ดวงยิหวาแห่งราชันย์ ตอนที่ 6

กระทู้สนทนา
ตอนที่ ๖...

ความอดทนในรัก

“น่าจะเสด็จมาได้แล้วนะฝ่าบาท”

ณ ประตูทางเข้าของพระตำหนักในเขตหวงห้าม เจ้าชายอานามานัสทรงประทับรอพระสหายเมื่อได้ทราบถึงแผนการที่ทรงคิดไว้ พระองค์จึงมารอราชาอัสมันจนกระทั่งทรงเสด็จมา เนื้อตัวของพระองค์เปียกชุ่มด้วยเหงื่อ หากเดินทางมาโดยไม่รีบเร่งจะไม่เหนื่อยล้าเช่นนี้ แต่เนื่องจากกษัตริย์อัสมันทรงเลือกเส้นทางที่เป็นทางลัดซึ่งต้องใช้ความอุสาหะถึงสามารถบุกป่าผ่านมาได้ซึ่งนับว่าไม่ง่ายเลย พระองค์ทรงเอาม้าส่วนตัวมาฝากไว้ที่คอกม้าในพระตำหนัก น่าแปลกที่ม้าตัวอื่นหาได้ส่งเสียงร้องโวยวายที่มีเพื่อนต่างแดนมาอาศัยอยู่แต่อย่างใด พระบาทหนาผ่านวงทหารมาอย่างง่ายดายโดยใช้วิชาเบาที่ร่ำเรียนมา

“ทรงคิดอะไรอยู่หรือฝ่าบาทถึงได้คิดกระทำการอุกอาจเช่นนี้” แม้เจ้าชายอานามานัสจะทรงยอมช่วยพระสหายแต่พระองค์ก็ยังไม่หายข้องใจถึงเหตุผลที่พระสหายทรงทำเช่นนั้น สืบเพราะมันเป็นการกระทำที่อุกอาจและเสี่ยงมากที่แอนนาริตาจะนึกเคืองได้ในภายภาคหน้า

“หม่อมฉันกำลังพิสูจน์รักแท้ให้พระขนิษฐาของพระองค์ได้ประจักษ์ว่าหม่อมฉันรักนางมากเพียงใด”

“ฝ่าบาทกำลังจะบอกหม่อมฉันว่า เพราะความรักที่มีต่อน้องของหม่อมฉันอย่างนั้นหรือที่ทำให้ฝ่าบาทต้องมาที่นี่ในยามวิกาลเช่นนี้” กษัตริย์อัสมันนิ่งแต่มิปฏิเสธ

“ฝ่าบาท เวลานี้มันก็ดึกมากแล้ว หากจะพบปะพูดคุยกันเห็นจะไม่สมควร ถ้าไม่ทรงรีบกลับหม่อมฉันจะให้บ่าวที่ไว้ใจได้หาที่พักแก่ฝ่าบาท ไว้วันรุ่งขึ้นค่อยหาเวลามาพบน้องหญิง” เจ้าชายอานามานัสท้วง

“เจ้าชายคิดว่าหม่อมฉันจะทำสิ่งใดเล่า” ทรงรับผ้าผืนเล็กมาช่วยซับพระพักตร์ก่อน ถึงตอนนี้วรกายจะเปียกชุ่มเพียงใดก็เทียบเท่ากับดวงหทัยที่ร้อนจนจะหลอมละลายไม่ได้ พระองค์ไม่ใช่บุรุษเพศที่จะคึกคะนองมักมากในเรื่องความรักแต่เพียงเพราะความรักที่มีต่อนางในดวงหทัยไม่เคยสั่นคลอนมีแต่จะเพิ่มขึ้นเป็นทวี แม้นตัวพี่ต้องพบเจอกับอุปสรรคยากแสน ต้องดิ้นรนมากแค้น หวังเพียงสักครั้งที่น้องนั้นจะเห็นค่า ให้รักพี่สมหวังดั่งใจหมาย

“เจ้าชายคงได้อ่านมันแล้ว” กษัตริย์อัสมันเริ่มเข้าเรื่อง หาที่หลบซ้อนแก่พระสหายเพื่อป้องกันคนเห็น

“หม่อมฉันได้อ่านมันแล้ว” เจ้าชายอานามานัสกล่าว“ถ้าเช่นนั้นเจ้าชายคงเข้าใจในความหมายของหม่อมฉัน ยามวิกาลเช่นนี้ในเขตพระตำหนักหวงห้ามจะปลอดผู้คน หม่อมฉันจะใช้โอกาสนี้เอ่ยความในใจที่หม่อมฉันมีต่อเจ้าหญิง หากรอจนถึงเช้าหม่อมฉันเกรงว่าหนทางในการสานรักของหม่อมฉันจะไม่ราบรื่น หม่อมฉันอาจไม่มีโอกาสพูดคุยกับพระขนิษฐาของพระองค์เลย พระองค์โปรดไว้ใจในตัวหม่อมฉัน ด้วยเกียรติของกษัตริย์ผู้มีสายเลือดแห่งนักรบขอให้สัจจะวาจามั่นว่าจะไม่ทำการอันใดที่เป็นการหมิ่นพระยศพระเกียรติของเจ้าหญิงแห่งเซนารักษ์ให้ต้องมัวหมองเป็นอันขาด ขอเพียงราตรีนี้ให้หม่อมฉันได้พูดคุยถึงความในของจิตใจหม่อมฉันด้วยเถิด”

“หม่อมฉันเชื่อใจฝ่าบาท จะทรงให้หม่อมฉันช่วยอันใดบ้างโปรดรับสั่งมาเถิด” เพราะต่างก็มองนิสัยใจคอออก เจ้าชายอานามานัสทรงเชื่อใจในตัวพระสหายอัสมันว่าจะไม่ทำให้เกียรติของพระขนิษฐาต้องมัวหมองด้วยพระองค์เป็นถึงพระราชาต่างเมือง ครั้นเสด็จมาทำอย่างนี้ก็อาจเสื่อมเสียถึงเกียรติพระยศของพระองค์ได้เช่นกัน

“ขอบพระทัยเจ้าชายแต่หม่อมฉันไม่ขออะไรมากเพียงแค่เจ้าชายทรงเปิดโอกาสให้หม่อมฉันได้พิสูจน์ความรักที่มีต่อเจ้าหญิงแอนนาริตา แค่พระองค์ไม่ทรงขัดขวาง แค่นี้ก็นับว่าทรงช่วยเหลือหม่อมฉันไว้มากแล้ว ต่อไปก็คงอยู่ที่หทัยดวงน้อยของเจ้าหญิงว่าจะทรงพระทัยอ่อนมากเพียงใด” เจ้าชายอานามานัสทรงปลื้มปิติในวาจาเยี่ยงบุรุษของอัสมัน ทรงเข้าพระทัยถึงหัวจิตหัวใจของพระองค์ดี กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เป็นนักรบที่เข้มแข็ง เรื่องของหัวใจหากตัวไม่ช่วยเองหวังเพิ่งแต่ผู้อื่น เห็นทีความรักคงไม่เจริญโดยง่าย ราชาอัสมันทรงตริตรองไว้ถูกต้องแล้ว

“มายา เจ้าไปอยู่ที่ใดกัน ป่านนี้ถึงไม่ยอมมาดูแลเรา”

เจ้าหญิงแอนนาริตาทรงตรัสเพียงลำพังในขณะที่เสด็จมาทอดพระเนตรท้องฟ้า เวลานี้ท้องนภามองไม่เห็นเป็นสีฟ้า เมฆดำปกคลุมโดยทั่วยิ่งเสียงฟ้าร้องเป็นระยะยิ่งสร้างความเป็นห่วงให้เจ้าหญิงอย่างมากด้วยทุกครั้งจะมีมายาคอยอยู่เคียงข้าง นางจะถวายการดูแลแก่พระองค์ตั้งแต่เข้าทรงน้ำ เปลี่ยนฉลององค์หรือแม้แต่ทรงพาเข้าบรรทมแต่ราตรีนี้ไร้ร่างของบ่าวคู่ใจหรือเพราะคำตำหนิติเตียนเมื่อครู่จะทำให้บ่าวผู้จงรักคิดน้อยใจในตัวพระองค์กันเล่า แอนนาริตาไม่อาจนิ่งเฉยวรกายอรชรลุกจากแท่นประทับเดินชะเง้อทอดพระเนตรผ่านม่านที่เป็นช่องรับสายลม ลือว่าจุดนี้จะเป็นจุดที่สามารถมองเห็นภูมิสภาพทั่วพระราชวังเขตหวงห้ามได้ชัดแจ้งพระองค์เพิ่งได้ประจักษ์ก็คราวนี้

เพียงยื่นพระพักตร์รับสายลมหนาวในฤดูฝน ดวงพระเนตรสีน้ำตาลเข้มก็ฉายแววสะดุ้งทันทีที่ได้ปะทะกับดวงตาสีดำสนิทในร่างถทึงที่กำลังยืนตระหง่านอยู่เบื้องหลัง ปลายพระหัตถ์เล็กชักดาบสั้นออกจากกายแทงไปข้างหน้าหวังให้ถูกตัวผู้บุกรุก พลันนึกถึงเรื่องที่มายาเล่ามาทั้งหมดเป็นความจริง มีผู้บุกรุกเข้ามาในเขตหวงห้ามนี้จริงๆ มีดขนาดสั้นหาได้ทำอะไรบุรุษผู้นั้นไม่กลับถูกปัดให้ตกลงไปปักไว้ที่พื้นหญ้าด้านล่าง  

“ว้าย”

เป็นเสียงที่แสดงถึงความตกใจที่ถูกอีกฝ่ายรวบพระกรไว้ก่อนจะขยับตัวเข้ามาใกล้ ดวงพระเนตรยังไม่หายตกใจจ้องมองฝ่ายตรงข้ามด้วยประกายตาดุดัน ทรงจับด้ามปืนที่พร้อมจะยิงออกไปทุกเมื่อหากอีกฝ่ายขยับเข้ามา เพียงพระพักตร์รูปคมที่สะท้อนจากตะเกียงไฟตรงกำแพงแจ้งประจักษ์ให้เจ้าหญิงน้อยแห่งเซนารักษ์ต้องอุทานอีกครั้ง

“ฝ่าบาท”

แม้ไม่อยากเชื่อว่ามันจะเป็นจริงได้แต่นางก็ไม่อาจคิดเป็นอย่างอื่นได้ ทุกอย่างมันเป็นเรื่องจริง กษัตริย์อัสมันทรงเสด็จมาที่นี่จริง ราชาหนุ่มย่างพระบาทสองสามก้าวเพื่อมายังวรกายของสตรีผู้ที่ขึ้นชื่อว่าหอมดั่งบัวแรกแย้ม อยากดึงนางแนบชิดใกล้แต่ไม่อาจกระทำได้เพราะกลัวปืนที่อยู่ในพระหัตถ์นุ่มนั้นจะสำแดงฤทธิ์ พระองค์จึงทำได้แต่เพียงส่งสายพระเนตรเว้าวอนและรอยพระสรวลอย่างอ่อนโยน

“ทรงเข้ามาถึงในเขตหวงห้ามนี้ได้อย่างไรเพคะ” วาจาติเตือนเล็ดลอดออกมาจากริมพระโอษฐ์สีหวานของเจ้าหญิงผู้ทรงสง่า แม้ดวงดาวและดวงจันทร์บนท้องนภาก็ไม่อาจสู้ความงดงามของนางได้

“พี่คิดถึงและโหยหารักจากน้อง จึงดั้งด้นมาหาถึงเซนารัก หวังว่าน้องจะไม่ใจร้ายไล่พี่กลับไป” พระสุรเสียงอ่อนหวานชื่นช่ำสะกิดให้ดวงหทัยที่เด็ดเดียวของแอนนาริตาอ่อนลงอย่างช่วยไม่ได้ ดวงพระเนตรที่มองมายังนางเหมือนจะหลอมละลายให้นางยอมแพ้แต่เจ้าหญิงแอนนาริตาจะมิยอมเชื่อคำพูดจากลมปากบุรุษเพศที่ยังไม่แน่ใจว่าทรงรักนางอย่างแท้จริง ลมปากผู้ชายหาเชื่อได้ไม่ นอกจากความลุ่มหลง ผู้ชายมักทำได้เสมอเมื่อได้ใจไปแล้วก็มักทิ้งขว้างให้ต้องเจ็บพระทรวง และนั่นคงเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดพระบิดาถึงขอร้องให้นางห้ามเปิดใจรักฝ่าบาท

“ฝ่าบาททรงทำเช่นนั้นได้อย่างไรกันในยามวิกาลเช่นนี้ ทรงลงทุนเพื่อให้หม่อมฉันยอมใจอ่อน นี่หรือวิธีของพระองค์ที่พร่ำบอกนักบอกหนาว่าทรงรักหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่เห็นถึงความรักที่พระองค์ตรัสเสมอนอกจากการคิดเอาชนะ ได้โปรดเถอะเพคะ ออกไปจากห้องของหม่อมฉันเถิด”

“แอนนาริตา พี่รักน้องเสมอมา รักตั้งแต่น้องยังเด็ก ดวงหทัยของพี่เหตุใดเล่าเจ้าถึงไม่ยอมเชื่อใจพี่เสียที”

“ฝ่าบาทจะให้หม่อมฉันเชื่อได้หรือเพคะ ในเมื่อทรงวางแผนการทั้งหมดไว้ล่วงหน้าแล้ว และการที่บ่าวสาวของหม่อมฉันหายไปก็คงเป็นฝีมือของพระองค์แน่” เหมือนดวงหทัยของอัสมันกำลังแหลกสลายกับวาจาแสนเย็นชาของนาง แม้นยืนกรานที่จะพิสูจน์รักให้นางได้เห็นแต่หากหัวใจของนางมิทรงเปิดรับพระองค์ถึงทำมากกว่านี้นางก็คงมิเห็นความรักที่อัสมันมีต่อนางอยู่ดี

    “ทรงเชื่อหม่อมฉันเถอะนะเพคะ ว่าพระองค์ไม่ได้รักหม่อมฉัน พระองค์เพียงแต่ปรารถนาที่จะครอบครองตัวของหม่อมฉันเหมือนกับบุรุษหนุ่มทุกคนที่พบเห็นหม่อมฉัน”

    “ไม่ พี่รักน้องด้วยความสัตย์จริง หากมีสิ่งใดที่พี่สามารถพิสูจน์ว่าพี่รักน้องจริง โปรดบอกพี่มาเถิดว่าพี่ต้องทำเช่นใด” เพียงพระพักตร์แน่วแน่ของอัสมันทำให้แอนนาริตาถึงกับนิ่งคิด นางไม่เพียงแต่ใจแข็งแต่ใจร้ายอีกด้วย แต่พระองค์จะไม่ทรงยอมแพ้ต่อความแข็งกระด้างของนางเป็นอันขาด เมื่อเดินหน้ามาถึงขั้นนี้แล้วหากถอยหลังกลับไปคงไม่ดีแน่มันจะลำบากในการเจอหน้ากันในคราต่อไป


    เปรี้ยง เปรี้ยง...

    เสียงฟ้าร้องครึ้มครึ้มไม่ได้ทำให้กษัตริย์อัสมันทรงยอมแพ้ต่อความเด็ดเดี๋ยวของนาง พระองค์คุกเข่าอยู่บริเวณด้านล่างของพระตำหนักหวงห้ามไม่หวั่นว่าจะมีผู้ใดมาพบเห็นเพียงอยากพิสูจน์ให้เจ้าหญิงผู้เข้มแข็งผู้นี้ได้ซึมซับว่าพระองค์รักนางอย่างสุดใจ เม็ดฝนเริ่มโปรยปรายลงมาก่อนจะตกหนักในไม่กี่พริบตาวรกายหนาเปียกโชกด้วยหยดน้ำฝนที่ตกอย่างต่อเนื่อง พระองค์ทรงตริตรองถึงคำพูดเมื่อครู่ที่ได้ต่อกลอนกับนาง

    “เหตุใดน้องถึงคิดว่าพี่อยากเอาชนะ”

“เพราะหม่อมฉันไม่เห็นเหตุผลอื่น”

“พี่ยอมรับก็ได้ว่าพี่อยากเอาชนะเจ้าหญิง แต่เพราะอยากให้เจ้าหญิงรับรักพี่ หากสิ่งที่พี่ทำลงไปทำให้เจ้าหญิงทรงคิดว่าเป็นการเอาชนะ พี่ก็ขออภัย พี่เสียใจที่เจ้าหญิงมองไม่เห็นความรักของพี่”

คำตรัสประโยคสุดท้ายก่อนที่พระองค์จะยอมทำอะไรเช่นนี้ แม้นเป็นกษัตริย์ มีราชบริวารมากมายล้อมรอบแต่หากราชบังลังไร้คู่คิดคู่ใจ กษัตริย์ก็คงมิต่างจากรูปปั้นสลักที่เอาไว้เชิดชูบนบังลังเท่านั้น


เปรี้ยง เปรี้ยง....

เสียงฟ้าร้องยังคงดังกระชากหัวใจ ความหนาวเหน็บทั้งที่ไม่ได้อยู่กลางสายฝน แล้วผู้ที่ยังทรมานตัวเองยืนตากน้ำฝนยังบริเวณด้านล่างเล่าจะไม่หนาวขึ้นสมองหรือ ยิ่งฤดูฝนในเซนารักต่างจากที่อื่นเป็นฤดูฝนที่นำพาเอาความหนาวเหน็บเข้ามาด้วย หากไม่รู้จักดูแลตัวเองให้ดี ภัยจากความหนาวจะคร่าชีวิตได้โดยไม่รู้ตัว

“ห้ามใจอ่อน ห้ามสงสาร ห้ามเห็นใจ อย่ายอมแพ้ให้กับลมปากของบุรุษเพศ ฝ่าบาททรงไม่ได้รักเราพระองค์แค่อยากเอาชนะเราเท่านั้น” เจ้าหญิงแอนนาริตาทรงพระทัยร้อนรน เวลานี้ไร้บ่าวมาช่วยคิด ถึงอย่างไรนางหาได้มีวันยอมแพ้ต่อการกระทำของพระองค์ เพียงการกระทำแค่นั้นไม่อาจแสดงได้ว่าพระองค์ทรงรักนางจริง รออีกนิดอีกไม่กี่ชั่วยามเมื่อพระองค์เห็นว่าหมดหวังแล้วก็จะเสด็จกลับไปเอง มันต้องเป็นไปเช่นนั้นแน่ เจ้าหญิงน้อยทรงคิดไว้

“ฝนตกหนักเยี่ยงนี้เจ้าจะกลับไปได้อย่างไร”

ยัซซินถามด้วยความเป็นห่วง ท้องฟ้าที่นี่ต่างจากท้องฟ้าที่บันนาตุกะที่ยามนี้อากาศคงกำลังดีน่านอนเป็นที่สุดแต่ที่นี่ฝนตกหนักราวกับมีพายุอีกทั้งเสียงฟ้าร้องอย่างน่าหวาดกลัวแต่พอมีสาวเจ้ามาอยู่เคียงข้างก็พอคลายหนาวลงได้บ้าง มายาลุกขึ้นยืนเท้าสะเอวหาได้สนใจคำพูดของบุรุษชุดดำนั่นเลย นางรู้แค่ว่าเวลานี้ต้องรีบกลับไปถวายการดูแลให้เจ้าหญิงของนาง มิรู้ว่าพระองค์จะทรงบรรทมหลับแล้วหรือยัง

“ข้าว่าเจ้าอย่าเพิ่งไปเลยนะ ฝนก็ตกหนัก ท้องฟ้าก็ร้อง อากาศที่นี่หนาวเหน็บเหลือเกิน อยู่เป็นเพื่อนคุยกับข้าก่อนไม่ได้หรือ” มายาหันมามองทำตาดุใส่ จะให้นางละเลยหน้าที่แล้วมานั่งคุยกับบุรุษที่แม้แต่ชื่อก็ยังไม่รู้จักแถมยังมาทำรุ่มร่ามกับนางอยู่หลายหน

“ข้าไม่สน เพราะเจ้าทำให้ข้าต้องมาติดฝนอยู่กับเจ้า แทนที่ข้าจะได้ไปถวายการดูแลเจ้าหญิงของข้า” ยัซซินหัวเราะ สบายใจอย่างบอกไม่ถูกที่ได้ต่อปากต่อคำกับนางผู้นี้

“ถึงบัดนี้เจ้าหญิงของเจ้าคงมีผู้ดูแลแล้วกระมัง”

“เจ้าหมายถึงสิ่งใด” มายาทำหน้าสงสัยยิ่งเห็นหน้าของอีกฝ่ายมีพิรุธก็ยิ่งอยากรู้จนสุดท้ายยัซซินต้องเฉลยออกมา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่