ในฝั่งฝัน (บทที่ 19)

ขอบคุณทุกๆ คนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ คุณแอนนี่ annie <harmonica>, จารย์จี GTW, น้องดาว Lady Star 919, คุณลิ ลายลิขิต, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณ PuPaKae, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง, น้องนุ้ย ณวลี
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ

บทก่อนๆ ค่ะ
บทแรก - บทที่ 1  http://ppantip.com/topic/35638204
บทที่ 2 - บทที่ 3  http://ppantip.com/topic/35648626
บทที่ 4  http://ppantip.com/topic/35655325
บทที่ 5  http://ppantip.com/topic/35665748
บทที่ 6  http://ppantip.com/topic/35669708
บทที่ 7  http://ppantip.com/topic/35673616
บทที่ 8  http://ppantip.com/topic/35680516
บทที่ 9  http://ppantip.com/topic/35683775
บทที่ 10 http://ppantip.com/topic/35688063
บทที่ 11  http://ppantip.com/topic/35695077
บทที่ 12  http://ppantip.com/topic/35729742
บทที่ 13  http://ppantip.com/topic/35740950
บทที่ 14  http://ppantip.com/topic/35748347
บทที่ 15  http://ppantip.com/topic/35759445
บทที่ 16  http://ppantip.com/topic/35763053
บทที่ 17  http://ppantip.com/topic/35770302
บทที่ 18  http://ppantip.com/topic/35774270


บทที่ 19



    เสียงฝนตกกระทบหลังคามุงจากดังเปาะแปะ ไม่รัวถี่อย่างเมื่อครู่ แสดงชัดว่าคงจะหยุดในไม่ช้าหลังจากที่ตกหนักมาตลอดเย็น พอฝนซา ภายนอกกระท่อมก็กลับคึกคักขึ้นอีกครั้ง เสียงฝีเท้าย่ำบนโคลนเฉอะแฉมาพร้อมกับเสียงผู้คนพูดคุยกันฟังไม่ได้ศัพท์  

    อากาศเย็นชื้นจนเกือบหนาวเมื่อกริชไขไส้ตะเกียงลานให้สูงขึ้นอีก แสงสีเหลืองนวลส่องจับฝาขัดแตะก่อให้เกิดเงาวูบวาบเมื่อชายฉกรรจ์สามคนเข้าประตูมา คนซึ่งนำมาก่อนรูปร่างเตี้ยล่ำ สวมกางเกงขาก๊วยสีน้ำเงินเข้ม ท่อนบนไม่สวมเสื้อ มีเพียงผ้าขาวม้าพาดมากับบ่า เผยให้เห็นผิวดำคล้ำเปียกน้ำดูเป็นมันปลาบ

    “บุญปลูกเป็นไงมั่ง” ฝ่ายนั้นถามเมื่อเดินเรื่อยๆ เข้ามาหยุดดูร่างผอมเกร็งซึ่งนอนเหยียดยาวอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ มีผ้าผวยคลุมตลอดลำตัวเรื่อยขึ้นมาจนถึงคอ

    “ดีขึ้นบ้างแล้วครับ” กริชตอบสุภาพ แขวนตะเกียงไว้กับขื่อตามเดิม ป้ายมือเปื้อนน้ำมันกับกางเกงขาสั้นตัวเก่าคร่ำคร่าที่สวม

    “แล้วนี่กินข้าวกันรึยัง”

    “กำลังจะต้มข้าวต้มให้น้าแกครับ”

    “เฮ่ย! เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว บุญปลูกก็ป่วย จะต้องลำบากต้มข้าวเองทำไม ไปขอแม่ทองหยดเขาไป” ฝ่ายนั้นหมายถึงภรรยาเจ้าของสวนมะพร้าวแห่งนี้

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ หุงข้าวกินกันเองได้”    

“ไปเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ ไอ้พวกนั้นมันก็กินกันมาแล้ว” คนสูงวัยกว่าตวัดนิ้วโป้งไปทางชายหนุ่มสองคนซึ่งตามเข้ามาด้วย คนหนึ่งลงนั่งขัดสมาธิบนพื้นดินและกำลังจุดบุหรี่สูบ ทั้งคู่เป็นแรงงานจรมารับจ้างเก็บมะพร้าวเช่นกัน

กริชและนายดาบเรืองเพิ่งมาทำงานที่นี่ได้เพียงสามวัน ได้จังหวะเหมาะตรงที่ระยะนี้มีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อมะพร้าวรายละมากๆ เจ้าของสวนจึงต้องจ้างคนมาช่วย เส้นทางแฝงตัวเข้ามาสืบความเคลื่อนไหวของเสือเมฆและสมุนในครั้งนี้มีนายรุ่งเป็นผู้นำมาก่อน และเมื่อนายรุ่งถูกฆ่าตาย เขาจึงมั่นใจว่ามาถูกทางแล้ว

ลดสายตาลงดูลูกน้องวัยคราวพ่อก็เห็นนอนทำตาปริบๆ มองคนโน้นทีคนนี้ที ใจหนึ่งเป็นห่วงถ้าจะทิ้งไว้คนเดียวในสภาพเช่นนี้ เรียกที่นี่ว่าดงเสือก็คงไม่ผิดไปจากความเป็นจริงสักเท่าไรนัก แม้จะยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่ามีใครบ้างที่ให้ความช่วยเหลือเสือเมฆ แต่หลายสิ่งหลายอย่างที่เห็นและพอประมวลได้ล้วนชี้ไปในทางนั้นทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหนุ่มๆ ที่ไปมาหาสู่ไม่ได้เว้นแต่ละวัน บางคนมานอนค้างที่กระท่อมภายในสวนซึ่งมีอยู่สามหลังแล้วหายไปแต่เช้ามืดก่อนคนอื่นจะตื่น หรือเสบียงซึ่งภรรยาเจ้าของสวนทำขึ้นครั้งละมากๆ และผู้คนเหล่านั้นขนติดตัวไปด้วย ค่ำคืนดึกดื่นมักมีคนแปลกหน้าเดินสวบๆ ผ่านกระท่อมที่พักไปยังหลังติดกันซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของนายวันคนเฝ้าสวน

ปัญหาคือจนบัดนี้กริชก็ยังไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเสือเมฆรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร เท่าที่มีก็แต่รูปวาดลายเส้นซึ่งห่างไกลคนจริงๆ ลิบลับ และรู้เพียงว่าเสือเมฆไว้หนวด แต่ก็อีกนั่นแหละ ทุกวันนี้ผู้ชายหนุ่มๆ นิยมไว้หนวดกันมาก เขาเองก็เช่นกัน เมื่อคิดแฝงตัวมาสืบหาแหล่งซ่องสุมกำลังคนของเสือเมฆ ก็คิดถึงการไว้หนวดเคราเป็นอย่างแรก เขาและดาบเรืองไม่ได้โกนหนวดกันเพียงห้าวันก็แทบจำหน้าตัวเองไม่ได้

ภายนอกมืดสนิทและร้างผู้คนแล้วในเวลานี้ มีแสงไฟส่องเรืองๆ ออกมาจากประตูกระท่อมหลังติดกัน แสงแม้เพียงน้อยนิดนั้นช่วยให้พอเห็นพื้นดินเจิ่งนองน้ำฝนได้บ้าง  

กริชจงใจเดินอ้อมไปทางนั้นเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยกันดังลอดออกมา แต่เมื่อจับใจความอะไรไม่ได้เลยก็ต้องเข้าไปให้ใกล้ขึ้นอีก คราวนี้พอได้ยินบ้างเป็นช่วงๆ แม้จะเข้าใจความหมายทั้งหมดได้ยากเพราะไม่รู้ว่ากำลังพูดเรื่องอะไรกันก็ตาม

“…ไม่รู้ว่าจะเอายังไง แล้วตอนนี้ทำไมย้ายไปหัวหิน”

“เห็นว่าไปดูลาดเลาบ้านพักแถวนั้น พี่เสือแกกำลังสนใจบ้านริมทะเล”

“บ้านพักร้อน มันจะมีอาไร้ ก็แค่บ้านโล่งๆ เจ้าของเขาไปๆ มาๆ ข้าว่าเขาไม่ทิ้งอะไรไว้ให้คนมาขนไปดอก”

เกือบถึงหน้าประตูอยู่แล้วก็ต้องชะงักเมื่ออยู่ดีๆ มีเสียงแหบห้าวมาจากที่ไหนสักแห่ง

“ทิวเรอะนั่น”

นานทีเดียวกว่าเขาจะคุ้นเคยกับชื่อซึ่งตั้งขึ้นเองนี้ มองหาที่มาของเสียงก็เห็นจุดเล็กๆ สีแดงสว่างวาบขึ้นที่ข้างฝาเรือน ร่างผอมเกร็งเห็นเป็นเพียงเงาตะคุ่มๆ นั่งอยู่บนตอไม้ซึ่งปาดหน้าไว้เรียบพอให้นั่งได้ มุมกระท่อมบดบังบริเวณนั้นไว้แทบจะมิดชิด เขาจึงไม่เห็นในทีแรก

“ครับลุง” ตอบพลางย่ำดินโคลนเพื่ออ้อมไปหา

“กินอะไรกันรึยัง” ฝ่ายนั้นถามคำถามเดียวกับหัวหน้างานคนเมื่อครู่

“ยังครับลุง กำลังจะไปขอจากในครัวมาให้น้าปลูกนี่แหละครับ”

'ลุง' ดีดก้นบุหรี่ใบจากปลิวหวือพ้นตัว ขยับลุกพลางบิดไปมาสองสามรอบด้วยความเมื่อยขบ

    “พรุ่งนี้ฝากบุญปลูกไปกับรถขนมะพร้าวไม่ดีกว่ารึ”

    “ไม่เป็นไรครับลุง ผมพาน้าปลูกไปกับรถเครื่องดีกว่า”

    กริชขอยืมรถมอเตอร์ไซค์เพื่อพานายดาบเรืองออกจากสวนไปขึ้นรถสองแถวต่อไปในตัวอำเภอชะอำ โดยอ้างว่านายดาบสูงวัยไม่สบายเกินกว่าจะทำงานต่อได้ จริงๆ แล้วแกไม่ได้เป็นอะไรสักนิด เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของแกมากกว่าเมื่อคิดว่ามาถูกทางแล้ว ดีไม่ดีอาจเกิดเรื่องแบบเดียวกับนายรุ่งขึ้นมาอีก เขาไม่ยอมให้มีความผิดพลาดลักษณะนั้นเกิดขึ้นซ้ำสอง กอปรกับคิดด้วยว่าควรมีใครส่งข่าวให้ทางฝ่ายตำรวจได้รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่และเข้าใกล้เสือเมฆกับพรรคพวกเพียงไร

บริเวณนี้อยู่ตรงส่วนต่อระหว่างอำเภอหัวหินและชะอำ ยังคิดไม่ตกว่าควรแจ้งให้นายอำเภอหัวหินมีส่วนร่วมรู้ด้วยดีหรือไม่ อย่างน้อยก็จะได้ไม่เกิดปัญหาปฏิบัติงานซ้ำซ้อนกัน

    “จะไปกันกี่วัน”

    “ผมคงไม่ไปไหนครับลุง แค่พาน้าปลูกไปส่งขึ้นรถสองแถวเท่านั้นครับ น้าปลูกไปต่อเองได้”

    “อือ...ก็ดี” เสียงห้าวๆ คราวนี้เหมือนครุ่นคิด ตบไหล่คนหนุ่มกว่าแล้วออกเดินนำไปทางเรือนสองชั้นใต้ถุนสูงซึ่งเป็นที่อยู่ของเจ้าของสวน

    กริชพออ่านอากัปกิริยานั้นออกแม้จะรู้จักคนเฝ้าสวนใจนักเลงผู้นี้เพียงไม่นาน หากก็เดาได้ว่าแกมีเรื่องจะพูดด้วย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่