ธารทิพย์
โดย อัศวรักษ์
ธารทิพย์ บทที่ 62
http://ppantip.com/topic/33830089
“ข้าพระพุทธเจ้า พีรสรรพ์ผู้เป็น กายหยาบ” ชายหนุ่มกล่าวคำติดขัดด้วยร่างที่เริ่มโงนเงน
“อีกทั้ง พยัคฆราชผู้เป็น วิญญาณ”
“ขอกล่าวสัจจะ ต่อพระองค์ ขอมอบความรัก ภักดี ของข้าพระพุทธเจ้า”
“ให้คู่ บารมี กาวะวิกะ อีกทั้งชาติ ภพของนัทธิกา นางเดียว ตลอดไปทุก ชาติภพ”
“หม่อมฉัน พยัค ฆราช. ขอมอบบาด แผล เจ็บปวดเจียน ตาย” สุรเสียงขาดเป็นห้วงของแม่ทัพหน้าผ่านริมฝีปาก
“นี้ ชดใช้ จันทร์สุดา อีกหัวใจ ของหม่อมฉัน”
“ขอ น้อมนอบ ไว้ ชดใช้ จอมขวัญ กาวะ วิกะ”
“วิบาก กรรมอัน พี่มี ต่อเจ้า ขออโหสิ กรรม นั้น ให้พี่ ด้วยเถิด”
พยัคฆราชในร่างพีชายหนุ่มกำด้ามดาบด้วยหัตถ์ซ้าย หัตถ์ขวากำใบดาบมั่นก้มพักตร์มอง ภาพมายาของพระวรชายากาวะวิกะ กระตุกส่ายไปมาพยายามเคลื่อนกาย
“เจ้า..พี่..โปรด..น้อง..อโหสิกรรม..ให้..เจ้าพี่..ทุก..สิ่งแล้ว” เสียงร่ำไห้อ้อนวอนบอกกล่าวจากปากนาง
“เจ้าพี่” “พี่..พี..อย่า” สองเสียงระคนกันตามมา
ร่างงามที่นั่งพับเพียบบนแท่นตั่งมีอาการบิดดึงตนเองให้สองแขนหลุดออกจากพื้นแท่นตั่ง พยายามอย่างเต็มที่ที่จะขยับตัวเข้าไปหาร่างของพยัคฆราช
วิญญาณของพยัคฆราชและจิตของพีชายหนุ่มหลอมรวมสองชาติภพเข้าด้วยกันแล้ว ความรักภักดีอีกทั้งศรัทธามั่นคงสงบนิ่ง สภาวะที่ไร้สิ้นซึ่งความหวาดกลัวใดๆ เปลือกตาของกายหยาบปิดสนิทลงเพื่อให้ดวงหน้างามของกาวะวิกะและนัทธิกาล่องลอยอยู่ในสำนึก จิตและวิญญาณกล่าวคำสุดท้าย
“ขอพี่ได้อยู่เคียงเจ้าทุกแห่งทุกภพ จงรับสัจจะและหัวใจพี่ไว้ด้วยเถิด” เสียงบอกกล่าวเบาเหมือนกระซิบ
หัตถ์ซ้ายกำด้ามดาบนรรัตน์ยืดออกไปสุดแขน นิ้วหัตถ์ขวาทั้งห้าจับใบดาบนอนใบขนานกับพื้นจ่อจรดปลายไว้ยังใต้ราวนมซ้ายอันเป็นตำแหน่งของหัวใจ
“เจ้า..พี่..” เสียงกรีดร้องแหลมยาวอย่างตระหนกจากริมฝีปากวรชายา
“พี่พี..อย่า..อย่า” เสียงนัทธิกาดังประสานมาด้วย
เวลานี้ดูเหมือนอำนาจฝ่ายต่ำของวรชายากาวะวิกะสูญสลายลงสิ้น ทั้งเสียงพูดและอากัปกิริยาของภาพมายาพระนางไม่มีทีท่าของโทสะจริตหลงเหลืออยู่ รอยแผลรอบศอและโลหิตที่รินไหลก็อันตรธานหายไป คงเป็นด้วยอำนาจคำบอกกล่าวอโหสิกรรมต่อกันที่ได้เปล่งวาจาไปแล้ว แววเนตรของร่างงามตื่นตระหนกพยายามสะบัดร่างของตนเองให้หลุดจากแท่นตั่งที่นั่งอยู่อย่างสุดความสามารถ
“เจ้าพี่อุเทนธิกะ..ช่วยด้วย…” พระนางร้องเสียงหลงขอพระอุปราชให้ช่วยห้าม
พระมหาอุปราชอุเทนธิกะยังคงประทับยืนเงยพักตร์ขึ้นมองเบื้องบนนิ่ง น้ำพระเนตรรินลงพรั่งพรูจากหัวใจ ด้วยไม่สามารถห้ามการกระทำที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ กรรมใครก็กรรมมัน หากแต่ยามนี้ แม้พระทัยของจอมทัพผู้ชาญศึกจะเข้มแข็งเพียงไรก็มิอาจลดสายพระเนตรลงมองปลายคมของใบดาบนรรัตน์ที่จรดอยู่ตรงหัวใจพยัคฆราชนั้นได้ เปลือกพระเนตรปิดลงนิ่งอีกครั้งเพื่อสงบจิตแผ่บุญกุศลบารมีให้พระอนุชา
“เจ้าพี่ ได้โปรด อย่ากระทำเยี่ยงนั้น เจ้าพี่อุเทนธิกะ ช่วยหม่อมฉันด้วย” วรชายากรีดแหลมสุดเสียง
พระนางกาวะวิกะร้องคร่ำครวญอ้อนวอนเมื่อหัตถ์ขวาของพยัคฆราชปล่อยใบดาบเอื้อมไปสุดแขนกำด้ามดาบไว้ทั้งสองหัตถ์ วิญญาณผู้แสนรักและภักดีของกาวะวิกะและซีกส่วนผู้เป็นนัทธิกา รวบรวมพลังทั้งหมดกระชากร่างมายาบนแท่นตั่งหลุดออกจากบุพกรรม พุ่งตัวล้มลุกคลุกคลานเข้าไปหาคู่บุญบารมี แต่อนิจจา
ณ บัดนี้ จิตและวิญญาณของผู้ยอมชดใช้ ผู้ขออยู่เคียงทุกภพ รวบรวมพลังทั้งหมดของกายหยาบไว้ที่สองแขน กระชากด้ามดาบสุดแรงเข้าหาตัว ปลายคมกริบของดาบนรรัตน์พุ่งเข้าเสียบผ่านหัวใจทะลุปลายออกด้านหลังทันที ร่างของชายหนุ่มผู้สถิตอยู่พร้อมกันของสองวิญญาณจากสองภพผวากระตุกสั่นระริก
“เจ้าพี่…” “พี่พี…” สองเสียงกรีดร้องร่ำไห้เหมือนใจจะขาดดังก้อง
ก้อนเนื้ออันเป็นสัญลักษณ์ของการดำรงชีพ ก้อนเนื้ออันเป็นตัวแทนของความคิดและจิตวิญญาณบัดนี้ขาดเป็นสองส่วนอยู่ภายในทรวงอก คมดาบนรรัตน์ทำหน้าที่สุดท้ายอย่างซื่อสัตย์ตามบัญชาของผู้เป็นนายผ่านหัตถ์สู่ด้ามดาบ คมนี้ในอดีตแต่โบราณกาล มันรับคำสั่งรับใช้นายประหารประหัตถ์ไปทั่วทิศ และหน้าที่อันทรงเกียรติครั้งสุดท้ายของมันตามบัญชาคือผ่าหัวใจนายของมันเองเพื่อชดใช้วิบากกรรม
มหาอุปราชอุเทนธิกะก้มพักตร์ลงทอดเนตรมองช้าๆเมื่อทรงรู้ว่าวิบากแห่งบุพกรรมจบสิ้นลงแล้ว ภาพที่มองเห็นเวลานี้คือร่างมายาของกาวะวิกะผู้หลุดออกมาแล้วจากบ่วงกรรมบนแท่นตั่ง กำลังกอดประคองร่างของพยัคฆราชซบหน้ากันแสงสะอึกสะอื้นอยู่
“เจ้าพี่…เจ้าพี่…” วิญญาณรักพร่ำเพรียกหาแผ่วเบาดั่งตนกำลังจะสูญสิ้นใจลงไปด้วย
“น้องขออยู่เคียงเจ้าพี่ทุกภพทุกหนแห่ง” วิญญาณยังคงคร่ำครวญ
อุเทนธิกะก้าวบาทถอยห่างออกมาสามก้าวเมื่อสำเหนียกว่าบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น
ดวงแสงสีเงินยวงค่อยๆเปล่งประกายใสสว่างขึ้นด้านบนเหนือร่างของพยัคฆราชที่กาวะวิกะกอดประคองร่ำไห้อยู่ แสงนั้นขยายออกเป็นวงใหญ่ขึ้น ปรากฏเป็นวงแหวนสีเงินทอสว่างลงมายังคู่บารมีทั้งสอง เส้นแสงมากมายเริ่มถักทอขึ้นรอบๆร่างพยัคฆราชและกาวะวิกะพาดพันเกี่ยวเกาะกันเรืองใสจนปกคลุมมิดทั้งคู่บารมี
มหาอุปราชประทับยืนทอดเนตรมองอย่างสงบ ก้อนแสงเงินยวงที่ครอบคลุมทั้งสองอยู่ชั่วครู่จึงเริ่มคลายตัวออกช้าๆจนหมด ภาพพลิ้วไหวบางเบาที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ของอุเทนธิกะคือสี่ร่างทับซ้อนกัน พยัคฆราชและพีชายหนุ่มจากแดนไกล ดวงหน้าสุกใสตระกองกอดยอดขวัญ พระนางกาวะวิกะผู้เลอโฉมกับนัทธิกาผู้หลับตาพริ้มไว้แนบอก
อุเทนธิกะแย้มพระสรวลน้อยๆที่มุมโอษฐ์ให้เมื่อภาพร่างทั้งสี่หันมาสบพระเนตรกับพระองค์ สายตาทั้งสี่ร่างฉายแววปิติแล้วด้วยเปี่ยมสุข ไม่มีทุกข์โศกใดหลงเหลือ อีกทั้งเป็นแววตาบอกลาและสำนึกในกรุณาธิคุณ
“เป็นสุขเถิดนะเจ้า” โอษฐ์ของพระมหาอุปราชบอกกล่าวแผ่วเบา
“บุญกุศลใดที่เราสร้างมาขอแผ่ให้พวกเจ้าจงรับไว้ด้วยเถิด ขอพวกเจ้าจงครองรักครองสุขจนตราบนิรันดร์”
อุเทนธิกะหลับพระเนตรลงตั้งจิตกล่าวให้พรและแผ่บุญให้
ภาพวิญญาณค่อยๆแตกเป็นเกล็ดสีเงินเงาระยับกระจัดกระจายออก เหมือนกันกับวิญญาณดวงอื่นๆที่เป็นมา เกล็ดเงินยวงล่องลอยขึ้นสู่วงแหวนแสงสีเงินเบื้องบนทีละน้อยจนที่สุดก็หายลับไปทั้งหมด
ท่านแม่ทัพไกรศักดิ์ลืมตาขึ้นด้วยสำนึกรับรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงแม้เวลาในดินแดนลี้ลับนี้จะใกล้ค่ำแล้ว แต่แสงสว่างเรืองรองของพระจันทร์ดวงใหญ่ซึ่งเพิ่งผ่านวันเพ็ญมาเมื่อวันวานก็ช่วยให้มองสิ่งต่างๆรอบตัวได้ ตำหนักไม้แกะสลักสวยงามและบริเวณโดยรอบที่มีสวนไม้ดอกไม้ประดับอันตรธานหายไป คงเหลือไว้เพียงความรกร้างของที่ราบไม่ใหญ่นักบนเนินแห่งนี้ เสียงหริ่งเรไรแมลงป่าขับขานสอดประสานกับเสียงสายลมพัดของธรรมชาติป่าทั่วไป
ร่างของพีหลานชายนอนสงบอยู่กับพื้นตรงหน้าห่างไม่กี่ก้าว สองมือของเขายังกำด้ามดาบที่เสียบใต้ราวนมซ้ายตำแหน่งหัวใจทะลุออกด้านหลังอยู่ โลหิตของกายหยาบไหลหลั่งซึมซับไปกับพื้นดิน ไกรศักดิ์ก้าวเข้าไปนั่งคุกเข่าลงข้างๆวางมือบนไหล่ของร่างที่นอนตะแคงนิ่ง
“ลุงทำตามสัญญาแล้วนะลูก พี” ไกรศักดิ์บอกกล่าวเบาๆ
“ลุงเป็นคนสุดท้ายที่ปลายทางนี้ ที่ที่ไม่มีทางกลับ”
“ลูกคงสงบสุขแล้วในทิพย์วิมาน หรือที่ไหนสักที่หนึ่ง”
“ก็อย่างที่ลุงพยายามบอกลูกนะ กายหยาบของลูกเดินมาเพื่อแก้ไขลิขิต”
“เดินมาเพื่อชดใช้กรรมในอดีตให้สิ้นสุดกันไป”
“บุพกรรมอันเป็นต้นเหตุของวิบากกรรมในชาติภพของเรา”
ไกรศักดิ์เงยหน้าขึ้นมองไปรอบตัวด้วยจิตที่สงบนิ่งไม่หวาดหวั่น
“ตอนนี้ก็เหลือแต่ลุงคนเดียวสินะ ลำพัง” เขาพูดกับตัวเองแล้วก้มมองร่างหลานชายอีกครั้ง
“บุพกรรมชดใช้กันจบสิ้นแล้ว ลุงก็หวังว่ามหาเทพฯท่านจะประทานพร”
“ให้วิบากกรรมในชาติภพของเราและชาติภพต่อไปดีขึ้นเสียที”
“ไม่ต้องทุกข์ทนเจ็บปวดอีก ขอพระองค์ประทานลิขิต”
“ให้ชาติภพต่อไปของทุกวิญญาณหมดทุกข์หมดโศกด้วยเถิด” ไกรศักดิ์ตั้งจิตขอ
“ส่วนร่างของลูก ซึ่งลุงถือเป็นภาพมายานี้”
“ลุงขอวางเจ้าไว้ตรงนี้” ไกรศักดิ์ก้มหน้าลงร่ำไห้อีกครั้งด้วยความเวทนา
“ขอให้ร่างมายาของลูก คงอยู่บนแผ่นดินอินทปัตถ์ด้วยอาการนี้เพื่อเป็นทิพย์พยาน”
“ให้ได้รู้กันถ้วนทั่วว่ากรรมทุกสิ่งอัน ได้ชดใช้หมดสิ้นแล้ว”
“ลุงคงต้องไปแล้วนะ” ไกรศักดิ์ลูบฝ่ามือบนกระหม่อมของร่างที่นอนนิ่งเป็นครั้งสุดท้าย
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วเมื่อไกรศักดิ์ยันกายยืนขึ้น เขาหันมองไปรอบๆด้วยความรู้สึกว่างเปล่า มันว่างเปล่าจริงๆ ไม่สำเหนียกถึงการคงอยู่ของสิ่งใด ไม่มีแม้กระทั่งสัมผัสของพระมหาอุปราชอุเทนธิกะ หมดสิ้นภารกิจบนเส้นทางของครอบครัว
“ไม่มีอะไรต้องทำแล้ว” ไกรศักดิ์พูดกับตัวเอง
“ไม่รู้จะทำยังไงกับตัวเองด้วยซ้ำ” เขาก้มลงส่ายหน้ารำพึงแล้วยิ้มให้กับตัวเองอีกครั้ง
ไกรศักดิ์เริ่มก้าวเท้าหันหลังกลับ ก้าวแรกของการเดินกลับอันเป็นสัญลักษณ์การสิ้นสุดแล้วในภารกิจของครอบครัว สิ้นสุดบุพกรรมร่วมทุกอย่างซึ่งเป็นต้นเหตุของวิบากกรรมที่ครอบครัวต้องประสบ มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับก้าวแรกที่เริ่มเดินทางมา หกชีวิตพร้อมเครื่องยังชีพที่ต้นทาง ย่ำเท้ามาด้วยกันพร้อมความมุ่งมั่นและนำศรัทธาติดตัวมา ถึงเวลานี้ท่านแม่ทัพไกรศักดิ์ไม่มีสิ่งใดอยู่ข้างตัวอีกแล้ว สิ่งสุดท้ายที่เหลือติดตัวคือมีดยาวเดินป่าก็ถูกปลดออกจากเอววางไว้บนพื้นป่าก่อนหันหลังกลับ
ไกรศักดิ์ก้าวช้าๆมาหยุดอยู่หน้าทางลงซึ่งลาดสู่ที่ราบ เขาจับกิ่งไม้ข้างตัวเพื่อช่วยพยุงแล้วเริ่มก้าวลง แม้ดวงจันทร์จะช่วยส่องให้สว่างเรืองอยู่บ้าง แต่ทางลงที่ทรุดตัวพังทลายและเปียกลื่นก็สร้างความลำบากให้กับร่างกายที่อ่อนล้าที่สุดอย่างเหลือแสน ลื่นไถล ล้มลุกคลุกคลาน หลายครั้งที่กลิ้งม้วนด้วยเสียหลัก กระแทกหยุดแล้วคืบคลานเซซุนต่อลงไป จิตยังมั่นคงไม่หวั่นไหวกับความเจ็บปวดอยู่เช่นเดิม
ในที่สุด ร่างที่เปื้อนเปรอะดินโคลนทุกส่วนก็มาหยุดนอนหงายปรือตาหายใจรวยรินอยู่ยังพื้นราบ สิ้นเรี่ยวแรงจะเคลื่อนไหวใดๆได้อีกแล้ว ลมหายใจแผ่วเบาๆ ประสาทสัมผัสรับรู้แต่เพียงภาพพระจันทร์เลือนรางที่ปรือตามองอยู่ หากแต่จิตใต้สำนึกยังไม่ลืมสิ่งที่ตั้งใจจะทำเวลานี้
“ช่วย..ด้วย..ช่วย..ข้าพระ..พุทธะ..เจ้า..ด้วย” จิตร้องขอ ริมฝีปากขมุบขมิบเมื่อปิดเปลือกตาลง
“เจ้าประสงค์สิ่งใด” พระสุรเสียงทุ้มหนักเปล่งคำถาม สัมผัสในดวงจิต
“โปรด..เมต..ตา..ข้าพุทธ..เจ้า..ด้วย..องค์..ยมราช..เจ้า” จิตร้องวิงวอน
“เราจะเมตตาสักครั้ง ตามจิตเจ้าขอ” พระสุรเสียงมหาเทพฯแห่งโลกัณฑ์ตรัสประทาน
จิตและประสาทสัมผัสดับวูบลง ล่องลอยไปในความมืดอย่างไม่รับรู้กาลเวลา พักสงบ ลืมสิ้นทุกสิ่งในความทรงจำ ไม่มีการรับรู้ใดๆรอบตัวของของกายหยาบที่นอนหงายปิดเปลือกตาอยู่
นานหลายชั่วยาม เปลือกตาของไกรศักดิ์ค่อยๆขยับกระพริบเปิดขึ้นช้าๆอีกครั้ง สามัญสำนึกที่หนักชาเริ่มบอกกล่าวให้กายหยาบได้รับรู้ว่าพระเมตตาได้ประทานให้ ลมหายใจยังมีอยู่แม้จะแผ่วเบาเหลือเกิน แขนขาพอมีแรงให้ขยับตัว
ธารทิพย์ บทที่ 63
ธารทิพย์ บทที่ 62 http://ppantip.com/topic/33830089
“ข้าพระพุทธเจ้า พีรสรรพ์ผู้เป็น กายหยาบ” ชายหนุ่มกล่าวคำติดขัดด้วยร่างที่เริ่มโงนเงน
“อีกทั้ง พยัคฆราชผู้เป็น วิญญาณ”
“ขอกล่าวสัจจะ ต่อพระองค์ ขอมอบความรัก ภักดี ของข้าพระพุทธเจ้า”
“ให้คู่ บารมี กาวะวิกะ อีกทั้งชาติ ภพของนัทธิกา นางเดียว ตลอดไปทุก ชาติภพ”
“หม่อมฉัน พยัค ฆราช. ขอมอบบาด แผล เจ็บปวดเจียน ตาย” สุรเสียงขาดเป็นห้วงของแม่ทัพหน้าผ่านริมฝีปาก
“นี้ ชดใช้ จันทร์สุดา อีกหัวใจ ของหม่อมฉัน”
“ขอ น้อมนอบ ไว้ ชดใช้ จอมขวัญ กาวะ วิกะ”
“วิบาก กรรมอัน พี่มี ต่อเจ้า ขออโหสิ กรรม นั้น ให้พี่ ด้วยเถิด”
พยัคฆราชในร่างพีชายหนุ่มกำด้ามดาบด้วยหัตถ์ซ้าย หัตถ์ขวากำใบดาบมั่นก้มพักตร์มอง ภาพมายาของพระวรชายากาวะวิกะ กระตุกส่ายไปมาพยายามเคลื่อนกาย
“เจ้า..พี่..โปรด..น้อง..อโหสิกรรม..ให้..เจ้าพี่..ทุก..สิ่งแล้ว” เสียงร่ำไห้อ้อนวอนบอกกล่าวจากปากนาง
“เจ้าพี่” “พี่..พี..อย่า” สองเสียงระคนกันตามมา
ร่างงามที่นั่งพับเพียบบนแท่นตั่งมีอาการบิดดึงตนเองให้สองแขนหลุดออกจากพื้นแท่นตั่ง พยายามอย่างเต็มที่ที่จะขยับตัวเข้าไปหาร่างของพยัคฆราช
วิญญาณของพยัคฆราชและจิตของพีชายหนุ่มหลอมรวมสองชาติภพเข้าด้วยกันแล้ว ความรักภักดีอีกทั้งศรัทธามั่นคงสงบนิ่ง สภาวะที่ไร้สิ้นซึ่งความหวาดกลัวใดๆ เปลือกตาของกายหยาบปิดสนิทลงเพื่อให้ดวงหน้างามของกาวะวิกะและนัทธิกาล่องลอยอยู่ในสำนึก จิตและวิญญาณกล่าวคำสุดท้าย
“ขอพี่ได้อยู่เคียงเจ้าทุกแห่งทุกภพ จงรับสัจจะและหัวใจพี่ไว้ด้วยเถิด” เสียงบอกกล่าวเบาเหมือนกระซิบ
หัตถ์ซ้ายกำด้ามดาบนรรัตน์ยืดออกไปสุดแขน นิ้วหัตถ์ขวาทั้งห้าจับใบดาบนอนใบขนานกับพื้นจ่อจรดปลายไว้ยังใต้ราวนมซ้ายอันเป็นตำแหน่งของหัวใจ
“เจ้า..พี่..” เสียงกรีดร้องแหลมยาวอย่างตระหนกจากริมฝีปากวรชายา
“พี่พี..อย่า..อย่า” เสียงนัทธิกาดังประสานมาด้วย
เวลานี้ดูเหมือนอำนาจฝ่ายต่ำของวรชายากาวะวิกะสูญสลายลงสิ้น ทั้งเสียงพูดและอากัปกิริยาของภาพมายาพระนางไม่มีทีท่าของโทสะจริตหลงเหลืออยู่ รอยแผลรอบศอและโลหิตที่รินไหลก็อันตรธานหายไป คงเป็นด้วยอำนาจคำบอกกล่าวอโหสิกรรมต่อกันที่ได้เปล่งวาจาไปแล้ว แววเนตรของร่างงามตื่นตระหนกพยายามสะบัดร่างของตนเองให้หลุดจากแท่นตั่งที่นั่งอยู่อย่างสุดความสามารถ
“เจ้าพี่อุเทนธิกะ..ช่วยด้วย…” พระนางร้องเสียงหลงขอพระอุปราชให้ช่วยห้าม
พระมหาอุปราชอุเทนธิกะยังคงประทับยืนเงยพักตร์ขึ้นมองเบื้องบนนิ่ง น้ำพระเนตรรินลงพรั่งพรูจากหัวใจ ด้วยไม่สามารถห้ามการกระทำที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ กรรมใครก็กรรมมัน หากแต่ยามนี้ แม้พระทัยของจอมทัพผู้ชาญศึกจะเข้มแข็งเพียงไรก็มิอาจลดสายพระเนตรลงมองปลายคมของใบดาบนรรัตน์ที่จรดอยู่ตรงหัวใจพยัคฆราชนั้นได้ เปลือกพระเนตรปิดลงนิ่งอีกครั้งเพื่อสงบจิตแผ่บุญกุศลบารมีให้พระอนุชา
“เจ้าพี่ ได้โปรด อย่ากระทำเยี่ยงนั้น เจ้าพี่อุเทนธิกะ ช่วยหม่อมฉันด้วย” วรชายากรีดแหลมสุดเสียง
พระนางกาวะวิกะร้องคร่ำครวญอ้อนวอนเมื่อหัตถ์ขวาของพยัคฆราชปล่อยใบดาบเอื้อมไปสุดแขนกำด้ามดาบไว้ทั้งสองหัตถ์ วิญญาณผู้แสนรักและภักดีของกาวะวิกะและซีกส่วนผู้เป็นนัทธิกา รวบรวมพลังทั้งหมดกระชากร่างมายาบนแท่นตั่งหลุดออกจากบุพกรรม พุ่งตัวล้มลุกคลุกคลานเข้าไปหาคู่บุญบารมี แต่อนิจจา
ณ บัดนี้ จิตและวิญญาณของผู้ยอมชดใช้ ผู้ขออยู่เคียงทุกภพ รวบรวมพลังทั้งหมดของกายหยาบไว้ที่สองแขน กระชากด้ามดาบสุดแรงเข้าหาตัว ปลายคมกริบของดาบนรรัตน์พุ่งเข้าเสียบผ่านหัวใจทะลุปลายออกด้านหลังทันที ร่างของชายหนุ่มผู้สถิตอยู่พร้อมกันของสองวิญญาณจากสองภพผวากระตุกสั่นระริก
“เจ้าพี่…” “พี่พี…” สองเสียงกรีดร้องร่ำไห้เหมือนใจจะขาดดังก้อง
ก้อนเนื้ออันเป็นสัญลักษณ์ของการดำรงชีพ ก้อนเนื้ออันเป็นตัวแทนของความคิดและจิตวิญญาณบัดนี้ขาดเป็นสองส่วนอยู่ภายในทรวงอก คมดาบนรรัตน์ทำหน้าที่สุดท้ายอย่างซื่อสัตย์ตามบัญชาของผู้เป็นนายผ่านหัตถ์สู่ด้ามดาบ คมนี้ในอดีตแต่โบราณกาล มันรับคำสั่งรับใช้นายประหารประหัตถ์ไปทั่วทิศ และหน้าที่อันทรงเกียรติครั้งสุดท้ายของมันตามบัญชาคือผ่าหัวใจนายของมันเองเพื่อชดใช้วิบากกรรม
มหาอุปราชอุเทนธิกะก้มพักตร์ลงทอดเนตรมองช้าๆเมื่อทรงรู้ว่าวิบากแห่งบุพกรรมจบสิ้นลงแล้ว ภาพที่มองเห็นเวลานี้คือร่างมายาของกาวะวิกะผู้หลุดออกมาแล้วจากบ่วงกรรมบนแท่นตั่ง กำลังกอดประคองร่างของพยัคฆราชซบหน้ากันแสงสะอึกสะอื้นอยู่
“เจ้าพี่…เจ้าพี่…” วิญญาณรักพร่ำเพรียกหาแผ่วเบาดั่งตนกำลังจะสูญสิ้นใจลงไปด้วย
“น้องขออยู่เคียงเจ้าพี่ทุกภพทุกหนแห่ง” วิญญาณยังคงคร่ำครวญ
อุเทนธิกะก้าวบาทถอยห่างออกมาสามก้าวเมื่อสำเหนียกว่าบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น
ดวงแสงสีเงินยวงค่อยๆเปล่งประกายใสสว่างขึ้นด้านบนเหนือร่างของพยัคฆราชที่กาวะวิกะกอดประคองร่ำไห้อยู่ แสงนั้นขยายออกเป็นวงใหญ่ขึ้น ปรากฏเป็นวงแหวนสีเงินทอสว่างลงมายังคู่บารมีทั้งสอง เส้นแสงมากมายเริ่มถักทอขึ้นรอบๆร่างพยัคฆราชและกาวะวิกะพาดพันเกี่ยวเกาะกันเรืองใสจนปกคลุมมิดทั้งคู่บารมี
มหาอุปราชประทับยืนทอดเนตรมองอย่างสงบ ก้อนแสงเงินยวงที่ครอบคลุมทั้งสองอยู่ชั่วครู่จึงเริ่มคลายตัวออกช้าๆจนหมด ภาพพลิ้วไหวบางเบาที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ของอุเทนธิกะคือสี่ร่างทับซ้อนกัน พยัคฆราชและพีชายหนุ่มจากแดนไกล ดวงหน้าสุกใสตระกองกอดยอดขวัญ พระนางกาวะวิกะผู้เลอโฉมกับนัทธิกาผู้หลับตาพริ้มไว้แนบอก
อุเทนธิกะแย้มพระสรวลน้อยๆที่มุมโอษฐ์ให้เมื่อภาพร่างทั้งสี่หันมาสบพระเนตรกับพระองค์ สายตาทั้งสี่ร่างฉายแววปิติแล้วด้วยเปี่ยมสุข ไม่มีทุกข์โศกใดหลงเหลือ อีกทั้งเป็นแววตาบอกลาและสำนึกในกรุณาธิคุณ
“เป็นสุขเถิดนะเจ้า” โอษฐ์ของพระมหาอุปราชบอกกล่าวแผ่วเบา
“บุญกุศลใดที่เราสร้างมาขอแผ่ให้พวกเจ้าจงรับไว้ด้วยเถิด ขอพวกเจ้าจงครองรักครองสุขจนตราบนิรันดร์”
อุเทนธิกะหลับพระเนตรลงตั้งจิตกล่าวให้พรและแผ่บุญให้
ภาพวิญญาณค่อยๆแตกเป็นเกล็ดสีเงินเงาระยับกระจัดกระจายออก เหมือนกันกับวิญญาณดวงอื่นๆที่เป็นมา เกล็ดเงินยวงล่องลอยขึ้นสู่วงแหวนแสงสีเงินเบื้องบนทีละน้อยจนที่สุดก็หายลับไปทั้งหมด
ท่านแม่ทัพไกรศักดิ์ลืมตาขึ้นด้วยสำนึกรับรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงแม้เวลาในดินแดนลี้ลับนี้จะใกล้ค่ำแล้ว แต่แสงสว่างเรืองรองของพระจันทร์ดวงใหญ่ซึ่งเพิ่งผ่านวันเพ็ญมาเมื่อวันวานก็ช่วยให้มองสิ่งต่างๆรอบตัวได้ ตำหนักไม้แกะสลักสวยงามและบริเวณโดยรอบที่มีสวนไม้ดอกไม้ประดับอันตรธานหายไป คงเหลือไว้เพียงความรกร้างของที่ราบไม่ใหญ่นักบนเนินแห่งนี้ เสียงหริ่งเรไรแมลงป่าขับขานสอดประสานกับเสียงสายลมพัดของธรรมชาติป่าทั่วไป
ร่างของพีหลานชายนอนสงบอยู่กับพื้นตรงหน้าห่างไม่กี่ก้าว สองมือของเขายังกำด้ามดาบที่เสียบใต้ราวนมซ้ายตำแหน่งหัวใจทะลุออกด้านหลังอยู่ โลหิตของกายหยาบไหลหลั่งซึมซับไปกับพื้นดิน ไกรศักดิ์ก้าวเข้าไปนั่งคุกเข่าลงข้างๆวางมือบนไหล่ของร่างที่นอนตะแคงนิ่ง
“ลุงทำตามสัญญาแล้วนะลูก พี” ไกรศักดิ์บอกกล่าวเบาๆ
“ลุงเป็นคนสุดท้ายที่ปลายทางนี้ ที่ที่ไม่มีทางกลับ”
“ลูกคงสงบสุขแล้วในทิพย์วิมาน หรือที่ไหนสักที่หนึ่ง”
“ก็อย่างที่ลุงพยายามบอกลูกนะ กายหยาบของลูกเดินมาเพื่อแก้ไขลิขิต”
“เดินมาเพื่อชดใช้กรรมในอดีตให้สิ้นสุดกันไป”
“บุพกรรมอันเป็นต้นเหตุของวิบากกรรมในชาติภพของเรา”
ไกรศักดิ์เงยหน้าขึ้นมองไปรอบตัวด้วยจิตที่สงบนิ่งไม่หวาดหวั่น
“ตอนนี้ก็เหลือแต่ลุงคนเดียวสินะ ลำพัง” เขาพูดกับตัวเองแล้วก้มมองร่างหลานชายอีกครั้ง
“บุพกรรมชดใช้กันจบสิ้นแล้ว ลุงก็หวังว่ามหาเทพฯท่านจะประทานพร”
“ให้วิบากกรรมในชาติภพของเราและชาติภพต่อไปดีขึ้นเสียที”
“ไม่ต้องทุกข์ทนเจ็บปวดอีก ขอพระองค์ประทานลิขิต”
“ให้ชาติภพต่อไปของทุกวิญญาณหมดทุกข์หมดโศกด้วยเถิด” ไกรศักดิ์ตั้งจิตขอ
“ส่วนร่างของลูก ซึ่งลุงถือเป็นภาพมายานี้”
“ลุงขอวางเจ้าไว้ตรงนี้” ไกรศักดิ์ก้มหน้าลงร่ำไห้อีกครั้งด้วยความเวทนา
“ขอให้ร่างมายาของลูก คงอยู่บนแผ่นดินอินทปัตถ์ด้วยอาการนี้เพื่อเป็นทิพย์พยาน”
“ให้ได้รู้กันถ้วนทั่วว่ากรรมทุกสิ่งอัน ได้ชดใช้หมดสิ้นแล้ว”
“ลุงคงต้องไปแล้วนะ” ไกรศักดิ์ลูบฝ่ามือบนกระหม่อมของร่างที่นอนนิ่งเป็นครั้งสุดท้าย
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วเมื่อไกรศักดิ์ยันกายยืนขึ้น เขาหันมองไปรอบๆด้วยความรู้สึกว่างเปล่า มันว่างเปล่าจริงๆ ไม่สำเหนียกถึงการคงอยู่ของสิ่งใด ไม่มีแม้กระทั่งสัมผัสของพระมหาอุปราชอุเทนธิกะ หมดสิ้นภารกิจบนเส้นทางของครอบครัว
“ไม่มีอะไรต้องทำแล้ว” ไกรศักดิ์พูดกับตัวเอง
“ไม่รู้จะทำยังไงกับตัวเองด้วยซ้ำ” เขาก้มลงส่ายหน้ารำพึงแล้วยิ้มให้กับตัวเองอีกครั้ง
ไกรศักดิ์เริ่มก้าวเท้าหันหลังกลับ ก้าวแรกของการเดินกลับอันเป็นสัญลักษณ์การสิ้นสุดแล้วในภารกิจของครอบครัว สิ้นสุดบุพกรรมร่วมทุกอย่างซึ่งเป็นต้นเหตุของวิบากกรรมที่ครอบครัวต้องประสบ มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับก้าวแรกที่เริ่มเดินทางมา หกชีวิตพร้อมเครื่องยังชีพที่ต้นทาง ย่ำเท้ามาด้วยกันพร้อมความมุ่งมั่นและนำศรัทธาติดตัวมา ถึงเวลานี้ท่านแม่ทัพไกรศักดิ์ไม่มีสิ่งใดอยู่ข้างตัวอีกแล้ว สิ่งสุดท้ายที่เหลือติดตัวคือมีดยาวเดินป่าก็ถูกปลดออกจากเอววางไว้บนพื้นป่าก่อนหันหลังกลับ
ไกรศักดิ์ก้าวช้าๆมาหยุดอยู่หน้าทางลงซึ่งลาดสู่ที่ราบ เขาจับกิ่งไม้ข้างตัวเพื่อช่วยพยุงแล้วเริ่มก้าวลง แม้ดวงจันทร์จะช่วยส่องให้สว่างเรืองอยู่บ้าง แต่ทางลงที่ทรุดตัวพังทลายและเปียกลื่นก็สร้างความลำบากให้กับร่างกายที่อ่อนล้าที่สุดอย่างเหลือแสน ลื่นไถล ล้มลุกคลุกคลาน หลายครั้งที่กลิ้งม้วนด้วยเสียหลัก กระแทกหยุดแล้วคืบคลานเซซุนต่อลงไป จิตยังมั่นคงไม่หวั่นไหวกับความเจ็บปวดอยู่เช่นเดิม
ในที่สุด ร่างที่เปื้อนเปรอะดินโคลนทุกส่วนก็มาหยุดนอนหงายปรือตาหายใจรวยรินอยู่ยังพื้นราบ สิ้นเรี่ยวแรงจะเคลื่อนไหวใดๆได้อีกแล้ว ลมหายใจแผ่วเบาๆ ประสาทสัมผัสรับรู้แต่เพียงภาพพระจันทร์เลือนรางที่ปรือตามองอยู่ หากแต่จิตใต้สำนึกยังไม่ลืมสิ่งที่ตั้งใจจะทำเวลานี้
“ช่วย..ด้วย..ช่วย..ข้าพระ..พุทธะ..เจ้า..ด้วย” จิตร้องขอ ริมฝีปากขมุบขมิบเมื่อปิดเปลือกตาลง
“เจ้าประสงค์สิ่งใด” พระสุรเสียงทุ้มหนักเปล่งคำถาม สัมผัสในดวงจิต
“โปรด..เมต..ตา..ข้าพุทธ..เจ้า..ด้วย..องค์..ยมราช..เจ้า” จิตร้องวิงวอน
“เราจะเมตตาสักครั้ง ตามจิตเจ้าขอ” พระสุรเสียงมหาเทพฯแห่งโลกัณฑ์ตรัสประทาน
จิตและประสาทสัมผัสดับวูบลง ล่องลอยไปในความมืดอย่างไม่รับรู้กาลเวลา พักสงบ ลืมสิ้นทุกสิ่งในความทรงจำ ไม่มีการรับรู้ใดๆรอบตัวของของกายหยาบที่นอนหงายปิดเปลือกตาอยู่
นานหลายชั่วยาม เปลือกตาของไกรศักดิ์ค่อยๆขยับกระพริบเปิดขึ้นช้าๆอีกครั้ง สามัญสำนึกที่หนักชาเริ่มบอกกล่าวให้กายหยาบได้รับรู้ว่าพระเมตตาได้ประทานให้ ลมหายใจยังมีอยู่แม้จะแผ่วเบาเหลือเกิน แขนขาพอมีแรงให้ขยับตัว