เรียนท่านผู้รู้ผู้เจริญในธรรมในห้องศาสนาทุกท่าน
เห็นหลายๆกระทู้มีการพูดถึงแนวทางการพิจารณา"สังโยชน์10" ส่วนใหญ่ที่คุยจะเป็นเรื่องทางทฤษฏี อ่านไปอ่านมาเชื่อว่าหลายๆคนน่าจะงงเผลอๆง่วงนอนอีกด้วย เท่าที่สังเกตดูไม่ค่อยมีการพูดถึงแนวทางปฏิบัติกับสภาวะที่เกิดขึ้นสักเท่าไร
วันนี้ผมจึงขอแลกเปลี่ยนประสบการณ์การปฏิบัติกับทุกท่าน ...อยากทราบว่าแต่ละท่านปฏิบัติแล้วมีสภาวะที่เหมือนหรือต่างกันอย่างไร แต่ละท่านใช้อะไรเป็นเครื่องมือในการพิจารณาสังโยชแต่ละเรื่อง...ผิดถูกอย่างไรไม่ว่ากันนะครับเพราะสภาวะที่เกิดอาจไม่ตรงตามตำราสักเท่าไร....แลกเปลี่ยนกันได้นะครับ
ลำดับก็ตามนี้เลยนะครับ
1.ก่อนอื่นเข้าสมาธิ-->เข้าสภาวะตามสูตร คือ วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกคัตตา(อาการปฐมฌาณ-ขั้นต้น)
2.วางอารมณ์ทั้ง4ลงกำหนด"อุเบกขา" เข้าสภาวะ"กาย+จิต"จะแยกจากกัน (รูปฌาณ4-ขั้นกลาง)
3.ทิ้งกายกำหนดพิจารณาจิต"อากาศ/วิญญาณ/อากาศ+วิญญาณ/ดับความคิดลงชั่วขณะ" เข้าสู่สภาวะจิตเดิมแท้ (ลักษณะเป็นดวงกลมใสสว่าง-มีความสงบ/บางคนอาจะเป็นพระพุทธรูปแก้วใสมีทรงกลมล้อมรอบตามที่ฝึกฝนมา) นี่คือ"อรูปฌาณ4"
4.ถอนกำลังจาก"ฌาณ8" ลงมาที่"ฌาณ 4" เพื่อพิจารณา"กาย-จิต"ด้วยการ"วิปัสสนากรรมฐาน"
5.พิจารณากรรมฐานหมวด"กายานุปัสสนา"สภาวะคือการเห็นร่างการเรานั้น "เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย"ควบคุมไม่ได้+ไม่น่ายึดถือ
6.พิจารณากรรมฐานต่อในหมวด"เวทนานุปัสสนา" เราจะเห็นว่าร่างกายเราเต็มไปด้วย"โรค-ภัย-ไข้-เจ็บ" น่าเบื่อหน่าย ไม่น่ายึดมั่นถือมั่น
7.ถอนกำลังจากกายหันมาพิจารณากรรมฐานในส่วนจิตใจในหมวด"จิตตานุปัสสนา" เราจะเห็นความร้อนรุ่ม ความรุนแรงในจิตใจของเรา ความสกปรกของความคิด จิตที่ฟุ้งซ่าน เต็มไปด้วยไปด้วย "รัก-โลภ-โกรธ-หลง" ความอิจฉา-ริษยา ช่างน่าสมเพสเวทนา เราก็ดันหลงไปได้ตั้งนานแสนนานกับจิตแสนโสมมแบบนี้...เฮ้ออออ
8.พิจารณากรรมฐานเรื่องความเป็นจริงของจิตในหมวด"ธรรมานุปัสสนา" เราจะเห็นว่าเหตุที่เราเจอแบบนี้แบบนั้นเพราะอะไร กฏแห่งกรรมคืออะไร กฏแห่งไตรลักษณ์คือแบบไหน ทำไมเราต้องเกิด-ดับ เราเคยเป็นใคร ชาติต่อไปเราจะไปไหนถ้าเรายังหลงในจิตดวงนี้(เวียน-ว่าย-ตาย-เกิด)
9.เมื่อถึงสภาวะนี้เราจะทราบแล้วว่าทุกสิ่งกาย-จิตเป็นเรื่องน่ากลัว เอาอะไรไม่ได้เลยทั้งกาย-จิต เราไม่ควรเดินตามเส้นทางดังกล่าว เราควรหาทางที่จะหลุดจากวงเวียนนี้ได้แล้ว การที่เราจะหลุดได้มี 10 ขั้นตอน
- พิจารณาสังโยชน์ข้อที่ 1 ศากยะถิฐิ ความไม่มีตัวไม่มีตน--เชื่อว่าเราต้องตายแน่นอนเอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง ตายแน่ๆ...ชัดเจนอยู่แล้วตาม"กายานุปัสสนา"
- วิจิกิจฉา เชื่อในคำสอนพระพุทธเจ้า...แน่นอนปฏิบัติมาขนาดนี้ สภาวะขนาดนั้น
- สิลพัตตปรามาส ถือศิลให้ครบ5/8/227ไม่มีพลาด สบายมาก...ท่านผ่าน state-1 ได้ โสดาบันเรียบร้อย (มีกำลังศรัทธา+วิริยะ)
- กามราคะ...อยู่ในหมวดจิตตานุปัสสนา
- ปฏิคะ ความโกรธ...อยู่ในหมวดเวทนานุปัสสนา ถ้าทำได้ในระดับหนึ่งท่านเข้า state-2 สกิทาคามี (มีสติ+สมาธิค่อนข้างดี)แต่ถ้าได้100%ไม่มีหลุดเลย คือ ผ่าน state 3 อานาคามี (มีกำลังของศรัทธา-วิริยะ-สติ-สมาธิ-ปัญญาครบถ้วน...ไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกแล้ว)
- รูปราคะ หลงในฌาณ4...ได้แล้วนี่ไม่น่าหลงนะ
- อรูปราคะ หลงในอรูปฌาณ4..ได้แล้วเหมือนกันไม่มีทางหลงหรอก
- มานะ ถือตัวตน...อยู่ในจิตตานุปัสสนา ไม่หลงแน่
- อุธัจจะ ความฟุ้งซ่าน...อยู่ในจิตตานุปัสสนา ไม่มีพลาด
- อวิชชา..ในการพิจารณาสภาวะนี้เราต้องประมวลความรู้ที่มี รวบรวมสภาวะทั้งหมดมาพิจารณา "อวิชชา คือ ความไม่รู้จริง" การที่จะรู้จริงได้ต้องอาศัยความรู้+ปัญญาที่เกิดขึ้นจริง...หน้าตา+อาการของสภาวะธรรมเป็นแบบนี้ คือ หลังจากเราพิจารณาสภาวะมาตั้งแต่ขั้นต้นทั้งหมด คือ สังโยช 1-9 (ความไม่มีตัวตนเพราะเราตายแน่/ข้อสงสัยในการปฏิบัติ/กลัวต่อบาป/ราคะ/โทษะ/โมหะ/โลภะ/ไม่ยึดในญาณ4/ไม่ยึดในอรูปฌาณ4(ญาณ8)/จิตไม่ฟุ้งซ่านถือตัวตน/พิจารณากาย-เวทนา-จิต-ธรรม(ทุกสิ่งล้วนไม่มีอยู่จริง จิตเราสร้างสิ่งต่างๆเหล่านี้ขึ้นเองทั้งหมด)...เมื่อเราพิจารณาระดับนี้ กายกับจิตจะแยกกัน100% ร่างกายจะมีอาการสั่นเทิ้ม หัวใจเต้นโครมคราม จิตจะประมวลผลให้เราเห็นภาพเก่าๆย้อนหลัง หัวใจจะเต้นแรงมากราวว่าเรากำลังจะตายจริงๆ เหงื่ออกเต็มตัวชุ่มไปหมด ตรงนี้แหล่ะ!!!อะไรที่อยู่ลึกๆในใจ จะปรากฏมา ความกลัวในจิต ห่วงต่างๆคำมั่นสัญญาในอดีต+ปัจจุบันจะปรากฏหมด เคสผมปรากฏเป็นภาพ พ่อ+แม่ที่แก่เฒ่า/แฟนปัจจุบัน คำมั่นสัญญาที่เคยพูดไว้ปรากฏหมดเลย...ถ้าหากพิจารณาผ่านสภาวะขั้นนี้ได้ ท่านจะเลิกยึดมั่นถือมั่นในทุกสิ่งอย่างเหมือนเกิดเป็นคนใหม่
###แต่ผมดันไม่ผ่านซะ...ไม่ได้เรื่องเลยตรู!!!####
ปัญญาที่ได้จากสภาวะข้างต้น คือ ผมยังละ"อวิชชา"ไม่ได้เพราะผมเองยังคงมี"ห่วง"อยู่ ห่วงที่ว่า คือ พ่อแม่/แฟน...คำมั่นสัญญาต่างๆ ซึ่งตามหลักทางพุทธศาสนาง่ายมาก คือ ต้องปล่อยวางเพราะทุกสิ่งคือ"อนิจจัง-ไม่มีตัวไม่มีตน"ตายไปเอาไปไม่ได้ แต่ในแง่ปฏิบัติโลกความเป็นจริงนั้นยากมาก ตราบใดที่เป็นฆราวาส"ห่วง"จะปรากฏตลอดเวลาเมื่อพิจารณาสังโยชข้อนี้ ที่เด็ดคือเมื่อห่วงปรากฏไม่ว่าจะเป็น"ภาพ-เสียง"จิตของเราถอนกำลังเองโดยอัตโนมัติ ตรงนี้ควบคุมยากมากส่วนหนึ่งเกิดจากความกลัวตาย ปัจจัยสำคัญเกิดจาก"ห่วง"ในจิตเรานี่แหล่ะ...
อันนี้เป็นประสบการส่วนตัวนะ ผิดถูกอย่าว่ากัน ทั้งนี้ทั้งนั้นการปฏิบัติ "ท่านห้ามนั่งเองคนเดียว" เด็ดขาด เพราะเสี่ยงมากที่จะหลง "คิดเองว่าได้สภาวะโน่นนี่นั่น" ท่านควรมีครูบาอาจารย์ พระวิปัสสนากรรมฐานที่เคารพนับถือ สำคัญคือท่านต้องมีเจโตฯล่วงรู้วาระจิตลูกศิษย์มาคอยกำกับควบคุมดูแล ไม่งั้นท่านอาจ"หลงในสภาวะ"ได้ คราวนี้แก้ยากเพราะจะยึดและหลง บางคนเสียสติก็เยอะ
ไม่รู้ว่าสภาวะที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติเหมือนกันกับท่านอื่นๆบ้างรึป่าว เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เชื่อว่าห่วงที่ปรากฏขึ้นต้องหายไป คงตัดสังโยชข้อนี้ได้วันนั้น@จะได้จบๆไปชาตินี้ ชาติสุดท้าย...น่าเบื่อ!!!แต่ละท่านมีสภาวะอย่างไรกันบ้างครับ แลกเปลี่ยนกันได้นะ
แลกเปลี่ยนประสบการณ์จากการพิจารณาสภาวะธรรมจาก "สังโยชน์ 10"
เห็นหลายๆกระทู้มีการพูดถึงแนวทางการพิจารณา"สังโยชน์10" ส่วนใหญ่ที่คุยจะเป็นเรื่องทางทฤษฏี อ่านไปอ่านมาเชื่อว่าหลายๆคนน่าจะงงเผลอๆง่วงนอนอีกด้วย เท่าที่สังเกตดูไม่ค่อยมีการพูดถึงแนวทางปฏิบัติกับสภาวะที่เกิดขึ้นสักเท่าไร
วันนี้ผมจึงขอแลกเปลี่ยนประสบการณ์การปฏิบัติกับทุกท่าน ...อยากทราบว่าแต่ละท่านปฏิบัติแล้วมีสภาวะที่เหมือนหรือต่างกันอย่างไร แต่ละท่านใช้อะไรเป็นเครื่องมือในการพิจารณาสังโยชแต่ละเรื่อง...ผิดถูกอย่างไรไม่ว่ากันนะครับเพราะสภาวะที่เกิดอาจไม่ตรงตามตำราสักเท่าไร....แลกเปลี่ยนกันได้นะครับ
ลำดับก็ตามนี้เลยนะครับ
1.ก่อนอื่นเข้าสมาธิ-->เข้าสภาวะตามสูตร คือ วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกคัตตา(อาการปฐมฌาณ-ขั้นต้น)
2.วางอารมณ์ทั้ง4ลงกำหนด"อุเบกขา" เข้าสภาวะ"กาย+จิต"จะแยกจากกัน (รูปฌาณ4-ขั้นกลาง)
3.ทิ้งกายกำหนดพิจารณาจิต"อากาศ/วิญญาณ/อากาศ+วิญญาณ/ดับความคิดลงชั่วขณะ" เข้าสู่สภาวะจิตเดิมแท้ (ลักษณะเป็นดวงกลมใสสว่าง-มีความสงบ/บางคนอาจะเป็นพระพุทธรูปแก้วใสมีทรงกลมล้อมรอบตามที่ฝึกฝนมา) นี่คือ"อรูปฌาณ4"
4.ถอนกำลังจาก"ฌาณ8" ลงมาที่"ฌาณ 4" เพื่อพิจารณา"กาย-จิต"ด้วยการ"วิปัสสนากรรมฐาน"
5.พิจารณากรรมฐานหมวด"กายานุปัสสนา"สภาวะคือการเห็นร่างการเรานั้น "เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย"ควบคุมไม่ได้+ไม่น่ายึดถือ
6.พิจารณากรรมฐานต่อในหมวด"เวทนานุปัสสนา" เราจะเห็นว่าร่างกายเราเต็มไปด้วย"โรค-ภัย-ไข้-เจ็บ" น่าเบื่อหน่าย ไม่น่ายึดมั่นถือมั่น
7.ถอนกำลังจากกายหันมาพิจารณากรรมฐานในส่วนจิตใจในหมวด"จิตตานุปัสสนา" เราจะเห็นความร้อนรุ่ม ความรุนแรงในจิตใจของเรา ความสกปรกของความคิด จิตที่ฟุ้งซ่าน เต็มไปด้วยไปด้วย "รัก-โลภ-โกรธ-หลง" ความอิจฉา-ริษยา ช่างน่าสมเพสเวทนา เราก็ดันหลงไปได้ตั้งนานแสนนานกับจิตแสนโสมมแบบนี้...เฮ้ออออ
8.พิจารณากรรมฐานเรื่องความเป็นจริงของจิตในหมวด"ธรรมานุปัสสนา" เราจะเห็นว่าเหตุที่เราเจอแบบนี้แบบนั้นเพราะอะไร กฏแห่งกรรมคืออะไร กฏแห่งไตรลักษณ์คือแบบไหน ทำไมเราต้องเกิด-ดับ เราเคยเป็นใคร ชาติต่อไปเราจะไปไหนถ้าเรายังหลงในจิตดวงนี้(เวียน-ว่าย-ตาย-เกิด)
9.เมื่อถึงสภาวะนี้เราจะทราบแล้วว่าทุกสิ่งกาย-จิตเป็นเรื่องน่ากลัว เอาอะไรไม่ได้เลยทั้งกาย-จิต เราไม่ควรเดินตามเส้นทางดังกล่าว เราควรหาทางที่จะหลุดจากวงเวียนนี้ได้แล้ว การที่เราจะหลุดได้มี 10 ขั้นตอน
- พิจารณาสังโยชน์ข้อที่ 1 ศากยะถิฐิ ความไม่มีตัวไม่มีตน--เชื่อว่าเราต้องตายแน่นอนเอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง ตายแน่ๆ...ชัดเจนอยู่แล้วตาม"กายานุปัสสนา"
- วิจิกิจฉา เชื่อในคำสอนพระพุทธเจ้า...แน่นอนปฏิบัติมาขนาดนี้ สภาวะขนาดนั้น
- สิลพัตตปรามาส ถือศิลให้ครบ5/8/227ไม่มีพลาด สบายมาก...ท่านผ่าน state-1 ได้ โสดาบันเรียบร้อย (มีกำลังศรัทธา+วิริยะ)
- กามราคะ...อยู่ในหมวดจิตตานุปัสสนา
- ปฏิคะ ความโกรธ...อยู่ในหมวดเวทนานุปัสสนา ถ้าทำได้ในระดับหนึ่งท่านเข้า state-2 สกิทาคามี (มีสติ+สมาธิค่อนข้างดี)แต่ถ้าได้100%ไม่มีหลุดเลย คือ ผ่าน state 3 อานาคามี (มีกำลังของศรัทธา-วิริยะ-สติ-สมาธิ-ปัญญาครบถ้วน...ไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกแล้ว)
- รูปราคะ หลงในฌาณ4...ได้แล้วนี่ไม่น่าหลงนะ
- อรูปราคะ หลงในอรูปฌาณ4..ได้แล้วเหมือนกันไม่มีทางหลงหรอก
- มานะ ถือตัวตน...อยู่ในจิตตานุปัสสนา ไม่หลงแน่
- อุธัจจะ ความฟุ้งซ่าน...อยู่ในจิตตานุปัสสนา ไม่มีพลาด
- อวิชชา..ในการพิจารณาสภาวะนี้เราต้องประมวลความรู้ที่มี รวบรวมสภาวะทั้งหมดมาพิจารณา "อวิชชา คือ ความไม่รู้จริง" การที่จะรู้จริงได้ต้องอาศัยความรู้+ปัญญาที่เกิดขึ้นจริง...หน้าตา+อาการของสภาวะธรรมเป็นแบบนี้ คือ หลังจากเราพิจารณาสภาวะมาตั้งแต่ขั้นต้นทั้งหมด คือ สังโยช 1-9 (ความไม่มีตัวตนเพราะเราตายแน่/ข้อสงสัยในการปฏิบัติ/กลัวต่อบาป/ราคะ/โทษะ/โมหะ/โลภะ/ไม่ยึดในญาณ4/ไม่ยึดในอรูปฌาณ4(ญาณ8)/จิตไม่ฟุ้งซ่านถือตัวตน/พิจารณากาย-เวทนา-จิต-ธรรม(ทุกสิ่งล้วนไม่มีอยู่จริง จิตเราสร้างสิ่งต่างๆเหล่านี้ขึ้นเองทั้งหมด)...เมื่อเราพิจารณาระดับนี้ กายกับจิตจะแยกกัน100% ร่างกายจะมีอาการสั่นเทิ้ม หัวใจเต้นโครมคราม จิตจะประมวลผลให้เราเห็นภาพเก่าๆย้อนหลัง หัวใจจะเต้นแรงมากราวว่าเรากำลังจะตายจริงๆ เหงื่ออกเต็มตัวชุ่มไปหมด ตรงนี้แหล่ะ!!!อะไรที่อยู่ลึกๆในใจ จะปรากฏมา ความกลัวในจิต ห่วงต่างๆคำมั่นสัญญาในอดีต+ปัจจุบันจะปรากฏหมด เคสผมปรากฏเป็นภาพ พ่อ+แม่ที่แก่เฒ่า/แฟนปัจจุบัน คำมั่นสัญญาที่เคยพูดไว้ปรากฏหมดเลย...ถ้าหากพิจารณาผ่านสภาวะขั้นนี้ได้ ท่านจะเลิกยึดมั่นถือมั่นในทุกสิ่งอย่างเหมือนเกิดเป็นคนใหม่
###แต่ผมดันไม่ผ่านซะ...ไม่ได้เรื่องเลยตรู!!!####
ปัญญาที่ได้จากสภาวะข้างต้น คือ ผมยังละ"อวิชชา"ไม่ได้เพราะผมเองยังคงมี"ห่วง"อยู่ ห่วงที่ว่า คือ พ่อแม่/แฟน...คำมั่นสัญญาต่างๆ ซึ่งตามหลักทางพุทธศาสนาง่ายมาก คือ ต้องปล่อยวางเพราะทุกสิ่งคือ"อนิจจัง-ไม่มีตัวไม่มีตน"ตายไปเอาไปไม่ได้ แต่ในแง่ปฏิบัติโลกความเป็นจริงนั้นยากมาก ตราบใดที่เป็นฆราวาส"ห่วง"จะปรากฏตลอดเวลาเมื่อพิจารณาสังโยชข้อนี้ ที่เด็ดคือเมื่อห่วงปรากฏไม่ว่าจะเป็น"ภาพ-เสียง"จิตของเราถอนกำลังเองโดยอัตโนมัติ ตรงนี้ควบคุมยากมากส่วนหนึ่งเกิดจากความกลัวตาย ปัจจัยสำคัญเกิดจาก"ห่วง"ในจิตเรานี่แหล่ะ...
อันนี้เป็นประสบการส่วนตัวนะ ผิดถูกอย่าว่ากัน ทั้งนี้ทั้งนั้นการปฏิบัติ "ท่านห้ามนั่งเองคนเดียว" เด็ดขาด เพราะเสี่ยงมากที่จะหลง "คิดเองว่าได้สภาวะโน่นนี่นั่น" ท่านควรมีครูบาอาจารย์ พระวิปัสสนากรรมฐานที่เคารพนับถือ สำคัญคือท่านต้องมีเจโตฯล่วงรู้วาระจิตลูกศิษย์มาคอยกำกับควบคุมดูแล ไม่งั้นท่านอาจ"หลงในสภาวะ"ได้ คราวนี้แก้ยากเพราะจะยึดและหลง บางคนเสียสติก็เยอะ
ไม่รู้ว่าสภาวะที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติเหมือนกันกับท่านอื่นๆบ้างรึป่าว เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เชื่อว่าห่วงที่ปรากฏขึ้นต้องหายไป คงตัดสังโยชข้อนี้ได้วันนั้น@จะได้จบๆไปชาตินี้ ชาติสุดท้าย...น่าเบื่อ!!!แต่ละท่านมีสภาวะอย่างไรกันบ้างครับ แลกเปลี่ยนกันได้นะ