ธารทิพย์ บทที่ 57

กระทู้สนทนา
ธารทิพย์

โดย อัศวรักษ์


ธารทิพย์ บทที่ 56 http://ppantip.com/topic/33723704

            ร่างของท่านลุงไกรศักดิ์เดินเข้ามาหา พยัคฆราชผู้อนุชาเบี่ยงวรกายให้แสดงความเคารพ เหมียวกับสร้อยแก้วเห็นเช่นนั้นจึงนั่งพับเพียบลงกับพื้นป่าพนมมือก้มหน้าไหว้ไปด้วย ส่วนร่างของโจยังนั่งสงบอยู่ในกรรมฐานอยู่ที่เดิม

                อุเทนธิกะเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าฝูงเสือโคร่งใหญ่นับร้อยทอดเนตรมองไป เหล่าพยัคฆ์ทิพย์ทั้งหลายจึงแหงนหงายหน้าส่งเสียงคำรามดังระงมขึ้นเพื่อแสดงการเคารพอยู่ครู่ใหญ่ จนเมื่อเสียงคำรามสงบลง

                “นางภูติน่าเวทนา” สุรเสียงอันเต็มไปด้วยเมตตาเปล่งออกจากโอษฐ์ของอุเทนธิกะ

                “เจ้านั้นติดกับบาปกรรมอันหนักหนาของเจ้าอยู่แสนนานสินะ”

                “จงสดับคำข้านางภูติ ข้าอีกเหล่าวงศาฯของข้านี้ มิได้มีบุพกรรมอันใดค้างติดอยู่ด้วยเจ้า”

                “อีกมิประสงค์ก่อกรรมทำร้ายเจ้าด้วยประการอันใด เจ้าจงรู้รับแล้วสงบโทสะของเจ้าลงเสีย”

                “ข้าประสงค์จะส่งนำเจ้าไปยังภพภูมิของเจ้าอันที่ควรไป หากแจ้งแก่ใจแล้วจงรับคำข้า”

                นางภูติปละขังพยายามขยับแขนน่าเกลียดของมันที่ถูกฝังเขี้ยวกดไว้อยู่ พยัคฆ์ทิพย์จ่าฝูงเอี้ยวตัวไปคำรามดูดังกับสั่งให้ปล่อยแขนนางภูติออกเสียก่อน เมื่อแขนยาวน่าเกลียดของมันเป็นอิสระ มันยืดแขนประกบกันแนบพื้นออกมาข้างหน้า แสดงอาการไหว้เคารพต่ออุเทนธิกะ

                “หากเจ้าประสงค์อันภพภูมิที่ข้าบอกกล่าว เจ้าจงสงบจิตลงรอรับ” อุเทนธิกะตรัส

                อุเทนธิกะหันพักตร์มาหาพระอนุชาและสองพระนางที่หมอบเฝ้าอยู่

                “ขอท่านจงนำน้ำแห่งวะสะธารามายังเราด้วยเถิด” อุเทนธิกะตรัสขอ

                “เจ้าค่ะ” “เพคะ” เหมียวกับสร้อยแก้วพนมมือไหว้รับคำตรัสแล้วรีบลุกขึ้นเดินตรงไปยังริมลำธารทิพย์ ทั้งสองหยิบกระติกน้ำเดินป่าสามใบติดมือมาจุ่มลงเพื่อบรรจุน้ำทิพย์แล้วรีบวิ่งกลับไป

                เหมียวกับสร้อยแก้วกลับมาคุกเข่าลงข้างๆพระอุปราชอุเทนธิกะแล้วชูกระติกน้ำถวาย

                “เราขอให้สองพระนางนำน้ำทิพย์นี้หลั่งลงบนหัวภูตินั้น” อุเทนธิกะตรัสบอก

                “แล้วตั้งจิตให้แน่วแน่ อุทิศบุญให้มันด้วยเถิด”

                “เจ้าค่ะ” “เพคะ” หญิงสาวทั้งสองรับคำตรัส

                เหมียวและสร้อยแก้วก้าวออกจากกำแพงมนต์โดยมิได้หวาดกลัวทั้งนางภูติและฝูงเสือโคร่งแม้แต่น้อย

                ทั้งสองเดินผ่านแขนยาวน่าเกลียดไปหยุดยืนอยู่ข้างหัวใหญ่ของมันคนละด้าน แล้วหลั่งน้ำทิพย์จากกระติกน้ำในมือลงไปบนหัวของมัน ปากก็กล่าวคำอโหสิกรรมและอุทิศบุญกุศลที่ได้เคยทำมาให้ จากนั้นทั้งสองจึงเดินกลับมาคุกเข่าอยู่สองข้างวรกายของอุเทนธิกะ

                “ขอพระนางมอบน้ำทิพย์ให้พยัคฆราช อันอีกที่หนึ่งวางลงบนพื้นดิน” อุเทนธิกะตรัสบอก

                เหมียววางกระติกน้ำในมือไว้ตรงหน้า ส่วนสร้อยแก้วก็ส่งในมือเธอให้กับท่านพยัคฆราชที่ดำเนินมารับไป

                “พยัคฆราช อีกกายทิพย์แห่งมาริช” อุเทนธิกะตรัสมองไปที่พยัคฆราชแล้วมองไปอีกด้านหนึ่ง

                “ขอทั้งสองนำน้ำทิพย์นี้ไปกระทำดุจเดียวกับสองพระนางด้วยเถิด”

                ร่างของพีเดินไปหานางภูติแล้วหลั่งน้ำลงไปที่หัวของมันขณะบอกกล่าวต่อมัน เหมียวคุกเข่าอยู่ข้างวรกายของอุเทนธิกะ ตาพยายามเหลือบมองหากายทิพย์ของโจแต่ก็ไม่เห็นอะไร เมื่อพยัคฆราชดำเนินกลับมาแล้ว อุเทนธิกะจึงตรัสขอกระติกน้ำอีกใบหนึ่งจากเหมียว

                “ขอน้ำทิพย์นั้นแก่เรา พระนางจิระประไพ” อุเทนธิกะตรัส

                เหมียวทูลกระติกน้ำในมือให้อุเทนธิกะรับไป จากนั้นพระอุปราชจึงก้าวพระบาทตรงไปยังนางภูตปละขังที่หมอบกราบอยู่ เมื่อประทับอยู่ด้านข้างหัวของมันแล้ว อุเทนธิกะชูกระติกน้ำสูงขึ้นด้วยหัตถ์ข้างหนึ่งแล้วค่อยๆหลั่งน้ำทิพย์ลง

                “ข้าแต่ทวยเทพฯทุกพระองค์” พระอุปราชเริ่มกล่าวคำ

                “ทรงโปรดเป็นทิพย์พยาน วิญญาณของเหล่าข้าฯทั้งห้า อันอยู่กึ่งของสองภพสองชาติ”

                “ขออุทิศบุญกุศลผลแห่งบารมีอันที่ได้สร้างสมมา แบ่งส่วนนั้นให้นางข้าภูติผีปละขัง”

                “อันจะได้ส่งมันไปยังภพภูมิที่ควรอยู่ อีกให้มันรู้รับการอโหสิกรรมจากเหล่าข้าฯด้วยเถิด”

                “อีกทั้งบุญญาบารมีทั้งมวลแห่งเหล่าข้า ขอแผ่มอบให้เหล่าพยัคฆ์ทิพย์ทั้งหลาย”

                “อันเร้นกายอยู่ยั้งรักษา พงไพรพนาแห่งนี้ถ้วนทั่วทุกตัวตนด้วยเถิด”

                จบคำตรัสแล้วอุเทนธิกะจึงดำเนินกลับมาประทับยืนยังที่เดิมแล้วทอดเนตรไป

                สิ่งประหลาดเริ่มอุบัติขึ้นแล้วตรงหน้า ร่างกายอันน่าชิงชังของนางภูติค่อยๆขยับหดตัวลงที่ละน้อย ฝูงพยัคฆ์ก็พลอยหยุดการเคลื่อนไหวลงไปด้วย แล้วเริ่มจางลงจางลงจนทั้งหมดก็เลือนหายไปจากการมองเห็น ส่วนร่างของนางภูติบัดนี้ได้กลายเป็นหญิงชราผอมโซหมอบกราบอยู่ นางเงยหน้ามองมายังพระอุปราชด้วยดวงตาที่ขุ่นมัวบอดสนิท ริมฝีปากเหี่ยวย่นขยับขมุบขมิบไม่มีเสียงใดรอดออกมา แล้วเลือนหายจากสายตาไปเช่นเดียวกับฝูงเสือ

                “นางภูติได้ไปสู่ภพภูมิอันควรแล้ว วิญญาณนี้ถูกปลดปล่อยแล้ว” อุเทนธิกะตรัส

                “แต่นี้เราอีกทั้งท่านมาริชจะกลับสู่กรรมฐาน คืนร่างให้ท่านแม่ทัพนามไกรศักดิ์ดุจเดิม”

                “เจ้าข้าฯเจ้าพี่” พยัคฆราชในร่างของพีคุกเข่าลงพนมมือไหว้

                “เจ้าค่ะ” “เพคะ” เหมียวและสร้อยแก้วรับคำตรัสแล้วพนมมือไหว้เคารพ

                ร่างของท่านลุงไกรศักดิ์เดินกลับไปนั่งขัดสมาธิหลับตาลงยังที่เดิมที่ลุกขึ้นมา ร่างของพีก็ล้มลงกับพื้นเช่นกัน เหมียวกับสร้อยแก้วรีบเข้าไปพยุงให้พีลุกขึ้นนั่ง

                “พี่พี พี่พี เป็นยังไงบ้าง” เหมียวเรียกเขย่าตัวพีเบาๆ

                พีค่อยๆรู้สึกตัวขึ้นแล้วขยับตัวนั่งใช้สองฝ่ามือลูบหน้าตัวเอง

                “ไม่เป็นไร ผมไม่เป็นอะไรแล้วเหมียว สร้อยแก้ว” พีพูด

                “ท่านพ่อส่งนางภูติไปแล้วท่านพี่” สร้อยแก้วบอก

                พีมองหน้าสองสาวแล้วยิ้มให้อย่างปกติ

                “แปลก คราวนี้พี่รู้ พี่เห็น ได้ยินทุกอย่างด้วย” พีบอก

                “จริงหรือคะพี่พี ดีจังเลย” เหมียวพูดสีหน้าดีใจ

                “ใช่จ้ะ หากท่านพี่ได้รู้ด้วยเยี่ยงนั้นก็ดีจ้ะ” สร้อยแก้วยิ้มดีใจไปด้วย

                “ไปครับ เราสามคนกลับไปประจำตำแหน่งกันอย่างเดิม” พีพูดแล้วลุกขึ้นยื่นสองมือช่วยฉุดสองสาวให้ลุกขึ้นด้วย

                ชายหนุ่มกับสองหญิงสาวกลับมานั่งอยู่ใกล้กับกองไฟอยู่เช่นเดิม เสียงคำรามอย่างฟ้าร้องดังแว่วมาจากที่ราบบนหน้าผาฝั่งตรงข้ามลำธารทิพย์ ทั้งสามหันไปมองพยับเมฆดำและฟ้าที่แลบแปลบปลาบอยู่ไปมาปกคลุมบริเวณนั้นอยู่

                “กาวะวิกะนางคงโกรธ” พีลุกขึ้นพูดเบาๆมองไป สีหน้าและแววตาของชายหนุ่มสงบนิ่ง

                “เหมียว” พีเรียกชื่อ

                “คะพี่พี” หญิงสาวตอบรับลุกขึ้นตามแล้วรอฟังเขา

                “นางคือชีวิตที่เหลือของเงาะใช่มั้ยครับ” พีพูด

                “ใช่ค่ะพี่พี พี่พีเชื่อเถอะ เหมียวก็เชื่ออย่างนั้น” หญิงสาวพูด

                “น้องพี่กาวะวิกะ” พีพูด

                ชายหนุ่มมีน้ำใสรินออกจากดวงตาทั้งสอง เขาเพ่งมองไปที่ที่ราบบนหน้าผาพยายามจะสื่อจิตบอกกล่าว

                “บัดนี้ พี่ได้รู้แจ้งแก่ใจแล้ว ว่าเจ้าและพี่คือคู่บารมีกันทุกชาติภพ”

                “พี่ไม่รู้หรอกนะเจ้า ว่าชาติภพอื่นๆเป็นเช่นไร พี่รู้แต่ว่า ในอินทปัตถ์นครนั้น”

                “พี่เกิดในไอศูรย์ เจ้าเกิดในวิเสคะยา วิบากกรรมนำพาให้พี่ประหัตประหารเจ้า”

                “อันเป็นผลให้เกิดวิบากกรรมต่อมายังชาติภพนี้ของเรา”

                “พี่รับรู้แล้ว ว่าเสี้ยวแห่งวิญญาณที่เจ้าตั้งอธิษฐานจิตไว้”

                “ได้ตามพี่ไปเกิดเป็นนัทธิกา วิบากกรรมยังตามมาพรากเจ้าไปจากพี่อีก”

                “วันเวลาที่พี่เดินเข้าป่ามา พี่ไม่เคยได้ล่วงรู้ว่ามาเพื่อทำการใด”

                “บัดนี้พี่รู้แจ้งแก่ใจแล้ว ว่าพี่ต้องมาเพื่อชดใช้บาปนั้นแก่เจ้า”

                “อีกทั้งหากบุญวาสนาเรายังมีต่อกัน พี่จะได้นำวิญญาณเจ้าไปยังชาติภพของนัทธิกาอีกครั้ง”

                “จะได้ร่วมกันสร้างบุญสร้างวาสนา จะได้มิต้องมีอันพลัดจากกันอีกตลอดไปทุกภพชาติ”

                “พี่ขอสื่อจิตถึงเจ้านะ กาวะวิกะ วันพรุ่งอีกไม่กี่ก้าวเดิน”

                “พี่จะคุกเข่าเผชิญหน้าเจ้า แล้วพี่จะก้มหน้าชดใช้กรรมทุกสิ่งอย่าง”

                “ให้เจ้าหายคลางแคลง พี่ขอให้เจ้ารับรู้ไว้แต่บัดนี้ด้วยเถิด”

                สร้อยแก้วพรานสาวลุกขึ้นเดินมายืนข้างๆ สองหญิงสาวทั้งเหมียวและสร้อยแก้วรู้สึกซาบซึ้งในสิ่งที่เขาตั้งจิตพูด ทั้งสองเกาะแขนพีไว้แล้วซบแก้มบนไหล่ชายหนุ่มเพื่อปลอบใจ

                “ทุกสิ่งที่เราทำกันมาต้องสำเร็จค่ะพี่พี” เหมียวพูด

                “ท่านพี่จ๊ะ สร้อยแก้วเชื่อจ้ะ ว่าพระนางกาวะวิกะได้สดับคำท่านพี่” พรานสาวปลอบใจเขาด้วย

                “ขอบคุณทั้งสองคนนะ” พียิ้มพูดแล้วยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา

                ดึกสงัด ครึ่งเวลาระหว่างเที่ยงคืนกับรุ่งอรุณ เมฆดำทะมึนกับฟ้าแลบฟ้าร้องบนหน้าผาสงบไปนานแล้ว ท่านลุงกับโจยังสงบอยู่ในกรรมฐาน พีกับสองหญิงสาวนั่งเฝ้ามองที่สองร่างอย่างใจจ่อ รอให้ถอยออกมาบอกกล่าว

                โจขยับตัวลุกขึ้น เขาไม่ได้หันกลับมามองครอบครัวสามชีวิตที่นั่งรออยู่ ชายหนุ่มกลับเดินไปหยุดอยู่ที่ริมฝั่งลำธารทิพย์วะวะธาราแล้วยืนมองนิ่งอยู่ที่ผิวน้ำ พี เหมียวและสร้อยแก้วลุกขึ้นยืนมองดูกิริยาของโจอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง แล้วเหมียวก็ก้าวเท้าออกเดินไปหา เธอหยุดยืนอยู่ด้านหลังชายคนรักไม่ห่างนักเพื่อเฝ้าดูเขาอย่างห่วงใย จนชายหนุ่มเริ่มพูดขึ้นโดยไม่ได้หันกลับมามองหญิงสาวที่เขารัก

                “เหมียว” โจเรียกชื่อเธอ

                “ขาพี่ เหมียวอยู่นี่” หญิงสาวตอบรับเบาๆ เธอรู้สึกถึงบางสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจึงเดินไปยืนอยู่ใกล้ๆคนรัก

                “มีอะไรคะคนดี บอกเหมียวซิ” หญิงสาวเกาะแขนเขาจ้องหน้าพูด

                ชายหนุ่มสวมกอดเธอเอาไว้แนบอก หญิงสาวจึงเอียงแก้มซบอกโอบกอดเขาไว้ด้วยกัน เธอสัมผัสได้ถึงหัวใจของชายคนรักที่เต้นถี่และบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในนั้น ปัญญาแห่งครอบครัวและอินทปัตถ์สำเหนียกรู้ได้ทันทีเมื่อเธอนึกถึงคำพูดที่ท่านลุงไกรศักดิ์บอกกล่าวเอาไว้

                “พี่คะ” หญิงสาวพูดเบาๆขณะยังซบแก้มอยู่

                “หมดหน้าที่เหมียวแล้วใช่มั้ย” น้ำตาเริ่มรินลงจากดวงตาสีเขียวคู่งามนั้น

                ชายหนุ่มปล่อยวงแขนที่โอบกอดดวงใจของเขาไว้แล้วทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นดิน กายเริ่มสั่นสะท้อนขึ้นทีละน้อยด้วยอาการสะอื้น ไม่มีคำพูดหรือเสียงใดหลุดรอดออกมาจากริมฝีปากที่ชายหนุ่มกัดปิดแน่นสนิทไว้ เปลือกตาบีบเกร็งจนน้ำตากลายเป็นสายพรั่งพรูลงอาบหน้าแล้วหยดลงบนพื้นดินริมวะสะธาราแห่งนี้เพื่อเป็นทิพย์พยานในความรักของทั้งสอง

                มาริชผู้เป็นองค์แทนแห่งสุริยะก้มตัวลงใช้สองแขนเหยียดยันพื้นเอาไว้ บัดนี้ชายหนุ่มได้แต่ก้มหน้าร้องไห้ออกมาอย่างสุดที่จะกลั้นเอาไว้ได้ นางผู้เป็นดวงใจจึงคุกเข่าลงข้างๆกาย แล้วโน้มแนบวางร่าง เอียงแก้มซบใกล้ต้นคอวางแขนโอบแผ่นหลังของเขาไว้

                “คนดีของเหมียว” หญิงสาวกระซิบเสียงสะอื้น  

                “จำคำเหมียวไว้ให้ดีนะ ถึงวันนี้ เหมียวรู้แล้วว่าเหมียวต้องตามพระสวามีมา”

                “พี่ห่วงเหมียวมาก รักเหมียวมาก คอยแต่จะให้เหมียวกลับบ้าน แต่ก็ไร้ผล”

                “นั่นเป็นเพราะลิขิตที่เราไม่อาจปฏิเสธได้ ถึงเวลานี้เหมียวอยากให้พี่”

                “จงมั่นคงไว้กับศรัทธาในสิ่งที่เป็นทิพย์นั้นให้มากที่สุด อย่าสั่นคลอน”

                “เดินไปทำให้สำเร็จ เพื่อทุกคน เพื่อเหมียว ด้วยมั่นคงในรักภักดี”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่