ขอบคุณทุกคนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ คุณ เจ้าหญิงงัวเงีย, คุณ jazzzero, คุณ ลายลิขิต, น้องดาว Lady Star 919, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณ ฮิปโปโปตัวโตพุงโลชะมัด, จารย์จี GTW, คุณ เพ็ญพิชญา, คุณซูซี่ Susisiri, คุณ เป่าชาง, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ
บทก่อนหน้าค่ะ
บทที่ 20
https://ppantip.com/topic/36052025
บทที่ 21
https://ppantip.com/topic/36057918
บทที่ 22
https://ppantip.com/topic/36064433
บทที่ 23
https://ppantip.com/topic/36071189
บทที่ 24
https://ppantip.com/topic/36080925
บทที่ 25
https://ppantip.com/topic/36084107
บทที่ 26
https://ppantip.com/topic/36091378
บทที่ 27
https://ppantip.com/topic/36097779
บทที่ 28
https://ppantip.com/topic/36103826
บทที่ 29
https://ppantip.com/topic/36114263
บทนี้เป็นไคลแม็กส์ของเรื่องค่ะ เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างตัวละคร 2 ตัวที่สร้างความขัดแย้งในเรื่องให้เกิดเป็นนิยายยาว 30 กว่าบทนี้อย่างแท้จริงค่ะ ในขณะที่ตลอดเรื่องตั้งแต่ต้นเป็นต้นมา ต้าเป็นเพียงตัวละครที่พาผู้อ่านให้เข้าไปมีส่วนรู้เห็นกับสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนั้นเท่านั้นเองค่ะ
บทที่ 30
เพียงไม่นานหลังจากที่ฝนหยุดตก ลมพัดอื้อ กวาดเอาหยดน้ำกระเซ็นขึ้นมาจากพื้นหญ้าเป็นฝอย เขตใช้แขนป้องหน้า มองฝ่าความมืดไปที่พุ่มต้นแก้ว ร่างสูงดำทะมึนหายไปแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรจะมาเอาเชิงกันต่อไปอีก เขารู้ว่าต้องทำอะไร และต้องทำโดยเร็วที่สุดอีกด้วย ที่จริงนี่คือสิ่งซึ่งควรทำมาตั้งนานแล้ว เป็นความดื้อรั้นของเขาเองที่ไม่เคยฟังเสียงใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนซึ่งเคยอาศัยอยู่บริเวณนี้มาเนิ่นนาน…นับแต่ครั้งบรรพบุรุษนั่นเลยทีเดียว
“เรื่องนี้เป็นเรื่องของผม” พึมพำด้วยตั้งใจว่าจะบอกใคร…หรืออะไรก็ได้ที่คิดว่าอยู่ข้างๆ ในเวลานี้ ไม่รู้หรอกว่าเธอจะรับรู้ได้จริงหรือไม่ หรือแม้แต่ว่าเธออยู่ข้างๆ เขาจริงหรือเปล่า
เมื่อกลับเข้าบ้านก็ไม่เห็นคำแปงและนนท์แล้ว แม่บ้านสูงวัยคงพาเด็กชายขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าข้างบน อยากตามขึ้นไปดูว่าแกเป็นอย่างไรบ้าง แต่เวลานี้มีเรื่องเร่งด่วนกว่า ในห้องเก็บของข้างครัวมีถังน้ำมันสำหรับตะเกียง บ้านซึ่งตั้งอยู่ห่างไกลชุมชนมามากขนาดนี้มักมีปัญหาเรื่องไฟดับบ่อยครั้ง ทุกคนซึ่งอาศัยอยู่ที่นี่เคยชินเสียแล้ว รู้ด้วยว่าควรเตรียมตัวรับสถานการณ์อย่างไรบ้าง ตะเกียงลานและน้ำมันสำหรับตะเกียงเป็นสิ่งหนึ่งซึ่งต้องมีเตรียมไว้เสมอ
แผงสะพานไฟอยู่บริเวณนั้นเช่นกัน เขตลองสับสะพานไฟดู หากก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อลองดูอีกครั้งก็ยังเหมือนเดิม ปัญหาคงมาจากโรงไฟฟ้า ดีหน่อยที่ครอบครัวก้องเกียรติอยู่แถวนี้ด้วย ถ้ามีปัญหาเรื่องไฟฟ้าเมื่อไรวิศวกรหนุ่มผู้นั้นจะจัดการเองโดยไม่ต้องวุ่นวายเสียเวลาแจ้งไปที่ไหน
เขตคว้าได้ถังพลาสติกสีแดง ลองเขย่าดูก็กะประมาณได้ว่ายังมีน้ำมันเหลืออยู่ครึ่งค่อน ค้นได้ไม้ขีดไฟจากลิ้นชักตู้ กวาดเอาผ้าขี้ริ้วซึ่งคำแปงซักแล้วพับไว้เป็นตั้งเพื่อใช้ในครัวติดมือมาด้วย น้ำมันเพียงแค่นี้คงไม่พอ ยิ่งฝนเพิ่งหยุดตก อากาศชื้นแบบนี้ คงต้องมีเชื้อไฟช่วยด้วย เปิดตู้โน้นตู้นี้เพื่อค้นหาถุงพลาสติก แต่ก็ไม่พบสักใบ คงต้องเสี่ยงหอบผ้าแห้งๆ ไปที่รถอย่างนี้แหละ หวังว่าฝนจะไม่กระหน่ำลงมาอีก ผ้าเปียกจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย
กลับเข้ามาในห้องรับแขกเพื่อหากุญแจรถจี๊ป ผันใช้รถแล้วมักจะทิ้งกุญแจไว้บนชั้นข้างโทรศัพท์ พอดีกับร่างสูงใหญ่ดำมืดสองร่างเปิดประตูหน้าแล้วพรวดพราดเข้ามาภายใน เขตฉายไฟกราดไปที่นั่น คำผาอุ้มอะไรบางอย่างอยู่ในอ้อมแขน เสียงห้าวๆ ของแกบอกให้รู้ว่าเป็นอะไร
“แกจมอยู่ในน้ำครับคุณ ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง”
ชายหนุ่มเย็นเยือกตลอดสันหลัง ถ้าเด็กที่คำผาอุ้มเข้ามาคือนนท์ แล้วเด็กคนเมื่อครู่ที่เขาปล่อยให้คำแปงอุ้มเข้ามาในบ้านคือใครกัน
เขตวางถังน้ำมันและเศษผ้าขี้ริ้วลงบนโต๊ะรับแขก ตรงรี่เข้ามาพิจารณาดูหลานชาย แสงสีส้มอ่อนจางจากไฟฉายในมือช่วยให้เห็นเพียงใบหน้าซีดเผือด นัยน์ตาปิดสนิท ไม่เห็นอะไรชัดเจนมากไปกว่านั้น ใช้นิ้วรอที่จมูก นั่นคือสิ่งเดียวที่อยากรู้ ใจหายเมื่อแทบไม่รู้สึกถึงลมหายใจของแก
เขาส่งไฟฉายในมือให้ผัน แล้วรับร่างน้อยๆ นั้นมาเสียจากคำผา เมื่อสัมผัสกับผิวกายของหลาน แม้จะเย็นเพราะเปียกชื้น หากก็ให้ความรู้สึกว่าเป็นเนื้อเป็นหนัง มีความนุ่มและหยุ่นเหมือนผิวคนธรรมดา ผิดกับเด็กอีกคน มีทางเดียวเท่านั้นที่จะรู้ได้ว่าอะไรเป็นอะไร
“ช่วยขึ้นไปดูข้างบนหน่อยเถอะลุง”
ไม่จำเป็นต้องคอยให้นายจ้างหนุ่มใหญ่อธิบายอะไรมากไปกว่านั้น คำผาก้าวยาวๆ ตามหลังนายจ้างที่นำขึ้นบันได มีหลานชายของเขาอยู่ในอ้อมแขน ผันตามติดติดขึ้นไปด้วย
ทางเดินทางฝั่งขวามืดสนิท หากก็มีแสงสว่างรำไรส่องผ่านประตูออกมาจากห้องสุดทางเดิน คำแปงจะเป็นอย่างไรบ้างถ้าที่นางอุ้มเข้ามาในบ้านไม่ใช่นนท์
แม่บ้านสูงวัยซึ่งเขาเป็นห่วงกำลังรวบรวมเสื้อกางเกงเปียกๆ ของเด็กชายเพื่อจะลงไปชั้นล่าง นางชะงักเมื่อเห็นนายจ้างกับอะไรบางอย่างในอ้อมแขน หันขวับไปทางเด็กบนเตียงซึ่งตัวเพิ่งเอาเข้านอนเมื่อครู่นี่เอง แล้วมีอันต้องผงะแทบหงายหลัง เห็นเด็กชายซึ่งเมื่อครู่ยังหลับไหลไม่ได้สติกลับลุกขึ้นนั่งด้วยตัวเอง
คำแปงถอยกรูดไปรวมกับนายจ้างและญาติผู้สูงวัยกว่าอีกสองคนที่ตามหลังมาด้วย
ตะเกียงลานซึ่งวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงส่องสว่างในบริเวณแคบๆ ช่วยให้เห็นใบหน้าเล็กๆ ขาวซีดจนดูโพลนตา นัยน์ตาลุกวาวล้อแสงไฟ จ้องเขม็งมาที่กลุ่มคนหน้าประตูห้อง ริมฝีปากมีรอยยิ้มหยันอย่างมีชัย
แกตลบผ้าห่มผืนบางออกพ้นขา แล้วเลื่อนตัวลงจากเตียงอย่างคล่องแคล่ว
“ผมจัดการที่นี่เองคุณ คุณไปเถอะ”
เสียงต่ำลึกและเยียบเย็นของคำผาปลุกให้เขตตื่นจากความงุนงง หันไปส่งหลานชายให้
“ฝากลุงด้วยก็แล้วกัน” รู้ว่าชายสูงวัยผู้นี้จะรับมือกับอะไรก็แล้วแต่นี้ได้ ไม่เคยมาก่อนที่จะมีความเชื่อมั่นในลักษณะนี้
ฝากฝังหลานชายและคนอื่นๆ ในความดูแลแล้วผลุนผลันกลับออกมาจากห้อง มีเงาวูบวาบไปตลอดทางเดิน เลยเรื่อยไปจนถึงบันได แม้จะเริ่มสงสัยว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เริ่มเห็นอะไรแปลกๆ เหล่านี้ หากก็ไม่มีเวลาแม้แต่จะคิด คงต้องหาพลั่วติดมือไปด้วยอีกอย่าง แต่จะไปหาได้ที่ไหน นอกจากเรือนของคำผา คงต้องแวะไปที่นั่นก่อน
ฝนกระหน่ำลงมาอีกครั้งเมื่อเขาเลื่อนเปิดประตูบ้าน คราวนี้ทั้งลมทั้งฝนรุนแรงจนแทบจะก้าวขาออกไปภายนอกไม่ได้ ราวกับอำนาจอะไรบางอย่างพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะกันไม่ให้เขาออกไปไหน
จำต้องถอยกลับเข้ามาในบ้าน ผ้าที่จะติดตัวไปใช้เป็นเชื้อไฟถ้าเปียกเสียแล้วก็จะไม่มีประโยชน์อันใดอีก เขาจะต้องหาอะไรสักอย่างมาห่อ กวาดไฟฉายไปทั่วห้องตอนหน้า จนลำแสงไปปะเข้ากับผ้าพลาสติกซึ่งคลุมอยู่บนชั้นวางโทรศัพท์ จึงตรงรี่เข้าไปคว้ามาห่อผ้าขี้ริ้วตั้งใหญ่ในมือ
กว่าจะกลับออกมานอกบ้านได้อีกครั้งก็ต้องออกแรงต้านทั้งสายฝนและกระแสลมอย่างสุดฤทธิ์ ใช้ตัวเลื่อนประตูให้ปิดกลับตามเดิม ลมที่พัดรุนแรงผิดธรรมดาได้พาเอาน้ำฝนเข้าไปเจิ่งนองในห้องด้านหน้าแล้ว พื้นซึ่งเป็นหินขัดลื่นจนน่ากลัวว่าจะทำให้ใครคนใดคนหนึ่งหกล้มเอาได้ง่ายๆ ยิ่งไฟดับอย่างนี้ด้วย ยิ่งไม่ปลอดภัยสำหรับใครเลย
ร่างสูงดำมืดปรากฏให้เห็นอีกครั้ง คราวนี้ตรงหน้าเขาเลยทีเดียว ร่างนั้นส่งเสียงคำรามราวสัตว์ร้าย
“อโหสิให้กันเถอะนะน่าน อย่าได้ตามจองล้างจองผลาญกันอีกเลย จะได้หมดเวรหมดกรรมกันเสียที”
เขตแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเพิ่งเอ่ยออกไป เขาไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้มาก่อนเลยไม่ใช่หรือ
คำตอบที่ได้กลับมาคือนัยน์ตาของร่างร้ายลุกเรืองโรจน์ แดงฉานราวเปลวเพลิง ร่างนั้นขยายขึ้นปกคลุมท้องฟ้าจนหมดสิ้น
“พี่รู้ว่านายทำอะไรพี่ไม่ได้” เสียงทุ้มๆ เข้มงวดขึ้น
เขตก้าวขาได้เพียงสั้นๆ แต่ก็ต้านกระแสลมไปได้จนเกือบถึงรถจี๊ปซึ่งจอดอยู่บนลานจอด แขนข้างหนึ่งหิ้วถังน้ำมัน อีกข้างกอดห่อผ้าขี้ริ้วไว้แนบตัว ไฟฉายยังอยู่ในมือข้างนั้น เขาจะต้องรีบให้ถึงรถก่อนที่ผ้าพวกนี้จะเปียกจนใช้ไม่ได้
เสียงคำรามดังกึกก้องสะท้านสะเทือนไปทั่วบริเวณเมื่อชายหนุ่มไม่แสดงอาการสะทกสะท้าน ร่างร้ายลดขนาดลงจนกลายเป็นผู้ชายคนหนึ่งยืนขวางอยู่ระหว่างตัวเขากับรถยนต์ เสียงพูดเป็นเสียงคนธรรมดานี่เอง
“เขต นายไม่มีวันชนะได้ตลอดไปหรอก”
คุ้มสีทอง (บทที่ 30)
ขอบคุณ คุณ เจ้าหญิงงัวเงีย, คุณ jazzzero, คุณ ลายลิขิต, น้องดาว Lady Star 919, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณ ฮิปโปโปตัวโตพุงโลชะมัด, จารย์จี GTW, คุณ เพ็ญพิชญา, คุณซูซี่ Susisiri, คุณ เป่าชาง, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ
บทก่อนหน้าค่ะ
บทที่ 20 https://ppantip.com/topic/36052025
บทที่ 21 https://ppantip.com/topic/36057918
บทที่ 22 https://ppantip.com/topic/36064433
บทที่ 23 https://ppantip.com/topic/36071189
บทที่ 24 https://ppantip.com/topic/36080925
บทที่ 25 https://ppantip.com/topic/36084107
บทที่ 26 https://ppantip.com/topic/36091378
บทที่ 27 https://ppantip.com/topic/36097779
บทที่ 28 https://ppantip.com/topic/36103826
บทที่ 29 https://ppantip.com/topic/36114263
บทนี้เป็นไคลแม็กส์ของเรื่องค่ะ เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างตัวละคร 2 ตัวที่สร้างความขัดแย้งในเรื่องให้เกิดเป็นนิยายยาว 30 กว่าบทนี้อย่างแท้จริงค่ะ ในขณะที่ตลอดเรื่องตั้งแต่ต้นเป็นต้นมา ต้าเป็นเพียงตัวละครที่พาผู้อ่านให้เข้าไปมีส่วนรู้เห็นกับสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนั้นเท่านั้นเองค่ะ
เพียงไม่นานหลังจากที่ฝนหยุดตก ลมพัดอื้อ กวาดเอาหยดน้ำกระเซ็นขึ้นมาจากพื้นหญ้าเป็นฝอย เขตใช้แขนป้องหน้า มองฝ่าความมืดไปที่พุ่มต้นแก้ว ร่างสูงดำทะมึนหายไปแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรจะมาเอาเชิงกันต่อไปอีก เขารู้ว่าต้องทำอะไร และต้องทำโดยเร็วที่สุดอีกด้วย ที่จริงนี่คือสิ่งซึ่งควรทำมาตั้งนานแล้ว เป็นความดื้อรั้นของเขาเองที่ไม่เคยฟังเสียงใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนซึ่งเคยอาศัยอยู่บริเวณนี้มาเนิ่นนาน…นับแต่ครั้งบรรพบุรุษนั่นเลยทีเดียว
“เรื่องนี้เป็นเรื่องของผม” พึมพำด้วยตั้งใจว่าจะบอกใคร…หรืออะไรก็ได้ที่คิดว่าอยู่ข้างๆ ในเวลานี้ ไม่รู้หรอกว่าเธอจะรับรู้ได้จริงหรือไม่ หรือแม้แต่ว่าเธออยู่ข้างๆ เขาจริงหรือเปล่า
เมื่อกลับเข้าบ้านก็ไม่เห็นคำแปงและนนท์แล้ว แม่บ้านสูงวัยคงพาเด็กชายขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าข้างบน อยากตามขึ้นไปดูว่าแกเป็นอย่างไรบ้าง แต่เวลานี้มีเรื่องเร่งด่วนกว่า ในห้องเก็บของข้างครัวมีถังน้ำมันสำหรับตะเกียง บ้านซึ่งตั้งอยู่ห่างไกลชุมชนมามากขนาดนี้มักมีปัญหาเรื่องไฟดับบ่อยครั้ง ทุกคนซึ่งอาศัยอยู่ที่นี่เคยชินเสียแล้ว รู้ด้วยว่าควรเตรียมตัวรับสถานการณ์อย่างไรบ้าง ตะเกียงลานและน้ำมันสำหรับตะเกียงเป็นสิ่งหนึ่งซึ่งต้องมีเตรียมไว้เสมอ
แผงสะพานไฟอยู่บริเวณนั้นเช่นกัน เขตลองสับสะพานไฟดู หากก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อลองดูอีกครั้งก็ยังเหมือนเดิม ปัญหาคงมาจากโรงไฟฟ้า ดีหน่อยที่ครอบครัวก้องเกียรติอยู่แถวนี้ด้วย ถ้ามีปัญหาเรื่องไฟฟ้าเมื่อไรวิศวกรหนุ่มผู้นั้นจะจัดการเองโดยไม่ต้องวุ่นวายเสียเวลาแจ้งไปที่ไหน
เขตคว้าได้ถังพลาสติกสีแดง ลองเขย่าดูก็กะประมาณได้ว่ายังมีน้ำมันเหลืออยู่ครึ่งค่อน ค้นได้ไม้ขีดไฟจากลิ้นชักตู้ กวาดเอาผ้าขี้ริ้วซึ่งคำแปงซักแล้วพับไว้เป็นตั้งเพื่อใช้ในครัวติดมือมาด้วย น้ำมันเพียงแค่นี้คงไม่พอ ยิ่งฝนเพิ่งหยุดตก อากาศชื้นแบบนี้ คงต้องมีเชื้อไฟช่วยด้วย เปิดตู้โน้นตู้นี้เพื่อค้นหาถุงพลาสติก แต่ก็ไม่พบสักใบ คงต้องเสี่ยงหอบผ้าแห้งๆ ไปที่รถอย่างนี้แหละ หวังว่าฝนจะไม่กระหน่ำลงมาอีก ผ้าเปียกจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย
กลับเข้ามาในห้องรับแขกเพื่อหากุญแจรถจี๊ป ผันใช้รถแล้วมักจะทิ้งกุญแจไว้บนชั้นข้างโทรศัพท์ พอดีกับร่างสูงใหญ่ดำมืดสองร่างเปิดประตูหน้าแล้วพรวดพราดเข้ามาภายใน เขตฉายไฟกราดไปที่นั่น คำผาอุ้มอะไรบางอย่างอยู่ในอ้อมแขน เสียงห้าวๆ ของแกบอกให้รู้ว่าเป็นอะไร
“แกจมอยู่ในน้ำครับคุณ ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง”
ชายหนุ่มเย็นเยือกตลอดสันหลัง ถ้าเด็กที่คำผาอุ้มเข้ามาคือนนท์ แล้วเด็กคนเมื่อครู่ที่เขาปล่อยให้คำแปงอุ้มเข้ามาในบ้านคือใครกัน
เขตวางถังน้ำมันและเศษผ้าขี้ริ้วลงบนโต๊ะรับแขก ตรงรี่เข้ามาพิจารณาดูหลานชาย แสงสีส้มอ่อนจางจากไฟฉายในมือช่วยให้เห็นเพียงใบหน้าซีดเผือด นัยน์ตาปิดสนิท ไม่เห็นอะไรชัดเจนมากไปกว่านั้น ใช้นิ้วรอที่จมูก นั่นคือสิ่งเดียวที่อยากรู้ ใจหายเมื่อแทบไม่รู้สึกถึงลมหายใจของแก
เขาส่งไฟฉายในมือให้ผัน แล้วรับร่างน้อยๆ นั้นมาเสียจากคำผา เมื่อสัมผัสกับผิวกายของหลาน แม้จะเย็นเพราะเปียกชื้น หากก็ให้ความรู้สึกว่าเป็นเนื้อเป็นหนัง มีความนุ่มและหยุ่นเหมือนผิวคนธรรมดา ผิดกับเด็กอีกคน มีทางเดียวเท่านั้นที่จะรู้ได้ว่าอะไรเป็นอะไร
“ช่วยขึ้นไปดูข้างบนหน่อยเถอะลุง”
ไม่จำเป็นต้องคอยให้นายจ้างหนุ่มใหญ่อธิบายอะไรมากไปกว่านั้น คำผาก้าวยาวๆ ตามหลังนายจ้างที่นำขึ้นบันได มีหลานชายของเขาอยู่ในอ้อมแขน ผันตามติดติดขึ้นไปด้วย
ทางเดินทางฝั่งขวามืดสนิท หากก็มีแสงสว่างรำไรส่องผ่านประตูออกมาจากห้องสุดทางเดิน คำแปงจะเป็นอย่างไรบ้างถ้าที่นางอุ้มเข้ามาในบ้านไม่ใช่นนท์
แม่บ้านสูงวัยซึ่งเขาเป็นห่วงกำลังรวบรวมเสื้อกางเกงเปียกๆ ของเด็กชายเพื่อจะลงไปชั้นล่าง นางชะงักเมื่อเห็นนายจ้างกับอะไรบางอย่างในอ้อมแขน หันขวับไปทางเด็กบนเตียงซึ่งตัวเพิ่งเอาเข้านอนเมื่อครู่นี่เอง แล้วมีอันต้องผงะแทบหงายหลัง เห็นเด็กชายซึ่งเมื่อครู่ยังหลับไหลไม่ได้สติกลับลุกขึ้นนั่งด้วยตัวเอง
คำแปงถอยกรูดไปรวมกับนายจ้างและญาติผู้สูงวัยกว่าอีกสองคนที่ตามหลังมาด้วย
ตะเกียงลานซึ่งวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงส่องสว่างในบริเวณแคบๆ ช่วยให้เห็นใบหน้าเล็กๆ ขาวซีดจนดูโพลนตา นัยน์ตาลุกวาวล้อแสงไฟ จ้องเขม็งมาที่กลุ่มคนหน้าประตูห้อง ริมฝีปากมีรอยยิ้มหยันอย่างมีชัย
แกตลบผ้าห่มผืนบางออกพ้นขา แล้วเลื่อนตัวลงจากเตียงอย่างคล่องแคล่ว
“ผมจัดการที่นี่เองคุณ คุณไปเถอะ”
เสียงต่ำลึกและเยียบเย็นของคำผาปลุกให้เขตตื่นจากความงุนงง หันไปส่งหลานชายให้
“ฝากลุงด้วยก็แล้วกัน” รู้ว่าชายสูงวัยผู้นี้จะรับมือกับอะไรก็แล้วแต่นี้ได้ ไม่เคยมาก่อนที่จะมีความเชื่อมั่นในลักษณะนี้
ฝากฝังหลานชายและคนอื่นๆ ในความดูแลแล้วผลุนผลันกลับออกมาจากห้อง มีเงาวูบวาบไปตลอดทางเดิน เลยเรื่อยไปจนถึงบันได แม้จะเริ่มสงสัยว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เริ่มเห็นอะไรแปลกๆ เหล่านี้ หากก็ไม่มีเวลาแม้แต่จะคิด คงต้องหาพลั่วติดมือไปด้วยอีกอย่าง แต่จะไปหาได้ที่ไหน นอกจากเรือนของคำผา คงต้องแวะไปที่นั่นก่อน
ฝนกระหน่ำลงมาอีกครั้งเมื่อเขาเลื่อนเปิดประตูบ้าน คราวนี้ทั้งลมทั้งฝนรุนแรงจนแทบจะก้าวขาออกไปภายนอกไม่ได้ ราวกับอำนาจอะไรบางอย่างพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะกันไม่ให้เขาออกไปไหน
จำต้องถอยกลับเข้ามาในบ้าน ผ้าที่จะติดตัวไปใช้เป็นเชื้อไฟถ้าเปียกเสียแล้วก็จะไม่มีประโยชน์อันใดอีก เขาจะต้องหาอะไรสักอย่างมาห่อ กวาดไฟฉายไปทั่วห้องตอนหน้า จนลำแสงไปปะเข้ากับผ้าพลาสติกซึ่งคลุมอยู่บนชั้นวางโทรศัพท์ จึงตรงรี่เข้าไปคว้ามาห่อผ้าขี้ริ้วตั้งใหญ่ในมือ
กว่าจะกลับออกมานอกบ้านได้อีกครั้งก็ต้องออกแรงต้านทั้งสายฝนและกระแสลมอย่างสุดฤทธิ์ ใช้ตัวเลื่อนประตูให้ปิดกลับตามเดิม ลมที่พัดรุนแรงผิดธรรมดาได้พาเอาน้ำฝนเข้าไปเจิ่งนองในห้องด้านหน้าแล้ว พื้นซึ่งเป็นหินขัดลื่นจนน่ากลัวว่าจะทำให้ใครคนใดคนหนึ่งหกล้มเอาได้ง่ายๆ ยิ่งไฟดับอย่างนี้ด้วย ยิ่งไม่ปลอดภัยสำหรับใครเลย
ร่างสูงดำมืดปรากฏให้เห็นอีกครั้ง คราวนี้ตรงหน้าเขาเลยทีเดียว ร่างนั้นส่งเสียงคำรามราวสัตว์ร้าย
“อโหสิให้กันเถอะนะน่าน อย่าได้ตามจองล้างจองผลาญกันอีกเลย จะได้หมดเวรหมดกรรมกันเสียที”
เขตแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเพิ่งเอ่ยออกไป เขาไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้มาก่อนเลยไม่ใช่หรือ
คำตอบที่ได้กลับมาคือนัยน์ตาของร่างร้ายลุกเรืองโรจน์ แดงฉานราวเปลวเพลิง ร่างนั้นขยายขึ้นปกคลุมท้องฟ้าจนหมดสิ้น
“พี่รู้ว่านายทำอะไรพี่ไม่ได้” เสียงทุ้มๆ เข้มงวดขึ้น
เขตก้าวขาได้เพียงสั้นๆ แต่ก็ต้านกระแสลมไปได้จนเกือบถึงรถจี๊ปซึ่งจอดอยู่บนลานจอด แขนข้างหนึ่งหิ้วถังน้ำมัน อีกข้างกอดห่อผ้าขี้ริ้วไว้แนบตัว ไฟฉายยังอยู่ในมือข้างนั้น เขาจะต้องรีบให้ถึงรถก่อนที่ผ้าพวกนี้จะเปียกจนใช้ไม่ได้
เสียงคำรามดังกึกก้องสะท้านสะเทือนไปทั่วบริเวณเมื่อชายหนุ่มไม่แสดงอาการสะทกสะท้าน ร่างร้ายลดขนาดลงจนกลายเป็นผู้ชายคนหนึ่งยืนขวางอยู่ระหว่างตัวเขากับรถยนต์ เสียงพูดเป็นเสียงคนธรรมดานี่เอง
“เขต นายไม่มีวันชนะได้ตลอดไปหรอก”