ศึกษากรรมฐานครบแล้ว จะไม่ถกเถียงวิธีใครถูก-ผิด
ผมเป็นคนไม่ปิดวิชาความรู้ วิชาความรู้อันใดที่มีอยู่ที่องค์สมเด็จพระบรมครูทรงสอนมา
ถ้าผมรู้อะไรบ้างผมก็สอนทุกอย่าง ความจริงคำสอนนี้สอนให้ปฏิบัติตาม
สอนเพื่อการป้องกันการเข้าใจพลาดของท่านพุทธบริษัท และพระโยคาวจรทั้งหลาย
เพราะว่า ถ้าหากว่าท่านไม่ศึกษาให้ครบถ้วน ดีไม่ดีจะไปทำลายความดีของบุคคลอื่นเข้า
และบางท่านศึกษามาอย่างใดอย่างหนึ่งคือ เวลาคนศึกษาโดยเฉพาะไม่ครบถ้วน
ถ้าหากว่าเขาปฏิบัติและบอกว่าการปฏิบัติไม่เหมือนของเรา เราก็จะหาว่าของเขาผิด
บางทีก็ไปยกว่าของฉันดีกว่า ของเธอสู้ฉันไม่ได้ อะไรอย่างนี้เป็นต้น
มันเป็นการทำลายความดีของตน และการปฏิบัติพระกรรมฐานจะปฏิบัติอย่างไรก็ตาม
มันต้องถูกทุกอย่าง แต่ว่าจะถูกถึงระดับไหนเท่านั้น อารมณ์ใจของบุคคลผู้นั้นจะสูงหรือว่าจะต่ำ
อย่างที่หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญท่านให้ภาวนาว่าสัมมาอรหัง
บางคนบอกของฉันนี่พุทโธดีกว่า สัมมาอรหังสู้ฉันไม่ได้ ทางพวกนั้นเขาอาจจะบอกว่าสัมมาอรหัง
ของฉันดีกว่าพุทโธ ของเธอสู้ฉันไม่ได้ บางท่านก็บอกว่า พุทโธก็ดี สัมมาอรหังก็ดี
ไม่ทันสมัย สู้ยุบหนอพองหนอ ไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเป็นผู้รับฟัง
ท่านจะมีความรู้สึกอย่างไร ถ้าเราไม่ศึกษากันให้ครบ เราก็คงจะคิดว่าไม่ใครก็ใครต้องผิดฝ่ายหนึ่ง
ถ้าเราศึกษากันให้ครบจริงๆ ก็จะเห็นว่าการใช้ทั้งสามแบบหรือแบบอื่นก็ไม่มีใครผิด
ทั้งนี้เพราะว่า พุทโธ เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน สัมมาอรหัง
ดูในอิติปิโสบทต้นก็เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน ยุบหนอ พองหนอ เอาเฉพาะคำว่า ยุบหนอ พองหนอ
อันนี้เป็นอานาปานสติกรรมฐาน แต่ถ้าอารมณ์ใจของท่านจะใช้ในด้านวิปัสสนาญาณอีกก็ได้
สำหรับที่วัดหลวงพ่อวัดปากน้ำสอนว่าจงเพ่งดวงแก้วภายในอก ถ้าเราไม่ศึกษาให้ครบ
เราก็จะนึกว่านี่ยุ่งแล้ว ดวงแก้วในอกนี่ไม่มี สอนแบบนี้น่ากลัวจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่
เพราะว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านโดนมาแล้ว ผมเคยได้ฟัง ความจริง คำว่า ดวงแก้ว
จัดว่าเป็นแสงสว่างก็จัดว่าเป็น อาโลกกสิณ และศัพท์ที่ท่านใช้ก็ใช้ให้ฟังง่ายๆ
เท่านั้น ถ้าบอกว่าอาโลกกสิณชักยุ่ง ก็เลยไปเบ่งกันว่ากสิณเป็นของวิเศษกว่าของอื่นกันไปหมด
ความจริงกรรมฐานทุกกองมีค่าเท่ากัน
เพราะฉะนั้นแล้ว
ปริยัติศึกษาให้แตกฉ่านก็เพื่อเอาไว้เป็นหลักในการปฏิบัติ ไม่ได้มีไว้เพื่อจับผิดผู้อื่น
ไม่ศึกษาธรรมะเพื่อมุ่งจับผิด
ผมเป็นคนไม่ปิดวิชาความรู้ วิชาความรู้อันใดที่มีอยู่ที่องค์สมเด็จพระบรมครูทรงสอนมา
ถ้าผมรู้อะไรบ้างผมก็สอนทุกอย่าง ความจริงคำสอนนี้สอนให้ปฏิบัติตาม
สอนเพื่อการป้องกันการเข้าใจพลาดของท่านพุทธบริษัท และพระโยคาวจรทั้งหลาย
เพราะว่า ถ้าหากว่าท่านไม่ศึกษาให้ครบถ้วน ดีไม่ดีจะไปทำลายความดีของบุคคลอื่นเข้า
และบางท่านศึกษามาอย่างใดอย่างหนึ่งคือ เวลาคนศึกษาโดยเฉพาะไม่ครบถ้วน
ถ้าหากว่าเขาปฏิบัติและบอกว่าการปฏิบัติไม่เหมือนของเรา เราก็จะหาว่าของเขาผิด
บางทีก็ไปยกว่าของฉันดีกว่า ของเธอสู้ฉันไม่ได้ อะไรอย่างนี้เป็นต้น
มันเป็นการทำลายความดีของตน และการปฏิบัติพระกรรมฐานจะปฏิบัติอย่างไรก็ตาม
มันต้องถูกทุกอย่าง แต่ว่าจะถูกถึงระดับไหนเท่านั้น อารมณ์ใจของบุคคลผู้นั้นจะสูงหรือว่าจะต่ำ
อย่างที่หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญท่านให้ภาวนาว่าสัมมาอรหัง
บางคนบอกของฉันนี่พุทโธดีกว่า สัมมาอรหังสู้ฉันไม่ได้ ทางพวกนั้นเขาอาจจะบอกว่าสัมมาอรหัง
ของฉันดีกว่าพุทโธ ของเธอสู้ฉันไม่ได้ บางท่านก็บอกว่า พุทโธก็ดี สัมมาอรหังก็ดี
ไม่ทันสมัย สู้ยุบหนอพองหนอ ไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเป็นผู้รับฟัง
ท่านจะมีความรู้สึกอย่างไร ถ้าเราไม่ศึกษากันให้ครบ เราก็คงจะคิดว่าไม่ใครก็ใครต้องผิดฝ่ายหนึ่ง
ถ้าเราศึกษากันให้ครบจริงๆ ก็จะเห็นว่าการใช้ทั้งสามแบบหรือแบบอื่นก็ไม่มีใครผิด
ทั้งนี้เพราะว่า พุทโธ เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน สัมมาอรหัง
ดูในอิติปิโสบทต้นก็เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน ยุบหนอ พองหนอ เอาเฉพาะคำว่า ยุบหนอ พองหนอ
อันนี้เป็นอานาปานสติกรรมฐาน แต่ถ้าอารมณ์ใจของท่านจะใช้ในด้านวิปัสสนาญาณอีกก็ได้
สำหรับที่วัดหลวงพ่อวัดปากน้ำสอนว่าจงเพ่งดวงแก้วภายในอก ถ้าเราไม่ศึกษาให้ครบ
เราก็จะนึกว่านี่ยุ่งแล้ว ดวงแก้วในอกนี่ไม่มี สอนแบบนี้น่ากลัวจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่
เพราะว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านโดนมาแล้ว ผมเคยได้ฟัง ความจริง คำว่า ดวงแก้ว
จัดว่าเป็นแสงสว่างก็จัดว่าเป็น อาโลกกสิณ และศัพท์ที่ท่านใช้ก็ใช้ให้ฟังง่ายๆ
เท่านั้น ถ้าบอกว่าอาโลกกสิณชักยุ่ง ก็เลยไปเบ่งกันว่ากสิณเป็นของวิเศษกว่าของอื่นกันไปหมด
ความจริงกรรมฐานทุกกองมีค่าเท่ากัน
เพราะฉะนั้นแล้ว
ปริยัติศึกษาให้แตกฉ่านก็เพื่อเอาไว้เป็นหลักในการปฏิบัติ ไม่ได้มีไว้เพื่อจับผิดผู้อื่น