ธารทิพย์ บทที่ 62

กระทู้สนทนา
ธารทิพย์

โดย อัศวรักษ์


ธารทิพย์ บทที่ 61 http://ppantip.com/topic/33821352

            เสียงพื้นรองเท้าเดินป่ากระทบพื้นหินดังก้องกังวานอยู่ภายในช่องทางลี้ภัยของอินทปัตถ์นคร สองร่างมนุษย์ท่านลุงไกรศักดิ์และพีชายหนุ่มยังคงก้าวเดินไปอย่างแน่วแน่มั่นคงด้วยฐานะของมหาอุปราชอุเทนธิกะกับพระอนุชาพยัคฆราชแม่ทัพหน้า ทางเดินขึ้นถูกขุดเจาะไว้ด้วยลักษณะของบันไดยาวเป็นช่วงๆ สลับเลี้ยวซ้ายบ้างขวาบ้างด้วยเหตุผลของการถ่ายเทน้ำหนักป้องกันไม่ให้ช่องถ้ำถล่มหรือทรุดตัวลง แม้สภาพภายในจะชื้นและค่อนข้างมืด แต่มิได้เป็นอุปสรรค์ในการเดินต่อขึ้นไปของทั้งสององค์ด้วยเพราะคุ้นเคยและรู้จักเส้นทางดีตั้งแต่เมื่อครั้งอดีตชาติ

                เสียงประหลาดแว่วอย่างแผ่วเบาอยู่ในทุกอนูของอากาศรอบตัว เป็นเสียงหอบเสียงครางเสียงร่ำไห้ของอะไรสักอย่างกำลังระทมทุกข์ฟังแล้วชวนให้รู้สึกเวทนา อุเทนธิกะและพยัคฆราชรู้ถึงที่มาของเสียงนั้นดีจึงก้าวขึ้นบันไดต่อไปโดยยังไม่สนใจที่จะหยุดฟังแต่อย่างใด ก้าวแล้วก้าวเล่าบนขั้นบันได วกซ้ายวนขวาขึ้นเรื่อยมาจนในที่สุดแสงสว่างเรืองที่รอดผ่านเข้ามาจากทางออกก็เริ่มปรากฏขึ้น

                สองพยัคฆ์แห่งอินทปัตถ์โผล่พ้นช่องทางหนีภัยออกมาประทับยืนอยู่บนแท่นดินขนาดใหญ่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ลักษณะสัณฐานควรเป็นฐานของสิ่งก่อสร้างในอดีต หลายส่วนยุบตัวบิดเบี้ยวพังทลายไปตามกาลเวลา อุเทนธิกะและพระอนุชาพยัคฆราชประทับยืนหันพักตร์ทอดเนตรมองไปโดยรอบที่ราบบนหน้าผาอันเคยเป็นวังหลวงในอดีต

                “พยัคฆราช เจ้าแลเห็นสิ่งใดเพลานี้” อุเทนธิกะเอ่ยโอษฐ์ด้วยสุรเสียงโทมนัส

                อึดใจหนึ่งพระอนุชาทอดถอนหายใจแล้วจึงตรัสตอบ

                “หม่อมฉันแลเห็นอนิจจังเจ้าข้า” พยัคฆราชตรัสตอบพระเชษฐา

                “เยี่ยงนั้นเหมาะแล้วน้องข้า” อุเทนธิกะตรัส

                “ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป เจ้าจงคงมั่นไว้ในจิตทุกเพลาเถิด”

                “ทั้งยามเจ้ารุ่งเรืองทั้งยามตกสู่อับเฉา ทั้งยามเจ้าสุขทั้งยามทุกข์”

                “มิมีสิ่งใดยืนยงค้ำฟ้าได้ อินทปัตถ์ก็เฉกเช่นกัน”

                พยัคฆราชหันพักตร์มาสบเนตรกับพระเชษฐาอุเทนธิกะด้วยแววเศร้าหมอง

                “เฉกเช่นพระที่นั่งบรรทมของพระบิดาอันเรายืนอยู่เพลานี้” พระอนุชาตรัส

                “มันเคยสง่าสมพร้อมพรั่ง” อุเทนธิกะเหลียวทอดเนตรไปโดยรอบ

                “แล้วเจ้าแลเห็นรึไม่เพลานี้ แม้สัตว์ป่าสักหนึ่งตัวยังมิมีมาอาศัย”

                “ช่องทางลี้หลบหลังแท่นบรรทมพระบิดาเคยงามตา” พยัคฆราชตรัสหันพักตร์ไปมองปากช่องที่เพิ่งจะขึ้นมา

                อุเทนธิกะตบหัตถ์เบาๆบนไหล่ของอนุชาแล้วทอดเนตรมองไปยังเทือกเขาด้านหลังต่อจากที่ราบของเมือง

                “เราไปกันเถิดพยัคฆราช” พระเชษฐาตรัส

                “มีการณ์อันสำคัญรออยู่ เจ้ายินเสียงครวญคร่ำแล้วใช่รึไร”

                “เจ้าข้าเจ้าพี่ หม่อมฉันยินเสียงเพรียกนั้นแล้วเจ้าข้า” พยัคฆราชตรัสตอบ

                พระเชษฐาและอนุชาก้าวบาทลงจากเนินแท่นที่เคยเป็นรากฐานพระที่นั่งบรรทมของอดิรถาธิราชพระบิดา มุ่งหน้าไปทางเทือกเขาด้านหลังของซากเมืองอินทปัตถ์ ผ่านเนินดินน้อยใหญ่ที่เคยเป็นฐานสิ่งปลูกสร้างต่างๆไปจนใกล้ถึงบริเวณตีนเขา ทั้งสององค์หยุดประทับยืนเงยพักตร์ทอดเนตรมองไปบนเนินต่างๆของเทือกเขาเพื่อรำลึกถึงสภาพเมืองในอดีต เนินผาหลายเนินเมื่อครั้งเคยรุ่งเรืองมีตำหนักเจ้านายหลายองค์ปลูกสร้างอยู่ แต่เวลานี้ตำหนักต่างๆเหล่านั้นได้ผุพังสูญหายไปจนหมดสิ้น

                พยัคฆราชทอดเนตรมองไปยังหน้าผาหนึ่ง แม่ทัพหน้ากำลังคิดถึงวันเวลาในอดีตที่เคยสวมชุดดำปีนขึ้นไปยามดึก วันเวลาอันเป็นจุดเริ่มต้นของวิบากกรรมต่างๆมากมายที่ต้องติดตามชดใช้กันแสนนานจนถึงวันนี้

                ห้วงคิดคำนึงหยุดลงเมื่อหัตถ์ของพระเชษฐาวางลงบนไหล่ พยัคฆราชหันกลับมาสบเนตรพี่ชายด้วยน้ำตาริน

                “ใกล้จบสิ้นแล้วพยัคฆราช” อุเทนธิกะตรัสเบาๆ

                “เจ้าจงสงบจิตละเสียซึ่งเศร้าโศก อันจะทำให้ศรัทธาเจ้าสั่นคลอนได้”

                “วิบากกรรมในเพลานั้น เจ้าก็ชดใช้จนสาสมแล้ว”

                “อาญาแผ่นดินอันเจ้าต้อง ข้าก็ได้ปลดตรวนออกสิ้นแล้ว”

                “จึ่งยั้งอยู่เพียงวิญญาณเดียว ผู้เป็นเยี่ยงคู่บารมีแห่งเจ้า”

                “นางรอคอยเจ้าอยู่ยังตำหนักวรชายา”

                “ตำหนักอันนางมิเคยประสงค์จะเหยียบย่างขึ้นไป”

                “พยัคฆราช หากเจ้าแจ้งแก่ใจอันคำพี่แล้ว”

                “เจ้าจงคงมั่นอันศรัทธาในรักภักดีของนางอีกทั้งตัวเจ้า”

                “นำพานางกลับลงมาเสียจากความระทมทุกข์ที่แสนนาน”

                ”จะได้อยู่เคียงคู่กันไปทุกชาติภพ เจ้ามิสำเหนียกรึไรพยัคฆราช”

                “เพลานี้พลังแค้นเคืองของนางเบาบางมิอาจต่อต้านแล้ว” อุเทนธิกะตรัสบอก

                “เจ้าข้าเจ้าพี่” พยัคฆราชแย้มสรวลน้อยๆ สีพระพักตร์มีกำลังใจและสติมั่นคงขึ้น

                “เราไปหานางกันแต่บัดนี้เถอะ” อุเทนธิกะตรัสแล้วเริ่มก้าวบาทออกดำเนินไป

                พระอุปราชและอนุชามาหยุดยืนยังสุดที่ราบต่อไปหาเนินเขาแห่งหนึ่งแหงนพักตร์ทอดเนตรมองขึ้นไป ภาพในอดีตของเนินเตี้ยๆนั้นคือตำหนักวรชายากาวะวิกะปลูกสร้างอยู่ด้านบน ทางขึ้นเป็นลูกบันไดหินเลี้ยวลดหลั่นกันตามความลาดของเนิน ลูกบันไดหินที่เคยจัดวางลดหลั่นเป็นขั้นอย่างมีระเบียบเวลานี้หลายส่วนพังทลายไหลร่วงลงมากองกับพื้นราบด้านล่างด้วยไม้ใหญ่หลายต้นที่เติบโตเบียดดัน

                อุเทนธิกะเหยียบบันไดหินลูกแรกที่เซทรุดอยู่อย่างระมัดระวังแล้วค่อยๆต่อขึ้นไปอีกทีละขั้น หัตถ์ทั้งสองฉุดจับกิ่งไม้ใกล้ๆเพื่อพยุงตัว พยัคราชผู้อนุชาตามหลังมาติดๆอย่างมุ่งมั่น ทั้งสององค์ก้มหน้าก้มตาเหยียบลูกบันไดบ้างปีนป่ายยึดเกาะกิ่งไม้ไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ หลายครังที่ต้องลื่นไถลเสียหลักล้มฟาดเพราะดินที่เปียกลื่น

                “เจ้าพี่ ขอเจ้าพี่ทรงระวังพระองค์เจ้าข้า” พยัคฆราชตรัสบอกพี่ชายด้วยความห่วงใย

                ทั้งสององค์หยุดพักอย่างเหนื่อยอ่อนเมื่อปีนขึ้นมาได้ค่อนทาง กำลังที่กายหยาบย่อยผักแขยงไว้ให้ก็หมดไปกับการเดินมากับกองทัพแก้ว ไหนจะต้องขึ้นบันไดภายในช่องทางลี้หลบภัยกว่าจะโผล่พ้นถึงด้านบน ยามนี้ทั้งสองบีบกำลังสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ผ่านสองแขนสองขาเพื่อขึ้นไปสุดเส้นทาง ณ เนินเบื้องบน

                “มันมิง่ายอย่างเพลาเดินขึ้นเมื่ออดีตเลยนะ” อุเทนธิกะหันพักตร์มาแย้มสรวลตรัส

                “เจ้าเองพึงระวังไว้จงดีด้วย”

                “เจ้าข้าเจ้าพี่” พยัคฆราชตรัสตอบ

                ขาดคำที่ตรัสตอบพระเชษฐา หัตถ์ข้างหนึ่งของพยัคฆราชที่เหนี่ยวยึดพยุงน้ำหนักอยู่กับกิ่งไม้กิ่งหนึ่งก็พลันหักสะบั้น วรกายของพระอนุชาลื่นไถลลงตามความลาดชันมาหยุดคว่ำหน้าติดอยู่กับลูกบันไดหินลูกหนึ่งที่ทรุดตัวเอียงอยู่

                “โอ้ย” เสียงร้องดังออกจากโอษฐ์ของพยัคฆราช

                “เจ้าเป็นเยี่ยงไร” อุเทนธิกะไถลตัวตามลงมา

                “เจ้าพี่” พยัคฆราชตรัสเรียกด้วยสีหน้าเจ็บปวดก้มลงมอง

                เลือดสดไหลทะลักออกจากหน้าขาของแม่ทัพหน้า ไหลอาบบนลูกบันไดหิน

                “เจ้าเป็นเยี่ยงไร” พระเชษฐาตรัสซ้ำแล้วพยุงให้น้องหงายตัวขึ้น

                มุมของลูกบันไดหินหักพังที่ตั้งรออยู่ฉีกกล้ามเนื้อหน้าขาออกเป็นแผลฉกรรจ์ เลือดสดๆไหลทะลักออกมาเป็นลิ่ม สีพระพักตร์ของพยัคฆราชเวลานี้บิดเบี้ยวเหยเกเต็มไปด้วยความเจ็บปวด กัดริมฝีปากสั่นระริกต่อสู้อยู่

                “พยัคฆราช” อุเทนธิกะขมวดคิ้วตรัสเรียกอีกครั้งด้วยสีหน้ากังวล

                “หม่อมฉัน มิเป็นเยี่ยงไรเจ้าข้า” พยัคฆราชกัดฟันตรัสตอบ

                “แผลเจ้ามากถึงเพียงนี้” อุเทนธิกะตรัส

                “หม่อมฉันมิเป็นไรเจ้าพี่ เจ็บเยี่ยงนี้สาสม หม่อมฉันขอชดใช้เจ้าข้า” พยัคฆราชกัดฟันตรัสน้ำตาไหล

                อุเทนธิกะทอดเนตรมองแผลลึกยาวที่หน้าขาของน้องชาย โลหิตที่ไหลทะลักออกมาจากปากแผลเป็นสัญญาณบอกให้จอมทัพผู้คร่ำหวอดในการศึกรู้ดีว่า บาดแผลขนาดนี้หากไม่ได้รับการรักษาทันที พยัคฆราชก็จะมีเวลาเหลืออีกไม่มากนักแล้ว พระอุปราชจ้องมองหน้าของน้องชายแล้วตัดสินใจดึงแขนข้างหนึ่งของน้องชายขึ้นคล้องพระศอฉุดขึ้น

                “ไป” อุเทนธิกะตรัสแล้วดึงวรกายของพยัคฆราชให้ขยับตัวลุกขึ้น

                “เจ้าพี่” พระอนุชากัดฟันทนความเจ็บปวดมองสบเนตรพี่ชาย

                “หม่อมฉันช่างก่อกรรมกับเจ้าพี่ยิ่งนัก”

                “กรรมอันทุกสิ่ง ขอเจ้าพี่อโหสิกรรมนั้นให้หม่อมฉันด้วยเถิด”

                อุเทนธิกะมองน้องด้วยแววเนตรที่เวทนา

                “เจ้าเป็นน้องข้าพยัคฆราช ข้ามิยึดมั่นกรรมอันใดให้ติดวิญญาณข้า”

                “ข้าอโหสิกรรมนั้นให้เจ้าทุกสิ่งแล้ว อันอาญาที่ข้าได้ลงทัณฑ์ต่อเจ้า”

                “ข้าก็ขออโหสิกรรมนั้นต่อเจ้าด้วยเฉกเช่นกัน”

                “เจ้าพี่อุเทนธิกะ” พระอนุชาตรัส

                “อาญานั้นอนึ่งคือบุพกรรม หม่อมฉันได้ทำการอันสมควรต้องทัณฑ์เยี่ยงนั้นแล้ว”

                “หม่อมฉันมิขอยึดติดกรรมนั้นเฉกเช่นกัน หม่อมฉันขอเอ่ยคำอโหสิกรรมให้เจ้าพี่แต่บัดเดี๋ยวนี้เจ้าข้า”

                ทั้งสององค์พี่น้องสบเนตรกันอีกครั้งอย่างปิติและสำนึกสงบในใจแล้วเงยพักตร์มองไปด้านบนพร้อมกัน

                “อีกเพียงมิกว่าห้าช่วงคนก็จะถึง เจ้าจงอดทนไว้” อุเทนธิกะตรัสอย่างมุ่งมั่น

                “เจ้าข้า” พยัคฆราชตรัสรับคำอย่างแน่วแน่ในใจเช่นกัน

                สององค์พี่น้องจอมพยัคฆ์แห่งอินทปัตถ์ หยัดกายพยุงกันขึ้นอีกครั้งป่ายปีนฉุดลากกันขึ้นไปต่อ ลื่นพลัดซัดเซอย่างไรทั้งสองยังเกาะกันแน่นอยู่ อุเทนธิกะสอดแขนไว้ใต้รักแร้พระอนุชารั้งมาชิดตัวไว้ สามแขนกับสามขาช่วยกันถีบยันยึดเหนี่ยวด้วยความทุกข์ยากเจ็บปวด จนในที่สุดจึงผ่านลาดชันสุดท้ายมานอนคว่ำหน้าหอบหายใจสุดแสนเหนื่อยล้าบนที่ราบเล็กๆซึ่งเคยมีตำหนักตั้งอยู่เมื่อครั้งโบราณ

                แม้เบื้องล่างบนผืนป่าติดกับหน้าผาอันเป็นเมืองหลวงโบราณจะยังคลาคล่ำไปด้วยกองทัพแก้วผลึกใส ที่ยังคงประชิดขบวนทัพรอคำสั่งอยู่อย่างเกรียงไกรเข้มแข็ง แต่จอมทัพทั้งสองที่คว่ำหน้าแน่นิ่งอยู่บนเนินราบนั้นแทบไม่เหลือลมหายใจจะยังชีพ โลหิตจากบาดแผลที่ยังหลั่งรินอยู่ตลอดเวลาส่งผลให้ร่างพยัคฆราชเริ่มพร่ามัวลง อุเทนธิกะในร่างของแม่ทัพไกรศักดิ์ผู้ผ่านวัยกลางคนมาแล้วก็อิดโรยแทบสิ้นเรี่ยวแรงเช่นกัน

                ทั้งสองพยายามรวบรวมกำลังกายและสติสัมปชัญญะเงยหน้าขึ้นมองตรงไป

                ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าแค่มือเอื้อมถึงคือบันไดไม้สักที่แกะแต่งสลักเสลาอย่างประณีตสวยงาม สติบอกกล่าวให้สองพี่น้องจอมศึกขยับวรกายลุกขึ้นนั่งนิ่งมองขึ้นไปด้านบนของเรือนไม้สวยงามนั้นด้วยความรู้สึกดีใจสมใจที่คิดหวัง

                “จนที่สุด เราได้นิวัตมาถึงยังสุดทางแล้ว พยัคฆราช” อุเทนธิกะตรัสรำพึงเบาๆ

                พระอุปราชยันวรกายลุกขึ้นประทับยืนวางหัตถ์ไว้กับราวบันไดไม้แกะสลักทอดเนตรมองโดยรอบ พระอนุชาพยัคฆราชเอื้อมหัตถ์จับลูกบันไดไม้เพื่อดึงวรกายลากขาข้างที่บาดเจ็บขึ้นไปนั่งบนบันไดอย่างยากลำบาก

                พระตำหนักวรชายากาวะวิกะปรากฏขึ้นอย่างน่าประหลาด ยังคงความสวยสดงดงามทางสถาปัตยกรรมโบราณของตำหนักไม้สักแกะสลักแทบทุกส่วน ยกเว้นพื้นเรือนและพื้นระเบียงที่อยู่ริมด้านเนินสูงซึ่งเป็นไม้สักหน้ากว้างขัดและลงสีจนเงาเรียบ ม่านหน้าต่างผ้าบางขาวปลิวไหวไปมาช้าๆเมื่อต้องสายลมอ่อน ไม้ใหญ่ไม้พุ่มรอบบริเวณตัดแต่งสวยงามเป็นระเบียบเหมือนที่เคยเป็นเมื่อในอดีต ต่างกันก็แต่บัดนี้มีเพียงความว่างเปล่า ไม่มีเสียงสนทนา ไม่มีข้าทาสนางกำนัลผู้คอยปรนนิบัติรับใช้ให้ได้เห็น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่