ธารทิพย์ บทที่ 60

กระทู้สนทนา
ธารทิพย์

โดย อัศวรักษ์


ธารทิพย์ บทที่ 59 http://ppantip.com/topic/33776677

            บัดนี้ เหลืออยู่เพียงสองพยัคฆ์แห่งอินทปัตถ์เท่านั้นบนเส้นทางแห่งบุพกรรม แม้พายุฝนจะยังคงกระหน่ำปกคลุมอยู่อย่างโกรธเกรี้ยว แต่แสงสว่างของรุ่งอรุณก็ยังพอจะช่วยให้รอบป่าและโคนของกลุ่มต้นไม้ใหญ่ที่นั่งพักอยู่เรืองขึ้นให้พอมองเห็นได้ พีค่อยๆคลานเข้าไปหากลุ่มกอไม้ล้มลุกที่ขึ้นอยู่ประปรายตามโคนไม้ใหญ่

                “ลุงครับ นี่กินได้มั้ยครับ” พีหันมาถามเมื่อเขาเด็ดยอดของพืชนั้นไว้ในมือ

                “ไหนให้ลุงดูใกล้ๆ” ลุงไกรบอก

                ชายหนุ่มส่งกิ่งใบพืชในมือให้ลุงไกรดู

                “นี่ผักแขยง กินได้” ลุงไกรบอกแล้วส่งคืนให้

                “ลูกคงหิวมากสินะ” ลุงไกรถาม

                ชายหนุ่มส่ายหน้า

                “ให้หิวจนตายผมก็ไม่สนใจหรอกครับ ผมแค่อยากมีแรงพาโจมันไปด้วย” ชายหนุ่มพูด

                พีหันไปหาพุ่มต้นแขยง เขากำพุ่มใบด้วยสองมือดึงออกมายัดเข้าไปเคี้ยวจนเต็มล้นปาก สองมือดึงไปปากก็เคี้ยวไปสลับกับพลิกหลังมือเช็ดน้ำตาจากดวงตาที่แดงก่ำ เขาจ้องมองพุ่มไม้ที่ดึงมันออกมาเคี้ยวอยู่นั้นเหมือนมันคือสิ่งวิเศษ เหมือนมันคือสิ่งเดียวที่เป็นความหวัง ในใจของเขาเวลานี้ไม่มีความความคิดสนใจในกลิ่นรสของมันเลย

                ท่านลุงไกรศักดิ์นั่งมองสีหน้าที่ยังคงความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยมของหลานชาย ภาพที่ชายหนุ่มนั่งจ้องมองพุ่มพืชที่ดึงมันมาเคี้ยวจนล้นปากสลับกับเช็ดน้ำตาตนเองอยู่นั้น ยังความอาดูรมาสู่หัวใจของท่านแม่ทัพจนเขาเองก็ต้องหลั่งน้ำตาออกมาด้วย

                “ให้ลุงกินด้วย” ท่านลุงไกรศักดิ์ขยับตัวเข้ามาหาลูบหลังหลานชาย

                สองพยัคฆ์ผู้เคยยิ่งใหญ่ เกรียงไกรที่สุดบนดินแดนแห่งนี้ ทั้งสองเหลือเพียงร่างกายที่อ่อนล้าหมดสิ้นเรี่ยวแรง ต้องพึ่งพาใบพืชชั้นต่ำ ใบพืชที่วันเวลาในอดีตชาติของอุเทนธิกะและพยัคฆราช ทั้งสองพระองค์ไม่เคยแม้แต่จะอยากรู้จักมันด้วยซ้ำ นี่คือบทเรียนที่ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายควรตระหนัก

                ใบแขยงหายไปเกือบหมดกอ ทั้งสองนั่งแช่น้ำฝนมองร่างของโจที่นอนอยู่ต่างคนต่างนิ่งคิดครู่ใหญ่ รอให้พืชชั้นต่ำที่อยู่ในท้องได้ย่อยจนมีเรี่ยวแรงขึ้นในกล้ามเนื้อแล้ว ท่านลุงไกรศักดิ์จึงหันมาพูดกับหลานชาย

                “ไปกันรึยังลูก เวลาในร่างกายเราก็มีไม่มากนักนะ”

                “ครับลุง” ชายหนุ่มรับคำสั้นๆแล้วขยับเข้าไปหาร่างของเพื่อนรัก

                พีพยายามจะง้างงัดร่างที่แข็งเกร็งในท่านั่งชันเข่านั้นออกเพื่อให้ง่ายต่อการนำไป แต่สภาพแวดล้อมท่ามกลางพายุฝนเย็นเยือกเปียกแฉะและสภาพร่างกายของเขาเองที่อ่อนแอเต็มทีทำให้ไม่สามารถจะทำให้โจนอนเหยียดยาวได้ พีก้มหน้าหอบหายใจอย่างเหนื่อยล้า จนท่านลุงไกรศักดิ์ต้องเข้ามาห้ามเขาไว้

                “พอเถอะลูก พี” ลุงไกรเข้ามาจับข้อมือขืนไว้

                “เราคืนกายหยาบนี้ให้ฝังไว้ในอินทปัตถ์กัน”

                “จะฝังยังไงครับคุณลุง” พีก้มหน้าถาม น้ำตาเขาไหลปรี่ออกมาอีกเมื่อเห็นสภาพเพื่อนรัก

                “น้ำป่ามากมหาศาลขนาดนี้ เราฝังลงน้ำ” ลุงไกรบอก

                “ดินโคลนใบหญ้าใบไม้จะพาไปกลบไว้ให้เอง”

                พีเงยมองหน้าลุงไกรแล้วพยักหน้ารับด้วยสีหน้าที่โศกเศร้า

                กายหยาบของโจถูกนำมายังขอบของสายน้ำป่าที่ยังไหลบ่าลงมาอย่างรุนแรง พีกอดร่างคุดคู้ของเพื่อนรักอีกครั้งด้วยน้ำตาที่พรั่งพรูออกจากหัวใจ สัมพันธภาพของเขาทั้งสองมีมาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น วิ่งเล่นสนิทสนมกันเหมือนเป็นเงาตามตัวตั้งแต่พ่อสุรเกียรติส่งโจมาเรียนที่เชียงใหม่ จนข้ามทะเลดั้นด้นไปอเมริกาแล้วกลับมาตามฝันด้วยกันกับคุณเป็ดน้ำ เกือบทุกที่เกือบทุกเวลาได้เห็นกันเสมอ ชายหนุ่มไม่เคยเตรียมใจมาก่อนว่าจะลืมตาขึ้นมาพบกับการลาจาก เขากลืนก้อนสะอื้นไว้เพื่อจะบอกกล่าวต่อเพื่อนรัก

                “เอ็งเคยถามข้า จำได้มั้ย” เขากอดเพื่อนพูด แล้วก้มลงจ้องมองใบหน้าที่หลับตานิ่ง

                “ว่าฝันที่เราตามหากันอยู่มันคืออะไร” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นพูดทอดสายตาไป

                “เอ็งถามว่าความฝันกับความสำเร็จมันอยู่ด้วยกันรึเปล่า”

                “ข้าไม่ได้ตอบเอ็ง” เขากระชับร่างเย็นชืดของเพื่อนรักให้แนบอกอีก

                “เพราะข้าก็ไม่รู้เหมือนกับเอ็ง”

                “วันนี้เรารู้แล้วนะเพื่อน” ชายหนุ่มยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา

                “คนอื่นเค้าตามความฝันความสำเร็จกันที่ร่ำรวยเงินทอง”

                “แต่เราตามบุพกรรม ตามหาลิขิตชะตาใหม่”

                “เอ็งรู้แล้วว่าความฝันที่เราตามหามันคืออะไร”

                “แต่ความสำเร็จ สุดท้ายอยู่บนหน้าผาโน่น” ชายหนุ่มมองไกลออกไปยังหน้าผา

                “ข้าจะไปตามเอามาเพื่อเรา เราเป็นยิ่งกว่าเพื่อนนะ”

                “เราเป็นเหมือนพี่น้องกัน ยิ่งกว่าพี่น้องในสายเลือดด้วยนะไอ้โจ จำคำข้าไว้”

                “ไว้ใจข้านะ เอ็งกลับไปรอข้า ข้าจะไปเอามาให้เอ็งให้ได้” ชายหนุ่มก้มหน้าร้องไห้อีกครั้ง

                “ข้าสัญญา” เขากล่าวคำหนักแน่นด้วยน้ำตานองหน้าสะอึกสะอื้น

                “โจ ข้าไม่รู้หรอกนะ ว่าเอ็งอยู่ที่ไหน”

                 “แต่อีกไม่นานข้าก็จะตามเอ็งไป”

                “บนเส้นทางนี้ ไม่มีมนุษย์เดินกลับไปได้อยู่แล้ว เอ็งพูดอย่างนั้น”

                “ขอเจ้าป่าเจ้าเขารับเอ็งไว้ด้วยนะ ไอ้เพื่อนยาก ไอ้พี่น้องของข้า”

                เขากอดร่างไร้วิญญาณของเพื่อนรักสะอึกสะอื้น ลุงไกรซึ่งนั่งอยู่ด้วยจับไหล่เขาบีบเบาๆเพื่อปลอบใจ

                “ขอโจให้ลุง” ท่านลุงพูด

                พีขยับตัวเองถอยออกให้ลุงไกรเข้าไปกอดร่างของโจไว้ในอ้อมแขน ท่านลุงจ้องมองใบหน้าที่ปิดเปลือกตานิ่งสนิทของหลานชายเพื่อตั้งจิตบอกกล่าว

                “โจ ลูกเอ๊ย..หลับพักไปก่อนนะ” ลุงไกรจ้องหน้าพูดเหมือนเขายังมีชีวิตอยู่

                “กายหยาบที่ลุงกอดอยู่ตอนนี้ ลุงไม่คิดว่าเป็นศพของลูกหรอกนะ”

                “เพราะเราไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าสถานะตอนนี้เราเป็นอะไรกันแน่ตั้งแต่ผ่านถ้ำทิพย์มา”

                “เป็นวิญญาณ เป็นมนุษย์ หรือเป็นเพียงภาพมายาในดินแดนอินทปัตถ์แห่งนี้”

                “อย่างไรก็ตาม ลุงกับพีก็จะฝากสิ่งที่มองเห็นว่าเป็นลูกโจไว้กับเจ้าป่าเจ้าเขา”

                “ในดินแดนแห่งนี้ไว้ตามธรรมเนียมประเพณีของมนุษย์”

                “อีกไม่กี่ก้าวเดิน บุพกรรมนี้จะจบลง ลุงกับพีจะทำให้ดีที่สุดนะ ขอให้ลูกรับรู้ด้วย”

                ท่านลุงไกรศักดิ์เงยหน้ามามองพีที่นิ่งฟังน้ำตาไหลอยู่

                “ลูกเข้าใจที่ลุงพูดนะลูก พี” ท่านลุงพูด

                ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำแล้วยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเอง

                “มา มาช่วยกัน” ลุงไกรพูด

                ร่างของโจถูกขยับมายังชายน้ำป่าที่กำลังไหลผ่านไปอย่างเชี่ยวกราด ทั้งพีและลุงไกรต้องจับกลุ่มรากไม้ที่เกี่ยวพันกันอยู่ไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ขาทั้งสองข้างก็ต้องถีบยันรากไม้ไว้เพื่อพยุงตัวไม่ให้ลื่นหลุดตามน้ำไป มีเพียงมือคนละข้างที่ช่วยกันค่อยๆขยับร่างของโจลงสู่กระแสของน้ำป่าอย่างทุลักทุเล

                “ไปรอกูนะไอ้โจ” พีพูดพร้อมกับปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมา

                “ไปรอนะลูกโจ” ลุงไกรร้องไห้พูด

                แล้วทั้งสองมือจึงปล่อยกายหยาบของโจให้เป็นอิสระ ร่างนั้นถูกกลืนหายไปกับน้ำป่าในพริบตาต่อหน้าต่อตาของพีและท่านลุง พีตะเกียกตะกายขึ้นมาอย่างเร็ว ชายหนุ่มพุ่งตัวลงที่โคนต้นไม้อย่างไม่กลัวบาดเจ็บเพื่อมานอนเกลือกกลิ้งไปมา สองมือปิดหน้าตะโกนร้องไห้โฮออกมาเหมือนเด็กเล็กๆ

                ลุงไกรเข้ามาพยายามจับตัวชายหนุ่มเอาไว้ ภาพของหลานชายทำให้เขาตื้นตันจนไม่รู้จะพูดอะไรออกมา ได้แต่นั่งจับตัวเอาไว้ มองจนหลานชายค่อยๆสงบลง

                “ร้องเถอะลูก ร้องออกมาให้หมดนะ จะได้กลับมาเข้มแข็ง” ลุงไกรพูดปลอบ

                “ไอ้โจมันไปแล้ว ทุกคนไปหมดแล้ว ลุงอย่าทิ้งผมไปนะ” พีตะโกนพูดสะอึกสะอื้น ความกลัวแล่นขึ้นมาจับหัวใจ

                “ลุงจะอยู่เป็นคนสุดท้าย ลุงสัญญา” ลุงไกรจับแขนหลานบีบเบาๆแล้วพยุงชายหนุ่มขึ้นมากอดเอาไว้

                ร่างกายของพีสั่นเทา ดวงตาเบิกโพลงเหมือนคนเสียสติ เขากอดลุงไกรเอาไว้แน่น

                “ปล่อยความกลัวออกมาให้หมดลูก ลูกกลัวได้ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะกลัว” ลุงไกรพูดปลอบแล้วลูบหัวเขา

                “หมดความกลัวแล้วลูกจะเข้มแข็ง เราจะไปกันต่อ”

                พีตัวสั่นพูดอะไรไม่ออกอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่ แล้วค่อยๆสงบลงช้าๆเมื่อสติสัมปชัญญะเริ่มกลับมาแทนที่ เขาค่อยๆขยับลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบๆ นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นนานหลายอึดใจจึงเงยหน้าขึ้นหันมามองลุงไกรด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป

                “เจ้าพี่อุเทนธิกะ” ร่างของชายหนุ่มเอ่ยคำแล้วพนมมือไหว้แสดงการเคารพ

                ท่านลุงไกรศักดิ์ลุกขึ้นยืนก้มลงมองพยักหน้ารับ ทิ้งสองแขนไว้ข้างกายสองมือกำหลวมๆไว้ด้วยท่วงท่าสง่างาม

                “เจ้าลุกขึ้นเถิดพยัคฆราช” ร่างของท่านลุงไกรศักดิ์พูด

                ร่างของชายหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นยืน ทั้งสองร่างสบตากันแล้วร่างของท่านลุงจึงวางมือลงบนไหล่ของชายหนุ่ม

                “อีกมิช้านาน บุพกรรมอันก่อทุกข์เข็ญต่อกันไว้จะได้สุดสิ้นเสียที” พระอุปราชอุเทนธิกะตรัสบอกพระอนุชา

                “เจ้าข้าฯเจ้าพี่” พยัคฆราชก้มหน้าตรัสตอบ

                “เจ้าจงน้อมนำจิตให้มั่นไว้ อย่าบิดเบือนเฉไฉเป็นอื่น” อุเทนธิกะตรัสย้ำ

                “หม่อนฉันมั่นหมายใจเยี่ยงนั้นแล้วเจ้าพี่ มิเฉไฉเป็นอื่น” พระอนุชาตรัสตอบ

                อุเทนธิกะหันวรกายดำเนินมาใกล้กับชายน้ำป่าที่ไหลหลากอยู่ ทอดเนตรลงมองที่ลำน้ำแล้วเงยพักตร์มองนิ่งไปบนหน้าผาทะมึนเบื้องหน้า พระอนุชาพยัคฆราชตามมายืนอยู่ด้านหลัง

                “น้องข้ากาวะวิกะ เจ้าละลดโทสะโทสาลงเสียเถิด” อุเทนธิกะบอกกล่าวไป

                “บัดนี้ พี่อีกทั้งพยัคฆราชได้คืนมายังอินทปัตถ์ อันยินยอมน้อมชดใช้ต่อเจ้าแล้วด้วยกายใจ”

                “อีกบุญบารมีใดทุกสิ่งที่พี่สร้างไว้ทุกภพชาติ ก็ขอน้อมแผ่แก่เจ้าอีกเหล่าวิญญาณทุกดวง”

                “อันล่วงลับด้วยน้ำมือของข้าและอินทปัตถ์ ขอเจ้ากาวะวิกะ อีกวิญญาณทั้งหลายรับบุญนี้ไว้ด้วยเถิด”

                พยัคฆราชก้าวบาทมาคุกเข่าลงข้างพระเชษฐาอุเทนธิกะที่ประทับยืนอยู่ พนมหัตถ์ไว้ที่พระอุระทอดเนตรไปยังหน้าผาทะมึนเบื้องหน้า

                “กาวะวิกะ นางผู้เป็นดวงใจคู่บารมีแห่งพี่ทุกชาติภพ” พยัคฆราชหลับเนตรตั้งจิตบอกกล่าว

                “พี่ได้ล่วงรู้แจ้งแก่ใจแล้วสิ้น ด้วยท่านครูพะลุเวษา”

                “กรรมชั่วอันพี่ได้ประหารประหัตถ์เจ้าด้วยเบาปัญญา”

                “บัดนี้พี่ก้าวมาขอชดใช้แก่เจ้า ด้วยสองเราในชาติภพใหม่นั้นเกิดวิบาก”

                “บาปอันพี่กระทำได้พรากพลัดให้เจ้าดับสิ้นลง มิอาจยืนยงคงครองคู่กันได้”

                “น้องข้าขอเจ้าจงผ่อนคลายโทสะ เปิดทางให้พี่นำหัวใจและสัจจะไปวางลงในมือเจ้า”

                “อันสองเราจะได้พ้นวิบากกรรมนี้ ได้ครองคู่ร่วมชีวีกันทุกภพชาติด้วยเถิด”

                พยัคฆราชลดหัตถ์ลงเมื่อคำบอกกล่าวต่อวิญญาณอาฆาตบนหน้าผาจบสิ้น

                ทันใด พายุโทสะที่กระหน่ำรุนแรงอยู่ก็เริ่มซาเม็ดฝนลง แล้วโหมกระโชกแรงขึ้นอีกสลับไปมาอยู่อย่างนั้น ลมพายุที่พัดกระหน่ำก็สลับเบาเป็นหนักอย่างระส่ำ ดุจดังพลังอันเป็นที่มาของพายุกำลังเกิดสับสนขึ้นในตัวเอง สภาวะของพายุเป็นอยู่เช่นนั้นนานพักใหญ่ แล้วในที่สุด พลังอาฆาตแค้นที่สถิตลึกมาแสนนานก็มีชัย ส่งผลให้พายุฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง

                “เจ้าเห็นแจ้งแล้ว พยัคฆราช” อุเทนธิกะตรัส

                “ว่าความเคืองแค้นยังมีอำนาจมากยิ่งกว่า หากแต่เจ้าจงยึดมั่นไว้ให้จงดี”

                “ว่าเสน่หาอาวรณ์ต่อเจ้า ยังแฝงอำนาจอยู่เยี่ยงกัน”

                “เจ้าข้าฯเจ้าพี่” พยัคฆราชตรัสรับคำ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่