าขู่กรรโชกเสียงดัง ลุงเจ้าของร้านออกมาดูแล้วบอกเราว่ามันเจอหมูป่ามีทั้งหมด 4 ตัว พอเราเงยหน้ามองบันไดสูงๆ ขึ้นไปในความมืด เราก็เห็นหมูป่าตัวดำมะเมื่อมเดินผ่าน มันคงเดินออกมาหากิน นี่ถ้าเราไม่ได้เจ้าสองตัวนี้เป็นเพื่อน เราคงเดินไปชนหมูป่าจนโดนขวิดตกเขาแน่ๆ ในนาทีนั้นเรานึกถึงในหลวงกับคุณทองแดงเลย มิน่าล่ะพระองค์ท่านถึงรักคุณทองแดงมาก ขนาดเราสองคนไม่ได้รู้จักกับเจ้าสองตัวนี้มาก่อนเลย พวกเค้ายังเดินเป็นเพื่อนและช่วยชีวิตเราได้
เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปพวกเค้าไว้ ตั้งใจว่าเดี๋ยวเดินลงมาจะซื้ออะไรให้กินตอบแทนและขอบคุณในน้ำใจของเค้า เค้าเดินไปส่งเราจนถึงเส้นทางที่เริ่มสูงและชันมากๆ แล้วเค้าก็หายตัวไป ตอนเดินลงมาก็ไม่เจอวี่แววเค้าอีกเลย กลับมาเราจึงใส่บาตรและตั้งจิตอุทิศผลบุญให้เค้าสองตัวได้เกิดในสุคติภูมิและพบพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ เพราะชาตินี้พวกเค้าก็ได้เกิดมาอยู่บนศรีบาทาอันศักดิ์สิทธิ์แล้ว
นอกจากเจ้าสองตัวนี้ เรายังได้มิตรจิตมิตรใจจากกลุ่มนักเรียนชายศรีลังกา ม.ปลายด้วย พวกเค้ามากันเกือบสิบคน คอยเดินเป็นเพื่อนเรา นำเราบ้าง รอเราบ้าง โดยเฉพาะตอนเจอหมูป่า พวกเค้ารีบบอกให้เราเดินเร็วๆ เพราะเส้นนี้อันตรายมาก
เกือบห้าทุ่มเราสองคนก็ปีนขึ้นไปถึงยอดเขา ก่อนขึ้นจะมีชั้นวางรองเท้า และเดินเท้าเปล่าขึ้นไป ข้างบนลมแรงและหนาวมาก เราไม่สามารถถ่ายรูปรอยพระพุทธบาทได้เพราะเป็นข้อห้าม ชาวศรีลังกากลัวว่าจะเสื่อมความศักดิ์สิทธิ์ รอยพระพุทธบาทจะเหมือนกับรอยพระพุทธบาทในบ้านเรา มีรอยพิมพ์ชัดเจน เป็นสีทองสวย แต่ไม่ใหญ่ เราสามารถถ่ายรูปบริเวณรอบๆ ด้านนอกได้ และตีระฆังเป็นสัญญาณว่าเราเดินทางมาถึงยอด Sri Pada แล้ว ข้างบนมีชาวศรีลังกามานอนรอบ้างไม่ถึงสิบคน นับถือในความทรหดอดทนของพวกเค้ามาก เพราะลมเย็นหนาวจับใจ เราอยู่ได้แค่เกือบสิบนาทีก็ต้องรีบลงเพราะทนความหนาวไม่ไหว ขาลงก็จะมืดๆ เพราะร้านรวงปิดเกือบหมด กว่าจะเดินลงถึงที่พักก็ตีสี่ ถ่ายรูปไม่ถึงสิบใบเพราะก้มหน้าก้มตาเดินกันจริงๆ
นอนพักแค่ 2-3 ชั่วโมง เราก็ออกเดินทางต่อไปเมืองแคนดี้เพื่อไปสักการะพระเขี้ยวแก้ว แล้วจะมาเล่าการเดินทางต่อไปนะคะ