ธารทิพย์
โดย อัศวรักษ์
ธารทิพย์ บทที่ 58
http://ppantip.com/topic/33759558
พยับฝนก่อตัวขึ้นแล้วบนท้องฟ้าเบื้องหน้า ปกคลุมขุนเขาและที่ราบบนหน้าผาให้มืดมิดทะมึนดำ เสียงฮึ่มฮั่มดังแว่วมาไกลๆดุจดังเสียงขู่คำรามด้วยความเกรี้ยวโกรธ อสนีบาตฟาดเปรี้ยงปร้างอยู่ไปมาทายท้าให้สามมนุษย์เดินเข้าไป ผู้ครองพื้นที่นั้นคือวิญญาณผู้ยังติดกับอยู่ในความเคียดแค้นชิงชัง กาวะวิกะ
หากแต่ว่า ความเกรี้ยวโกรธที่สำแดงออกมานั้นไม่อาจข่มขวัญหรือห้ามปรามได้
สามบุรุษนั้นยังก้าวเท้าเข้าไปหาอย่างมั่นคง ไม่มีความพรั่นพรึงใดๆ ด้วยหัวใจของพวกเขาละวางสิ้นแล้วจากความกลัวความกล้า ไม่คิดต่อตีทำร้าย ไม่คิดเดินหนี ยังมุ่งมั่นหอบหิ้วศรัทธาและชีวิตมายอมพลีเพื่อขอขมาอโหสิกรรม เดินเข้าไปหาเพียงเพื่อจะชดใช้ให้ทุกสิ่ง
“เปรี้ยง..เปรี้ยง” เสียงฟ้าผ่าแผดกึกก้องกัมปนาทขึ้น
สายฟ้าสองสายฟาดลงบนยอดไม้ตรงหน้าไม่ห่างจากทั้งสามคนนัก ดังสนั่นจนหูดับไปชั่วขณะ พลานุภาพของประจุไฟฟ้ามหาศาลไม่แตกต่างจากสายฟ้าในมิติของโลกมนุษย์ ยอดของต้นไม้ผู้ต้องรับเคราะห์ไปด้วยนั้นเหมือนกับถูกระเบิด มันกระจัดกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อยปลิวว่อนไปรอบทิศก่อนจะตกลงบนพื้นดิน
สามบุรุษซึ่งยกมือขึ้นปิดสองข้างหูไม่ทันเวลานี้อยู่ในสภาวะหูดับ การสัมผัสทางเสียงรอบตัวยุติลงทันที มีเพียงเสียงหงิ่งๆดังลั่นอื้ออึงไปจนปวดแก้วหู ลุงหลานทั้งสามคนปล่อยมือที่ปิดหูไว้มองหน้ากันแล้วหันไปมองนิ่งทางด้านหน้าผา
“น้องข้ากาวะวิกะ” พีตั้งจิตบอกกล่าวไป
“จะทุกข์เข็ญเจ็บปวดเพียงใด พี่ก็จะเดินไปหาเจ้า”
ท่านลุงไกรศักดิ์ที่ยืนอยู่ข้างๆตบไหล่เขาเบาๆแล้วยิ้มให้ ท่าทีเหมือนเขาได้ยินคำบอกกล่าวนั้นด้วย
พีก้าวเท้าออกเดินต่อไปโดยไม่ใส่ใจกับอาการหูดับและเจ็บปวดภายใน โจกับท่านลุงก็เช่นกัน ทั้งสองออกเดินตามไปทันทีโดยไม่มีความคิดเห็นเป็นอื่น ความพยายามต่อต้านจากวิญญาณเคียดแค้นสำแดงออกมาอีกเป็นพายุฝนที่โหมกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา เม็ดน้ำฝนขนาดใหญ่และลมที่กระโชกรุนแรงกระแทกกับร่างมนุษย์ทั้งสามคนจนซวนเซมองแทบไม่เห็นสิ่งใดที่อยู่รอบตัว เมื่อรวมอาการหูดับเข้าด้วยแล้วพวกเขาแทบจะเหมือนคนพิการ
สองสามชั่วโมงผ่านไปในเวลาของมนุษย์ พวกเขายังคงลากขาหนักอึ้งก้าวต่อไปข้างหน้า ความอ่อนล้าหมดเรี่ยวแรงในร่างกายไม่ทำให้วิญญาณแค้นลดโทสะลงได้เลย ยิ่งเข้าใกล้หน้าผาอันเป็นจุดหมายเท่าใด พายุฝนก็ยิ่งโหมความรุนแรงต้านทานมากขึ้นเป็นเท่าทวี สายฟ้าก็ยังผ่าดังสนั่นรอบๆอยู่อย่างนั้น จนกระทั่ง สามชีวิตต้องหยุดทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นท่ามกลางพายุฝนเพื่อพักเรี่ยวแรง
“คุณลุงเป็นยังไงบ้าง” พีเข้ามาจับเข่าลุงไกรด้วยความเป็นห่วงตะโกนถามแข่งกับเสียงพายุ
ลุงไกรศักดิ์พยักหน้าให้เพื่อตอบรับขณะหอบตัวโยนอยู่
อาการหูดับของทั้งสามคนเริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว แต่เสียงพายุฝนและฟ้าร้องฟ้าผ่ารอบตัวยังคงกระหน่ำซ้ำเติมอยู่ตลอดเวลา ทำให้การพูดคุยสื่อสารกันเป็นไปด้วยความยากลำบาก เม็ดน้ำฝนที่ปะทะใบหน้าก็มากมายเสียจนเหมือนมีใครจงใจฉีดน้ำใส่ ที่สุดแล้วท่านลุงไกรศักดิ์จึงนั่งราบชันเข่าแล้วดึงตัวหลานทั้งสองมาโอบไว้ด้านข้าง นั่งชันเข่าซบหน้าเบียดกันอยู่ตรงนั้น
“พายุไม่หยุดแน่ครับคุณลุง” พีตะโกนขณะป้องหน้าซบกับสองเข่าอยู่
“เธอไม่ยอมหยุดหรอก” ลุงไกรตะโกนตอบ
“เธอไม่ยอมให้เราไปแน่ๆครับ” พีตะโกนมาอีก
“ลุงว่าเป็นสัญญาณดีนะ” ไกรศักดิ์บอกหลานสองคน
สองหนุ่มนิ่งคิด แปลกใจกับคำพูดของลุงไกรศักดิ์
“ดียังไงครับ” โจตะโกนถาม
“ดียังไงเหรอ ลองประเมินความคิดดูสิ” ลุงไกรพูดให้ทั้งสองคิด
สิ้นคำพูดของท่านลุงไกรศักดิ์ โจซบหน้าลงที่หว่างเข่าของเขา สองแขนของชายหนุ่มโอบสองเข่าที่ตั้งชันอยู่ร่างกายเขย่าสะท้อนเบาๆบอกสัญญาณว่ากำลังร้องไห้เมื่อเริ่มนึกถึงเธอผู้เป็นปัญญาของครอบครัว
พีลุกขึ้นขยับมานั่งประกบให้เพื่อนรักของเขาอยู่ตรงกลาง ทั้งเขาและลุงไกรศักดิ์จับไหล่ของชายหนุ่มไว้
“ไม่นานลูก ไม่นานคงได้เจอกัน” ลุงไกรปลอบโยนแข่งกับเสียงพายุ
“ผมขอโทษครับ ข้าขอโทษเอ็งด้วยนะไอ้พี” โจเงยหน้าขึ้นพูด
“ข้าควรเข้มแข็งแล้วไปช่วยเอ็งบนหน้าผาโน่น” เขาพูดต่อ
“ขอโทษที่ข้าแสดงความอ่อนแอ” โจพูด
“อย่างเอ็งน่ะเหรออ่อนแอ ไอ้เพื่อนยาก” พีพูดแล้วยิ้มตบไหล่เพื่อน
“แล้วยังไงครับที่คุณลุงว่าเป็นสัญญาณที่ดีน่ะ” พี่ถามลุงไกร
“ลองนึกถึงตัวเราดูนะ” ลุงไกรเริ่มอธิบาย
“ถ้าเราโกรธเกลียดเคียดแค้นใครสักคน เราคงคิดแต่จะทำร้ายฆ่าแกง ใช่มั้ย”
“แต่สภาพการณ์ตอนนี้ดูเหมือนเธอไม่ประสงค์จะฆ่าเรา”
“ดูเหมือนเสี้ยวหนึ่งในวิญญาณของกาวะวิกะ เธอทำได้แค่ขัดขวางไม่ให้เราเดินไปหาเธอ”
“หมายถึงความรักของเธอก็มีพลังอยู่ไม่น้อย” พีถาม
“และขัดขวางพลังความเคียดแค้นไว้ไม่ให้ทำร้ายเรา อย่างนั้นใช่มั้ยครับ”
“ลุงแน่ใจว่าใช่นะ” ท่านลุงไกรศักดิ์ตอบ
“คุณลุงครับ ถ้าอย่างนั้นทำไมเธอส่งภูติปละขังมาล่ะครับ” โจถาม
“มันต่างกัน ในห้วงเวลาของความคิด” ลุงไกรตอบ
ชายหนุ่มทั้งสองนั่งมองหน้าลุงไกรเพื่อตั้งใจฟังท่ามกลางพายุฝน
“เวลาที่นางส่งภูตินั่นมา พยัคฆราชยังไม่รู้ความเรื่องกาวะวิกะคู่บารมี” ท่านลุงพูดอธิบาย
“ความคิดของวิญญาณพยัคฆราชเลยมองนางอย่างศัตรู”
“นางเองก็รู้ว่าพยัคฆราชคิดอย่างไร พลังความเคียดแค้นของนางจึงมีมากกว่าความรัก”
“แต่เวลานี้ต่างกัน เมื่อท่านครูพะลุเวษาบอกกล่าวต่อพยัคฆราชจนจบสิ้นเรื่องราวแล้ว”
“พยัคฆราชก็กระจ่างใจแล้ว และในคำบอกกล่าวของท่านครูนั้นมีพลังบางอย่างแฝงอยู่ด้วย”
“เป็นพลังที่มีอำนาจปลุกเร้าลิขิตชะตาให้คู่บารมีทั้งสองมีอำนาจมากขึ้น”
“พยัคฆราชจึงละทิ้งทุกสิ่งแล้วมองไปหานาง มองเห็นความรักภักดีของนางที่มีอยู่ทุกภพชาติ”
“เวลานี้ท่านพยัคฆราชคงมั่นอยู่แต่ความรักต่อนาง ความสงสารอาทรและพร้อมชดใช้”
“และเสี้ยวรักของกาวะวิกะ นางเองก็รู้ ว่าคนที่นางรักประจักษ์แจ้งแก่ใจแล้ว”
“ทำให้พลังแห่งความรักของนางมีอำนาจมากขึ้น เข้าใจที่ลุงพูดนี่มั้ย” ลุงไกรพูดจบ
“เข้าใจครับ” โจรับคำ
ส่วนพี ชายหนุ่มหันหน้าไปมองหน้าผาข้างหน้านิ่ง ทุกอย่างที่ลุงไกรพูดตรงกับความคิดและสัมผัสที่มีอยู่จริงๆ
“อยากไปต่อกันเลยมั้ยลูก” ลุงไกรพูดแล้วขยับลุกขึ้นยืน
“คุณลุงไหวเหรอครับ พักก่อนดีกว่า” พีพูด
“ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องพักแล้ว” ลุงไกรยิ้มพูดเมื่อทั้งสองลุกขึ้นยืนตาม
“ผมกลัวคุณลุงจะเป็นอะไรไปเพราะเหนื่อยมาก” พีพูด
“คุณลุงกับไอ้โจจะคอยอยู่ที่นี่มั้ยครับ ผมไปคนเดียว”
“คอยบ้าอะไรของเอ็ง” โจพูดกับพี
“เอ็งก็รู้นี่ว่าถนนสายนี้ไม่มีทางกลับ”
“ถูกของโจแล้ว ลูกพี ตายก็จบ ไม่ตายจะทำอะไรต่อ นั่นสิปัญหาใหญ่” ลุงไกรพูด
“เพราะฉะนั้น เลิกห่วงว่าใครจะตายหรือหายไป นี่ก็หายไปสามคนแล้วยังไง”
พีพยักหน้ารับคำ แล้วหกเท้าของสามบุรุษก็เริ่มเดินต่อไปท่ามกลางพายุฝน
ขุนเขาทะมึนและหน้าผายาวอันมีที่ราบใหญ่อยู่ด้านบนตระหง่านง้ำน่าสะพรึงกลัว มันเริ่มใหญ่โตดูเสียดฟ้ามากขึ้นเมื่อระยะห่างเริ่มลดลง สามมนุษย์ยังก้าวเดินไปหาอย่างไม่ยอมสะทกสะท้านแม้พายุฝนจะยังคงเทกระหน่ำขัดขวาง ภูมิประเทศเพิ่มความชันขึ้นมากกว่าเดิม เสริมซ้ำด้วยสายน้ำหลากลงมาจากเทือกเขาและหน้าผาปริมาณมหาศาล หลั่งล้นจนพื้นป่าทุกส่วนมีแต่น้ำไหลอย่างรวดเร็วและรุนแรง
ณ ที่ดอนแห่งหนึ่ง โคนของกลุ่มต้นไม้ใหญ่หลายสิบต้นที่เติบโตเกี่ยวเกาะกันอยู่ สามบุรุษยึดเป็นที่มั่นที่พักเอาไว้ชั่วคราวเพื่อหลบหลีกน้ำป่า พายุฝนที่ยังรุนแรงอยู่เช่นเดิมกักตัวพวกเขาไว้ไม่ให้เคลื่อนที่ได้อีกต่อไป ถึงแม้ว่าโดยหลักการแล้วการอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ท่ามกลางพายุจะมีอันตรายอย่างมาก แต่เมื่อเทียบกับน้ำป่าที่กำลังหลากบนผืนป่าที่มืดสลัวแล้ว นั่นอันตรายกว่าหลายสิบเท่า
“ออกเดินไปตายแน่” โจพูดเมื่อสามคนนั่งอยู่บนรากไม้ใหญ่เฝ้ามองสายน้ำหลาก
“ตายน่ะไม่กลัวหรอก แต่ไม่จบเรื่องข้างบนนั่นน่ะสิ” พีพูดกลับมา
“ต้องคิดแล้วล่ะว่าจะไปต่อยังไง เธอไม่ยอมหยุดแน่” ลุงไกรพูดแล้วมองไปที่หน้าผา
“กรรมฐานจะช่วยได้มั้ยครับ” โจถามลุง
ท่านลุงไกรศักดิ์ส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“เราสองคนหนาวมั้ย” ลุงไกรศักดิ์ถาม
“ทำไมลุงรู้สึกหนาวมากเลย หรือลุงรู้สึกคนเดียว”
“หนาวครับคุณลุง เริ่มหนาวมากขึ้น” พีตอบ
“ครับ ผมก็รู้สึกหนาวมากเหมือนกัน” โจยืนยัน
“ติดกับอีกแล้ว” พีก้มหน้าพูดแล้วยิ้มส่ายหน้า
“ถ้าหากเจ้าประสงค์ให้พี่หนาวตายตรงนี้เพื่อชดใช้ พี่ก็พร้อมนะเจ้า กาวะวิกะ” พีตั้งจิตพูดแล้วมองที่หน้าผา
“เราล่ะ” ลุงไกรถามมองหน้าโจหลานชาย
“ผมก็พร้อมแล้วครับ ถ้าโคนต้นไม้นี่เป็นสุดทางของพวกเรา” โจตอบแล้วมองทั้งลุงทั้งเพื่อนรัก
“ผมไม่เหลือเรี่ยวแรงจะกระดิกตัวแล้วตอนนี้” โจพูดน้ำเสียงอ่อนล้าเต็มที
ชายหนุ่มทรุดกายลงนั่งเอนหลังพิงต้นไม้แหงนเงยคอให้น้ำฝนตกลงบนใบหน้าอย่างหมดอาลัย
“อืม ดี ลุงก็เหมือนกันนะ” ลุงไกรพูด
“ไม่ต้องห่วง ถ้าต้องดับสูญกันตรงนี้ เป็นเกียรติที่ได้ร่วมทางนะ” ลุงไกรยิ้มแล้วส่งมือขวาให้ทั้งสองคนจับ
“ครับ เป็นเกียรติครับคุณลุง” ทั้งสองพูดแล้วจับมือขวากันและกันเขย่าเบาๆ
กาลเวลาในมิติล่วงเลยไปจนดึกสงัด ร่างบุรุษสามร่างเอนหลังพิงไม้ใหญ่ชันเข่าก้มหน้านิ่งอยู่เช่นเดิม สองแขนของพวกเขาโอบรอบเข่าของตัวเองดึงรั้งเข้ามาแนบชิดอกไว้เพื่อเก็บความร้อนในร่างกายต่อสู้ความหนาว นานๆครั้งที่บางคนแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าดำสนิทที่ยังสาดซัดพายุโทสะลงมาอย่างไม่ขาดสาย อากาศรอบกายเวลานี้แปรเปลี่ยนจากหนาวกลายเป็นเย็นยะเยือก ไม่มีกองไฟ ไม่มีเครื่องกันหนาว ไม่มีการร้องขอ ไม่มีอาการกระสับกระส่าย มีเหลือก็แต่เพียงหัวใจแกร่งที่อัดแน่นอยู่ในทรวงอก
โจเงยหน้าขึ้นวางคางไว้บนเข่ามองไปที่ลุงไกรกับพีเพื่อนรัก ในความมืดท่านกลางพายุฝนชายหนุ่มต้องรอให้แสงวาบของฟ้าแลบสว่างขึ้นจึงจะมองเห็นได้ว่าอีกสองคนอยู่ในสภาพอย่างไร ลุงไกรหลับตาสงบนิ่ง พีก็อยู่ในท่าเดียวกัน เขาเองพยายามจะเข้าสู่กรรมฐานเพื่อใช้ปลดเปลื้องความทุกข์ทางกายหยาบอยู่นานแต่ก็ไม่สำเร็จ ชายหนุ่มละสายตากลับมาแหงนคอพิงต้นไม้หลับตาลงปล่อยจิตให้ล่องลอยไปอีกครั้ง สู่วันเวลาที่ผ่านมาและสถานที่อันแสนไกลไม่มีทางกลับ ภาพของพ่อสุรเกียรติ แม่โสภา นัทธิกาหรือเงาะน้องสาว บ้านธำรงสัตย์ และสิ่งสำคัญสุดท้าย เหมียวผู้เป็นดวงใจ ปรากฏขึ้นในดวงจิต ทุกใบหน้านั้นผ่องใสลอยผ่านหน้าเขาไป และในจิตนั้นยังมีใบหน้าของปู่ผา สร้อยแก้วกับพรานโละลอยผ่านไปด้วย
ธารทิพย์ บทที่ 59
ธารทิพย์ บทที่ 58 http://ppantip.com/topic/33759558
พยับฝนก่อตัวขึ้นแล้วบนท้องฟ้าเบื้องหน้า ปกคลุมขุนเขาและที่ราบบนหน้าผาให้มืดมิดทะมึนดำ เสียงฮึ่มฮั่มดังแว่วมาไกลๆดุจดังเสียงขู่คำรามด้วยความเกรี้ยวโกรธ อสนีบาตฟาดเปรี้ยงปร้างอยู่ไปมาทายท้าให้สามมนุษย์เดินเข้าไป ผู้ครองพื้นที่นั้นคือวิญญาณผู้ยังติดกับอยู่ในความเคียดแค้นชิงชัง กาวะวิกะ
หากแต่ว่า ความเกรี้ยวโกรธที่สำแดงออกมานั้นไม่อาจข่มขวัญหรือห้ามปรามได้
สามบุรุษนั้นยังก้าวเท้าเข้าไปหาอย่างมั่นคง ไม่มีความพรั่นพรึงใดๆ ด้วยหัวใจของพวกเขาละวางสิ้นแล้วจากความกลัวความกล้า ไม่คิดต่อตีทำร้าย ไม่คิดเดินหนี ยังมุ่งมั่นหอบหิ้วศรัทธาและชีวิตมายอมพลีเพื่อขอขมาอโหสิกรรม เดินเข้าไปหาเพียงเพื่อจะชดใช้ให้ทุกสิ่ง
“เปรี้ยง..เปรี้ยง” เสียงฟ้าผ่าแผดกึกก้องกัมปนาทขึ้น
สายฟ้าสองสายฟาดลงบนยอดไม้ตรงหน้าไม่ห่างจากทั้งสามคนนัก ดังสนั่นจนหูดับไปชั่วขณะ พลานุภาพของประจุไฟฟ้ามหาศาลไม่แตกต่างจากสายฟ้าในมิติของโลกมนุษย์ ยอดของต้นไม้ผู้ต้องรับเคราะห์ไปด้วยนั้นเหมือนกับถูกระเบิด มันกระจัดกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อยปลิวว่อนไปรอบทิศก่อนจะตกลงบนพื้นดิน
สามบุรุษซึ่งยกมือขึ้นปิดสองข้างหูไม่ทันเวลานี้อยู่ในสภาวะหูดับ การสัมผัสทางเสียงรอบตัวยุติลงทันที มีเพียงเสียงหงิ่งๆดังลั่นอื้ออึงไปจนปวดแก้วหู ลุงหลานทั้งสามคนปล่อยมือที่ปิดหูไว้มองหน้ากันแล้วหันไปมองนิ่งทางด้านหน้าผา
“น้องข้ากาวะวิกะ” พีตั้งจิตบอกกล่าวไป
“จะทุกข์เข็ญเจ็บปวดเพียงใด พี่ก็จะเดินไปหาเจ้า”
ท่านลุงไกรศักดิ์ที่ยืนอยู่ข้างๆตบไหล่เขาเบาๆแล้วยิ้มให้ ท่าทีเหมือนเขาได้ยินคำบอกกล่าวนั้นด้วย
พีก้าวเท้าออกเดินต่อไปโดยไม่ใส่ใจกับอาการหูดับและเจ็บปวดภายใน โจกับท่านลุงก็เช่นกัน ทั้งสองออกเดินตามไปทันทีโดยไม่มีความคิดเห็นเป็นอื่น ความพยายามต่อต้านจากวิญญาณเคียดแค้นสำแดงออกมาอีกเป็นพายุฝนที่โหมกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา เม็ดน้ำฝนขนาดใหญ่และลมที่กระโชกรุนแรงกระแทกกับร่างมนุษย์ทั้งสามคนจนซวนเซมองแทบไม่เห็นสิ่งใดที่อยู่รอบตัว เมื่อรวมอาการหูดับเข้าด้วยแล้วพวกเขาแทบจะเหมือนคนพิการ
สองสามชั่วโมงผ่านไปในเวลาของมนุษย์ พวกเขายังคงลากขาหนักอึ้งก้าวต่อไปข้างหน้า ความอ่อนล้าหมดเรี่ยวแรงในร่างกายไม่ทำให้วิญญาณแค้นลดโทสะลงได้เลย ยิ่งเข้าใกล้หน้าผาอันเป็นจุดหมายเท่าใด พายุฝนก็ยิ่งโหมความรุนแรงต้านทานมากขึ้นเป็นเท่าทวี สายฟ้าก็ยังผ่าดังสนั่นรอบๆอยู่อย่างนั้น จนกระทั่ง สามชีวิตต้องหยุดทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นท่ามกลางพายุฝนเพื่อพักเรี่ยวแรง
“คุณลุงเป็นยังไงบ้าง” พีเข้ามาจับเข่าลุงไกรด้วยความเป็นห่วงตะโกนถามแข่งกับเสียงพายุ
ลุงไกรศักดิ์พยักหน้าให้เพื่อตอบรับขณะหอบตัวโยนอยู่
อาการหูดับของทั้งสามคนเริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว แต่เสียงพายุฝนและฟ้าร้องฟ้าผ่ารอบตัวยังคงกระหน่ำซ้ำเติมอยู่ตลอดเวลา ทำให้การพูดคุยสื่อสารกันเป็นไปด้วยความยากลำบาก เม็ดน้ำฝนที่ปะทะใบหน้าก็มากมายเสียจนเหมือนมีใครจงใจฉีดน้ำใส่ ที่สุดแล้วท่านลุงไกรศักดิ์จึงนั่งราบชันเข่าแล้วดึงตัวหลานทั้งสองมาโอบไว้ด้านข้าง นั่งชันเข่าซบหน้าเบียดกันอยู่ตรงนั้น
“พายุไม่หยุดแน่ครับคุณลุง” พีตะโกนขณะป้องหน้าซบกับสองเข่าอยู่
“เธอไม่ยอมหยุดหรอก” ลุงไกรตะโกนตอบ
“เธอไม่ยอมให้เราไปแน่ๆครับ” พีตะโกนมาอีก
“ลุงว่าเป็นสัญญาณดีนะ” ไกรศักดิ์บอกหลานสองคน
สองหนุ่มนิ่งคิด แปลกใจกับคำพูดของลุงไกรศักดิ์
“ดียังไงครับ” โจตะโกนถาม
“ดียังไงเหรอ ลองประเมินความคิดดูสิ” ลุงไกรพูดให้ทั้งสองคิด
สิ้นคำพูดของท่านลุงไกรศักดิ์ โจซบหน้าลงที่หว่างเข่าของเขา สองแขนของชายหนุ่มโอบสองเข่าที่ตั้งชันอยู่ร่างกายเขย่าสะท้อนเบาๆบอกสัญญาณว่ากำลังร้องไห้เมื่อเริ่มนึกถึงเธอผู้เป็นปัญญาของครอบครัว
พีลุกขึ้นขยับมานั่งประกบให้เพื่อนรักของเขาอยู่ตรงกลาง ทั้งเขาและลุงไกรศักดิ์จับไหล่ของชายหนุ่มไว้
“ไม่นานลูก ไม่นานคงได้เจอกัน” ลุงไกรปลอบโยนแข่งกับเสียงพายุ
“ผมขอโทษครับ ข้าขอโทษเอ็งด้วยนะไอ้พี” โจเงยหน้าขึ้นพูด
“ข้าควรเข้มแข็งแล้วไปช่วยเอ็งบนหน้าผาโน่น” เขาพูดต่อ
“ขอโทษที่ข้าแสดงความอ่อนแอ” โจพูด
“อย่างเอ็งน่ะเหรออ่อนแอ ไอ้เพื่อนยาก” พีพูดแล้วยิ้มตบไหล่เพื่อน
“แล้วยังไงครับที่คุณลุงว่าเป็นสัญญาณที่ดีน่ะ” พี่ถามลุงไกร
“ลองนึกถึงตัวเราดูนะ” ลุงไกรเริ่มอธิบาย
“ถ้าเราโกรธเกลียดเคียดแค้นใครสักคน เราคงคิดแต่จะทำร้ายฆ่าแกง ใช่มั้ย”
“แต่สภาพการณ์ตอนนี้ดูเหมือนเธอไม่ประสงค์จะฆ่าเรา”
“ดูเหมือนเสี้ยวหนึ่งในวิญญาณของกาวะวิกะ เธอทำได้แค่ขัดขวางไม่ให้เราเดินไปหาเธอ”
“หมายถึงความรักของเธอก็มีพลังอยู่ไม่น้อย” พีถาม
“และขัดขวางพลังความเคียดแค้นไว้ไม่ให้ทำร้ายเรา อย่างนั้นใช่มั้ยครับ”
“ลุงแน่ใจว่าใช่นะ” ท่านลุงไกรศักดิ์ตอบ
“คุณลุงครับ ถ้าอย่างนั้นทำไมเธอส่งภูติปละขังมาล่ะครับ” โจถาม
“มันต่างกัน ในห้วงเวลาของความคิด” ลุงไกรตอบ
ชายหนุ่มทั้งสองนั่งมองหน้าลุงไกรเพื่อตั้งใจฟังท่ามกลางพายุฝน
“เวลาที่นางส่งภูตินั่นมา พยัคฆราชยังไม่รู้ความเรื่องกาวะวิกะคู่บารมี” ท่านลุงพูดอธิบาย
“ความคิดของวิญญาณพยัคฆราชเลยมองนางอย่างศัตรู”
“นางเองก็รู้ว่าพยัคฆราชคิดอย่างไร พลังความเคียดแค้นของนางจึงมีมากกว่าความรัก”
“แต่เวลานี้ต่างกัน เมื่อท่านครูพะลุเวษาบอกกล่าวต่อพยัคฆราชจนจบสิ้นเรื่องราวแล้ว”
“พยัคฆราชก็กระจ่างใจแล้ว และในคำบอกกล่าวของท่านครูนั้นมีพลังบางอย่างแฝงอยู่ด้วย”
“เป็นพลังที่มีอำนาจปลุกเร้าลิขิตชะตาให้คู่บารมีทั้งสองมีอำนาจมากขึ้น”
“พยัคฆราชจึงละทิ้งทุกสิ่งแล้วมองไปหานาง มองเห็นความรักภักดีของนางที่มีอยู่ทุกภพชาติ”
“เวลานี้ท่านพยัคฆราชคงมั่นอยู่แต่ความรักต่อนาง ความสงสารอาทรและพร้อมชดใช้”
“และเสี้ยวรักของกาวะวิกะ นางเองก็รู้ ว่าคนที่นางรักประจักษ์แจ้งแก่ใจแล้ว”
“ทำให้พลังแห่งความรักของนางมีอำนาจมากขึ้น เข้าใจที่ลุงพูดนี่มั้ย” ลุงไกรพูดจบ
“เข้าใจครับ” โจรับคำ
ส่วนพี ชายหนุ่มหันหน้าไปมองหน้าผาข้างหน้านิ่ง ทุกอย่างที่ลุงไกรพูดตรงกับความคิดและสัมผัสที่มีอยู่จริงๆ
“อยากไปต่อกันเลยมั้ยลูก” ลุงไกรพูดแล้วขยับลุกขึ้นยืน
“คุณลุงไหวเหรอครับ พักก่อนดีกว่า” พีพูด
“ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องพักแล้ว” ลุงไกรยิ้มพูดเมื่อทั้งสองลุกขึ้นยืนตาม
“ผมกลัวคุณลุงจะเป็นอะไรไปเพราะเหนื่อยมาก” พีพูด
“คุณลุงกับไอ้โจจะคอยอยู่ที่นี่มั้ยครับ ผมไปคนเดียว”
“คอยบ้าอะไรของเอ็ง” โจพูดกับพี
“เอ็งก็รู้นี่ว่าถนนสายนี้ไม่มีทางกลับ”
“ถูกของโจแล้ว ลูกพี ตายก็จบ ไม่ตายจะทำอะไรต่อ นั่นสิปัญหาใหญ่” ลุงไกรพูด
“เพราะฉะนั้น เลิกห่วงว่าใครจะตายหรือหายไป นี่ก็หายไปสามคนแล้วยังไง”
พีพยักหน้ารับคำ แล้วหกเท้าของสามบุรุษก็เริ่มเดินต่อไปท่ามกลางพายุฝน
ขุนเขาทะมึนและหน้าผายาวอันมีที่ราบใหญ่อยู่ด้านบนตระหง่านง้ำน่าสะพรึงกลัว มันเริ่มใหญ่โตดูเสียดฟ้ามากขึ้นเมื่อระยะห่างเริ่มลดลง สามมนุษย์ยังก้าวเดินไปหาอย่างไม่ยอมสะทกสะท้านแม้พายุฝนจะยังคงเทกระหน่ำขัดขวาง ภูมิประเทศเพิ่มความชันขึ้นมากกว่าเดิม เสริมซ้ำด้วยสายน้ำหลากลงมาจากเทือกเขาและหน้าผาปริมาณมหาศาล หลั่งล้นจนพื้นป่าทุกส่วนมีแต่น้ำไหลอย่างรวดเร็วและรุนแรง
ณ ที่ดอนแห่งหนึ่ง โคนของกลุ่มต้นไม้ใหญ่หลายสิบต้นที่เติบโตเกี่ยวเกาะกันอยู่ สามบุรุษยึดเป็นที่มั่นที่พักเอาไว้ชั่วคราวเพื่อหลบหลีกน้ำป่า พายุฝนที่ยังรุนแรงอยู่เช่นเดิมกักตัวพวกเขาไว้ไม่ให้เคลื่อนที่ได้อีกต่อไป ถึงแม้ว่าโดยหลักการแล้วการอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ท่ามกลางพายุจะมีอันตรายอย่างมาก แต่เมื่อเทียบกับน้ำป่าที่กำลังหลากบนผืนป่าที่มืดสลัวแล้ว นั่นอันตรายกว่าหลายสิบเท่า
“ออกเดินไปตายแน่” โจพูดเมื่อสามคนนั่งอยู่บนรากไม้ใหญ่เฝ้ามองสายน้ำหลาก
“ตายน่ะไม่กลัวหรอก แต่ไม่จบเรื่องข้างบนนั่นน่ะสิ” พีพูดกลับมา
“ต้องคิดแล้วล่ะว่าจะไปต่อยังไง เธอไม่ยอมหยุดแน่” ลุงไกรพูดแล้วมองไปที่หน้าผา
“กรรมฐานจะช่วยได้มั้ยครับ” โจถามลุง
ท่านลุงไกรศักดิ์ส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“เราสองคนหนาวมั้ย” ลุงไกรศักดิ์ถาม
“ทำไมลุงรู้สึกหนาวมากเลย หรือลุงรู้สึกคนเดียว”
“หนาวครับคุณลุง เริ่มหนาวมากขึ้น” พีตอบ
“ครับ ผมก็รู้สึกหนาวมากเหมือนกัน” โจยืนยัน
“ติดกับอีกแล้ว” พีก้มหน้าพูดแล้วยิ้มส่ายหน้า
“ถ้าหากเจ้าประสงค์ให้พี่หนาวตายตรงนี้เพื่อชดใช้ พี่ก็พร้อมนะเจ้า กาวะวิกะ” พีตั้งจิตพูดแล้วมองที่หน้าผา
“เราล่ะ” ลุงไกรถามมองหน้าโจหลานชาย
“ผมก็พร้อมแล้วครับ ถ้าโคนต้นไม้นี่เป็นสุดทางของพวกเรา” โจตอบแล้วมองทั้งลุงทั้งเพื่อนรัก
“ผมไม่เหลือเรี่ยวแรงจะกระดิกตัวแล้วตอนนี้” โจพูดน้ำเสียงอ่อนล้าเต็มที
ชายหนุ่มทรุดกายลงนั่งเอนหลังพิงต้นไม้แหงนเงยคอให้น้ำฝนตกลงบนใบหน้าอย่างหมดอาลัย
“อืม ดี ลุงก็เหมือนกันนะ” ลุงไกรพูด
“ไม่ต้องห่วง ถ้าต้องดับสูญกันตรงนี้ เป็นเกียรติที่ได้ร่วมทางนะ” ลุงไกรยิ้มแล้วส่งมือขวาให้ทั้งสองคนจับ
“ครับ เป็นเกียรติครับคุณลุง” ทั้งสองพูดแล้วจับมือขวากันและกันเขย่าเบาๆ
กาลเวลาในมิติล่วงเลยไปจนดึกสงัด ร่างบุรุษสามร่างเอนหลังพิงไม้ใหญ่ชันเข่าก้มหน้านิ่งอยู่เช่นเดิม สองแขนของพวกเขาโอบรอบเข่าของตัวเองดึงรั้งเข้ามาแนบชิดอกไว้เพื่อเก็บความร้อนในร่างกายต่อสู้ความหนาว นานๆครั้งที่บางคนแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าดำสนิทที่ยังสาดซัดพายุโทสะลงมาอย่างไม่ขาดสาย อากาศรอบกายเวลานี้แปรเปลี่ยนจากหนาวกลายเป็นเย็นยะเยือก ไม่มีกองไฟ ไม่มีเครื่องกันหนาว ไม่มีการร้องขอ ไม่มีอาการกระสับกระส่าย มีเหลือก็แต่เพียงหัวใจแกร่งที่อัดแน่นอยู่ในทรวงอก
โจเงยหน้าขึ้นวางคางไว้บนเข่ามองไปที่ลุงไกรกับพีเพื่อนรัก ในความมืดท่านกลางพายุฝนชายหนุ่มต้องรอให้แสงวาบของฟ้าแลบสว่างขึ้นจึงจะมองเห็นได้ว่าอีกสองคนอยู่ในสภาพอย่างไร ลุงไกรหลับตาสงบนิ่ง พีก็อยู่ในท่าเดียวกัน เขาเองพยายามจะเข้าสู่กรรมฐานเพื่อใช้ปลดเปลื้องความทุกข์ทางกายหยาบอยู่นานแต่ก็ไม่สำเร็จ ชายหนุ่มละสายตากลับมาแหงนคอพิงต้นไม้หลับตาลงปล่อยจิตให้ล่องลอยไปอีกครั้ง สู่วันเวลาที่ผ่านมาและสถานที่อันแสนไกลไม่มีทางกลับ ภาพของพ่อสุรเกียรติ แม่โสภา นัทธิกาหรือเงาะน้องสาว บ้านธำรงสัตย์ และสิ่งสำคัญสุดท้าย เหมียวผู้เป็นดวงใจ ปรากฏขึ้นในดวงจิต ทุกใบหน้านั้นผ่องใสลอยผ่านหน้าเขาไป และในจิตนั้นยังมีใบหน้าของปู่ผา สร้อยแก้วกับพรานโละลอยผ่านไปด้วย